ลองมาฟังความเห็นจากสาขาอาชีพต่างๆ ว่าการผ่อนปรน

รศ.ดร. รงค์ บุญสวยขวัญ นักวิชาการภาควิชารัฐศาสตร์ สำนักวิชาศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่ผมเกิดมาก็เห็นคนเฒ่าคนแก่เคี้ยวใบกระท่อมทุกเช้า เวลามานั่งพูดคุยในวงน้ำชา ใครเก็บใบกระท่อมมาจะเอามาวาง 9-10 ใบ

กลางวงน้ำชา เคี้ยวควบคู่การกินน้ำร้อน ถามว่ากินแล้วติดหรือไม่ ผมไม่เคยได้ยินข่าวว่า คนกินใบกระท่อมแล้วก่อคดีอาชญากรรม ฆ่าใคร จี้ใคร หรือขโมยทรัพย์สินเพื่อไปซื้อกระท่อมมาเสพ และไม่เคยได้ยินข่าวว่าใครลงแดงตายเพราะกระท่อม มีแต่บ่นว่าปวดๆ เมื่อยๆ ไม่มีแรงเท่านั้น

“ผมยังมีความเชื่อมั่นว่า คนใต้เคี้ยวใบกระท่อมเพื่อเข้าวงสังคมมากกว่าที่จะเสพเป็นอาจิณ ไม่ต่างกับคนที่กินหมากพลู วันใดไม่ได้เคี้ยวหมากก็จะเปรี้ยวปาก ดังนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบคิดใหม่ เพราะการเคี้ยวใบกระท่อมเป็นวิถีชีวิตของคนใต้กลุ่มหนึ่ง เหมือนเจอหน้ากัน สิ่งแรกที่ยื่นให้คือใบกระท่อม เคี้ยวกับน้ำเย็น น้ำร้อน ขึ้นไปสถานที่ราชการก็เห็นเคี้ยวกัน ยื่นให้กัน เป็นวิถีชีวิตที่เคยเป็นมา” รศ.ดร.รงค์ สรุป

ธนาชัย เกตุโรจน์ กรรมการสภาทนายความ ภาค 8 ให้ความเห็นว่า การผ่อนปรนเรื่องใบกระท่อมยังไม่มีผลทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยยาเสพติด แต่การประกาศว่าจะผ่อนปรนเฉพาะสุราษฎร์ธานี เพื่อศึกษาวิจัยนั้น วันนี้โลกก้าวหน้าไปมากแล้ว จะต้องศึกษาวิจัยอะไรอีก ก่อนหน้านี้มีนักวิชาการวิจัยพืชกระท่อมยออกมาหลายฉบับแล้ว ทำไมไม่หยิบออกมาใช้ และทำไมถึงเลือกเฉพาะสุราษฎร์ธานีเท่านั้น

ในต่างประเทศรัฐบาลสนับสนุนให้ปลูกเพื่อผลิตเป็นพืชสมุนไพร บรรจุใส่แคปซูล และคนที่เป็นชาวบ้านแท้ๆ ยังลักลอบแอบปลูกเพื่อกินกันในชุมชน ก็มีความเชื่อว่ากินแล้วเป็นกระษัย มีพลังในการทำงาน ให้เกิดความกระปี้กระเปร่า จึงบอกได้ว่า ผลที่เกิดจากใบกระท่อมมองอย่างชาวบ้านก็จะเป็นผลดี แต่หากมองแบบธุรกิจจะเป็นผลเสีย เพราะรูปแบบการเสพเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

สมโชค โกศล อายุ 62 ปี เกษตรกรนครศรีธรรมราช บอกว่า ผมเคี้ยวใบกระท่อมมานานแล้ว เพราะเป็นพืชสมุนไพร ผู้ใช้แรงงานทุกประเภทมักนิยมเคี้ยวใบกระท่อม 1 ใบ ก่อนทำงาน อาจจะกินกาแฟหรือน้ำเย็นตาม โดยจะเคี้ยวจนใบกระท่อมเหลือแต่กาก จึงคายทิ้ง แต่หลังมีการจับกุมมากขึ้น ก็มีการโค่นทิ้ง ทำให้ราคาใบกระท่อมขายใบละ 10 บาท ถือว่าแพงมาก แต่คนที่ใช้แรงงานยังต้องกิน

