มะม่วงพันธุ์นี้ เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบออกสลับถี่ที่ปลาย

ใบคล้ายกับใบของมะม่วงเขียวเสวย ติดช่อดอกที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ติดดอกออกผลได้ง่าย ผลดกเต็มต้น จัดอยู่ในกลุ่มมะม่วงดกทะวาย ให้ผลผลิตปีละ 2 ครั้ง ขั้วเหนียว มะม่วงผลเล็กเจอฝนก็ไม่หลุดร่วงง่าย ติดผลเป็นพวง 3-5 ผล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

จุดเด่นของมะม่วงเขียวสามรส คือ มีครบ 3 รสชาติ ในผลเดียวกัน จึงถูกเรียกว่า “มะม่วงเขียวสามรส” ผลมีขนาดใหญ่มาก ผลโตเต็มที่น้ำหนักอยู่ระหว่าง 1-2 กิโลกรัม ต่อผล โดยทั่วไป มะม่วงเขียวสามรส สามารถกินได้ทั้งดิบและผลสุก มะม่วงเขียวสามรสผลสุกจะมีรสชาติหวานมันปนเปรี้ยวเล็กน้อย ให้ผลดก ผลผลิตขายได้ราคาดี

มะม่วงขาวนิยม กินอร่อยทั้งผลดิบผลสุก

มะม่วงน้ำดอกไม้มัน หรือ มะม่วงขาวนิยม ถูกพบในสวนมะม่วงของ “นายขาว น้อยรักษา” เกษตรกรชาวสวนผลไม้ในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร เมื่อ 50 กว่าปีก่อน สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ทะวาย เบอร์ 4 ใกล้กับมะม่วงเขียวเสวย จนเกิดการผสมพันธุ์กันขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมาเมื่อนำเมล็ดมาปลูกจึงกลายเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้น “นายขาว” ตั้งชื่อมะม่วงพันธุ์นี้ว่า “น้ำดอกไม้มัน” แต่กรมวิชาการเกษตร รับรองพันธุ์พืชโดยเรียกชื่อใหม่ว่า “ขาวนิยม” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ “นายขาว น้อยรักษา” ผู้ให้กำเนิดมะม่วงสายพันธุ์นี้

มะม่วงขาวนิยม มีรูปทรงผลส่วนหัวคล้ายเขียวเสวย แต่ส่วนปลายจะแหลมคล้ายน้ำดอกไม้ ความหนาของเปลือกมีความหนามากกว่ามะม่วงเขียวเสวยและน้ำดอกไม้ เหมาะสำหรับขนส่งทางไกล ผลมีขนาดใหญ่กว่ามะม่วงทั้งสองพันธุ์ที่เป็นพ่อแม่ คือมีน้ำหนักผลเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6-1.5 กิโลกรัม มะม่วงพันธุ์ขาวนิยมกินทั้งผลดิบและผลสุก ผลดิบมีรสมัน คล้ายมะม่วงเขียวเสวย ผลสุกมีรสหวาน คล้ายมะม่วงเขียวเสวย-เมล็ดลีบ

“จี๋ซือ” พันธุ์มะม่วงไต้หวัน ผลสุกสีแดงเข้ม ลูกโต รสหวานจัด

หากใครสนใจอยากปลูกมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศ คุณแดง แนะนำให้ลองปลูกมะม่วงจี๋ซือ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในไทยนานหลายปีแล้ว เกษตรกรและผู้สนใจนิยมปลูกมะม่วงพันธุ์นี้อย่างแพร่หลาย เพราะผลโต รูปทรงสวย ผลสุกมีสีแดงเข้ม

