มะเขือเทศให้ระวังแมลงวันหนอนชอนใบสภาพอากาศเย็นมีอุณหภูมิ

ลดต่ำลงในตอนเช้า มีความกดอากาศสูง และมีแดดแรงในตอนกลางวัน กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศเฝ้าระวังการระบาดของแมลงวันหนอนชอนใบ ที่สามารถพบได้ในระยะการปลูกลงแปลง ให้เกษตรกรสังเกตติดตามการระบาดของแมลงวันหนอนชอนใบตัวเต็มวัยเพศเมียจะวางไข่ที่มีขนาดเล็กภายในผิวใบ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนจะมีลักษณะหัวแหลมท้ายป้าน ตัวหนอนจะชอนไชอยู่ในใบ ทำให้เกิดรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา

เมื่อนำใบมะเขือเทศมาส่องดูเนื้อเยื่อใบจะพบหนอนตัวเล็กสีเหลืองอ่อนโปร่งแสงและใสอยู่ภายใน หากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่นและส่งผลต่อผลผลิตมะเขือเทศ กรณีที่มะเขือเทศไม่สามารถสร้างใบทดแทนได้ก็จะตายไปในที่สุด

หากพบเศษใบมะเขือเทศตามพื้นดินที่ถูกแมลงวันหนอนชอนใบเข้าทำลาย ให้เกษตรกรเก็บใบที่ถูกทำลายออกจากแปลงนำมาเผาทำลายนอกแปลงปลูก เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาด เพราะดักแด้แมลงวันหนอนชอนใบ ที่อาศัยอยู่ตามเศษใบมะเขือเทศจะถูกทำลายไปด้วย จากนั้น ให้พ่นด้วยสารฆ่าแมลงฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร

หรือสารฆ่าแมลงอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยให้เริ่มพ่นเมื่อต้นมะเขือเทศมีอายุ 5 วันหลังย้ายปลูก พ่นทุก 5 วันจนต้นมะเขือเทศเริ่มออกดอก และพ่นทุก 7-10 วันในระยะออกดอกติดผลอีก 3-5 ครั้ง งดการพ่นสารฆ่าแมลงฟิโพรนิล 5% เอสซี ก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต 7 วัน และงดการพ่นสารฆ่าแมลงอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 14 วัน

“ข้าว” เป็นสินค้าที่ทำรายได้เข้าประเทศในแต่ละปีมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ประเทศไทยมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว และคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้าวไทยกลายเป็นสินค้าขายดี อุตสาหกรรมข้าวไทยในเวทีตลาดโลกต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยโดยส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพดี ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ นำนวัตกรรมใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน ควบคู่กับเพิ่มผลผลิต ส่งเสริมการแปรรูปข้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

“ โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตข้าวไทยสู่ตลาดโลก ” ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยอาศัยกลุ่มเกษตรกรต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการผลิตและการตลาด มาถ่ายทอดแนวคิด บทเรียนการตลาด วิธีการบริหารจัดการแปรรูปข้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้แก่เกษตรกรและชาวนารุ่นใหม่ได้นำความรู้ที่ได้ไปทดลองปรับใช้ในไร่นาของตัวเอง เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันข้าวไทยในเวทีตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศยกย่อง “ เกษตรกรต้นแบบ ” เป็นรายภาค ประกอบด้วยเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบภาคเหนือ ได้แก่ “ ดร.ตะวัน ห่างสูงเนิน ” ผู้นำแนวคิด “ Rainbow Farm ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์จากการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมอย่างยั่งยืน ” ส่วนเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบภาคกลางคือ “ อาจารย์เชาว์วัช หนูทอง ” เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษละโว้ธานี จังหวัดลพบุรี สำหรับเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบภาคอีสานมี 2 ท่านได้แก่ “ คุณบุญมี สุระโคตร ” วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสง อ.ราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และ “ คุณสุวรรณ สิมมา ” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืนน้ำอ้อม อำเภอค้อวัง จังหวัดยโสธร เครือข่ายเกษตรกรต้นแบบภาคใต้ คือ “ ผู้ใหญ่นัด อ่อนแก้ว ”ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

