รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยด้านบริหาร กล่าวว่าได้รับมอบ

หมายให้รับผิดชอบงานใน 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร และฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ โดยฝ่ายแรกคือฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร ในอันดับแรกต้องติดตามเรื่องยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี ซึ่งเป็นงานนโยบายรัฐที่จะต้องเร่งดำเนินการภายใต้การกรอบการทำงานเพื่อพัฒนายางพาราทั้งระบบครบวงจร ในส่วนของฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับทุกส่วนงาน เน้นการนำระบบมาใช้ ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้นำระบบไอทีเข้ามาใช้ให้มากขึ้น อีกส่วนที่สำคัญคือเรื่องของฐานข้อมูล ที่จะต้องมีความสอดคล้องกับทุกส่วนงาน สามารถเชื่อมโยงและสืบค้นได้ทั้งกระบวนการ สำหรับในส่วนของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ส่วนสำคัญเป็นเรื่องของโครงสร้างขององค์กร ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการบริหารงานที่ต้องมีความคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจองค์กร โดยทั้งหมดได้เตรียมดำเนินการนำแผนงานไปปฏิบัติเพื่อวางกรอบการทำงานปี 61 ให้เกิดประสิทธิภาพต่อการขับเคลื่อนองค์กรต่อไป

“ปี 2561 นี้ ถือว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของ กยท. ในการขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเพื่อความมั่นคง เพราะนับจากนี้ไป โครงสร้างองค์กรจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือในอนาคตอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางส่วนเพื่อความเหมาะสมในการทำงานมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรในองค์กร รวมไปถึงการให้ประโยชน์ในการบริการเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางด้วยเช่นกัน” รองผู้ว่าการ กยท. กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากพระเมรุมาศ และสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะมีความวิจิตรงดงาม เพื่อถวายพระเกียรติสูงสุดแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว องค์ประกอบอื่นๆ ของพระเมรุมาศในครั้งนี้ มีความงดงามตระการตา ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้แก่พระเมรุมาศในรัชกาลที่ 9

“ประติมากรรม” ประดับพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9 นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะยึดตามโบราณราชประเพณี หลักไตรภูมิตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา และความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์แล้ว ยังมีความโดดเด่นตรงที่ประติมากรรมชิ้นต่างๆ โดยเฉพาะ “เทวดา” จะปั้นตามแบบศิลปะรัชกาลที่ 9 มีความคล้ายคลึงมนุษย์ มีกล้ามเนื้อ และแววตาเหมือนจริง แต่ตัดทอนรายละเอียดของความเป็นมนุษย์ในบางส่วน เพื่อให้เข้าสู่ความเป็นอุดมคติตามหลักเทวนิยม โดยศึกษาต้นแบบมาจากงานของ พระเทวาภินิมมิต (ฉาย เทียมศิลป์ชัย) ศิลปินเอกในรัชกาลที่ 5-7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์หรือ “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” และ พระพรหมพิจิตร บรมครูทางด้านศิลป สถาปัตยกรรมไทย

ประติมากรรมครั้งมีขนาดใหญ่ และมีจำนวนชิ้นประติมากรรมถึง 606 ชิ้น มากกว่าทุกครั้ง ส่วนใหญ่หล่อด้วยไฟเบอร์กลาส และบางส่วนเป็นปูนปลาสเตอร์ โดยนับตั้งแต่ชั้นชาลาที่ 3 ลงมา จะประดับด้วยประติมากรรมท้าวจตุโลกบาล เทวดา ครุฑ ราชสีห์ คชสีห์ นาคราวบันได สัตว์ประจำทิศ รอบฐานพระเมรุมาศมีสระน้ำ และเขามอจำลอง ประดับสัตว์หิมพานต์ต่างๆ โดยการปั้นประติมากรรมท้าวจตุโลกบาลในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกซึ่งไม่เคยปรากฏในงานพระเมรุมาก่อน

สำหรับประติมากรรมปั้นลวดลาย และหล่อส่วนประกอบประดับตกแต่งพระเมรุมาศ แบ่งเป็น 15 ประเภท ได้แก่

1.ประติมากรรมนูนต่ำพระโพธิสัตว์ ความสูงประมาณ 1 ฟุต อยู่บนบรรพแถลงบนชั้นเชิงกลอนชั้นที่ 7 บริเวณปากองค์ระฆัง 2.เทวดายืนรอบพระเมรุมาศ เป็นเทวดาเชิญฉัตร ประดับรอบชั้นที่ 3 บริเวณบันไดนาคทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 1 คู่ รวม 8 องค์ สื่อความหมายว่าเทวดามารับเสด็จในวาระที่เสด็จกลับสู่ทิพยสถาน

