วิลัย รัตนวัน สู้ไม่ถอย ลงทุนหลายแสน เจาะชั้นหินภูเขาไฟหา

เพื่อ สวนทุเรียนภูเขาไฟ ศรีสะเกษแหล่งน้ำ เข้าหน้าแล้งทีไร เกษตรกรต้องเตรียมพร้อมรับมือ จะแล้งน้อยแล้งมากล้วนส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรอย่างแน่นอน ดั่งเช่น คุณวิลัย รัตนวัน เกษตรกรบ้านซำตาโตง ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนภูเขาไฟ สมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่หนองเก่าของจังหวัดศรีสะเกษ

อย่างที่เกริ่นไว้ ปัญหาภัยแล้งล้วนต้องเตรียมการรับมือ แต่ในรายของคุณวิลัย ไม่เฉพาะประสบปัญหาภัยแล้ง แต่แล้งมาตั้งแต่เริ่มต้นปลูกทุเรียนในปีนั้นเลยทีเดียว คุณวิลัย รัตนวัน นับว่าเป็นเกษตรกรตัวยง ก่อนที่จะเริ่มต้นปลูกทุเรียน ได้ผ่านการทำสวนลำไยมาก่อนหน้า 7 ปี เป็นพันธุ์จากลำพูน ซึ่งเขาระบุว่า เป็นลำไยที่ปลูกง่าย ลูกดกออกดี ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เรียกว่า คนขี้เกียจก็ทำได้

แต่มาภายหลังประสบปัญหาเรื่องพ่อค้าคนกลางกดราคา เอาเปรียบเกษตรกรอย่างคุณวิลัย จึงตัดสินใจโค้นลำไยทิ้งเสีย แล้วหันมาปลูกทุเรียนแทน เมื่อเริ่มต้นปลูกทุเรียนในปีแรกก็ไม่ได้ง่ายดั่งใจคิด เหมือนการปลูกลำไย มองเพียงแค่ผลรายได้ว่า ทุเรียน 1 ต้น ทำเงินได้มาก 4,000-5,000 บาท ถ้าเราปลูกหลายๆ ต้น บำรุงดูแลอย่างดี จะทำเงินได้เท่าไรต่อต้น มันคงจะมีมูลค่าไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว…คุณวิลัย วาดฝัน

จากนั้นจึงตัดสินใจตัดปัญหาโค้นลำไยทิ้งทั้งหมด 10 ไร่ แล้วหันมาปลูกทุเรียนแทนเต็มพื้นที่ 10 ไร่ เช่นเดียวกัน

แต่อย่างที่เกริ่นไว้ การปลูกทุเรียนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด “ยอมรับว่า การปลูกทุเรียนยากกว่าการปลูกลำไยเยอะมาก ประสบปัญหาหลายๆ อย่าง ต้องเอาใจใส่ ต้องจัดการดูแลเป็นพิเศษ และปัญหาหลักๆ เลยก็คือ เรื่องน้ำนั่นเอง เมื่อหมดฤดูฝนความแห้งแล้งก็เข้ามาเยือนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพื้นที่ของผมเป็นที่ดินภูเขา ลาดเอียง ฝนมาก็พาน้ำลงสู่ที่ต่ำ ที่สำคัญดินไม่ชุ่มน้ำเหมือนภาคตะวันออก เพราะเป็นดินหินภูเขาไฟ” คุณวิลัย ว่าอย่างนั้น และเล่าต่อว่า

เมื่อเริ่มต้นทำอะไรแล้ว ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ เป็นคนสู้ไม่ถอย แม้ใครๆ จะหัวเราะเยาะ คิดผิดแล้วที่จะปลูกทุเรียน ปลูกทีไรก็ตายหมด แต่ก็ยังฝืนสู้ปลูกต่ออีก แม้ภรรยาก็บ่นทุกๆ วัน ว่าเลิกเถอะๆ แต่ผมก็ไม่เลิก ปัญหามีไว้แก้