มะม่วงจี๋ซือ ต้นสูงประมาณ 5-8 เมตร ปลูกได้ในดินทั่วไป ให้ผลผลิตปีละครั้ง ใบสีเขียวสด ใบดก หนา ออกดอกสีเหลืองนวลเป็นช่อ ผลอ่อนสีเขียว รสชาติเปรี้ยวจัด ผลสุกเปลือกมีสีแดงเข้ม ดูสวยงาม เมื่อผลโตเต็มที่ น้ำหนักต่อผล ประมาณ 8 ขีด ถึง 1 กิโลกรัม เมล็ดลีบบาง เนื้อสุกมีสีเหลืองเข้มหรืออมส้มเล็กน้อย เนื้อเหนียวไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานจัด ถูกใจคนชอบกินผลไม้รสหวาน

“มะขามป้อมยักษ์ทะวาย” ให้ลูกโต ผลดกทั้งปี ขายได้ราคาดี

สำหรับคนที่รักสุขภาพ ขอแนะนำให้ปลูกมะขามป้อมยักษ์ทะวาย เป็นไม้ผลประจำบ้าน เพราะมะขามป้อมชนิดนี้ ให้ลูกโต ผลดกทั้งปี คุณแดง บอกว่า มะขามป้อมยักษ์ทะวายพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ถูกนำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว กลายเป็นไม้ผลยอดฮิตที่ได้รับความนิยมจากท้องตลาดอย่างกว้างขวาง เพราะมะขามป้อมยักษ์ทะวาย มีขนาดผลใหญ่มาก เทียบไซซ์แล้ว ผลมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทเสียอีก

มะขามป้อมพื้นเมืองของไทยมักจะให้ผลผลิตเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูร้อน แต่ “มะขามป้อมยักษ์ทะวาย” พันธุ์นี้ คุณแดง บอกว่า จัดอยู่ในกลุ่มพันธุ์ทะวายหรือพันธุ์เบา ปลูกดูแลง่าย เริ่มให้ผลดกเต็มต้น หลังจากปลูกไปได้ 1 ปี และติดดอกออกผลตลอดทั้งปี ผลมีรูปทรงผลกลมแป้น ผลอ่อนมีสีเขียวสดใส ผลแก่จัดสีเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มปนเหลืองเล็กน้อย เนื้อฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวปนฝาดเหมือนมะขามป้อมทั่วไป ปลูกกินเป็นยา ก็ดีต่อสุขภาพ ปลูกขายก็ทำกำไรได้ดี

สะเดาสามฤดู …รวยดอก ปลูกดูแลง่าย แตกยอดทั้งปี

สะเดาทั่วไปจะมีดอกและยอดอ่อนเฉพาะช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ของทุกปี คุณแดง ภาคภูมิใจนำเสนอ “สะเดาสามฤดู…รวยดอก” เป็นพืชทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ชื่นชอบการบริโภคสะเดา เพราะสะเดาสามฤดู ปลูกดูแลง่าย เจริญเติบโตได้ทุกสภาพดินทั่วประเทศไทย หากใครมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกใส่กระถางได้ ต้นสะเดาสามฤดูจะผลิดอกแตกยอดอ่อนให้เด็ดกินได้ตลอดทั้งปี

ยอดอ่อนของสะเดาสามฤดู มีรสขมเหมือนกับสะเดาทั่วไป แต่นำไปลวกน้ำร้อนแล้ว รสขมจะหายไปอย่างน่าประหลาดใจ เหลือแต่รสมันอร่อย จนแทบหยุดกินไม่ได้ จึงถูกตั้งชื่อว่า “สะเดารวยดอก” ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์จากกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การันตีคุณภาพว่า สะเดาสามฤดู…รวยดอก ว่าเป็นพืชปลอดสารพิษอย่างแท้จริง แค่ปลูกสะเดาสามฤดูไว้หลังบ้านเพียงไม่กี่ต้น คุณๆ ก็จะมียอดอ่อนสะเดาไว้กินกับน้ำพริกอย่างเอร็ดอร่อยได้ตลอดปี ทำให้สะเดาสามฤดู…รวยดอก ได้รับความนิยมจากคนไทยทั่วประเทศ