“ ผู้ใหญ่นัด อ่อนแก้ว ” พัฒนา “ ข้าวสังข์หยด” ขายดีติดตลาด “ ข้าวกล้องพันธุ์สังข์หยด” เมล็ดเรียวเล็ก ที่มีเยื่อหุ้มสีแดงอมน้ำตาล คุณค่าทางโภชนาการสูง และมีรสชาติหอมนุ่มอร่อย ว่าเป็นสินค้าขายดีติดตลาดทั้งประเทศและส่งออก จุดเริ่มต้นของ “ ข้าวสังข์หยด ” เป็นเพียงข้าวพื้นเมืองภาคใต้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณบ้านเขากลาง จังหวัดพัทลุง ที่ผ่านมา เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสังข์หยดประสบปัญหาเรื่องการผลิตและการตลาด เพราะได้ผลผลิตน้อย แต่มีต้นทุนการผลิตสูง แถมขายข้าวไม่ได้ราคา ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ไม่พอเพียงสำหรับดูแลครอบครัว

ผู้ใหญ่นัด อ่อนแก้ว แกนนำชุมชนบ้านเขากลาง ต.ปันแต อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงเสนอจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นเมื่อปี 2534 และจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในปี 2548 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการเก็บรวบรวมผลผลิตกันเอง และสร้างอำนาจต่อรองราคาสินค้ากับพ่อค้าคนกลางรวมทั้งสร้างโรงเรือนเก็บข้าวเปลือก สร้างโรงสีข้าวระบบ GMP ขนาด 12 ตัน/วัน ทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้บริหารจัดการสินค้าอย่างเป็นระบบมากขึ้น

สินค้าข้าวสังข์หยด ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ แห่งนี้ มีคุณภาพมาตรฐานมากระดับสากลเพราะผลิตในระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติการทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agriculture Practice: GAP) ภายใต้การดูแลควบคุมของศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง ทำให้สินค้าจากชุมชนแห่งนี้ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคในวงกว้าง ปัจจุบัน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลางมีพื้นที่ปลูกข้าวสังข์หยดอินทรีย์กว่า 100 ไร่ ปัจจุบันสินค้าของกลุ่มฯ ส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และยุโรป ฯลฯ หากใครสนใจเยี่ยมชมกิจการข้าวสังข์หยดของกลุ่มฯ สามารถติดต่อ ผู้ใหญ่นัด อ่อนแก้ว ที่เบอร์โทร. 087-2866446 ได้ตลอดเวลา

เชาว์วัช หนูทอง ต้นแบบเทคโนโลยีการปลูกข้าว “ นาโยน”

อาจารย์เชาว์วัช หนูทอง เป็นอดีตอาจารย์วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี ที่ต้องการดำเนินชีวิตแบบพึ่งพาตัวเอง เพราะวิถีชีวิตผูกพันกับการเกษตรมาตลอดแถมรับประทานอาหารมังสวิรัติมาตั้งแต่อายุ 19 ปี ทำให้อาจารย์เชาว์วัช ตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมีตกค้างจากการทำเกษตรโดยเฉพาะการทำนาข้าว ประกอบกับอาจารย์มีพื้นเพเป็นลูกชาวนา จึงผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรทำนาข้าวอินทรีย์ และปลูกผักอินทรีย์เต็มตัว โดยมุ่งหวังผลิตข้าวคุณภาพดี ปลอดสารพิษให้คนไทยได้รับประทาน

การทำนาของอาจารย์ไม่ธรรมดา เพราะก่อนปลูกข้าว อาจารย์จะปูพรมให้ผืนนาก่อน ซึ่งพรมกลายเป็นตัวช่วยขจัดวัชพืชในแปลงนา และช่วยบำรุงดินโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายแถมได้ ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้อาจารย์ยังเป็นต้นแบบในการนำเสนอเทคโนโลยีการปลูกข้าวแบบใหม่ที่เรียกว่า นาโยนแบบเกษตรอินทรีย์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดต้นทุน ทั้งเรื่องของเมล็ดพันธุ์ข้าว และแรงงาน ไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะนาโยนกล้าสามารถควบคุมหญ้าได้ ลดเวลาการปลูกข้าวน้อยลงถึง 15 วันช่วยให้เก็บเกี่ยวเร็วขึ้น หลังการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ที่ได้จะมีความสมบูรณ์ สวยงาม ขายได้ราคาดี

