มาแล้ววันนี้! กรมอุตุฯ เตือน 19 จังหวัด รับมือพายุฤดูร้อนซัดไทย

ฝนถล่ม-ลูกเห็บตกมาแล้ว! กรมอุตุฯ เตือน 19 จังหวัด รับมือพายุฤดูร้อน ฝนถล่ม-ลูกเห็บตก รอบนี้โดนยาวถึง 19 มี.ค. นี้ ได้รับผลกระทบทั่วไทย แนะประชาชนควรอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง เกษตรกรป้องกันความเสียหายด้วย
กรมอุตุฯ / เมื่อวันที่ 14 มี.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศร้อนในตอนกลางวันไว้ด้วย

อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศจีนตอนใต้และประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันเฉียงเหนือตอนบนและทะเลจีนใต้ ในวันนี้ (14 มีนาคม 2562) และจะแผ่เข้ามาต่อเนื่องถึงวันที่ 17 มีนาคม 2562 หลังจากนั้น ในช่วง วันที่ 18-19 มีนาคม 2562 จะมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน

ลักษณะเช่นนี้ทำให้ช่วง วันที่ 14-19 มี.ค.2562 มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นบริเวณประเทศไทยตอนบน โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ โดยเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน และควรอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันนี้ ถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 15 มี.ค.นี้ ภาคเหนือ มีเมฆบางส่วน กับมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 15-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดบึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 18-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง มีเมฆบางส่วน กับมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37-40 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆบางส่วน กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 22-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 21-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วน กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาพรวมรายได้ของเกษตรกร วัดจากดัชนีรายได้เกษตรกรในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ร้อยละ 3.89 ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.65 โดยสินค้าสำคัญที่มีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้านาปี มันสำปะหลัง และสุกร และดัชนีผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.21 โดยสินค้าสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้านาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไก่เนื้อ และไข่ไก่

สำหรับดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ที่ไร่นาเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ร้อยละ 0.65 ซึ่งสินค้าที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิต ไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งออก และปริมาณข้าวที่ต้องการบริโภคภายในประเทศที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2561/62 มันสำปะหลัง ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการโรงงานแป้งมันสำปะหลัง

และ สุกร ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดภายในประเทศยังคงมีความต้องการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนผู้ผลิตรายกลางและรายใหญ่มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถจัดการฟาร์มและป้องกันโรคระบาดในสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสินค้าที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ สับปะรด ราคาลดลงเนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ปาล์มน้ำมัน ราคาลดลงเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศน้อยกว่าผลผลิตที่ออกสู่ตลาด ประกอบกับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบยังมีอยู่มาก และกุ้งขาวแวนนาไม ราคาลดลงเนื่องจากประเทศคู่ค้ามีคำสั่งซื้อชะลอตัวลง

ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ร้อยละ 3.21 สินค้าสำคัญที่ดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้านาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ด้านสินค้าสำคัญที่ดัชนีผลผลิตลดลง ได้แก่ อ้อยโรงงาน และกุ้งขาวแวนนาไม

หากพิจารณาถึงแนวโน้มดัชนีรายได้ของเกษตรกรในเดือนมีนาคม 2562 คาดว่า ลดลงจากเดือนมีนาคม 2561 ร้อยละ 6.39 เป็นผลมาจากดัชนีราคาสินค้าปรับตัวลดลง ร้อยละ 4.42 ในสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กระเทียม และกุ้งขาวแวนนาไม นอกจากนี้ ยังคาดว่า ดัชนีผลผลิตจะปรับตัวลดลง ร้อยละ 2.07 จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ อ้อยโรงงาน สับปะรด หอมแดง และหอมหัวใหญ่ โดยสินค้าสำคัญที่จะมีผลผลิตออกมากในช่วงเดือนมีนาคม ได้แก่ ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลัง ทั้งนี้ เดือนเมษายน 2562 คาดว่า ดัชนีรายได้เกษตรกรจะทรงตัว ส่วนดัชนีราคา มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น และดัชนีผลผลิตจะขยายตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

เมื่อเร็วๆ นี้ นายเอกระพีร์ สุขกุลพิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท จีเอ็ม อินเตอร์ ฟู้ดส์ จำกัด ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับผู้บริหารของกลุ่มกิจการร้านกาแฟ Take Off Coffee ซึ่งมีหลายสาขาในสนามบินพาณิชย์ภาคใต้ อาทิ สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, หาดใหญ่, ภูเก็ต และในห้างสรรพสินค้า เพื่อจัดพื้นที่ในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผักกรอบ DEEDY ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และเริ่มนำร่องการวางจำหน่ายในสนามบินสุราษฎร์ธานี ก่อนที่จะขยายไปยังสาขาอื่นๆ