ข้อแนะนำ กับมือใหม่ที่หัดปลูกต้นไม้

ก่อนจบการสนทนา คุณแดง ฝากคำแนะนำกับมือใหม่ที่หัดปลูกต้นไม้ว่า เวลาซื้อกิ่งพันธุ์ไม้ไปปลูกที่บ้าน ควรเตรียมดินปลูกโดยใช้ดินธรรมดาหรือดินกระสอบ ใช้ยากันปลวกโรยแล้วรดน้ำตาม ป้องกันปลวกและแมลงในดิน รองก้นหลุมปลูกโดยใช้สารอุ้มน้ำ เช่น แพมเพิร์ท ก้อนโอเอซิส จะช่วยประหยัดเวลาในการรดน้ำ

วิธีการปลูก ควรขุดหลุมให้พอดีกับถุงหรือกระถางที่ซื้อต้นไม้มา ถ้าเป็นถุงให้เอามีดกรีดถุง ค่อยๆ ถอดออกจากถุงหรือกระถาง อย่าให้ดินแตก เพราะจะทำให้ต้นไม้ชะงักการเจริญเติบโต หรืออาจทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาตายไปเลย ใช้หลักค้ำกันลมโยก ถ้าเป็นกิ่งทาบ ให้กรีดผ้าพันแผลที่โคนต้นออก

หลังปลูกใหม่ ไม่ควรใส่ปุ๋ย เพราะจะทำให้ต้นไม้ตายได้ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก จะช่วยปรับโครงสร้างดิน ปุ๋ยเคมีให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อต้นไม้ (ให้ใส่ห่างโคนต้น ประมาณ 1 ศอก หรือตามรัศมีทรงพุ่ม) สำหรับปุ๋ยบำรุงต้นทุกส่วนแนะนำให้ใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ สูตร 16-16-16 หรือ สูตร 21-21-21 หากต้องการเร่งดอกเพิ่มรสชาติ ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 โดยให้ปุ๋ยทุกๆ 2-3 เดือน ต่อครั้ง ควรใส่ปุ๋ยน้อย แต่ใส่บ่อยครั้งจะดีกว่าใส่ครั้งละมากๆ เพราะต้นไม้กินไม่หมด ปุ๋ยจะละลายไปกับน้ำ เสียงบประมาณไปเปล่าๆ

ส่วนน้ำ คุณแดง ให้คำแนะนำว่า ไม้ทุกชนิดไม่ต้องการน้ำมาก อย่าให้น้ำขัง จะทำให้รากเน่าได้ สัปดาห์แรก หลังปลูก ควรให้น้ำ วันละ 1 ครั้ง สัปดาห์ที่ 2-3 ควรให้น้ำวันเว้นวัน สัปดาห์ที่ 4 ขึ้นไป ควรให้น้ำ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ก็พอแล้ว

ไฮไลต์ของงานเกษตรมหัศจรรย์ที่จบไปเมื่อเดือนพฤษภาคม นอกจากจะมีพระเอกคือทุเรียนแล้ว ผลไม้อีกอย่างที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงาน คือ “อินทผลัม” ซึ่งเป็นผลไม้ที่กำลังเป็นที่จับตามอง เพราะเป็นดาวเด่นในแวดวงการเกษตรทั้งในเรื่องราคาและการให้ผลผลิต และยังเป็นโอกาสดีที่ในงานนี้มีการนำเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมตัวจริง ไม่ได้ปลูกตามกระแส มีประสบการณ์การปลูกอินทผลัมกว่า 14 ปี จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ไปแล้ว