ปัญหาขาดแคลนแรงงานทำนา ทำให้อาจารย์เกิดแนวคิดการทำนาในที่ร่ม และทำนาช่วงกลางคืน โดยเพาะต้นกล้าข้าวในโรงเรือนและนำถาดเพาะต้นกล้าไปอนุบาลไว้กลางแจ้ง เปิดสปริงเกอร์รดน้ำเช้า – เย็น เมื่อครบ 15 วัน จึงยกถาดต้นกล้าข้าวออกจากแปลงอนุบาล แล้วถอนต้นกล้าออกจากถาด ใส่ไว้ในตะกร้า ตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเช้าวันใหม่ จึงค่อยนำกล้าข้าวไปโยนในแปลงนาที่เตรียมดินไว้ “ทำนากลางคืน” ช่วยให้การทำนาเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะชาวนาไม่ต้องทนเหนื่อยทำงานตากแดดในช่วงกลางวันอีกต่อไป

อาจารย์เชาว์วัช ได้รับการยกย่องว่าเป็น “วิศวกรชาวนา” เพราะได้นำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำนา เช่น สร้างเครื่องดำนาโดยใช้แรงงานเพียงคนเดียวปลูกข้าวได้มากกว่า 10 ไร่ รวมถึงประดิษฐ์เครื่องอัดก๊าซชีวภาพ เครื่องทำปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด และเตาน้ำสัมคว้นไม้ ฯลฯ ผลงานดังกล่าวช่วยให้การทำนาเป็นเรื่องง่ายและเป็นคำตอบของการพึ่งพาตัวเอง

“ข้าวหอมมะลิธรรมศาสตร์” จากผลงานวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกหนึ่งความหวังของอาจารย์เชาว์วัช ที่จะเพิ่มพูนรายได้ของชาวนาไทยในอนาคต เพราะข้าวพันธุ์นี้ ต่อยอดจากข้าวดอกขาวมะลิ 105 ทนทานต่อปัญหาภัยแล้ง ให้ผลผลิตมากกว่าข้าวหอมมะลิทั่วไปประมาณ 400-500 กก.ต่อไร่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นกว่า 2 เดือน ที่สำคัญสามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี จึงให้ผลผลิตมาก เหมาะสำหรับปลูกเพื่อป้อนตลาดส่งออกในอนาคต

ปัจจุบันอาจารย์เชาว์วัช เปิดบ้านเลขที่ 134 หมู่ 2 ตำบล ท่าวุ้ง อำเภอ ท่าวุ้ง จังหวัด ลพบุรี เป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ แบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ “เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษละโว้ธานี” ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยม ศึกษาเรียนรู้ได้ตลอดเวลา หรือติดต่อกับอาจารย์ได้โดยตรงที่เบอร์โทร. 089-8011394

บุญมี สุระโคตร ปลูกข้าวตามหลัก“ปรัญญาเศรษฐกิจพอเพียง”

ลุงบุญมีเติบโตในครอบครัวชาวนา ทำอาชีพมาสารพัดทั้ง ช่างเย็บผ้าโหล ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างตัดผม และช่างเดินสายไฟ สุดท้ายได้ค้นพบตัวเองว่าสิ่งที่อยากทำที่สุดคือ “ทำนา ปลูกข้าว” ในวิถีเกษตรอินทรีย์ ลุงบุญมีน้อมนำปรัญญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในผืนนาของตัวเอง ผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์คุณภาพดี ที่มีต้นทุนต่ำ สร้างแรงจูงใจให้ชาวนาในพื้นที่ใกล้เคียงหันมาปลูกข้าวอินทรีย์เช่นเดียวกับ ลุงบุญมี

ลุงบุญมีมองว่า “การทำนาจะต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจต่อรองทางการค้า” จึงได้ชักชวนเกษตรกรในชุมชนบ้านอุ่มแสงหรือกลุ่มเกษตรทิพย์ ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ มารวมกลุ่มกันทำการเกษตรเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการขอความช่วยเหลือจากส่วนราชการ และต่อรองกับระบบทุนนิยม พยายามพึ่งพิงตนเอง และคนในชุมชนเป็นหลักให้เกษตรกรรู้จักตัวตนของตนเอง รู้เรื่องดิน ถ้าไม่รู้เรื่องดินจะทำเกษตรอินทรีย์ยาก ทำให้ระบบนิเวศในชุมชนกลับมาสมดุลและสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้งด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ ”

ปัจจุบันลุงบุญมีเป็นประธานกลุ่มผู้ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ แห่งบ้านอุ่มแสง ต.ดู่ อ.ราษีไศล ศรีสะเกษ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้ความรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจรแก่เกษตรกรทั่วไป จะได้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลผลิต พร้อมกับใส่ใจสิ่งแวดล้อม รักษาระบบนิเวศน์ให้สมดุล สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด

ทางกลุ่มฯ มีสมาชิกกว่า 600 รายมีพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์รวมกันกว่า 800 ไร่ ที่นี่ปลูกข้าวอินทรีย์หลายชนิด ทั้งข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวลืมผัว ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ ฯลฯ โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของ iFOAM สินค้าของกลุ่มจำหน่ายในชื่อตราสินค้า “ลุงบุญมี” จำหน่ายในราคา กก.ละ 100 – 120 บาท ปรากฎว่าขายดีเป็นที่ยอมรับในตลาดในวงกว้าง เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการตลาดทางกลุ่มฯ ได้แปรรูปสินค้าจากข้าวอินทรีย์ เช่น ไอศกรีมข้าว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ผลงานที่ผ่านมา ทำให้ลุงบุญมีได้รับการยกย่องให้เป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี 2554

ลุงบุญมีพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเคล็ดลับสู่ความสำเร็จแก่เกษตรกรทุกราย หากใครสนใจศึกษาดูงานติดต่อโดยตรงทางเบอร์โทร 08-6868-1139, 082-368-5152 ขอสายลุงบุญมีได้เลย

ช่วงปลายฤดูหนาว ประมาณช่วงเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ ดอกบ๊วยหรือที่คนจีนเรียกว่า “ ดอกเหมย ” จะเริ่มผลิบานสะสุดตานักท่องเที่ยว ต้นบ๊วย จัดอยู่ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับพลัม ลูกท้อ เชอร์รี่ อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง ดอกบ๊วยมีขนาดเล็กประมาณ 1 – 3 ซ.ม.มีหลากสีสัน ตั้งแต่ขาว ชมพู แดง และเข้มเป็นสีแดงสดเลยก็มี

ผลบ๊วยสุกพร้อมเก็บได้ในช่วงต้นฤดูร้อนประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ผลบ๊วยมีรูปร่างกลม มีร่องจากขั้วไปถึงก้น ผลดิบจะมีสีเขียว มีรสอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม หลังจากนั้นผลสุกจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงเมื่อสุกเต็มที่ สำหรับพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 500 เมตรขึ้นไปสามารถปลูกผลไม้เมืองหนาวได้หลายชนิด เช่น ลูกไหนแดง ลูกไหนดำรสชาติหวาน รวมทั้งลูกท้อ(ลูกพีซ) ที่มีรสชาติหอมหวานอมเปรี้ยว ซึ่งผลไม้ดังกล่าวจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงเดียวกันคือ เมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี

การขยายพันธุ์บ๊วย

พันธุ์บ๊วยที่ใช้ปลูกกันในปัจจุบันนี้ เป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งไม่ทราบชื่อพันธุ์ที่แน่นอน ชาวบ้านนิยม ขยายพันธุ์บ๊วย ด้วยวิธีการติดตา โดยเลือกใช้ บ๊วยพันธุ์พื้นเมือง เป็นต้นตอขยายพันธุ์ เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตได้เร็วกว่าต้นตอท้อ ทำการขยายพันธุ์ในช่วงที่ต้นพักตัว เมื่อผ่านระยะการพักตัวแล้ว ตาที่ติดไว้ก็จะแตกและเจริญเติบโตต่อไป โดยต้นที่ติดตาจะให้ผลใน 4-5 ปี

ชาวบ้านมักขุดหลุมปลูกในระยะ 1x1x1 เมตร รองกันหลุมด้วยปุ๋ยคอก เพื่อให้ดินร่วน โปร่ง ต้นบ๊วย จะเจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก ระยะที่บ๊วยออกดอก เป็นช่วงที่บ๊วยต้องการน้ำค่อนข้างมาก

แต่ในช่วงที่ติดผลแล้ว ถ้าฝนตกชุกจะทำให้ผลร่วงได้ ทั้งนี้นิยมให้ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง คือช่วงเริ่มแตกตาหรือก่อนออกดอกเล็กน้อยโดยให้สูตร 13-13-21 และให้ปุ๋ยอีกครั้งหลังเก็บเกี่ยวโดยใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ก่อนที่บ๊วยจะพักตัว

