สภาเกษตรกรฯ ขับเคลื่อน โครงการ “1 ตำบล 1 นวัตกรรมเกษตร”

ร่วม วว. ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่ม ยืดอายุเก็บรักษา ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้กล่าวว่า ในปี 2561 สภาเกษตรกรแห่งชาติ ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พัฒนาต่อยอดจากการทำแผนตำบลกับองค์กรเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับสภาเกษตรกรจังหวัดทุกจังหวัด ด้วยโครงการ “1 ตำบล 1 นวัตกรรมเกษตร” เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม – กันยายน 2561 เพื่อผนวกการใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับความคิดสร้างสรรค์

และองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเกษตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมทั้งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานให้กับสินค้าและบริการจนสามารถยกระดับจากผู้ผลิตที่ตอบสนองความต้องการระดับท้องถิ่น สู่ผู้ผลิตระดับ SMEs ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในระดับสากลได้ นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน ท้องถิ่น รวมทั้งเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศ ด้วยเป้าหมายเพื่อต้นทุนการผลิตลดลง ผลผลิตเพิ่มขึ้น 20% ,

อายุการเก็บรักษาผลิตผลนานขึ้น 10% ใน 878 ตำบล 300 องค์กรเกษตร 200 นวัตกรรม เกษตรกร 10,000 ราย ทั่วประเทศ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการควรใช้โอกาสนี้ด้วยความตั้งใจแล้วนำเอานวัตกรรม ที่ วว. ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ไปใช้ประโยชน์ โดยสภาเกษตรกรตั้งเป้าอย่างน้อย 20% มากกว่านั้นยิ่งดี ขอให้เกษตรกรทำให้บรรลุผลสำเร็จตามที่ทางสภาเกษตรกรฯ และ วว. ได้ร่วมกันจัดโครงการดังกล่าวให้กับพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรมและเป็นฐานการผลิตสำคัญในการป้อนผลิตผลเกษตรสู่ครัวโลกต่อไป

ด้าน ดร. รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ “1 ตำบล 1 นวัตกรรมเกษตร” จะให้เกษตรกรได้เข้าถึงบริการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเดิมที่มีอยู่แล้วในอดีตที่ทำต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน โดย วว. จะเอาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปเพื่ออธิบายภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านั้น เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นอยู่แล้ว และต้องการต่อยอดเป็นนวัตกรรม วว.

จะพัฒนาในช่วงที่เป็นเทคโนโลยีที่เป็นต้นน้ำ ได้แก่ เทคโนโลยีทางด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ผลผลิต, คุณภาพผลผลิต /ด้านเครื่องจักร, เครื่องมืออุปกรณ์การเกษตร ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ ประมง ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าศัตรูพืชต่างๆ ได้ทั้งหมด รวมทั้งเทคโนโลยีในการยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยว เทคโนโลยีใช้ของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตทางด้านการเกษตรให้เกิดประโยชน์ เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการแจ้งความจำนงได้ที่สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดของท่านได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมลงนาม MOU กรมการข้าว-กรมการปกครอง เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน เพื่อช่วยเหลือในด้านการส่งเสริมอาชีพการเกษตรและพิสูจน์ตัวตนเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วแม่นยำขึ้น หวังช่วยลดปัญหาผู้แอบแฝง เตรียมผุดโครงการแรกร่วมกรมการข้าวส่งเสริมสมาชิกสหกรณ์การเกษตร ปลูกข้าว กข 43 ป้อนตลาด ส่วนการเชื่อมข้อมูลกับกรมการปกครองสามารถอ้างอิงกับเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพื่อตรวจสอบฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์กับทะเบียนราษฎร์ได้

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสุวัฒน์ เจียระคงมั่น รองอธิบดีกรมการข้าว และ นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลให้มีความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับงานบริการภาครัฐสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งนับว่าเป็นภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของประเทศ

โดย นายพิเชษฐ์ กล่าวภายหลังการลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศร่วมกับทั้งสองหน่วยงานดังกล่าว ว่า การลงนาม MOU ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งสมาชิกสหกรณ์ในภาคการเกษตรและสมาชิกสหกรณ์ที่อยู่นอกภาคการเกษตร ซึ่งปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์มีทะเบียนสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 11 ล้านรายชื่อ และเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์ที่ต้องมีทะเบียนสมาชิกสหกรณ์ทุกคน เมื่อมีข้อมูลทะเบียนสมาชิกแล้ว จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินโครงการต่างๆ ในการเข้าไปส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกของสหกรณ์ โดยเฉพาะสมาชิกสหกรณ์ในภาคเกษตร ก็จะได้นำฐานข้อมูลของสมาชิกไปเชื่อมโยงกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมการค้า และหน่วยงานทางด้านเกษตรอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ ในความร่วมมือด้านฐานข้อมูลกับกรมการข้าว เป็นการเชื่อมโยงกับทั้ง 2 ฝั่ง คือ กรมการข้าวต้องการข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ในเรื่องต่างๆ ที่สหกรณ์และสมาชิกดำเนินการอยู่ เช่น อุปกรณ์ทางการตลาด โรงสี การแปรรูปและการรวบรวมต่างๆ เนื่องจากกรมการข้าวต้องการข้อมูลไปใช้ในการวางแผนเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ต่างๆ ให้สอดรับกับจุดรับซื้อข้าว ขณะที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะได้ในส่วนของข้อมูลเกษตรกรที่เป็นชาวนาที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เมื่อหน่วยงานภาครัฐต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ จะได้นำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการให้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

“ในอนาคต ถ้าระบบงานของกรมส่งเสริมสหกรณ์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เราอาจจะการเชื่อมโยงในหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะนี้ยังขาดในเรื่องความสมบูรณ์ จึงต้องทำเท่านี้ก่อน แต่หลังจากลงนาม MOU เสร็จแล้ว เราก็สามารถดึงข้อมูลของทั้ง 2 หน่วยงาน เข้ามาบูรณาการร่วมกัน เพื่อส่งเสริมงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป สิ่งที่จะเริ่มทำเป็นอันดับแรก คือการจัดการฐานข้อมูลสมาชิกและการเข้าไปช่วยเหลือชาวนา โดยโครงการแรกที่จะเริ่มคือ โครงการข้าว กข 43 ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะดำเนินการร่วมกับกรมการข้าว ซึ่งกรมการข้าวเข้าไปส่งเสริมและช่วยเหลือชาวนาในการปลูกข้าว กข 43 และได้มีการพูดคุยกันว่า น่าจะทำในพื้นที่สหกรณ์ที่มีโรงสี มีจุดรวบรวม เพื่อที่จะให้สหกรณ์ได้เข้ามาดูแลสมาชิกได้ด้วย ซึ่งโครงการนี้จะเกิดขึ้นในปีนี้เป็นปีแรก” นายพิเชษฐ์ กล่าว

นายพิเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงนามความร่วมมือกับกรมการปกครอง จะเป็นการช่วยในการพิสูจน์ตัวตนของสมาชิกสหกรณ์ เนื่องจากกรมการปกครองมีระบบในการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตนที่มีความทันสมัย และสามารถพิสูจน์ตัวตนของทุกคนในประเทศไทยได้หมด เพราะว่าฐานข้อมูลทะเบียนสมาชิกสหกรณ์ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์มีอยู่ ยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร มีเพียง 70-80% ของฐานข้อมูลสมาชิก ส่วนอีก 20-30% จะเป็นการไปขอตรวจสอบกับกรมการปกครองเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ในการพิสูจน์ตัวตนของสมาชิกสหกรณ์ หลายครั้งที่มีบุคคลเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์ แต่กรมส่งเสริมสหกรณ์ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ว่า เป็นใคร มาจากไหน และภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ถ้าสามารถเชื่อมโยงกับกรมการปกครองได้จะสามารถพิสูจน์ตัวตนได้ว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ รวมถึงสามารถพิสูจน์การทำธุรกรรมกับสหกรณ์ได้ด้วย ซึ่งถ้าหลังจากพิสูจน์ตัวตนแล้ว พบว่า มีความผิดปกติ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะส่งไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการต่อไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของบุคคลที่จะเข้ามาโดยใช้นามแฝง เพราะเดิมทีจะรู้แต่ชื่อ ไม่รู้ว่าตัวตนว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งคาดหวังว่าการร่วมมือกับกรมการปกครองในการตรวจสอบข้อมูลตัวบุคคลจะช่วยพิสูจน์ได้เร็วขึ้นและเกิดความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ด้าน นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงในการใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร ์ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่รัฐบาลพยายามพัฒนา ส่งเสริมและผลักดัน โดยให้กรมการปกครองเอาข้อมูลทะเบียนราษฎร์นำมาให้ส่วนราชการได้ใช้เป็นข้อมูล เพื่อลดภาระของประชาชนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการคัดสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนด้วย ดังนั้น การที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้นำข้อมูลทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนมาใช้ จะเป็นผลดีให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานให้เป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และสามารถบอกข้อมูลได้อย่างถูกต้องและชัดเจนผ่านการอ้างอิงหมายเลขประชาชน 13 หลัก