“ต้องยอมรับว่ากระแสความนิยมในผักกรอบสุญญากาศ สูตรคลุกผงน้ำสลัดทั้งสามรสชาติของเรา ไม่ว่าจะเป็น รสวาซาบิ รสซีฟู้ด รสเทาซันไอส์แลนด์ ได้รับความนิยมมากและตอนนี้ทางบริษัทฯ ได้รุกเข้าไปในพื้นที่การวางจำหน่ายเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักเดินทางมากขึ้น ทั้งที่ในแหล่งท่องเที่ยวที่เกาะสมุย เกาะภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีพื้นบ้าน อย่าง นาโปแก ที่พัทลุง ที่ร้านซ่อนแก้ว จุดชมวิววัด ผาซ่อนแก้ว เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ที่ร้านขายของฝาก เดอะ เลเจนด์ สยาม ที่พัทยา และตอนนี้ก็ขยายเข้าสู่ร้านกาแฟในสนามบินต่างๆ ด้วย” นายเอกระพีร์ กล่าว.

นอกจากนี้ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจฯ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ในอนาคตอันใกล้ก็จะขยายจุดวางจำหน่ายเข้าไปในร้านอาหารกลุ่มชาบู ปิ้งย่าง แบรนด์ดังอีกอย่างน้อย 50 สาขา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ ซึ่งในการเดินทางไปสำรวจพื้นที่วางจำหน่ายในภาคใต้ก็ได้พบกับศิลปินเพลงชื่อดัง อ.ไข่ มาลีฮวนน่า ด้วย เพราะเดินทางไปเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีพอดี โดย อ.ไข่ กล่าวว่า

“ตนดีใจมากที่เห็นผักกรอบ DEEDY มาวางจำหน่ายในสนามบินเพราะถือว่า เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักเดินทางที่ชื่นชอบอาหารแนวสุขภาพซึ่งถือว่าเป็นกระแสที่มาแรงทั่วโลก”

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำ “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” ไม่ติดต่อสู่คน แต่การรับประทานเนื้อหมู ควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางอาหารและน้ำอื่นๆ โดยเฉพาะโรคไข้หูดับ และโรคอาหารเป็นพิษ

นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีการส่งต่อข้อความผิดๆ ว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ถูกต้อง โดยข้อมูลที่ถูกต้อง คือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เป็นโรคที่เกิดจากดีเอ็นเอไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่าไม่ใช่ผู้ป่วยที่ติดโรคจากไวรัสชนิดนี้

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าวข้างต้น กรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์และดำเนินการร่วมกับกรมปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด ทั้งมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรค โดยเน้นการประสานความร่วมมือแบบบูรณาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทุกระดับ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

นายแพทย์อัษฎางค์ ได้เน้นย้ำว่า ในกรณีการรับประทานเนื้อหมู ควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และที่สำคัญขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” โดยรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อนทุกครั้ง เพื่อเป็นการทำลายเชื้อโรคที่อาจจะปนเปื้อนอยู่ เพราะผู้ที่รับประทานเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อก่อโรคติดต่อทางอาหารและน้ำชนิดต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรียก่อโรคไข้หูดับ โรคอาหารเป็นพิษ และโรคอุจจาระร่วง เป็นต้น และควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ก่อน-หลังการเตรียมอาหาร และหลังขับถ่าย

ในส่วนของเกษตรกรเลี้ยงสุกร ขอให้ติดตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์ในเรื่องของการเลี้ยงสุกรปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร และหากเกษตรกรมีปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการโรคต่างๆ ในคน สามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาพรวมรายได้ของเกษตรกร โดยสำรวจจากดัชนีรายได้เกษตรกรเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ประมาณ 3.89% ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.65% โดยสินค้าสำคัญที่มีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้านาปี มันสำปะหลัง และสุกร และดัชนีผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.21% โดยสินค้าสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้านาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไก่เนื้อ และไข่ไก่

ข้าวเปลือกเจ้าราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งออก รวมถึงความต้องการบริโภคภายในประเทศมีทิศทางเพิ่มขึ้น ส่วนมันสำปะหลังมีผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการโรงงานแป้งมันสำปะหลัง ขณะที่สุกรมีความต้องการบริโภคจากตลาดภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

นางสาวทัศนีย์ กล่าวว่า ในส่วนของสินค้าที่ราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ สับปะรด เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ขณะที่ปาล์มน้ำมันความต้องการใช้ภายในประเทศน้อยกว่าผลผลิต และยังมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบอยู่มาก ส่วนกุ้งขาวแวนนาไมประเทศคู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อ แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้น

“หากพิจารณาแนวโน้มดัชนีรายได้ของเกษตรกรในเดือนมีนาคม 2562 คาดว่ามีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.39% เป็นผลมาจากดัชนีราคาสินค้าปรับตัวลดลง 4.42% ในสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กระเทียม และกุ้งขาวแวนนาไม นอกจากนี้ ยังคาดว่า ดัชนีผลผลิตจะปรับตัวลดลง 2.07% จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ อ้อยโรงงาน สับปะรด หอมแดง และหอมหัวใหญ่ โดยสินค้าสำคัญที่จะมีผลผลิตออกมากในช่วงเดือนมีนาคม ได้แก่ ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลัง ทั้งนี้ เดือนเมษายน 2562 คาดว่า ดัชนีรายได้เกษตรกรจะทรงตัว ส่วนดัชนีราคา มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น และดัชนีผลผลิตจะขยายตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน”

ส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดนวัตกรรม Green Meeting ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ผลักดันอาเซียนสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก

จากความต้องการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายภาคส่วนหันมาให้ความสนใจกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี มุ่งการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจัง ด้านองค์กรเอกชนก็ต่างปรับตัว เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จริง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อช่วยผลักดันประเทศไทยและอาเซียนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals : SDGs)

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจหมุนเวียน เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีมี Passion และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาปรับใช้ภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Committee) เพื่อกำหนดกลยุทธ์ และนโยบาย ตลอดจนติดตามเรื่อง Circular Economy ในระดับสากลแล้วนำมาปรับใช้ในการสร้างความร่วมมือระดับท้องถิ่น และสร้างเครือข่ายระดับประเทศ

รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวทาง Circular Economy ด้วยการใช้นวัตกรรม และส่งเสริมให้พนักงานและคู่ธุรกิจนำไปปรับใช้ ภายใต้แนวปฏิบัติ Circular Way โดยเริ่มส่งเสริมให้พนักงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการแยกขยะลงถังขยะ 6 ประเภทที่วางไว้ตามจุดต่างๆ ในเอสซีจี โดยมีเป้าหมายเพื่อการจัดการขยะ (Waste Management) ให้สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ และก้าวสู่การเป็น Zero Landfill

โดยขยะที่ถูกแยกประเภทแล้ว จะถูกส่งไปเข้ากระบวนการจัดการ และขยะบางประเภทที่สามารถนำกลับมาสร้างมูลค่าหรือสร้างประโยชน์ได้อีก เช่น กระดาษขาว-ดำ ก็จะถูกนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษไอเดียกรีน กระดาษน้ำตาล หรือนำไปผลิตเป็นกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับทำลอนลูกฟูก อีกทั้งในอนาคตจะมีการแปรรูปขยะประเภทเศษอาหารเพื่อนำกลับมาใช้ในการปรับปรุงดิน รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรม “Green Meeting” หรือการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกโอกาสของเอสซีจี”

อย่างไรก็ตาม เอสซีจี เพียงองค์กรเดียวคงไม่สามารถสร้างให้เกิดผลสำเร็จในวงกว้างได้ เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้ประเทศไทยและประเทศในอาเซียน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้ (Sustainable Development Goals : SDGs)

“นับเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยได้เป็นประธานอาเซียนและเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำและรัฐมนตรีประเทศอาเซียน ตลอดทั้งปี 2562 เอสซีจีจึงได้มีส่วนร่วมแบ่งปันแนวคิดนวัตกรรม “Green Meeting” ใน 5 หมวด สำหรับการจัดประชุมดังกล่าวร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ การจัดเตรียมสถานที่ที่เดินทางได้สะดวกด้วยระบบการขนส่งมวลชนสาธารณะ (Green Venue)

การลดใช้เอกสารในทุกขั้นตอน (Green Document) การออกแบบตกแต่งสถานที่ เวที นิทรรศการ ด้วยวัสดุที่สามารถใช้ซ้ำ นำกลับไปใช้ใหม่ รวมถึงการประหยัดพลังงาน (Green Arrangement) การจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้เพียงพอ ไม่เหลือทิ้ง เลือกอาหารพื้นถิ่น ไม่เกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์ (Green Catering) และการคำนวณค่าคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากการจัดงาน แล้วชดเชยด้วยการปลูกต้นไม้ทนแทน (Climate Protection) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรณรงค์สร้างจิตสํานึก และชวนผู้ร่วมงานร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย” นายศักดิ์ชัย กล่าว

ไม่เพียงคำนึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่เอสซีจียังมุ่งคิดค้น และนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมเพื่อผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับตลอดกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

นายศักดิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากแนวคิดนวัตกรรม “Green Meeting” แล้ว เอสซีจียังมีส่วนร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิลในการจัดประชุมผู้นำอาเซียน เช่น นิทรรศการจากกระดาษรีไซเคิล ฉากหลังสำหรับถ่ายภาพ เก้าอี้กระดาษ แท่นบรรยาย กล่องกระดาษสำหรับรับคืนป้ายชื่อคล้องคอ สมุดโน้ตจากกระดาษรีไซเคิล 100% บรรจุภัณฑ์อาหาร Fest หลอดกระดาษ ขวดน้ำพับได้ Fill Fest และถังขยะแยกประเภท รวมถึงกระเป๋าถุงปูน และตะกร้าสานจากเส้นเทปกระดาษที่นำวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตของเอสซีจีมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม

ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนมาจากความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการใช้ทรัพยากรใหม่ให้น้อยที่สุด และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด โดยใช้นวัตกรรมการผลิตให้สามารถนำกระดาษที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ และเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลที่สูงขึ้น แต่ยังคงคุณภาพของกระดาษให้แข็งแรง เพื่อให้สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้ารูปแบบต่างๆ ได้ อีกทั้งยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานร่วมปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย”

เอสซีจี และกระทรวงการต่างประเทศ ยังมีแนวคิดร่วมกันที่จะประยุกต์ใช้นวัตกรรม Green Meeting และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล สำหรับการจัดประชุมตลอดทั้งปี 2562 และเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน อุปกรณ์จากกระดาษรีไซเคิลบางส่วนจะถูกมอบให้หน่วยงานที่มีความต้องการใช้ เพื่อสร้างประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนที่เหลือก็จะถูกนำกลับไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษรีไซเคิลได้อีกครั้ง เพื่อให้เกิดขยะจากการประชุมน้อยที่สุด ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อีกทั้งยังได้ขยายแนวคิดดังกล่าวไปสู่กระทรวงอื่นๆ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง

ก้าวต่อไป เอสซีจีจะยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวปฏิบัติ Circular Way ด้วยการพัฒนาและต่อยอดความยั่งยืนโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผสานกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า

เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโต ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตลอดจนเดินหน้าสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนอาเซียนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals : SDGs) และพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบที่ช่วยถ่ายทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ที่สนใจ ด้วยเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทยและอาเซียนให้เจริญก้าวหน้าตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ต่อไป

“มะกรูด” พืชผักสวนครัว จำพวกเดียวกับขิง ข่า ตะไคร้ หอมแดง ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องต้มยำ ส่วนใบของมะกรูด ก็มีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นหอมมากๆ เป็นได้ทั้งพืชผักที่นำมาประกอบอาหาร และสมุนไพร บำรุงหัวใจ แถมปลูกที่ไหนขายได้ตลอดทุกฤดูกาล ราคาขึ้นลงตามภาวะของตลาด มะกรูดตัดใบขายส่งแต่ละสวนแม้นจะขายได้ราคาไม่แพง ตั้งแต่ 10 บาท ต่อกิโลกรัม ไปจนถึงราคาแพงแบบสุดๆ หลังฝนไปแล้ว 35 บาท ต่อกิโลกรัม ขายลูกก็ได้ราคาดี 50 สตางค์ ต่อผล หรือจะจำหน่ายขายกิ่งพันธุ์ก็โกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณสันติ คงคา อาศัยอยู่บ้านเลขที่176/2 หมู่ที่ 1 ตำบลจระเข้เผือก อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี โทร.087-161-2074 และ 093-682-1067

การทำสวนมะกรูดครอบครัว “คงคา” เรียกได้ว่า เป็นอาชีพมรดกจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก สร้างฐานะและรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับครอบครัวเกษตรกรตัวอย่างรายนี้มานานหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบัน คุณสันติ นับเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะกรูดรายใหญ่ในท้องถิ่นแห่งนี้ โดยปลูกมะกรูดบนที่ดินของตัวเอง และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรลูกไร่ ประมาณ 200 ไร่

คุณสันติ เล่าให้ฟังว่า สวนแห่งนี้แต่เดิมเคยใช้ปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง มาก่อน เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ ขาดแคลนแหล่งน้ำชลประทาน ปลูกโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ระยะหลังพื้นที่ปลูกพืชไร่ เจอปัญหาภัยแล้งคุกคาม และเจอการแพร่ระบาดของหนอนด้วง กัดกินอ้อยตั้งแต่ราก กอ กระทั่งต้นอ้อย สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก

“มะกรูด” พืชทางเลือกที่มีอนาคตสดใส

ต่อมาปี 2540 เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอด่านมะขามเตี้ย เข้ามาดูพื้นที่ทำกินของเกษตรกรในพื้นที่ และมอบกิ่งพันธุ์ต้นมะกรูด จำนวน 20 ต้น ให้คุณแม่ของคุณสันตินำไปปลูกเพื่อเสริมรายได้ โดยปลูกในระยะห่างประมาณ 4×4 เมตร ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 50 เซนติเมตร โดยปลูกต้นมะกรูดติดบริเวณชายป่าชุมชน พบว่า ต้นมะกรูดเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตงาม ปลอดโรคและแมลงรบกวน