คุณกรรภิรมย์ ทองประสาน เจ้าของสวนแม่รัตน์อินทผลัม ที่กระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร วัย 41 ปี เล่าให้ “เทคโนโลยีชาวบ้าน” ฟังถึงจุดเริ่มต้นการปลูกอินทผลัมว่า มาจากเมื่อ ปี 2550 ได้ชมรายการทีวีช่องหนึ่ง ซึ่งแนะนำผลไม้อินทผลัม จึงมีแนวคิดที่จะนำมาปลูกที่สวน ซึ่งเคยเป็นสวนมะพร้าว โดยเป็นการปลูกเล่นๆ ไม่ได้จริงจัง เพื่อทดลองว่า อินทผลัมจะสามารถให้ดอกออกผลได้หรือไม่ บนสภาพดินที่ชื้น ซึ่งปรากฏว่า ผ่านไปเพียง 1 เดือน ต้นอินทผลัมที่ทดลองปลูกแสดงให้เห็นว่า สามารถเติบโตได้บนสภาพดินที่กระทุ่มแบน

“วันนั้น ดูรายการทีวีช่องหนึ่ง เขาไปตะวันออกกลาง เราก็คิดว่าทำไมเมืองไทยของเราไม่มีปลูกอินทผลัมบ้าง ก็เสาะหาประมาณ 1 ปี ตอนนั้นไม่มีใครรู้จัก เราก็คิดว่าจะมีทางภาคใต้ ไปถามทางประเทศมาเลเซียก็ไม่มีพันธุ์ ทีนี้ต่อมาก็มีรายการทีวีอีกช่องหนึ่ง บอกว่า มีพันธุ์จากเชียงใหม่ ก็ติดต่อทางรายการนั้น และสั่งมาปลูก 10 ต้น ต้นละ 800 บาท เนื้อหาของเกษตรกรที่มาออกรายการคือ ไปดูเกษตรแม่โจ้แล้วนำมาเพาะ มีพันธุ์อินทผลัมขายแล้วในเมืองไทย ตอนนั้นเข้าใจว่าอินทผลัมเป็นพืชที่อยู่ในที่แล้ง ถ้ามาปลูกท้องร่องที่เป็นที่ปลูกมะพร้าวเก่า อาจจะไม่รอด ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน กลับรอด ก็ปลูกไปได้ 2 ปีครึ่งออกผลผลิต จึงสั่งมาปลูกอีก 100 ต้น ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะแม่รัตน์ซึ่งเป็นแม่สามี เป็นคนชอบปลูกผลไม้” คุณกรรภิรมย์ เล่าให้ฟังอย่างภูมิใจกับการเริ่มต้นปลูกอินทผลัมจากความชอบทำให้ไม่มีเรื่องของต้นทุนและหนี้สินมาเป็นแรงกดดันให้ต้องเร่งปลูก เพื่อเร่งให้ได้ผลผลิต เรียกว่า ปลูกไปก็มีความสุขไป

คุณกรรภิรมย์ เล่าต่อว่า การปลูกอินทผลัม 100 ต้น ปลูกด้วยความไม่รู้ว่า พันธุ์ที่ปลูกนั้นกินสดได้ และมีลูกค้าที่รอซื้ออยู่ในระดับบน ซึ่งเป็นการปลูกไปและศึกษาสายพันธุ์ไปพร้อมๆ กับการตลาดไปเรื่อยๆ นั่นเอง โดยได้ประสบการณ์ทั้งจากการขายหน้าร้านและการออกงานอีเว้นท์ต่างๆ