ส่วนการเชื่อมโยงข้อมูลประวัติอาชญากรนั้น เป็นการเชื่อมโยงอีกระบบหนึ่งที่เรียกว่า ลิงค์เกต เซ็นเตอร์ (Link Gate Center) โดยให้ส่วนราชการต่างๆ ที่มีข้อมูลของตนเองให้เป็นระบบดิจิทัล เช่น การที่กรมส่งเสริมสหกรณ์มีทะเบียนประวัติข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ก็สามารถทำให้เป็นระบบดิจิทัลได้ เมื่อต้องการตรวจสอบว่า ผู้ใดเป็นสมาชิกของสหกรณ์บ้างก็สามารถเข้าระบบตรวจสอบได้ เพียงแจ้งเลข 13 หลัก ชื่อและนามสกุล ก็จะทำให้ทราบข้อมูลได้ทันที และไม่ต้องกังวลว่า ข้อมูลที่ส่งผ่านอิเล็กทรอนิกส์จะรั่วไหล หรือทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากระบบจะสามารถตรวจสอบได้ว่า ผู้ใดที่เข้าไปตรวจสอบ เมื่อไร เวลาไหน และถ้าการเข้าไปดูข้อมูลเกิดความเสียหาย จึงเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบผู้ใช้งานได้

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กรมการปกครอง จะมีส่วนช่วยเติมเต็มและมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบโปรแกรมต่างๆ ที่ได้ร่วมมือกันในวันนี้ และหวังว่าในอนาคตจะได้มีการพัฒนาลักษณะงานออกมาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า จะนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และหวังว่าการได้ทำงานร่วมกันครั้งนี้ จะทำให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยในอนาคตต่อไป”นายชำนาญวิทย์ กล่าว

เมื่อวันที่ 9 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อสังคมออนไลน์ออกมาชื่นชมสาวเรียนจบปริญญาตรี แต่ยึดอาชีพกวาดถนน กรุงเทพมหานคร ภายหลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Suwanan Ketiam” โพสต์ภาพสวมชุดครุยกับชุดพนักงานกวาดถนน พร้อมข้อความระบุว่า โอ้โฮ้ !! จบ ป.ตรี มา แล้วมาทำงานแบบนี้อะเหรอ? (คำที่หลายคนชอบถาม) การเรียนจบ “ปริญญา” ไม่ได้เเสดงว่าจะต้องทำงานอยู่ในห้องแอร์ หรือทำงานเงินเดือนเยอะๆ เราขอแค่จบมา มีงานทำ เงินเดือนไม่ต้องเยอะมาก แต่พอใช้ และมีเงินเก็บ ทำงานตรงนี้สบายใจกว่า ไม่ต้องมีใครมากดดัน หัวหน้าให้ไปทำตรงไหนก็ไป ได้ไปหลายสถานที่ ทำหลายๆ อย่างที่คนทั่วไปไม่ค่อยมีโอกาส มีเพื่อนๆ ร่วมสายงานที่น่ารัก คอยดูแล เผลอๆ จะใจดีกว่า…ซะอีก ในส่วนตัวเราคิดว่า ทำงานอะไรแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะ ดีกว่าไม่มีงานทำ และไม่มีเงินใช้น่าาา