3.เทวดานั่งรอบพระเมรุ เป็นเทวดาเชิญพุ่มโลหะ และเชิญบังแทรกนั่งรอบพระเมรุ 32 องค์ จำแนกเป็น เทวดานั่งคุกเข่าเชิญพุ่มโลหะ 8 องค์ ประดับอยู่ชั้นชาลาที่ 3 และเทวดานั่งคุกเข่าเชิญบังแทรก 24 องค์ ประดับอยู่ชั้นชาลาที่ 1 และชั้นที่ 2 ในบริเวณมุมพระเมรุมาศ และบันไดทางขึ้น โดยเทวดานั่งคุกเข่าเชิญบังแทรกในชั้นชาลาที่ 1 สวมมงกุฎยอดน้ำเต้า ตาเหลือบลง ส่วนชั้นชาลาที่ 2 เทวดาสวมมงกุฎยอดชัย ตามองตรง

4.ครุฑยืนรอบพระเมรุมาศ ความสูง 2 เมตร ประดับอยู่บนชั้นชาลาที่ 2 บริเวณสะพานเกรินทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก อย่างละ 1 คู่ รวม 6 องค์ ครุฑยืนทั้ง 2 องค์ แตกต่างตรงที่องค์หนึ่งมีรูปกายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งนกอินทรี ขาเป็นมนุษย์ หางเป็นพญานาค ปีกนกลู่ลง บริเวณลำคอประดับสังวาลย์นาค มือถือดอกบัวถวายแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ส่วนอีกองค์ รูปกายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งนกอินทรี แต่ขาเป็นนก ช่วงแขนลู่ลงเพื่อแสดงถึงความเคารพ และรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ 9 สู่สรวงสวรรค์ ปีกสยายประดับลวดลายเครื่องทรงของพญานาค สื่อถึงความเชื่อมโยงโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกบาดาล

5.ท้าวจตุโลกบาล ประกอบด้วย ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์ และท้าววิรุฬหก ความสูง 2 เมตร อยู่ชั้นชาลาที่ 2 ประจำทิศทั้ง 4 ของพระเมรุมาศ สื่อความหมายเทวดาที่รักษาทุกข์สุขของมนุษย์โลกไว้ทั้ง 4 ทิศ และทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่มนุษย์โลก

6.เทพนม ประดับรอบท้องไม้พระเมรุมาศองค์ประธาน ประกอบด้วย “เทพนมนั่งส้น” 28 องค์ และ “เทพนมแกะไม้กลีบลายพระโกศ” 56 องค์ และขนาดใหญ่ 24 องค์

7.ครุฑยุดนาค ประดับรอบท้องไม้พระเมรุมาศองค์ประธาน 28 องค์

8.เทพชุมนุมรอบฐานท้องไม้พระเมรุมาศชั้นล่าง ประกอบด้วย “เทพชุมนุมฐานไพทีนั่งราบ” 24 แบบ 132 องค์ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ครุฑพนมนั่งราบยอดน้ำเต้า 16 องค์, เทวดาพนมนั่งราบ 32 องค์, พานรพนมนั่งราบ 20 องค์ และยักษ์พนมนั่งราบ 64 องค์ ถือเป็นการรวมเหล่าทวยเทพที่มีความหลากหลายที่สุดที่เคยมีมา สื่อถึงเหล่าองค์เทพต่างๆ เฝ้ารอรับเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์

9.ราวบันไดนาค 1 เศียร นาค 3 เศียร นาค 5 เศียร และนาค 7 เศียร โดยบันไดนาคชั้นชาลาที่ 1 นาคเศียรเดียว บันไดนาคชั้นชาลาที่ 2 “เหราพต” เป็นนาค 3 เศียร บันไดนาคชั้นชาลาที่ 3 นาคทรงเครื่อง 5 เศียร พญาวาสุกรีนาคราช บันไดนาคชั้นชาลาที่ 4 ชั้นพระเมรุมาศองค์ประธาน ชั้นที่สำคัญที่สุด เป็นนาคนิรมิตพญาอนันตนาคราช มี 7 เศียร และชั้นสำซ่าง เป็นนาคเศียรเดียว 8 ตัว ออกแบบนาคโดยยึดปรัชญาธรรม ตัวพญานาคถูกมกรกลืนกินเข้าไป เปรียบชีวิตที่ถูกเวลากลืนกินทุกขณะ นับเป็นการสร้างราวบันไดนาคประดับพระเมรุมาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับแต่มีการสร้างราวบันไดนาคพระเมรุมาศ