“ช่วงที่ปลูกอินทผลัม พอ 2 ปีครึ่งออกผลผลิต ตอนนั้นไม่เคยทราบว่า อินทผลัมทานสดได้ เมื่อไรมันจะแก่สักที ก็บอกกับแม่ แม่ก็บอกว่ารออีกนิดหนึ่ง แม่บอกให้รอ ก็โทร.ไปถามที่เชียงหใม่ เขาก็บอกว่าเป็นพันธุ์ที่ทานสด อย่างเมืองไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็ยึดกับอินทผลัมอบแห้งในกล่อง อย่างเราไปออกงานครั้งแรกไม่มีใครรู้จัก แต่เจ้าของโรงแรมรู้จักว่า นี่คือ อินทผลัมสำหรับทานสด ตอนนั้นราคาขายหน้าร้าน กิโลกรัมละ 300 บาท เขาเหมาหมดเลย เพราะเขาเคยซื้อทีละ 5 กิโลกรัม ตอนที่ก่อนจะไปออกงานอีเว้นท์ ก็ได้ผลผลิตเยอะมาก ก็บอกแม่ว่า ไม่รู้จะไปขายที่ไหน ก็ไม่คิดว่าจะออกเยอะขนาดนั้น ตอนแรกขายเพราะมีหน้าร้าน ไม่มีใครรู้จักเลย มีคนบอกว่าแห้งนี่ล่ะ คือ สด ก็เลยไปเริ่มศึกษาพันธุ์อินทผลัม และศึกษาตลาด ว่าคนทานเป็นคนกลุ่มไหน ก็รู้แล้วว่าไม่มีลูกค้าตลาดล่าง” คุณกรรภิรมย์ เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

นอกจากนี้ คุณกรรภิรมย์ ยังใช้ความเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่เปิดตลาดในโลกโซเชียล เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งได้ผลในเรื่องยอดขายตามมาด้วย

“เราปลูกตั้งแต่ ปี 2550 เริ่มเล่นโซเชียลแล้ว ต้องหาวิธีนี้ พอเราเปิดเฟซบุ๊กกับเปิดเพจ ก็มีการถามว่า นี่อะไร ก็เริ่มมีกลุ่มเข้ามา 2 ครั้ง พอจังหวะเข้าปีที่ 2 ทางเชียงใหม่ซึ่งเราสั่งซื้อสายพันธุ์จากเขา ก็เริ่มขายสด ทำให้อินทผลัมแบบทานสดเป็นที่รู้จักในเมืองไทย ที่สวนก็เป็นที่แรกๆ ของประเทศเหมือนกัน นอกจากนี้ ทางสวนก็เปิดให้ลูกค้าช็อป ชิม ชม สวนของเรา เพราะทำเลใกล้กรุงเทพฯ ด้วย ผลตอบรับดีมาก คนไม่เคยเห็น คนเข้ามาเยี่ยมชมสวนมีมารยาทมาก ตอนเปิดสวนปีแรกๆ มีลูกค้าเป็นคนไทย เพิ่งมีต่างชาติมาไม่นาน อย่าง ฟิลิปปินส์ และอินโดฯ มีท้องร่องคล้ายที่สวน เขาก็มาดูงานที่สวน เปิดสวน” คุณกรรภิรมย์ เล่าให้ฟังด้วยความสนุกในเส้นทางการปลูกและทำตลาดอินทผลัมที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนด้วย

เพราะฉะนั้น ใครที่สนใจปลูกอินทผลัมแบบกินสด บนวิถีเกษตรพอเพียง และไม่ตามกระแส แต่สร้างรายได้ให้งดงาม ติดต่อสอบถาม คุณกรรภิรมย์ ทองประสาน ได้ที่เบอร์โทร. (080) 669-2932 และ (061) 623-6194 และติดตามเรื่องราวของอินทผลัมได้อีกในตอนต่อไป

ท่านผู้อ่านที่สนใจอินทผลัมกินผลสด ไม่ควรพลาด วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561 นี้ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านมีจัดสัมมนา โดยเชิญวิทยากรผู้รู้หลายๆ ด้านมาให้ความรู้ ดูรายละเอียดในเล่มนี้ แล้วรีบโทร.จองมาโดยด่วน

สายพันธุ์อินทผลัม เป็น “หัวใจ” แห่งความสำเร็จ

หนึ่งในความสำเร็จที่ คุณกรรภิรมย์ ทองประสาน ได้เข้ามาเดินบนเส้นทางผู้ปลูกอินทผลัม และติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศนั้น เพราะเน้นสายพันธุ์ที่เหมาะกับลูกค้าชาวไทย โดยเลือกสายพันธุ์เคแอลวัน

“ทางสวนไม่ได้เจาะจงให้ลูกค้าปลูกอินทผลัมเพียงอย่างเดียว เพราะให้ผลปีละ 1 ครั้ง เท่านั้นเอง ราคาขาย กิโลกรัมละ 700 บาท ซึ่งทางสวนเริ่มขายอินทผลัมเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ กิโลกรัมละ 300 บาท ตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เพราะฉะนั้นทางสวนจึงเลือกสายพันธุ์เคแอลวัน ซึ่งประเทศไทยเพาะเอง มีตั้งแต่ 250 บาท ถึง 4,500 บาท คือสำหรับราคา 4,500 บาท เป็นต้นโตแล้ว ออกช่อในกระถางแล้ว ส่วนราคาสายพันธุ์ต้นอินทผลัมปีนี้จะแพงมาก ถ้าปีแรกๆ ประมาณ 900 บาท ต่อต้น แต่ปีนี้นำเข้า ต้นละ 1,700 บาท ขายต้นละ 2,000 บาท พันธุ์ที่นิยม คือ บาร์ฮี ซึ่งนิยมปลูกในอินเดีย และอังกฤษ” คุณกรรภิรมย์ เล่าให้ฟังทิ้งท้าย

สำหรับอินทผลัมเป็นพืชในตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีความสูงประมาณ 30 เมตร ลำต้นมีขนาด 30-50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้น ประมาณ 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3.4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยนั้นพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ต้นอินทผลัมให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 3-5 ปี และมีอายุยืนยาวกว่า 100 ปี ให้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ย 100-150 กิโลกรัม เป็นผลไม้ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ โดยแต่ละสายพันธุ์มีเกรด ราคา รวมทั้งรสชาติแตกต่างกัน ซึ่งพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์บาร์ฮี (Barhi) เป็นพันธุ์ที่เหมาะสำหรับกินสด มีแหล่งกำเนิดในประเทศอิรัก ปัจจุบัน มีการปลูกแพร่หลาย และมีห้องแล็บเพาะเนื้อเยื่ออยู่ในประเทศอังกฤษด้วย โดยสายพันธุ์นี้ได้รับฉายาว่าเป็น “แอปเปิ้ลแห่งตะวันออกกลาง”

ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ เมดจูล (Medjool หรือ Medjhol หรือ Medjull) หรือ บางครั้งเรียกว่า สายพันธุ์อัมบาต (Ambatt) หรือมีอีกชื่อว่า พันธุ์ 7 ศอก เป็นพันธุ์อินทผลัมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตอนนี้ เป็นพันธุ์ที่ให้ผลสำหรับกินผลแห้ง มีแหล่งกำเนิดในประเทศโมร็อกโก ได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งอินทผลัม”

ข้าวโพด ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและยังมีมูลค่าทางการค้าต่อไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยปัจจุบันกลุ่มพืชข้าวโพดที่สำคัญของไทย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือข้าวโพดไร่ และข้าวโพดฝักอ่อน ซึ่งข้าวโพดที่จะกล่าวถึงและให้ความสำคัญในครั้งนี้คือ ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดข้าวเหนียว หากเจาะลึกไปยังข้าวโพดทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกจำนวนมากกว่า 500,000 ไร่ และสามารถเก็บผลผลิตได้มากกว่า 900,000 ตัน ต่อปี จึงส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่ปลูกและผลิตข้าวโพดหวานแปรรูป อันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

โดยพื้นที่หลักในการปลูกข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวของไทยแบ่งออกตามภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร

ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ปทุมธานี นครสวรรค์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา หนองคาย ศรีสะเกษ นครพนม ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช สงขลา

ผลผลิตข้าวโพดจากพื้นที่เหล่านี้จะถูกแบ่งไปยังตลาดที่สำคัญ 2 แห่ง คือ ตลาดบริโภคและตลาดโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป ซึ่งถ้าพิจารณาราคาผลิตข้าวโพดทั้ง 2 กลุ่ม ในตลาด จะเห็นได้ว่าราคาตั้งแต่ต้นปี กิโลกรัมละ 15 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ ปี 2560 ที่ราคาสูงสุด เพียง 12 บาท เท่านั้น นั่นแสดงถึงความต้องการใช้ข้าวโพดในการบริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น และยังมีแนวโน้มตลาดในทางที่ดีขึ้น

คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผัก ภายใต้ตราสินค้าศรแดง ได้เล่าว่า ความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวของเกษตรกรในประเทศไทยต่อปี จำนวน 900 ตัน คิดเป็นมูลค่าตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด รวม 600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นข้าวโพดหวาน 55% และข้าวโพดข้าวเหนียว 45% ซึ่งนอกจากเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพแล้ว ในเรื่องของสายพันธุ์ก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกร ที่จะคอยตอบโจทย์ในเรื่องของการผลิต การทนทานต่อโรค รวมไปถึงช่วยในการลดต้นทุนด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องของคุณภาพผลผลิต ความทนโรค และคุณภาพการกิน โดยศรแดงได้แสดงสายพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมมากกว่า 30 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่น่าจับตามองและเป็นไฮไลต์มีอยู่ 3 สายพันธุ์

ไฮไลต์ 3 สายพันธุ์ ที่น่าจับตามอง

1.ข้าวโพดข้าวเหนียว 3 สี พันธุ์แฟนซี 35 เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมที่มีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง คือ เมล็ดมี 3 สี ขาว ม่วง และเหลือง เมล็ดเรียงเต็มฝัก ฝักมีขนาดใหญ่ เปลือกสีเขียวหุ้มถึงปลายฝัก น้ำหนักดี ติดฝักสม่ำเสมอ ต้นแข็งแรง ให้ผลผลิตต่อไร่สูง รสชาติเหนียวนุ่ม จุดเด่นสำคัญคือ สามารถเก็บไว้ได้นานโดยเมล็ดไม่แข็ง และยังมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ทั้งสารแอนโทไซยานิน และเบต้าแคโรทีน

2.ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์เหนียวทับทิม เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงทั้งฝัก มีลำต้นที่แข็งแรง โตเร็ว ฝักสีม่วงแดงเข้ม ติดฝักสม่ำเสมอ เปลือกฝักปิดถึงปลายฝัก เมล็ดเรียงแถวตรงจนถึงปลายฝัก มีสารแอนโทไซยานินสูง รสชาติเหนียวนุ่ม แม้ทิ้งไว้ค้างคืนเมล็ดก็ไม่แข็ง

3.ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์สวีทไวโอเล็ต เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ด 2 สี สีม่วงและสีขาวผสมกัน ลำต้นแข็งแรง ฝักสีเขียวและเปลือกฝักปิดถึงปลายฝัก มีเมล็ดเรียงเต็มถึงปลายฝัก ฝักใหญ่น้ำหนักดี มีรสชาติเหนียว นุ่ม หวาน 25% ทิ้งค้างคืนไม่แข็ง เป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งพันธุ์นี้ยังเป็นพันธุ์ยอดนิยม อันดับ 1 ในเกษตรกรผู้ปลูก

เทคนิคการปลูกระบบน้ำหยด ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ

คุณสายทิพย์ นันทะมีชัย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนะเทคนิคการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ด้วยระบบน้ำหยด ดังนี้

เริ่มแรกต้องมีการปรับปรุงดินด้วยการปลูกปอเทืองแล้วไถกลบ เพื่อพัฒนาดินให้ดี มีการไถพรวนตากดินให้แห้ง และจึงขึ้นแปลง

ยกแปลงสูง 15 เซนติเมตร ระยะนี้เหมาะสำหรับปลูกช่วงหน้าฝน เพื่อช่วยการระบายน้ำได้ดี