ลงทุเรียนครั้งแรกกว่า 200 ต้น เต็มพื้นที่ 10 ไร่ เหลือรอดมา 2 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ๆ แหล่งน้ำ ส่วนต้นที่อยู่ไกลน้ำ ก็ทยอยยืนต้นตาย ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต จึงปลูกซ้ำใหม่ หลายร้อยต้นเป็นครั้งที่สอง ส่วนทุเรียนที่นำมาปลูก เป็นพันธุ์ที่นำมาจาก ตราด จันทบุรี ระยอง เป็นพันธุ์ดีที่น่าเชื่อถือ ครั้งแรกที่ปลูกราคาเริ่มต้นที่ 70 บาท เมื่อจะหาซื้อมาปลูกทดแทน ราคาก็ขยับมาที่ต้นละ 150 บาท 200 บาท ไปจนถึง 300 บาท ซึ่งผมก็ยังซื้อหามาปลูกทดแทนต้นที่ตาย ขอเพียงให้ได้ปลูกทุเรียน

ยอมรับว่าพื้นดินที่บ้านผมไม่เหมาะกับการปลูกทุเรียน แต่ก็ยังฝืนที่จะปลูก เพียงเพราะชื่อที่เรียกกันติดปากว่า “ทุเรียนภูเขาไฟ” นั่นเอง

ถูกต้องเลยครับ เป็นคำเรียกที่ถูกต้องสำหรับหมู่บ้านผม ซำตาโตง ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่หินภูเขาอย่างแท้จริง เพราะพื้นดินที่เต็มไปด้วยหินนะครับ ไม่ใช่ดิน จะหาแหล่งน้ำแต่ละทีต้องเจาะผ่านชั้นหินลึก ความหนา 11 เมตร จึงจะทะลุถึงชั้นน้ำใต้ดิน

คุณวิลัย บอกอีกว่า คิดจะปลูกทุเรียน จะมาคอยฟ้าฝนอย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ จึงได้ว่าจ้างช่างมาเจาะหาน้ำบาดาลก็หลายชุด แต่ก็เจาะไม่ผ่าน เมื่อเจาะลงไปเจอชั้นหิน ก็ยกเลิก วัดความลึกได้กี่เมตรแล้วมาเก็บเงิน ยกของกลับบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกรายไป กระทั่งมาถึงรายสุดท้ายถึงประสบความสำเร็จ เจาะผ่านชั้นหินลงไปได้ จนถึงแหล่งน้ำใต้ดิน ต้องขอขอบพระคุณช่างเจาะน้ำบาดาลคนนี้มากๆ แต่ก็หมดเงินเฉพาะค่าเจาะน้ำบาดาลไปเป็นแสนๆ เหมือนกัน

ก็หวังว่า เมื่อมีบ่อน้ำบาดาลแล้วจะได้กินทุเรียนครบทั้ง 10 ไร่ ในอีก 3 ปี ข้างหน้า…

จึงอยากให้แง่คิด ถ้าใครคิดจะปลูกทุเรียน ต่างพื้นที่หรือสภาพดินที่ไม่เหมาะสม ควรจะวางระบบน้ำให้ดีก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องการขาย ให้คิดว่าจะปลูกอย่างไร แล้วให้ทุเรียนอยู่รอด

“การปลูกทุเรียน จะทำเล่นๆ ไม่ได้ ถ้าไม่ทำจริงๆ จังๆ ก็จะล้มเหลวหมด และที่สำคัญผมปลูกในช่วงภาวะภัยแล้งติดต่อกัน 2 ปี แหล่งน้ำก็ยังไม่พร้อม จึงประสบปัญหาดังกล่าว สูญเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทุเรียนไป 7-8 ไร่ ปลูกซ้ำๆ ปลูกทดแทนใหม่ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ”

ส่วนต้นที่เหลือรอด 2 ไร่ ส่วนใหญ่จะอยู่รอบๆ สระน้ำเล็กๆ ที่ขุดไว้ก่อนหน้า พอมีผลผลิตให้ได้เก็บเกี่ยวครั้งแรก รุ่นแรก พอได้เงินมาเจือจุน 40,000-50,000 บาท และก็รอลุ้นผลผลิตในปีต่อไป ซึ่งช่วงระหว่างรอหลังเก็บผลผลิตก็ต้องเตรียมการบำรุงดูแล เอาใจใส่ยิ่งกว่าลูกในไส้อีก