ธุรกิจผลไม้แปรรูปดอยแม่สลอง อาเปา หรือ “คุณธีรเกียรติ ก่อเจริญวงค์ ” เกษตรกรผู้ปลูกบ๊วยและเป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนก่อเสริมดอยแม่สลอง เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมามีผลไม้เมืองหนาว เช่น เชอรี่ บ๊วย ท้อ ลูกไหนเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากจนล้นตลาด ขายได้ราคาต่ำ และไม่มีตลาด หรือ โรงงานรองรับ ทางกลุ่ม ” วิสาหกิจชุมชนก่อเสริมดอยแม่สลอง” จึงเกิดแนวคิดที่จะนำผลไม้ที่ล้นตลาดมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้ในกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อาเปาใช้เงิน 2 แสนบาท ลงทุนแปรรูปผลไม้ โดยทดลองดองผลไม้ครั้งแรกใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ลองผิดลองถูกมาตลอด ปรับเปลี่ยนสูตรหลายครั้ง จากการสอบถามจากการอ่านในหนังสือและเคยมีโอกาสเดินทางไปประเทศจีนได้ไปดูการดองผลไม้ของประเทศจีน และนำมาปรับใช้ จนปัจจุบันได้ปรับสูตรและเพิ่มรูปแบบอีกหลายชนิด เช่น เชอรี่แดง บ๊วยแดง บ๊วยอบน้ำผึ้ง บ๊วยทับทิม บ๊วยหยก บ๊วย ๕ รส บ๊วยซากุระ ท้อเส้น ปัจจุบันสินค้าทุกรายการได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กระทรวงสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีรายได้เข้าสู่ชุมชนกว่าปีละ 20 ล้านบาท

ที่นี่การแปรรูปผลไม้ โดยใช้วิธีการดองผลไม้ โดยใช้ส่วนผสมสำคัญประกอบด้วย ผลไม้83 % เกลือเม็ด 10 % น้ำตาลทราย 5 % กรดซิตริก(กรดมะนาว) 2 %

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการคัดผลไม้ที่เน่าเสียออก นำเข้าเครื่องคัดขนาด นำผลไม้สดมาล้างน้ำเพื่อทำความสะอาด เมื่อล้างเสร็จแล้ว นำมาพักน้ำแล้วนำมาผสมกับน้ำเกลือที่เติมกรดซิตริก เสร็จแล้วเทลงถังหมัก หมักไว้ประมาณ 60 วัน หลังจากนั้น นำผลไม้ที่หมักในน้ำเกลือ นำออกมาตากแดดให้แห้งประมาณ 3 วัน แล้วนำผลไม้ที่ตากแดดจนแห้งแล้วมาล้างด้วยน้ำสะอาด นำน้ำตาลทรายมาเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อมตามอัตราส่วน นำผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไปเชื่อมในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ปิดฝาทิ้งไว้ 20 วัน ตักผลไม้ที่แช่ในน้ำเชื่อมออกมาตากแห้งทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน นำผลไม้ ที่ตากแห้งมาเก็บไว้ เพื่อบรรจุ พร้อมจำหน่าย

เคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้การแปรรูปผลไม้ของวิสาหกิจชุมชนฯ แห่งนี้มีคุณภาพดีและมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด ได้แก่ 1.การดองผลไม้ทุกครั้งต้องคัดผลไม้ที่เน่าเสียอออก และล้างทำความสะอาด 2. ผลไม้ที่ดองในแต่ละชุดต้องคัดขนาดให้เท่ากัน 3. ทุกขั้นตอนต้องเน้นความสะอาด 4. การดองผลไม้ต้องดองในน้ำเกลือผสมกับกระซิตริกตามอัตราส่วนพร้อมกัน

ผลไม้แปรรูปของกลุ่มวิสาหกิจฯ มีกำลังการผลิตเฉลี่ย 225,000ก.ก./ปี ราคาขายส่ง 55 บาท/หน่วย โดยฐานลูกค้าหลักอยู่ที่ตลาดไท เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน นครราชสีมา ฯลฯ

จากการ พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงแก้ไขและลองผิดลองถูกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสินค้าของวิสาหกิจฯ แห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดในวงกว้าง เพราะสินค้าได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานจาก อย. มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั่วไป สร้างรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอทำให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มฯ มีความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และรูปแบบผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนในระดับตำบลแม่สลองนอก และศึกษาดูงาน ในอำเภอแม่ฟ้าหลวงต่อไป