วางระบบสายน้ำหยดแถวคู่ ระยะ 70 เซนติเมตร เจาะหลุมพลาสติก ระยะ 10-15 เซนติเมตร สำหรับปลูก 1 ต้น แต่ถ้าต้องการปลูกห่างเพื่อจะใช้ 2 ต้น ให้ขยับเป็น 25 เซนติเมตร

ในแปลงก่อนที่จะหยอดเมล็ดให้ปล่อยน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน หลังจากนั้นหยอดเมล็ดลงไปโดยตรง ระยะ 4-5 วัน จะเริ่มงอก

ช่วง 7 วันแรก ยังไม่ต้องใช้สารเคมี สมัครจีคลับ เพราะเมล็ดพันธุ์ของศรแดงมีการเคลือบสารป้องกันแมลงและกระตุ้นการงอกมาแล้ว ให้เริ่มป้องกันโรคราน้ำค้างหลังปลูก 15 วัน และฉีดอีกครั้ง โดยให้นับไปอีก 15 วัน เพื่อป้องกันโรค

ในส่วนของปุ๋ย หากพื้นที่ของเกษตรกรมีปุ๋ยโพแทสเซียมตกค้างเยอะ ให้เน้นใส่ปุ๋ยยูเรีย ให้ทุก 5 วัน อยู่ที่ความสมบูรณ์ของข้าวโพด แต่ถ้าเกษตรกรบางพื้นที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ก็พยายามดูเรื่องปุ๋ยอย่าให้ขาด พยายามเสริมตัวกลางกับตัวท้าย

หลักๆ ของข้าวโพดคือ ป้องกันช่วงระหว่างงอกจนถึงอายุ 45 วัน ถึงออกดอกอย่าให้โดนทำลาย ให้การเจริญเติบโตเต็มที่หลังจากนั้นรอเก็บผลผลิต

อายุการเก็บเกี่ยวของข้าวโพด 60 วัน เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ซึ่งวิธีการเก็บเกี่ยวดูง่ายๆ ปกติข้าวโพดจะออกดอกช่วง 40-45 วัน ให้นับหลังวันออกดอก 18 วัน ก็คือช่วงเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ถ้าเป็นข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์เหนียวทับทิม แนะนำว่าอย่าเก็บตอนฝักที่มีสีม่วงเข้ม แนะให้เก็บฝักที่มีสีม่วงยังไม่มาก รสชาติจะหวานเหนียวนุ่ม

ต้นทุนการผลิต

ใช้เงินลงทุนเพียง 4,000-5,000 บาท ต่อไร่ ต้นทุนหลักๆ อยู่ที่ค่าสารเคมี สารป้องกันกำจัดศัตรูโรคแมลง และค่าแรงงาน ค่าเมล็ดพันธุ์เป็นส่วนน้อย เพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผลผลิตที่ได้ 1.2-1.5 ตัน ต่อไร่ คิดเป็นรายได้ ประมาณ 10,000-12,000 บาท ต่อไร่

การตลาดตอบโจทย์ ทั้งเกษตรกร แม่ค้า และผู้บริโภค

เกษตรกร การตลาดในแง่ของเกษตรกร เมล็ดพันธุ์ของศรแดง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง น้ำหนักดี ติดฝักสม่ำเสมอ ผลผลิตต่อไร่สูง และที่สำคัญทนทานต่อโรคราน้ำค้าง
แม่ค้า ได้ข้าวโพดคุณภาพ ได้ข้าวโพดฝักสวยเมล็ดเรียงเต็มฝัก ได้ความหลากหลายเป็นจุดเด่นดึงลูกค้า และที่สำคัญเก็บไว้ได้นาน ทิ้งค้างคืนไม่แข็ง ขายวันนี้ไม่หมดเก็บขายต่อพรุ่งนี้ได้
ผู้บริโภค ได้ข้าวโพดที่เหนียวนุ่ม รสชาติหวาน และมีสินค้าให้เลือกบริโภคหลากหลายตรงต่อความต้องการ ราคาอยู่ในระดับที่พอดี