นายบรรจง ทองสร้าง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) สงขลา เปิดเผยว่า มรภ. สงขลา ร่วมจัดบู๊ธนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยจากจำปาดะและแป้งสาคู ผลงานการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชท้องถิ่นตามพระราชดำริ ในงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค “วิจัยและนวัตกรรมปักษ์ใต้สู่การพึ่งพาของสังคม” ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ศรีวิชัย สงขลา ผลปรากฏว่า บู๊ธนิทรรศการของ มรภ. สงขลา ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดจัดแสดงบู๊ธ รับโล่และเงินรางวัลจาก พล.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งการดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ มรภ. สงขลา ในการสร้างองค์ความรู้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของท้องถิ่น และเป็นภารกิจสำคัญที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสู่การแก้ปัญหาของท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ จ.สงขลา นายสุดที่รัก เต๊ะโส๊ะ อายุ 48 ปี หรือ บังยา ชาวสวนมะพร้าวพื้นที่บ้านหัวนอน หมู่ที่ 5 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา กล่าวว่า ตนมีสวนมะพร้าวเนื้อที่ 4 ไร่ ที่ผ่านมา มีโจรเข้ามาขโมยมะพร้าวในสวนเป็นประจำ ตนไม่รู้ว่าจะหาวิธีใดมาป้องกัน เนื่องจากโจรสมัยนี้ไม่กลัวตำรวจ ไม่กลัวอาวุธและ ไม่กลัวเจ้าของสวน เรียกว่า หลังตนหันหลังออกจากสวน โจรจะเข้ามาขโมยมะพร้าวทันที อีกทั้งยังทิ้งไม้เกี่ยวพร้อมเหล็กงัดเปลือกมะพร้าวเอาไว้ให้ดูต่างหน้า จึงทำหุ่นผีขึ้นมา 1 ตัว เรียกว่า “หุ่นผีกันโจร” เพื่อป้องกันโจรเข้ามาขโมยมะพร้าว โดยเป็นหุ่นผีผู้หญิง แม้จะเป็นเพียงหุ่นแต่ใครเห็นแล้วต้องชวนขนหัวลุก เพราะน่ากลัวมาก โดยนำหัวตุ๊กตาเก่ามาทาสีดำที่ทำให้ดูน่ากลัว แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว มีผ้าคลุมศีรษะสีดำยาวถึงกลางหลัง ยิ่งเวลาลมพัดผ้าคลุมปลิวไหวยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ จะนำหุ่นผีตัวนี้ไปสวมตอต้นมะพร้าวกลางสวน แม้เป็นช่วงกลางวันยังดูน่ากลัว เวลากลางคืนยิ่งน่ากลัวมากขึ้น

“เหตุที่สร้างหุ่นผีขึ้นในสวนมะพร้าวนั้น เพราะไม่ว่าคนปรกติ หรือโจรผู้ร้าย ทุกคนต่างกลัวผี จึงสร้างหุ่นผีผู้หญิงขึ้นมาช่วยเฝ้าสวนมะพร้าว แม้จะเป็นเพียงหุ่นแต่หากมาคนเดียวเปลี่ยวๆ ในสวนก็ขนหัวลุกได้เหมือนกัน ปรากฏว่าได้ผลมาก หลังสร้างหุ่นผีได้เพียง 1 สัปดาห์ ยังไม่มีโจรเข้ามาแอบสอยมะพร้าวในสวนอีกเลย เพราะโจรน่าจะกลัวหุ่นผี และทำให้บรรยากาศภายในสวนยิ่งวังเวง จากปกติโจรเข้ามาขโมยมะพร้าวแบบวันเว้นวัน ซึ่งสวนมะพร้าวของชาวบ้านบริเวณนี้โดนกันหมด ต่างเอือมระอา ไม่รู้จะหาวิธีไหนแก้ปัญหา เพราะไม่มีเวลาเล่นไล่จับโจร เชื่อว่าหุ่นผีตัวนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โจรกลัว ไม่กล้าเข้ามาขโมยมะพร้าวในสวน ซึ่งชาวบ้านทั่วไปลองไปทำกันดู พอจะช่วยได้ เพราะเรื่องผีไม่ว่าจะเป็นผีจริง หรือผีปลอมก็น่ากลัวเหมือนกันหมด” บังยา กล่าว