“ผมกินทุกวัน วันละใบ สดชื่น กระปี้กระเปร่า ที่สำคัญคนเป็นโรคเบาหวานกินทุกวันจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง หากรัฐยอมให้ปลูกต้นละบ้าน ราคาก็จะลดลง ส่วนใครที่คิดเป็นการค้าไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ให้จับ วิถีคนนครกินกระท่อมเป็นสมุนไพรเท่านั้น มิใช่กินเป็นสารเสพติด สิ่งดีๆ มี แต่ถูกแปรเปลี่ยนไป ทำให้วิถีชาวบ้านเปลี่ยนไปด้วย” สมโชค ให้ความเห็น

เฉด เอียดนุ้ย อายุ 69 ปี ชาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง บอกว่า พืชกระท่อมในพัทลุงจะขึ้นเองตามธรรมชาติ ในบริเวณที่ราบลุ่ม ติดริมน้ำ หรือ หัวไร่ปลายนา ต้นกระท่อมขยายพันธุ์ง่าย มีดอกปลิวไปตามลม ก็งอกขึ้นเองได้ ทำให้ในสมัยก่อนมีต้นกระท่อมจำนวนมาก เมื่อพบว่าใบกระท่อมต้นไหนที่กินแล้วมีรสชาติถูกปาก ก็จะเก็บต้นไว้ ส่วนต้นที่ไม่ถูกปาก ก็จะโค่นทิ้งเอาเป็นไม้ฟืน หรือนำไม้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น

การกินใบกระท่อมของคนสมัยก่อนเป็นเรื่องปกติ กินเพื่อรักษาโรค เช่น ถ้ามีอาการไอ หรือเมื่อรู้สึกว่าจะเป็นไข้หวัด ก็จะเอาใบกระท่อมสดหนึ่งใบมาห่อกับน้ำตาลทราย แล้วเคี้ยวๆ รุ่งเช้ามาจะหายไอ หายหวัด ไปเลย ส่วนคนที่ต้องทำงานหนักกลางแดด การกินใบพืชกระท่อมสดวันละใบ สองใบ จะทำให้มีพลังในการทำงาน โดยเชื่อว่าจะทำให้ทำงานทน อยู่ในอากาศร้อนได้ดี โดยคนในอดีตจะกินใบสด ไม่นำไปต้มกินเหมือนตอนนี้

“พืชกระท่อมเป็นพืชสมุนไพรธรรมดาที่ใช้รักษาโรคได้ แต่ปัจจุบันกลุ่มวัยรุ่นนำมาต้มกินและผสมสารเสพติดอื่น ทำให้พืชกระท่อม เป็นผิดกฎหมายไป” ลุงเฉดแจกแจงให้ฟัง

ขณะที่ นิตย์ เย็นใส อายุ 70 ปี ชาวบ้าน ตำบลเขาเขน อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เสริมว่า ตั้งแต่อดีต ชาวใต้นิยมกินใบกระท่อม กันอย่างแพร่หลาย แทบทุกบ้าน จะปลูกต้นกระท่อมไว้อย่างน้อยบ้านละ 1-2 ต้น ทุกๆ เช้า จะเก็บใบกระท่อมใส่ รวมไว้กับหมากพลู ไว้รับแขก ใครไปใครมาที่บ้าน และร้านขายกาแฟ น้ำชา ตอนเช้า ร้านไหน ที่มีใบกระท่อม ไว้บริการด้วยแล้ว จะมีลูกค้ามาก

โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน ทำสวน ทำไร่ ต้องพกติดตัว ไปด้วย โดยเคี้ยวใบสดๆ ครั้ง 1-2 ใบ ดูดน้ำก่อนคายกากทิ้ง ดื่มน้ำบ้วนปาก หรือ ดื่มกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังตาม ที่เรียกว่า “หวนท่อม” ก่อนออกไปทำงาน หรือระหว่างทำงาน เพราะทำให้ รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทำงานหนักได้นาน ไม่เหน็ดเหนื่อย แม้ว่าอากาศร้อน ทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน

นอกจากนี้ ใบกระท่อมยังใช้เป็นรักษาโรคได้หลายโรค เช่น โรคบิด ปวดเมื่อยร่างกาย แก้ปวดมวนท้อง ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ท้องร่วง และแก้อาการไอ โดยกินใบกระท่อมกับน้ำตาล 1 ช้อนชา ทำให้ลดอาการไอ ลดน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยบรรเทาโรคเบาหวาน และความดัน

“ผมจึงเห็นด้วยกับการแก้กฎหมายผ่อนปรนให้ใช้ใบกระท่อมแบบวิถีชาวบ้าน และวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่อยู่ในการควบคุม โดยเฉพาะการจำหน่ายที่นำไปเป็นส่วนผสมของยาเสพติดสูตรสี่คูณร้อยที่ผิดกฎหมาย” ตานิตย์ สรุปพร้อมแนะนำ

เป็นเสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากคนเคี้ยวใบกระท่อมและผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่มองว่า “กระท่อม” เป็นสมุนไพร และเป็นพืชสังคม แบ่งปันกันเคี้ยวกับเพื่อนฝูงในวงน้ำชาและในการทำงาน

ที่สำคัญคนเคี้ยวใบกระท่อมไม่เคยทำร้ายใคร

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแนะนำในการดูแลกับผู้ที่นำ “กระท่อม” ไปผสมสารต่างๆ จนทำให้คุณสมบัติด้านบวกของ “กระท่อม” กลายเป็นด้านลบไป นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการผลิต การแปรรูป และการวิจัยพัฒนาให้อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มมีศักยภาพในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงและเกิดความยั่งยืน ซึ่งกองทุนปาล์มน้ำมันฯ จะบริหารโดยคณะกรรมการบริหารกองทุน มีเลขาธิการ สศก. เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการ นอกจากนี้ ยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 3 คน ซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และมีผู้แทน สศก.เป็นกรรมการและเลขานุการ

แนวทางการดำเนินกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเงินทุนในการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และการแปรรูปของอุตสหหกรรมน้ำมันปาล์ม สนับสนุนทุนสงเคราะห์ปลูกทดแทนปาล์มน้ำมันและพืชทดแทนอื่นในพื้นที่เดิม ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ สร้างความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มเกษตรกร โดยหลักสำคัญของกองทุนฯ จะไม่ใช้เงินของกองทุนฯ ไปแทรกแซงราคา ซึ่งจะเป็นการทำลายกลไกตลาด

แต่จะเน้นดำเนินการให้สอดคล้องและเป็นไปตามยุทธศาสตร์ ที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติกำหนดและตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ เพื่อไปสู่เป้าหมาย คือ 1. เพิ่มศักยภาพในการผลิตและให้อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เปอร์เซ็นต์น้ำมัน และลดต้นทุนการผลิต 2. เพิ่มปริมาณและช่องทางการใช้น้ำมันปาล์มให้เพิ่มขึ้น 3. พัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เช่น อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคอล

กองทุนปาล์มน้ำมันฯ ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน คือ ผู้ประกอบการ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ในการสนับสนุนส่งเงินสมทบให้กองทุนฯ เพิ่มเติมเงินประเดิมจากรัฐบาลเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ซึ่งกองทุนนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบและมีผลบังคับใช้ก็สามารถผลักดันให้มีการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ได้ต่อไป

วว./กฟผ.ลงนามความร่วมมือส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบ ยกระดับผู้ประกอบการชุมชน ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าน้ำพอง ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ นายจรัญ คำเงิน ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าน้ำพอง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบและยกระดับผู้ประกอบการชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าน้ำพองด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยมี นายกเทศมนตรีตำบลกุดน้ำใส นายกเทศมนตรีตำบลม่วงหวาน และที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลโคกสูง ร่วมลงนาม ในวันที่ 18 สิงหาคม 2560 ณ โรงไฟฟ้าน้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

การลงนามความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบและยกระดับผู้ประกอบการชุมชุนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าน้ำพอง จำนวน 3 ตำบล 37 หมู่บ้านประกอบด้วย ตำบลกุดน้ำใส ตำบลม่วงหวาน และตำบลโคกสูง โดยใช้ วทน. พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ให้สามารถยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในระดับสากล อันจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน ท้องถิ่น รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศต่อไป

นายเหวียน ซวน ฟุก (Nguyen Xuan Phuc) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น ร่วมจัดแสดง ในงานสัมมนาธุรกิจหัวข้อ “Vietnam – Thailand Economic Cooperative Forum” ที่สภาธุรกิจไทย-เวียดนาม และกระทรวงการต่างประเทศ จัดขึ้นในโอกาสนายกรัฐมนตรีเวียดนามเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาลตามคำเชิญของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ

นายอนุวัตร เฉลิมไชย Brand Director เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รับรางวัล Thailand’s Top Corporate Brand Value Hall of Fame Award 2017 จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย เอสซีจี เป็นบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดจากการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรในหมวดวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี นับเป็นแบรนด์ที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ภายใต้สภาพแวดล้อมของตลาดและธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันสูง

วันที่ 23 ส.ค.60 เวลา 08.00 น. ที่บริเวณลานสะแก อ.เมือง จ.อุทัยธานี นายอนันต์ เหล่าแช่ม ประมงจังหวัดอุทัยธานี แถลงการจัดงานมหกรรมสินค้า ปลาแรดลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง และของดีเมืองอุทัยธานี ครั้งที่ 2 โดยร่วมกับจังหวัดอุทัยธานี เทศบาลเมืองอุทัยธานี สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดอุทัยธานี บริษัทประชารัฐรักสามัคคีอุทัยธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ร่วมกันดำเนินการจัดงานขึ้น ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน 2560 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้า เจ เจ มอลล์ เขตจตุจักรกรุงเทพฯ

เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาแรดในลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง มีการแปรรูปสินค้าที่ทำจากแรด ด้วยกรรมวิธีที่หลากหลาย เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาด เชื่อมโยงตลาดระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคปลาแรด เป็นการขยายตลาดให้กับกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงปลาแรดในลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง ยกระดับราคาปลาแรดให้กับเกษตรกรได้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี ที่มีปลาแรดเป็นสัญลักษณ์ ไปพร้อมกับประชาสัมพันธ์ของดีจังหวัดอุทัยธานี ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และเพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนและผู้ที่สนใจบริโภคปลาแรดลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งมีรสชาติดีที่สุดในโลก อันเป็นเอกลักษณ์และเป็นตราประจำจังหวัดอุทัยธานี โดยปลาแรดอุทัยธานีนั้น มีลักษณะเด่นคือ เกล็ดหนา หน้างุ้ม เนื้อนุ่ม แน่นหวาน ที่ใครได้ชิมรสชาติต่างติดใจ

นายอนันต์ เหล่าแช่ม ประมงจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมสินค้า ปลาแรดลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง และของดีเมืองอุทัยธานี ครั้งที่ 2 นั้น การบูรณาการร่วมกับภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นแนวทางการสร้างความเข้มแข็ง ที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในจังหวัดและภายในประเทศของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดที่ 2 ในการส่งเสริมการแปรรูปการตลาด การขนส่ง และการกระจายสินค้า ไปพร้อมกับการอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนชาวแพลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง โดยเฉพาะการส่งเสริมช่องทางการตลาด และการแปรรูปผลผลิตสัตว์น้ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตสัตว์น้ำของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในจังหวัดอุทัยธานี ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการจัดเทศกาลสินค้าปลาแรดและผลิตภัณฑ์ปลาแรดนั้นยังถือเป็นการสะท้อนภาพวิถีชีวิตวัฒนธรรมชุมชนชาวแพในแม่น้ำสะแกกรัง ไปพร้อมกับ การสร้างช่องทางการตลาดให้กับสินค้าปลาแรด และผลิตภัณฑ์ปลาแรดในลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง รวมไปถึง ของดีจังหวัดอุทัยธานี อีกหลากหลายรายการ ที่ยังไม่แพร่หลายในตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้รับทราบ และมีโอกาสสนใจในการร่วมธุรกิจหรือสั่งซื้อสินค้า ที่ผลิตขึ้นโดยฝือมือของประชาชนในจังหวัดอุทัยธานี อีกด้วย