เมื่อพูดถึงเรื่องปุ๋ย ก็มีตัวแทนจากบริษัทเข้ามาแนะนำปุ๋ยของตัวเอง เยอะแยะมากมาย ว่าต้องใช้ปุ๋ยของตัวเองว่าดี อาทิ บริษัทปุ๋ยเคมี ก็บอกว่าของตัวเองดี บริษัทปุ๋ยอินทรีย์ก็บอกว่าของตัวเองดี ทุกคนว่าของตนเองดีหมด ส่วนของคนอื่นก็บอกว่าจะกระทบอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งส่วนตัวผมจะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ มากกว่า แต่บริษัทปุ๋ยก็ยังพูดอีกว่า ใช้ปุ๋ยคอกมันจะเกิดเชื้อรา ผมก็ไม่รู้จะเชื่อใคร คุณวิลัย พูดไปพลางหัวเราะ

ปุ๋ยที่ดีที่สุด ผมคิดว่า ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก นี่แหละครับผมว่าดีที่สุด ควบคู่ไปกับการใช้ฮอร์โมน ใช้เคมีบ้างนิดหน่อย ไม่ทิ้งไปเสียทีเดียว

หลังเก็บเกี่ยวครั้งแรก ก็เริ่มตัดแต่งกิ่งต้นทุเรียน เมื่อถึงช่วงแตกใบอ่อน ก็ใส่ปุ๋ยตามสูตร 15-15-15 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อต้น และใส่ปุ๋ย สูตร 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง เพื่อให้ต้นทุเรียนได้สะสมน้ำตาลและเจริญเติบโตสมบูรณ์

เมื่อต้นทุเรียนติดดอก บำรุงด้วยปุ๋ยหมัก อัตรา 10-12 กิโลกรัม ต่อต้น และช่วงติดลูกเสริมด้วยปุ๋ย สูตร 12-12-17 ประมาณ 1-2 กำมือ ต่อต้น ใส่ทุก 7 วัน กระทั่งสังเกตพบว่า ผลทุเรียนมีขนาดใหญ่ ได้น้ำหนัก 1 กิโลกรัม จึงหยุด จากนั้นได้เปลี่ยนไปใส่ปุ๋ย สูตร 11-6-25 ใส่อัตรา 2-3 กำมือ ต่อต้น ใส่ทุก 7 วัน เพื่อสร้างเนื้อทุเรียน

ช่วงระหว่างที่เราให้น้ำให้ปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีแขนงกิ่งใบออกมาจากลำต้น ซึ่งเราก็ต้องไปดึง ลิดออก เรียกว่าไม่ให้มันแตกงอกออกมานั่นเอง ไม่เช่นนั้นมันก็จะไปแย่งอาหารจากกิ่งก้านของลำต้น

ปัญหาอีกอย่างในช่วงหน้าร้อน เดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าวมากๆ ถึงเราจะบำรุงดูแลดีอย่างไร ใช้ยา ให้อาหาร ให้ปุ๋ยดีอย่างไร ก็เอาไม่อยู่ ยอดทุเรียนก็จะแห้งเป็นก้านธูป ก็ต้องคอยดูแลตัดออกไม่เช่นนั้นก็จะลามไปทั้งต้น

คุณวิลัย พูดติดตลกว่า ผมอยากจะตั้งชื่อ “ทุเรียน” ผลไม้ชนิดนี้ใหม่เสียจริงๆ เขาน่าจะชื่อว่า “ดูเรียน” แทนคำว่า “ทุเรียน” หรือ “ขยันเรียน” จะดีกว่า เพราะมันทำให้ผมได้เรียนรู้ ศึกษาดูแลแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ เรียกว่า เรียนไม่รู้จบ สำหรับการปลูกทุเรียนในแปลงของผม