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. เว็บไซต์ เดอะมิร์เรอร์ รายงานปรากฏการณ์ตื่นตาตื่นใจ เมื่อชาวประมงนำหมึกขนาดยักษ์ ที่สามารถจับมาได้ ลากขึ้นฝั่งบนเกาะตาวี-ตาวี ประเทศฟิลิปปินส์

หมึกตัวยักษ์นั้นมีลำตัวยาวถึง 8 ฟุต (2.43 เมตร) และความกว้าง 18 นิ้ว (45 เซนติเมตร) ทำให้เป็นที่สนใจของชาวบ้านนับร้อยบนเกาะที่ยืนมุงดูกันอย่างไม่ขาดสาย เชื่อกันว่า เป็นหมึกตัวใหญ่ที่สุดที่เท่าที่เคยเห็นมาก่อนบนเกาะแห่งนี้ โดยชาวประมงลากขึ้นฝั่งเมื่อราว 9 โมงเช้า ตามเวลาท้องถิ่น นายฮาโรลด์ เอดัวร์โด เคอร์ติส หนุ่มชาวประมงรายหนึ่งบนเกาะ เล่านาทีที่ชาวประมงจับหมึกยักษ์ตัวนี้ว่า นำขึ้นฝั่งยากเพราะว่าตัวหนักมาก

“หมึกตัวนี้มีความสวยงามทั้งขาว สะอาด เป็นวาว มีสุขภาพแข็งแรงดี และยังอ่อนวัยอยู่ เนื้อของมันจะมีรสชาติดีมาก” นายเคอร์ติสกล่าวอีกว่า หมึกตัวนี้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นถูกจับที่นี่ ดูเหมือนจะมาจากตระกูลหมึกตัวใหญ่ และจะมีหมึกตัวขนาดนี้มากในมหาสมุทรและอาจใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ

กรมส่งเสริมสหกรณ์ กำชับคณะกรรมการบริหารสหกรณ์สโมสรรถไฟชั่วคราว เร่งแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เตรียมติดตามทรัพย์คืนจากผู้ที่กระทำความเสียหายต่อสหกรณ์

กรมส่งเสริมสหกรณ์ กำชับคณะกรรมการชั่วคราวสหกรณ์สโมสรรถไฟเร่งเครื่องแก้ปัญหาการดำเนินงาน ภารกิจด่วนดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายคืน สร้างสภาพคล่องช่วยสมาชิกได้กู้ยืมเงินได้ ก่อนเจรจาเจ้าหนี้ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น แล้วจึงประชุมวิสามัญตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาบริหาร

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากกรมส่งเสริมสหกรณ์มีคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ที่ 2/2561 ลง ณ วันที่ 2 เมษายน 2561 ให้คณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด ชุดที่ 12 พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และแต่งตั้งคณะกรรมการเป็นการชั่วคราว จำนวน 15 ราย เข้าไปบริหารงานแทนนั้น ล่าสุดทางคณะกรรมการชุดใหม่ได้มีการประชุมครั้งแรกแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมด เริ่มตั้งแต่เรื่องการเร่งรัดการดำเนินคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายกับคณะกรรมการ

ชุดที่ 7-11 และการเข้าไปฟื้นฟูการดำเนินงานของสหกรณ์ให้ดีขึ้น เพื่อให้การบริหารจัดการทางด้านการเงินกลับมามีประสิทธิภาพ มีสภาพคล่องเพียงพอให้สมาชิกสามารถกู้เงิน และมีเงินไปชำระหนี้ให้กับสหกรณ์เจ้าหนี้ที่เข้ามาฝากเงินหรือปล่อยกู้ให้กับสหกรณ์สโมสรรถไฟ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะเร่งทำงานให้เสร็จภายใน 180 วัน จากนั้นจึงมีการประชุมวิสามัญเพื่อคัดเลือกคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาดำเนินงานต่อไปได้

สำหรับการแก้ปัญหาเร่งด่วน ทางคณะกรรมการชั่วคราวทั้ง 15 ราย ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 และตัวแทนสมาชิกสหกรณ์สโมสรรถไฟ จะเร่งรัดดำเนินคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายคืน โดยเฉพาะวงเงินที่ได้มีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิก 6 ราย รวม 199 สัญญา เป็นจำนวนเงิน 2,285.87 ล้านบาท เบื้องต้นอาจต้องนำที่ดินที่ทางสมาชิกทั้ง 6 ราย ได้จำนองไว้ หรือนำทรัพย์สินของสมาชิกมาขายทอดตลาด เพื่อนำเงินไปคืนสหกรณ์สโมสรรถไฟส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินที่ได้มานั้นจะสามารถนำไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้ระบบสหกรณ์ เพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางการเงินของสมาชิกได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับการชำระหนี้เงินกู้ต่างๆ ให้กับเจ้าหนี้ได้ เพราะปัจจุบันทางสหกรณ์สโมสรรถไฟ มีเงินหมุนเวียนอยู่เพียงเดือนละ 55 ล้านบาท เท่านั้น

ขณะเดียวกันทางคณะกรรมการชั่วคราว ยังต้องเจรจากับทางเจ้าหนี้ของสหกรณ์สโมสรรถไฟทั้งหมด 15 ราย เพื่อจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้คืนให้กับสหกรณ์เจ้าหนี้ เช่น การกำหนดระยะเวลา หรือวงเงินว่าจะสามารถชำระเจ้าหนี้ได้เท่าไร และเหลือวงเงินเท่าไร โดยที่ผ่านมาได้มีการหารือไปแล้ว 2 ครั้ง โดยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ได้ขอให้ทางคณะกรรมการชุดใหม่ได้ไปจัดทำแผนฟื้นฟูฉบับใหม่มาก่อน แล้วจากนั้นจึงนัดคุยกันอีกครั้ง ในวันที่ 18 เมษายน นี้ เพื่อตรวจสอบแผนฟื้นฟูและแนวทางการชำระเงินคืน จากนั้นจึงนัดกันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ 27 เมษายน นี้ เพื่อสรุปผลการเจรจาให้เสร็จสิ้น

สำหรับภาพรวมของการดำเนินงานของสหกรณ์สโมสรรถไฟนั้น พบว่า มีทุนดำเนินงานทั้งหมดประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยวงเงินจำนวนนี้ เป็นเงินฝาก หรือเงินกู้จากสหกรณ์อื่น จำนวน 15 แห่ง คิดเป็นวงเงินประมาณ 3,200 ล้านบาท เป็นเงินหุ้นสมาชิก 760 ล้านบาท เป็นเงินฝากของสมาชิก 280 ล้านบาท และในวงเงินนี้เป็นเงินที่ทางคณะกรรมการชุด นำไปใช้ปล่อยให้กู้ให้กับสมาชิกประมาณ 2,080 ล้านบาท อีกส่วนเป็นเงินที่ทางคณะกรรมการชุดเก่าปล่อยกู้ให้กับสมาชิก 6 ราย เป็นเงินประมาณ 2,200 ล้านบาท ส่วนรายรับในแต่ละเดือนมาจากต้นเงินและดอกเบี้ยจากที่สมาชิกกู้ยืมเงินประมาณ 55 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ทางสหกรณ์ได้แบ่งไปจ่ายเจ้าหนี้ส่วนหนึ่งตามสัญญา จึงทำให้เหลือเงินหมุนเวียนเพียงเดือนละประมาณ 5-6 ล้านบาท มาปล่อยให้สมาชิกกู้เงิน จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านสภาพคล่อง

“ตอนนี้กรมฯ ได้สั่งการให้ทางสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์สโมสรรถไฟทุกระยะอย่างใกล้ชิด ขณะที่อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ก็สั่งให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ ส่วนอีกเรื่องสำคัญก็อยากให้สมาชิกทั้งของสหกรณ์สโมสรรถไฟ และสมาชิกของสหกรณ์เจ้าหนี้ทั้งหมด มีความมั่นใจ และเชื่อมั่นกับการดำเนินงานของสหกรณ์และการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะจากการตรวจสอบสถานะทางการเงินของสหกรณ์เจ้าหนี้ทั้งหมดยังพบว่ามีสภาพคล่องที่ดี และไม่มีปัญหา”