10.คชสีห์-ราชสีห์ ประดับบันไดทางขึ้นในชั้นชาลาที่ 2 ทั้ง 4 ทิศ รวม 8 องค์ “คชสีห์” เป็นสัตว์หิมพานต์ ลำตัวเป็นราชสีห์ หัวเป็นช้าง เรียกว่าครึ่งช้างครึ่งราชสีห์ ส่วน “ราชสีห์” มี 2 ต้นแบบ โดยต้นแบบแรกมีลักษณะพิเศษตรงที่มีอัณฑะข้างเดียว และลิ้นดำ เชื่อกันว่าเป็นสิริมงคล และอายุยืน

11.สัตว์มงคลประจำทิศ ประกอบด้วยช้าง 1 คู่ ม้า 1 คู่ โค 1 คู่ และสิงห์ 1 คู่ ประดับทางขึ้นบันไดชั้นที่ 1 ยึดตามความเชื่อเรื่องไตรภูมิตามคติศาสนาพุทธ ในเรื่องเขาพระสุเมรุ ป่าหิมพานต์ และสระอโนดาต โดยเชื่อกันว่ามีหินก้อนหนึ่งที่เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ หินก้อนนั้นมี 4 ด้าน แต่ละด้านประกอบด้วย หัวช้าง หัวม้า หัวโค และหัวสิงห์ ซึ่งมีน้ำพ่นออกมา เกิดเป็นปัญจมหานที หรือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 5 สาย หล่อเลี้ยงชมพูทวีป (โลกมนุษย์) ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำมหิ แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู

12.สัตว์หิมพานต์ สัตว์ที่ประดับตกแต่งรายรอบพระเมรุมาศตามคติเรื่องโลก และจักรวาล ซึ่งมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์ และดาษดื่นด้วยสิงสาราสัตว์นานาพันธุ์ โดยสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุมาศ ประกอบด้วย ช้าง 10 ตระกูล สิงห์ 4 ตระกูล ม้า 4 ตระกูล และโค 8 ตระกูล และสัตว์ผสม เกือบ 200 ชิ้นในสระอโนดาต ความโดดเด่นคือการออกแบบให้เป็นศิลปะร่วมสมัยประจำรัชกาลที่ 9 โดยนำลักษณะของ “งาอ้อมจักรวาล” ของพระเศวตอดุลยเดชพาหนซึ่งเป็นช้างเผือกประจำรัชกาลที่ 9 มาใส่ในหมวดของ “อุโบสถ” ช้างทั้ง 30 เชือก ทำจากไฟเบอร์กลาส ส่วนสัตว์หิมพานต์ที่เป็นสิงห์ ม้า และโค มีจำนวนรวมกว่า 150 ชิ้น ในสระอโนดาตทิศตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ นอกจากนี้ มีสัตว์หิมพานต์ที่เป็นสัตว์ผสมเพิ่มอีก 4 กลุ่ม

13.ครุฑประดับหัวเสา จำนวน 12 ชิ้น มีความพิเศษตรงที่โคมไฟเป็นครุฑ จากเดิมที่โคมไฟเป็นหงส์ เพื่อสื่อว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 คือพระนารายณ์อวตารลงมา และมีครุฑเป็นพาหนะ โดยครุฑหัวเสามี 2 ขนาด ความสูง 1.75 เมตร จำนวน 4 ชิ้น ประดับอยู่ชั้นชาลาที่ 3 และขนาด 1.5 เมตร จำนวน 8 ชิ้น ประดับอยู่ชั้นชาลาที่ 2 และบางส่วนที่พระที่นั่งทรงธรรม ครุฑอยู่ในอิริยาบถกางแขน มือทั้งสองข้างจับนาค

และ 14.คุณทองแดง-คุณโจโฉคาบไปป์ สุนัขทรงเลี้ยงในรัชกาลที่ 9 คุณทองแดง และคุณโจโฉ อยู่ในอริยาบถนั่งขนาบด้านซ้าย และด้านขวาของพระจิตกาธาน “คุณทองแดง” เป็นสุนัขเพศเมีย พันธุ์ไทย งานประติมากรรมจึงมีลักษณะเชิงสัญลักษณ์ หรืออุดมคติ มีลักษณะนุ่มนวล เพื่อสื่อถึงความเป็นไทย ขณะที่ “คุณโจโฉ” เป็นสุนัขเพศผู้ พันธุ์เทศ งานประติมากรรมจึงมีลักษณะของศิลปะตะวันตก มีความเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมา คุณโจโฉมีลักษณะเด่นตรงที่คาบไปป์

ประติมากรรมประดับพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9 ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นับว่าสวยสดงดงาม มีความพิเศษ และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เพื่อถวายพระเกียรติสูงสุดแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

วันที่ 13 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานการคาดการสภาพอากาศ โดยแบบจำลองภูมิอากาศ(วาฟ) ของสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร(สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) ว่า พายุโซนร้อน “ขนุน” (KHANUN) บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มีทิศทางเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกลงสู่ทะเลจีนใต้ มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น และเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศลาวตอนบน

จากนั้นจะปะทะกับความกดอากาศสูงและอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ช่วงวันที่ 13 -15 ตุลาคม บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะเริ่มแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือตอนบน ทำให้ปะทะกับความชื้นที่ยังมีอยู่ในพื้นที่ส่งผลให้ภาคเหนือจะยังคงมีฝนอีก 1วัน จากนั้นฝนจะลดลงส่วนร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะยังมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

วาฟระบุอีกว่า ช่วงวันที่ 16 -19 ตุลาคม พายุโซนร้อน ขนุน จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศลาวตอนบน จากนั้นจะปะทะกับความกดอากาศสูงและอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและด้านตะวันออกของภาคเหนือ อาจกลับมามีฝนเพิ่มขึ้นและอาจมีฝนตกหนักได้ในบางแห่งในช่วงวันที่ 16 -17 ตุลาคม ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะทวีกำลังแรงขึ้น ทำให้ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีกำลังแรงขึ้นส่งผลให้ภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก จะมีฝนต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมง พบว่า ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักถึงตกหนักมากในบางบริเวณของภาคเหนือ ด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง และบางบริเวณของภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช 123 มิลลิเมตร ภูเก็ต 80 มิลลิเมตร พังงา 71 มิลลิเมตร เชียงใหม่ 63 มิลลิเมตร เลย 60 มิลลิเมตร กรุงเทพมหานคร 60 มิลลิเมตร ตาก 58 มิลลิเมตร นครสวรรค์ 51 มิลลิเมตร และแพร่ 51 มิลลิเมตร

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 34 แห่งทั่วประเทศอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 56,477 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 80 %ของความจุ โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การ 32,950 ล้านลูกบาศก์เมตร

สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีสถานการณ์สูงกว่าระดับการเก็บกักปกติ มีดังนี้ เขื่อนกิ่วคอหมา มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 114 เขื่อนแควน้อยมีปริมาณน้ำ กักเก็บร้อยละ 102 เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 112 เขื่อนน้ำอูน มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 105 เขื่อนจุฬาภรณ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 102 เขื่อนน้ำพุง มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 101 เขื่อนห้วยหลวง มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 101

กรมอนามัยชูวิธีป้องกันตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ใช้ยาคุมกำเนิดฝังใต้ผิวหนังประสิทธิภาพสูง ป้องกันหลงลืม พร้อมจับมือ สปสช.รณรงค์ให้ความรู้ หวังลดอัตราการตั้งครรภ์ซ้ำให้ต่ำลง

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นและปัญหาการคลอดซ้ำในวัยรุ่นยังเป็นเรื่องที่น่าห่วง การคุมกำเนิดจึงจำเป็นสำหรับวัยเจริญพันธุ์ในระยะที่ไม่พร้อม ได้แก่ กลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปีบริบูรณ์ จนถึงก่อน 20 ปีบริบูรณ์ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว กรมอนามัยได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพื่อให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวร โดยวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์สามารถขอรับบริการคุมกำเนิดโดยการใช้ยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัย ซึ่งเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ได้ฟรี ณ สถานบริการที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ

“ยาคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวร หรือชนิดฝังใต้ผิวหนัง จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมาก มากกว่าการกินยาคุมกำเนิด เพราะการกินยาอาจจะหลงลืมได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีวัยรุ่นไทยตั้งครรภ์และคลอดประมาณ 1 แสนกว่าราย/ปี ในจำนวนนี้พบว่ามีการตั้งครรภ์ซ้ำถึง 16% ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก จึงได้รณรงค์และฝังยาคุมกำเนิดให้วัยรุ่นที่ผ่านการตั้งครรภ์มาแล้ว เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำ โดย 3 ปีที่ผ่านมารับบริการไปแล้ว 70% แต่เป้าหมายอยากให้รับบริการทั้งหมด เพื่อลดอัตราการตั้งครรภ์ซ้ำให้ต่ำกว่า 10% ให้ได้ในเร็วๆ นี้” นพ.วชิระ กล่าว และว่า กลุ่มนี้มีฐานข้อมูลอยู่ที่สถานบริการสาธารณสุขอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้เขายอมรับบริการตรงนี้คือเรื่องของการสื่อสารจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำให้วัยรุ่นได้รู้ เข้าใจ และรับบริการ ณ ขณะนั้นเลย ไม่ใช่กลับไปคิดต่อที่บ้านซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะไม่กลับเข้ามารับบริการ

อธิบดีกรมอนามัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในเรื่องการแก้ปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อม ยังมีกฎหมายที่เรียกว่า พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งจะส่งผลให้เด็กและเยาวชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 5 เรื่องที่สำคัญ คือ 1. สถานศึกษาต้องจัดให้มีการสอนเพศวิถีศึกษาอย่างเหมาะสม จัดหาและพัฒนาผู้สอนเพศวิถีศึกษา การให้คำปรึกษา ช่วยเหลือและคุ้มครองวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาต่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 2. สถานบริการต้องให้ข้อมูลความรู้และจัดบริการอนามัยการเจริญพันธุ์รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 3. สถานประกอบกิจการต้องให้ข้อมูลความรู้และส่งเสริมให้เข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 4. การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ 5. ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อคุ้มครองสิทธิของวัยรุ่น

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา “พายุ “ขนุน” (KHANUN) mindymeyer4senate.com ” ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2560 ระบุว่า พายุดีเปรสชันบริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน “ขนุน” (KHANUN) แล้ว และ วันนี้ (13 ต.ค. 60) เวลา 10.00 น. ได้เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลาง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ ละติจูด 17.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 119.4 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 26 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีน และประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 15-17 ต.ค. 60 พายุจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเมื่อเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน

ทั้งนี้เนื่องจากความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ปกคลุมประเทศเวียดนามและลาวตอนบน โดยพายุนี้ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยในระยะ 1-2 วันนี้ อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง
จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ ประกาศ ณ วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.00 น.

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผย ธ.ก.ส. ร่วมกับกระทรวงการคลัง มูลนิธิอาจารย์ป๋วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันศึกษาเพื่อพัฒนาการทำประกัน ให้ครอบคลุมความเสียหายใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับ 4,000 บาทต่อไร่ แต่การประกันภัยนาข้าวจ่ายให้ระดับ 1,260 บาทต่อไร่ คิดค่าเบี้ยประกัน 90 บาทต่อไร่ ซึ่งได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันจากรัฐบาล 54 บาท และอีก 36 บาทนั้นในกรณีที่เป็นลูกค้า ธกส. ธนาคารจะช่วยจ่ายให้ชาวนา ดังนั้นถ้าต้องการให้ครอบคลุมต้นทุนการผลิต ชาวนาต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ธ.ก.ส.เตรียมขยายการรับประกันไปยังพืชชนิด นำร่องไปแล้วสำหรับการทำประกันภัยข้าวโพด เริ่มทดลองรับประกันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งการประกันจะมีลักษณะคล้ายการประกันภัยข้าวนาปี คือรับประกันภัยแล้ง และศัตรูพืช

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดทำประกันภัยโคนม ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การประกันผลผลิตน้ำนม หรือการประกันภัยราคาน้ำนมดิบ เป็นต้น ทั้งนี้การเลือก 2 ข้าวโพด และโคนมมาทำประกันภัย เนื่องจากเกษตรกรในกลุ่มนี้มีการลงทะเบียนอย่างชัดเจน

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่บริเวณทางเข้าตลาดการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ นายพรชัย มุ่งเจริญพร กรรมการสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา นำบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา รวมถึงประชาชนทั่วไป ประกอบพิธีกล่าวแสดงความอาลัยและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที พร้อมนำต้นดาวเรืองจำนวน 999 ต้น มาจัดวางหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อแสดงความอาลัยในวันสวรรคตครบ 1 ปี

โดยนายพรชัย ได้นำกล่าวแสดงความอาลัย จากนั้นนำพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยและชาวกัมพูชาร่วมกันนำดอกดาวเรืองมาจัดวางเรียงอย่างสวยงาม ที่ด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาต่างซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดไม่ได้ โดยเฉพาะชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายที่ตลาดการค้าช่องจอม ต่างพร้อมใจกันสวมชุดสีดำมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะร่วมกันทำความสะอาดถนนบริเวณด้านหน้าตลาด เพื่อเป็นการทำความดีถวายพระองค์ท่านอีกด้วย