ซึ่งกิจกรรมภายในงานนั้น ประกอบด้วย yourplanforthefuture.org กิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าปลาแรด เช่น ปลาแรดเผาเกลือ แฮมเบอร์เกอร์ปลาแรด สลัดปลาแรด ซาลาเปาปลาแรด น้ำพริกปลาแรด ปลาร้าปลาแรด ปลาเกลือปลาแรด ครัวซองต์ปลาแรด และแหนมปลาแรด เป็นต้น พร้อมด้วย สินค้าเกษตรแปรรูป และสินค้า otop/sme จากจังหวัดอุทัยธานี จำนวน 60 คูหา พร้อมกับมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมของจังหวัด สินค้านาทีทอง และอื่นๆอีกมากมาย

ตั้งแต่ค่ำวันพุธที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา ขอเริ่มต้นเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นั่งรอขึ้นเครื่องไปสนามบิน Incheon ประเทศเกาหลี เพื่อเดินทางต่อไปที่ เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบครัวของลูกสาวอยู่ที่ Northridge เขาอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยที่นั่น ลูกสาวได้จองเครื่องบินขากลับให้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 แสดงว่า ผมจะได้มีโอกาสอยู่กับลูกและหลาน ประมาณ 20 วัน (อันมีค่า) เท่านั้น

ยังคิดถึงการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกและไปสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2514 ซึ่งตอนนั้นเป็นไอ้ขี้เมา ข้าราชการภูธรอยู่ที่ฉะเชิงเทรา ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะออกไปสู่โลกภายนอกได้

การไปต่างประเทศสมัยนั้นยากมาก เหมือนได้ไปสวรรค์ เริ่มตั้งแต่ที่สนามบินดอนเมืองอันเก่าแก่ ยังจะต้องแต่งตัวใส่เสื้อนอกโก้มากๆ ญาติพี่น้องเพื่อนๆ ที่ไปส่งต้องซื้อพวงมาลัยให้แขวนคอเหมือนนักมวย ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแบบไม่เสียดายฟิล์ม ตอนนั้น ขึ้นเครื่อง Cathey Pacific จากไอ้ควายบ้านนอก มาเห็นพนักงานบริการบนเครื่อง และที่อยู่ห้องพักผู้โดยสารที่ฮ่องกงงดงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ได้ขอ blanket บนเครื่องบิน พนักงานต้อนรับถามว่า beer? เราก็ฟังไม่ทัน ตอบตกลง ก็เลยได้เบียร์แทนผ้าห่ม

เมื่อเดินทางไปถึงอเมริกา เมือง Seattle เข้าพักโรงแรมที่สะอาดมาก โดยเฉพาะห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ เตียงนอน ปูด้วยผ้าปูที่นอน 2 ชั้น และมีผ้าห่มอยู่ข้างบน ซึ่งตอนนั้น เวลานอนกลัวว่าจะทำเตียงเขายุ่ง ไม่กล้าสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม แต่โชคดีที่ห้องพักมีเครื่องทำความร้อนและน้ำอุ่น ไม่รู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ไปถึง ซึ่งฝนตกนั้น อากาศข้างนอกหนาวจนตัวสั่น และเป็นหวัดในทันที ได้เคยเขียนเรื่องนี้มาแล้ว แต่ก็อดรำลึกไม่ได้

ครั้งนี้ ลูกสาวได้จองตั๋วเครื่องบินให้ ซึ่งเขาเห็นว่าอายุ 70 กว่าแล้ว ควรจะต้องนั่ง wheel chair ดังนั้น เมื่อถึงสนามบินลอสแอนเจลิส จึงได้นั่ง wheel chair ด้วยกันกับภรรยาคนละคัน จากเครื่องบิน ผ่านพิธีการทางศุลกากร และตรวจสอบกระเป๋าเดินทางออกไปด้วยดี สะดวกมาก นับว่าเป็นบริการที่ดีของสายการบิน