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ในแนวทางการควบคุมปัญหาดังกล่าว ไม่ให้เกิดผลกระทบในภาพรวม ล่าสุดกรมฯ ได้สั่งการศูนย์วิเคราะห์ทางการเงินของกรมฯ แจ้งไปยังสหกรณ์ต่างๆ ให้รีบรายงานผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการตรวจสอบดูว่ามีสหกรณ์ใด เอาไปให้ที่ไหนกู้บ้าง แล้วให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าสหกรณ์ที่รับเงินกู้ เงินฝากไปแล้ว เอาเงินไปลงทุนอย่างไรต่อ เพื่อให้สหกรณ์ได้ดูแลลูกหนี้ตัวเองว่ามีความสามารถในการจ่ายหนี้คืนได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ และยังได้ไปยังสหกรณ์ทุกจังหวัดให้เข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของทุกสหกรณ์ และให้ส่งข้อมูลมาที่ส่วนกลางได้ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังเตรียมกำกับดูแลสหกรณ์ให้ดำเนินงานเป็นไปตามมติของที่ประชุม ครม. 7 มีนาคม 2560 ที่เห็นชอบให้นายทะเบียนสหกรณ์ออกเกณฑ์กำกับสหกรรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ให้สหกรณ์ระมัดระวังการให้กู้ยืมกัน โดยเกณฑ์นี้ได้กำหนดว่าจะเอาเงินของตัวเองไปฝากหรือกู้ได้ ไม่เกิน 10% ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของตัวเอง ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

เมื่อวันที่ 9 เมษายน นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ นายอำเภอพระนครศรีอยุธยา พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายโรตีสายไหม ริมถนนอู่ทอง ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา หลังมีกระแสโซเชียลส่งต่อข้อมูลว่า พบสารกันปูดตกค้างในโรตีสายไหมเกินค่ามาตรฐาน ทำให้สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับผลกระทบ ยอดขายลดลงอย่างมาก เนื่องจากกท่องเที่ยวขาดความมั่นใจในการเลือกซื้อ

นายอุดม ขำมี สาธารณสุขอำเภอพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สารกันปูด หรือสารเบนโซอิก ในอาหารต้องมีไม่เกินค่ามาตรฐานที่ อย.กำหนด คือ 1,000 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เก็บตัวอย่างโรตีสายไหมจากทุกร้านค้าไปตรวจ ทั้งตัวแผ่นโรตี และสายไหมรสหวาน พบโรตี 4 ร้าน มีสารกันบูดตกค้างเกินค่า อยู่ที่ 1,100 – 1,500 มิลลิกรัม/โรตีสายไหม 1 กิโลกรัม จึงตักเตือนไปแล้ว พร้อมคาดโทษให้ดำเนินการแก้ไข ส่วนค่าของสีผสมอาหารต้องไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ซึ่งพบส่วนใหญ่ทุกร้านค้าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

“ขอให้ผู้ค้ารวมกลุ่มตรวจสอบพฤติกรรมกันเอง เพราะหากร้านใด ทำให้เสียภาพลักษณ์ ทุกร้านจะได้รับผลกระทบ ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่จะสุ่มเก็บตัวอย่างไปตรวจ หากร้านค้าใดยังกระทำความผิด จะดำเนินการทางกฎหมาย ตามอำนาจของพระราชบัญญัติอาหาร ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) รวมถึงทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลดังกล่าว ระหว่าง วันที่ 11 เม.ย. 2561 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 18 เม.ย. 2561 เวลา 24.00 น.

ทั้งนี้ ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ยังคงเก็บค่าผ่านทางตามปกติ พร้อมกันนี้ กทพ. ยังได้เตรียมจัดตั้งหน่วยบริการประชาชนบนทางพิเศษ เพื่อรองรับการเดินทางในเทศกาลสงกรานต์ ณ ด่านฯ บางแก้ว 1 ด่านฯ บางปะอิน (ขาเข้า) ด่านฯ บางปะอิน (ขาออก) ด่านฯ จตุโชติ และด่านฯ ดาวคะนอง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ท่านที่เดินทางกลับภูมิลำเนาโปรดขับช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของท่าน