“ ไก่พื้นเมือง ” หรือ “ไก่บ้าน” ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ ราชาของเนื้อไก่ ” เพราะแข็งแรง ทนทาน เลี้ยงดูง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี มีความต้านทานโรคสูง เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม มีไขมันต่ำ นำมาปรุงอาหารได้อร่อยหลากหลายเมนู ยกตัวอย่างเช่น “ ไก่บ้านตะนาวศรี ” ที่มี รสชาติและรสสัมผัสอร่อยเข้มข้นถูกปากผู้บริโภคแล้ว เนื้อไก่ยังมีโปรตีนสูง แต่มีปริมาณไขมันต่ำกว่าไก่ทั่วไป จึงได้รับความนิยมสูงติดตลาดมานานกว่า 20 ปี

“ ไก่บ้านตะนาวศรี” นับเป็นไก่พื้นเมืองสายพันธุ์เดียวที่ถูกนำมาพัฒนาเชิงการค้าอย่างครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “ บริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัด” ซึ่งกลายเป็นผู้นำตลาดไก่พื้นเมืองครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทยอีกด้วย

กว่าจะเป็น “ ไก่บ้านตะนาวศรี ”

ด้วยความช่างคิดของ “ คุณลิขิต สูจิฆระ ” ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัด ซึ่งผันตัวเองจากการเป็นอาจารย์ทางด้านเกษตรมาใช้ชีวิตแบบเกษตรกรเต็มขั้น ท่านไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาและปรับปรุงทั้งสายพันธุ์และกระบวนการเลี้ยงไก่บ้านหรือไก่พื้นบ้านให้มีคุณภาพดีขึ้น ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ ทำอย่างไรให้ไก่พื้นบ้าน มีคุณภาพเนื้อที่ดี อร่อย เหมาะกับการบริโภค และยังสามารถเลี้ยงในเชิงการค้าได้ ”

คุณลิขิต พัฒนาพันธุ์ไก่มาตั้งแต่ปี 2522 โดยนำไก่พื้นเมืองของไทยมาผสมข้ามสายพันธุ์กันกว่า 20 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์เหลืองหางขาว ไก่ชีท่าพระ ไก่แดงสุราษฎร์ และไก่ประดู่หางดำ เป็นต้น จนได้ไก่พื้นบ้านพันธุ์ใหม่เป็นรู้จักกันในชื่อว่า “ ไก่พันธุ์แอล” ที่มาจากตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของคำว่า ลิขิต (Likit)

ต่อมา คุณลิขิตได้พัฒนาสายพันธุ์ไก่พื้นเมืองลูกผสมพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น “ ลูกเจี๊ยบไก่บ้านตะนาวศรี ” มีขนสีดำ ที่มีลักษณะเด่นของพ่อและแม่พันธุ์รวมกัน คือ พ่อพันธุ์ไก่ชนตะนาวศรี ที่ผ่านการคัดเลือกจากไก่ชนไทยที่มีลักษณะตามตลาดต้องการคือ ให้เนื้อแน่นหนึบ มีโปรตีนสูง ส่วนแม่พันธุ์ เกิดจากการค้นคว้าพัฒนา ชื่อว่า “แม่พันธุ์ไก่แดงตะนาวศรี” ที่ให้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กระดูกเล็ก ไขมันน้อย

จุดเด่นของ “ ไก่บ้านตะนาวศรี ”

“ กว่าจะเป็นไก่บ้านตะนาวศรีในวันนี้ เราใช้เวลายาวนานกว่า 20 ปี ในการพัฒนาสายพันธ์ุไก่ของไทย เพื่อให้เหมาะสมกับการบริโภค และมีคุณค่าสารอาหารที่ดี ” คุณกณพ สุจิฆะระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัด กล่าว

ไก่บ้านตะนาวศรีมีลักษณะเด่นของพ่อและแม่พันธุ์รวมกัน คือ ไก่มีเนื้อแน่น นุ่ม ชุ่มฉ่ำ มีโปรตีนสูง ไขมันและคลอเรสเตอรอลต่ำ เนื้อไก่มีรสอร่อย ไม่เหนียว ไม่ยุ่ย ไม่คาว ไม่มีกลิ่นสาบ ตัวไก่ต้องมีโครงร่างที่ดี ได้ปริมาณเนื้อมาก แม่พันธุ์สามารถผลิตไข่ได้ดี และใช้ระยะเวลาการเลี้ยงไม่นาน ไก่บ้านตะนาวศรียังคงรูปร่างหน้าตาของไก่บ้านไทยทั่วไป เนื้อไก่บ้านตะนาวศรีนำไปทำอาหารเมนูไหนก็อร่อย