เนื่องจากสภาพอากาศแปรผันไปทุกๆ ปี ต้องมาปรับสูตรการให้น้ำให้อาหาร แต่ละปีจะใช้วิธีคิดเหมือนครั้งที่ผ่านมาก็ไม่ได้ อากาศร้อนมาก ทุเรียนที่ออกดอกเริ่มติดผลก็ร่วงหล่น น้ำต้องกำหนดให้ดี ปุ๋ย ยา ฮอร์โมน สภาวะอากาศเป็นอย่างไร เรียกว่าเรียนไม่รู้จบ เนื่องจากสภาพพื้นดิน เป็นดินดาล หินภูเขา ไม่เหมือนสวนทุเรียนแปลงอื่นๆ เขา

ยอมรับว่า ช่วงเริ่มต้นลงทุนปลูกทุเรียนใหม่ๆ หมดเงินไปหลายแสนเลยทีเดียว เฉพาะค่าต้นพันธุ์ 60,000-70,000 บาท ขุดบ่อบาดาลอีก 100,000 บาท วางระบบสปริงเกลอร์ ในพื้นที่อีก 5 ไร่ ไหนจะค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำ ค่าไฟ ในการบำรุงดูแล ไม่อยากจะคิดเลย เมื่อคิดจะอยู่กับทุเรียน ณ จุดตรงนี้ ก็ต้องสู้ต่อไป

“มีครั้งหนึ่งเคยไปพูดต่อหน้าผู้ว่าฯ คนก่อนหน้านี้ที่เกษียณไป ได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรแสดงความคิดเห็นในการประชุมอบรมให้ความรู้เกษตรกร ผมจึงบ่นให้ผู้ว่าฯ ฟังว่า ในช่วงที่เราลำบาก ไม่มีใครเห็นความลำบากของเรา ตอนผมลำบาก ผู้ว่าฯ ก็ไม่มาช่วยผมหรอก ทุกคนตบมือกันใหญ่ ส่วนผู้ว่าฯ ก็นั่งฟังอย่างเดียว ขอไฟคุณก็ไม่ให้ ขอบ่อน้ำ คุณก็ส่งคนมาดูสำรวจแล้วก็หายไป ส่วนเราก็คอยมาแก้ปัญหากันเอง” วันนั้นผมกล้าที่จะพูด เพราะเก็บความรู้สึกนี้ไว้นาน คุณวิลัย ว่าอย่างนั้น

ครับ นี่คือ ความในใจของ คุณวิลัย รัตนวัน เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนภูเขาไฟรายเล็ก หมู่ที่ 9 บ้านซำตาโตง ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ผ่านความยากลำบากต่อสู้บนผืนดินของตัวเอง มุ่งมั่นที่จะปลูกทุเรียนภูเขาไฟให้ประสบความสำเร็จเหมือนรายอื่นๆ เขา สอบถามข้อมูลให้กำลังใจ คุณวิลัย รัตนวัน อยู่บ้านเลขที่ 155 หมู่ที่ 9 บ้านซำตาโตง ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โทร. 085-417-5298

ท้ายสุดนี้ ต้องขอขอบคุณ ผอ. สุพล สุวรรณจู ผู้อำนวยการโรงเรียนบึงมะลูวิทยา อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่อำนวยความสะดวกยานพาหนะ พร้อมคณะครูนำพาเข้าเยี่ยมชมสวนทุเรียนของ คุณวิลัย รัตนวัน ในครั้งนี้ เพื่อนำเรื่องราวความทุกข์ยากอีกมุมด้านหนึ่งมาบอกเล่า เพราะ “ทุเรียนภูเขาไฟ” จริงๆ

ฉบับนี้ มีโอกาสเดินทางไปดูการปลูกหม่อนที่โรงเรียนขยายโอกาสการศึกษา ที่บ้านหนองไผ่ ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมืองสกลนคร

คุณยุธยา เทอำรุง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองไผ่ ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมืองสกลนคร เคยเอ่ยปากชักชวนผู้เขียนไปชมการปลูกหม่อน ขายผลสด สร้างรายได้ในโรงเรียน ในช่วงที่พบกันระหว่างการประชุมของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง

ครั้งนี้มีโอกาสจังหวะเหมาะสมดี ที่ คุณยุธยา เทอำรุง ผอ. โรงเรียนบ้านหนองไผ่ ขับรถมารับที่หน้าสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสกลนคร เพื่อเป็นการประหยัดและจะได้ทักทายกัน ขับออกจากตัวเมืองสกลนคร จากจุดนัดพบ รถมุ่งหน้าไปตามถนนสายสกลนคร-กาฬสินธุ์ ผ่านแยกบายพาส มองเห็นเทือกเขาภูพานนอนเป็นแนวทอดขวางกั้น สีเขียวปนคราม เมฆหมอกยามสายยังไม่จางหายไป ลอยอ้อยอิ่งอยู่ด้านหน้า บ่งบอกอากาศในช่วงเช้า มีอุณภูมิที่ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 10-11 องศาเซลเซียส ของเดือนธันวาคมปลายปีที่ผ่านมา

รถวิ่งมาได้ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงทางสามแยกที่เรียกว่า บ้านศรีวิชา พบป้ายบอกไปอำเภอเต่างอย ซึ่งเป็นอำเภอที่มีสัญลักษณ์เป็น “พญาเต่า” มีผู้คนเดินทางมาไหว้และเที่ยวชม มีชื่อเสียงในทางขอโชคลาภ จนโด่งดัง หากเอ่ยชื่อแล้วเป็นที่รู้จักทั่วไป

เลี้ยวซ้ายจากบ้านศรีวิชา มาตามถนนศรีวิชา-เต่างอย ถนนขนานกับเทือกเขาภูพานมองทะมึนสูงระฟ้า เป็นดินแดนที่เคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อนในอดีต ผ่านบ้านพะเนาว์ บ้านโพนนาก้างปลา บ้านนากับแก้ และเข้าเขตบ้านหนองไผ่ อันเป็นเป้าหมายที่โรงเรียนบ้านหนองไผ่ และที่นี่จะมี วัด “ถ้ำผาแด่น” อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงนิเวศและพุทธศาสนา มีผู้คนเดินทางมาเที่ยวชมแต่ละวันไม่ขาด

เข้าไปในโรงเรียนพบกับเด็กนักเรียนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ยืนเรียงรายแถวคอยทำความเคารพ เมื่อพบผู้เป็นแขกมาเยือน และวันนี้เป็นวันการแข่งขัน “ทางวิชาการ” ของกลุ่มโรงเรียน จึงมีเด็กๆ นักเรียนจากหลากหลายมารวมกัน พร้อมหน้า กับครูผู้พามาเป็นพี่เลี้ยงในการแข่งขัน

คุณยุธยา บอกว่า ที่นี่เป็นศูนย์ของกลุ่ม หมายถึง เป็น ผอ. ของศูนย์ประจำกลุ่มด้วย หลังจากมาถึงเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี ก็ได้มีโอกาสนั่งร่วมรับประทาน “ข้าวเที่ยง” กับคณะครูด้วย เป็นไปแบบกันเอง เรียบง่าย และได้เห็นว่า “โครงการอาหารกลางวัน” ที่นี่ จะหมุนเวียน และอาหารจะจัดเป็นหมวดหมู่หมุนเวียนไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน เน้นให้ครบ 5 หมู่

โรงเรียนบ้านหนองไผ่ เป็นโรงเรียนขยายโอกาส จัดการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปัจจุบัน มีนักเรียน จำนวน 260 คน มีครูและบุคลากรทางการศึกษา 20 คน

พื้นที่ของโรงเรียนมีทั้งหมด 40 ไร่ มีเขตบริการ 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหนองไผ่ หมู่ที่ 7 บ้านหนองไผ่ หมู่ที่ 12 บ้านโพนแดง และบ้านเหล่านกยูง ซึ่งการจัดการศึกษาของเรานั้นเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ

กิจกรรมเด่นของโรงเรียน คือ กิจกรรมทางการเกษตร มีการปลูกหม่อน รับประทานผลสดของโรงเรียน ซึ่งได้เริ่มปลูกหม่อนรับประทานผลของโรงเรียนหนองไผ่ เป็นการปลูกตามโครงการเพื่อเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เริ่มปลูกเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2554 จำนวน 840 ต้น โดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวง

ต่อมามีการขยายพื้นที่ จนถึงปัจจุบัน มี 2,000 ต้น หรือในเนื้อที่ 7 ไร่ ส่วนผลิตผลที่ได้รับ ผลสดของหม่อน ส่งขายกับโรงงานอาหารสำเร็จรูปที่ 3 อำเภอเต่างอย

คุณยุธยา กล่าวอีกว่า ในแต่ละปีนั้น เราจะมีการพัฒนาให้หม่อนออกลูกเก็บผลผลิตอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ได้ผลผลิตครั้งละประมาณ 1 ตัน ถึง 1 ตันครึ่ง รวมทั้งปีจะอยู่ที่ 2.5 ตัน ถึง 3 ตัน

การจำหน่าย มีการทำสัญญาการปลูกไว้กับโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป อำเภอเต่างอย ซึ่งมีเท่าไรทางโรงงานรับซื้อทั้งหมด ในราคาประกัน กิโลกรัมละ 35 บาท

หม่อนที่ทางโรงเรียนปลูกเป็นหม่อนอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ ซึ่งในเขตพื้นที่โรงเรียนของเรานั้น มีเกษตรกรที่สนใจหันมาปลูกหม่อนกว่า 5 ราย เสริมเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ใกล้โรงเรียนด้วย เป็นอาชีพเสริมจากการทำนา ทำสวน และเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะสามารถมาศึกษาจากทางโรงเรียนได้

กิจกรรมปลูกหม่อนนี้ มีการทำจริงของนักเรียน เรียนรู้ และทำจริงจากของจริง ตลอดจนปุ๋ยที่นำมาใส่ จะหมักกันเอง จากใบไม้ ใบหญ้า จากนั้นนำมาใส่หม่อน จึงบอกได้ว่าไม่มีสารเคมีแน่นอน

นอกจากกิจกรรมปลูกหม่อนแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมเลี้ยงไก่ เลี้ยงโค เสริมให้นักเรียนเรียนรู้สู่การพัฒนาขยายถึงครอบครัว และรายได้จากกิจกรรม นำมาพัฒนาโรงเรียนและเป็นค่าอาหารกลางวัน

คุณยุธยา กล่าวอีกว่า จากการติดตามและศึกษากระแสนิยมรับประทานผลไม้สีม่วงแดงกำลังมาแรง ทั้งประชากรในเมืองและชนบท ทำให้ “มัลเบอร์รี่” หรือ “ผลหม่อน” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ลูกหม่อน” ซึ่งกรมหม่อนไหมได้ทำการศึกษาวิจัยมานานกว่า 20 ปี อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นหน่วยงานเล็กๆ ชื่อสถาบันวิจัยหม่อนไหม สังกัดกรมวิชาการเกษตร ผลการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องของกรมหม่อนไหม ที่ใช้ผลหม่อนบำรุงรักษาสุขภาพ เช่น พบว่า ผลหม่อนมีฤทธิ์ลดการตายของเซลล์ประสาทจากโรคอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคพิษสุราเรื้อรัง ทำให้ผลหม่อนเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ทุกวันนี้มีผู้ผลิตและแปรรูปผลหม่อนเป็นอาหารและเครื่องดื่มหลายราย รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็ติดต่อขอต้นหม่อนผลสดพันธุ์ ที่กรมหม่อนไหม และที่ศูนย์หม่อนไหมฯ ทั่วประเทศ ไปปลูกเป็นไม้ผลประจำบ้าน ไว้รับประทานผลสดกันทุกวัน

“ผมว่า ผลสดของหม่อนอร่อย ทุกบ้านหากมีพื้นที่ ควรหามาปลูกไว้ เพราะผลหม่อนนอกจากให้ความอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าหลายอย่าง ที่สำคัญปลูกง่าย หากใครมีพื้นที่มากก็น่าปลูก เพราะสามารถขายได้ตลอด ความต้องการยังมีมาก ใครที่สนใจอยากศึกษาหรือปลูก สามารถไปศึกษาดูงานได้ ติดต่อที่โรงเรียนได้ทุกวัน” คุณยุธยา บอก

สำหรับการปลูกต้นหม่อนนั้น ได้ติดตามและศึกษายึดถือวิชาการจากกรมหม่อนไหมดังนี้ ระยะปลูก อาจปลูกเป็นแถว แต่ละต้นห่างกัน 4 เมตร เพื่อเผื่อรัศมีทรงพุ่มไว้อย่างน้อย 2 เมตร หรือจะปลูกในแปลงพื้นที่สี่เหลี่ยมด้วยระยะปลูก 4×4 เมตร ก็ได้

การเตรียมหลุมปลูก ขุดหลุมลึก 50x50x50 เซนติเมตร สมัคร Sa Gaming รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปูนโดโลไมท์หรือปูนขาว ประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อหลุม และปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัม ต่อหลุม หรือจะให้แม่นยำต้องใส่ตามค่าการวิเคราะห์ดิน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบหลุมด้วยหน้าดินให้พูนเล็กน้อย

วิธีการปลูก ขุดหลุมเตรียมไว้ให้ลึกพอประมาณ แล้วนำต้นหม่อนที่เตรียมไว้ด้วยวิธีการต่างๆ ลงปลูก กลบดินให้แน่น

การบังคับทรงต้น ต้นหม่อนที่ปลูกจากกิ่งชำชนิดล้างราก หรือชนิดชำถุง หรือปลูกด้วยท่อนพันธุ์จากกิ่งพันธุ์โดยตรง เมื่อต้นหม่อนเจริญเติบโตได้ประมาณ 6-12 เดือน จะต้องบังคับทรงพุ่มโดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียงกิ่งเดียวไว้เป็นต้นตอ มีความสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร จากพื้นดิน ปล่อยให้หม่อนแตกกิ่งใหม่หลายๆ กิ่ง เก็บกิ่งที่สมบูรณ์ไว้ กิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้ตัดทิ้งเพื่อให้ด้านล่างโปร่ง ง่ายต่อการปฏิบัติดูแลรักษาด้านเขตกรรมต่างๆ เช่น การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพรวนดิน การตัดแต่งกิ่งแขนงและการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น

อนึ่ง สำหรับหม่อนที่ปลูกในปีแรกๆ ลำต้นและระบบรากยังเจริญเติบโตไม่มาก อาจจะหักล้มได้ง่าย ดังนั้น จะต้องยึดลำต้นไว้ด้วยไม้ หรือไม้ไผ่ให้แน่นหนา

การใส่ปุ๋ย ในปีที่ 2 ให้ใส่ปูนขาว หรือปูนโดโลไมท์ตามการวิเคราะห์ความต้องการปูนขาวของดินเพิ่ม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 10 กิโลกรัม ต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 250 กรัม ต่อต้น

การให้น้ำ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้น้ำหม่อนในระยะที่หม่อนติดผลแล้ว (โดยปกติจะมีฝนหลงฤดู หรือฝนชะช่อมะม่วงผ่านเข้ามา จะทำให้ต้นหม่อนแตกตาติดดอก ถ้าไม่มีฝนหลงฤดู หลังโน้มกิ่ง รูดใบ ต้องให้น้ำกระตุ้นการแตกตาแทนน้ำฝน) หากขาดน้ำจะทำให้ผลหม่อนฝ่อก่อนที่จะสุก หรือทำให้ผลหม่อนมีขนาดเล็ก

การตัดแต่งกิ่ง และการดูแลรักษาทรงพุ่ม ตัดเฉพาะกิ่งแขนงที่ไม่สมบูรณ์และเป็นโรคทิ้ง เพื่อลดการสะสมโรคและแมลง การบังคับให้หม่อนติดผลนอกฤดูกาล ใช้วิธีการบังคับต้นหม่อน เพื่อให้ได้ผลผลิตผลหม่อนในระยะเวลาที่ต้องการ มีวิธีการดังนี้