ก่อนหน้านี้ ขณะที่รอเครื่องบินอยู่ที่ห้องพักที่สนามบินเกาหลี ตรงหน้าประตูทางเข้าขึ้นเครื่อง กำลังจะขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ได้ไปยืนต่อคิว เพราะคิวยาวมาก จะคอยให้คนในคิวไปก่อน แต่สักพักใหญ่ๆ ก็มีพนักงานเดินมาหาตรงที่นั่ง ขอดูบัตรขึ้นเครื่อง แล้วพาลัดคิวไปที่นั่งโดยตรง ไม่ต้องยืนต่อคิวแต่ประการใด เพราะเห็นรูปร่างหน้าตาแล้ว ไม่ต้องดูอายุที่บัตรก็ได้รับบริการ ซึ่งโชคดีแท้ๆ ที่เป็นคนแก่ แต่ก็ไม่เคยอยากจะแก่เลย เห็นหนุ่มๆ สาวๆ ก็รู้สึกใจหายมาก ที่เราแก่แล้ว หมดสิทธิ์ไปหลายเรื่อง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกาลเวลาและสัจธรรม สำหรับในช่วงที่อยู่บนเครื่องนั้น ลูกได้สั่งอาหารเจให้ ซึ่งทำให้ได้รับอาหารพิเศษ ไม่เหมือนคนอื่นบนเครื่อง เป็นอาหารที่อร่อยมาก แต่ก็ไม่ค่อยชอบกลิ่นเจที่ติดปากหลังกินเสร็จแล้ว จนกระทั่งมื้อสุดท้ายบนเครื่อง อร่อยที่สุด ที่มีข้าวกับเต้าหู้ทอดน้ำมันหอย คล้ายกับที่เคยกินประจำวัน

จากการที่เป็นคนแก่ เดินทางไกลนั้น ย่อมต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นธรรมดา เวลาที่กินอาหารนั้น ด้วยความจำกัดของสถานที่และถาดอาหาร โดยเฉพาะบะหมี่เกาหลี เส้นยาวๆ ทำให้อาหารกระเด็นใส่กางเกงหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดการเดินทาง ได้ทำน้ำส้มคั้นทั้งแก้วที่รับมาจากพนักงานต้อนรับ หลุดมือหกใส่กางเกงทั้งแก้ว โมโหตัวเองมาก แต่ก็ทราบว่าจะต้องมีปัญหาเหล่านี้มาแล้ว จึงแต่งตัวเลือกเอาชุดที่เก่าสุด แห้งเร็วสุด ที่ใส่ของเยอะๆ หลวมๆ ใส่ในการเดินทาง เพราะถึงจะแต่งตัวให้หล่อที่สุด ก็คงไม่มีใครแลหน้าเหี่ยวๆ แบบเราเป็นแน่

เสียดายที่ลืมเสื้อคลุมกันอากาศเย็นไป แต่การเดินทางก็ไม่เย็นจนทนไม่ได้ จากกรุงเทพฯ ไปที่เกาหลี ซึ่งเครื่องออกประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ นั้น ได้นอนอยู่ชั่วโมงกว่าๆ เอง เพราะเข้าห้องน้ำ กินข้าว และรอเครื่องขึ้น เครื่องลง ก็ใช้เวลาพอสมควร และเมื่อเดินทางจากเกาหลีไปอเมริกา ก็ไม่ได้หลับเลย เพราะตรงกับเวลากลางวันที่กรุงเทพฯ และมัวแต่ดูหนังที่เขามีบริการให้ ได้เลือกดูร่วม 4 เรื่อง ก็ถึงพอดี เรื่องที่ชอบ คือ Mary Poppins และ Fiddler on the Roof ซึ่งเรื่องสุดท้ายนี้ ภาษาอังกฤษที่พูด ชัดที่สุดเข้าใจง่ายสำหรับคนที่ประสิทธิภาพการฟังเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ และทั้ง 2 เรื่องนี้ ได้ฟังเพลงเก่าๆ เพลิดเพลินมาก