บริษัทวางเป้าหมายการผลิต “ไก่บ้านตะนาวศรี ” เลี้ยงด้วยรัก ดูแลด้วยใจ ใส่ใจสุขภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน คุณลิขิตเล็งเห็นว่า ฟาร์มเลี้ยงไก่ทั่วไปมักประสบปัญหาโรคระบาดจากระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง บิด อหิวาตกโรค และโรคหวัด ต้องพึ่งพาการนำเข้ายาปฏิชีวนะราคาแพงจากต่างประเทศมาใช้รักษาโรคระบาดในไก่ คุณลิขิต จึงสนใจศึกษาสมุนไพรไทยมาใช้รักษาโรคต่างๆ ทดแทนยาปฏิชีวนะตั้งแต่ปี 2529

คุณลิขิตค้นพบว่า เมื่อนำสมุนไพร 3 ชนิด ประกอบด้วย ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชันและไพล ในอาหารเลี้ยงไก่ในอัตราที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวทางเดินอาหารและทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่โดยทั่วไป ตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา

“ เราเลี้ยงดูไก่บ้านตะนาวศรีอย่างดีตามวิถีธรรมชาติ ด้วยสมุนไพรไทย คือ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน และไพล แทนการใช้ยาปฏิชีวนะ ปราศจากสารเร่งโต ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า เนื้อไก่บ้านของเราปราศจากการใช้ยาปฎิชีวนะ และฮอร์โมนตลอดกระบวนการเลี้ยง จนถึงมือผู้บริโภค แถมได้สุขภาพดีอีกด้วย เพราะไก่บ้านตะนาวศรีมีค่าสารพิวรีนต่ำ (สารที่ก่อให้เกิดกรดยูริก) ทำให้ไม่เกิดโรคเก๊าท์ จึงลดความเสี่ยงให้กับผู้บริโภคไก่บ้านได้ระดับหนึ่ง ”คุณกณพ กล่าว

ผู้นำตลาดไก่บ้านครบวงจร

คุณลิขิต และเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ ได้จัดตั้ง บริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัดด้วยทุนจดทะเบียน12 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2538 และได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2538 ตามบัตรส่งเสริมเลขที่ 1296/2538 มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 220 หมู่ 1 ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (สำนักงานนครชัยศรี) และฟาร์มพ่อ-แม่พันธุ์ ตั้งอยู่เลขที่ 24/1 หมู่ 4 ต.ห้วยยางโทน อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี (ฟาร์มทุ่งหลวง) เนื้อที่ 99 ไร่

บริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัด มีโรงงานชำแหละอยู่ในจังหวัดนครปฐม เน้นผลิตสินค้าประเภทไก่สดและไก่แช่แข็ง นับเป็นโรงงานชำแหละไก่พื้นเมืองแห่งแรกของประเทศไทย ที่เป็นโรงงานมาตรฐานระดับส่งออก และได้รับรองมาตรฐานต่างๆ อาทิ HACCP, GMP, Qmark, Halal และมาตรฐานการส่งออก EST 197 สร้างความเชื่อถือให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ไก่เนื้อที่ป้อนเข้าสู่โรงงานชำแหละ ส่วนหนึ่งมาจากฟาร์มเลี้ยงของบริษัทในจังหวัดนครปฐม เพื่อให้เกิดอาชีพและสร้างรายได้ในชุมชนท้องถิ่น ทางบริษัทได้ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่บ้านตะนาวศรีในกับฟาร์มเลี้ยงไก่ที่เป็นเกษตรกรลูกไร่ในพื้นที่ภาคกลาง ประมาณ 100 ราย ครอบคลุม พื้นที่จังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี

กลุ่มบริษัท ตะนาวศรี ได้ขยายกิจการต่อเนื่องประกอบด้วย ฟาร์มปู่-ย่า และพ่อแม่พันธุ์ไก่พื้นเมือง และฟาร์มวิจัยรวมถึงพัฒนาสายพันธุ์ ฟาร์มของบริษัทได้รับรองมาตรฐานการจัดการฟาร์มที่ดี (GAP) จนถึงวันนี้ กิจการบริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัดเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นบริษัทของเกษตรกรไทยที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่บ้านและธุรกิจต่อเนื่องแบบครบวงจรรายแรก และรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย