สวนขวดและสวนถาด สร้างเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มจากสิ่งที่มี

ดิฉัน (นางสาวกรกต มรรคสมุทร และ นายวสันต์ แสงอินทร์) เป็นผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับอยู่แล้ว จึงได้มองเห็นโอกาสนี้ ได้ออกแบบและศึกษาลองผิดลองถูกมาหลายครั้งจนพบว่าเราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการปลูกไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่เราเพิ่มใส่ไอเดียและงานปูนเข้าไปผสมผสานเกิดมาเป็นสวนขวดและสวนถาดขนาดเล็กที่สร้างเรื่องราวต่างๆ ปนจิตนาการลงไป ที่สามารถนำมาตกแต่งในที่พัก ซึ่งใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยก็สามารถปลูกเลี้ยงและนำมาประดับตกแต่งที่พักให้ดูสบายตา คลายเครียด สามารถดูดสารพิษ เกิดความผ่อนคลายได้อีกด้วย

การลองผิดก็ดี ลองถูกก็ยิ่งดีใหญ่ ดังนั้น จงกล้าที่จะลอง ยิ่งลองก็ยิ่งรู้จริง จุดเริ่มต้นที่ผู้เขียนเริ่มมาสร้างมูลค่าเพิ่มจากการที่ผู้เขียนปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพียงอย่างเดียว และได้สนใจศึกษาเกี่ยวกับงานปูนปั้นต่างๆ จึงได้ลองศึกษาเกี่ยวกับการทำกระถางด้วยปูนก่อน เพราะส่วนตัวนั้นผู้เขียนชอบงานปูนมาก เนื่องจากลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่แข็งแรงของปูนซีเมนต์ จนผู้เขียนได้ลองทดลองทำตามข้อมูลจากหลายแหล่งจนพบส่วนผสมที่เหมาะสมต่อการผสมปูนซีเมนต์ขาวคือ อัตราปูนต่อน้ำเปล่า 2 : 1 โดยทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง และไม่ต้องนำไปตากแดด แต่ควรทิ้งไว้ในที่ร่มที่อุณหภูมิห้อง

เนื่องจากการนำไปตากแดดนั้นเป็นการเร่งให้เนื้อปูนแห้งเร็ว เนื้อปูนจึงยังไม่เซ็ตตัวดี เมื่อแห้งจะเกิดการแตกร้าวและเปราะง่ายนั้นเอง จากนั้นผู้เขียนได้นำปูนซีเมนต์ขาวมาลองผสมน้ำ ในอัตรา 2 : 1 และสร้างแบบขึ้นมาจากวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง ดินน้ำมัน หรือเศษไม้ต่างๆ เพื่อนำมาทำเป็นกรอบของแบบ หรือการนำดินน้ำมันมาปั้นตามแบบที่เราต้องการ เช่น แผ่นทางเดิน บ้านจิ๋ว เห็ดจิ๋ว ตู้ไปรษณีย์จิ๋ว เป็นต้น

และนำปูนที่ผสมเทลงไปในแบบ รอจนแห้ง แกะแบบออกก็จะได้แบบตามต้องการ ให้นำกระดาษทรายมาขัดเพื่อให้เกิดความเนียนบนพื้นผิวหรือรูปทรงตามต้องการ ซึ่งบางครั้งงานปูนก็ยังสามารถผสมผสานกับงานไม้ได้ด้วยแต่ต้องใช้จินตนาการเข้ามาช่วยจะทำให้นึกภาพออกได้ง่ายขึ้น เช่น การทำตู้ไปรษณีย์ ผู้เขียนจะเลือกใช้ปูนเป็นส่วนของตัวตู้และจะเลือกใช้ไม้จากไม้เสียบลูกชิ้นมาทำเป็นฐาน แล้วใช้ปืนกาวช่วยยึดให้ติดกัน

จากนั้นนำมาลงสีเพื่อให้เกิดความสวยงามและเหมือนจริง โดยเลือกใช้สีอะครีลิก เนื่องจากสีอะครีลิกนั้นเป็นสีที่ทึบแสง แห้งไว และทนทานมาก จึงเหมาะกับงานปูนที่ต้องการความทนทาน จากนั้นพ่นสเปรย์เคลือบเงาหรือแล็กเกอร์เพื่อเพิ่มความทนทานให้วัสดุเพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนเทคนิคการสร้างทางเดินในสวนที่สำคัญคือ การใส่ทรายลงไปในกระถางให้เต็มก่อน

จากนั้นนำกระดาษแข็งมาทำเป็นแบบเป็นแนวทางเดินโดยใช้ไม้ขนาดเล็กช่วยบังคับเส้นทางบนสวนถาด นำปูนซีเมนต์ขาวโรยตามแนวทางเดินที่ได้ทำไว้จนเต็ม ก็เคาะกับโต๊ะเพื่อให้ปูนเสมอกันตามแบบและนำหินลวดลายต่างๆ มาตกแต่งตามจินตนาการบนเส้นทาง โดยใช้ปากคีบหรือฟอร์เซป คีมหนีบ มาช่วยจัดวางหินได้อย่างตรงตามตำแหน่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้นและใช้ปากคีบกดให้หินจมไปครึ่งหนึ่งของตัวหิน

จากนั้นนำน้ำมาฉีดสเปรย์บนทางเดินจนชุ่มจนเห็นว่าน้ำดูดซึม เห็นว่าหินที่จัดวางไว้ได้อย่างชัดเจน จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อครบ 1 วัน แล้วแกะกระดาษแข็งอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันการแตกรอบขอบทางเดิน จากนั้นเททรายที่อยู่ภายในกระถางออกให้หมดจะได้รูปของกระถางที่มาพร้อมทางเดินตรงกลางของกระถาง ที่ผู้เขียนใช้ทรายเนื่องจากประสบการณ์ เมื่อใช้ดินเป็นพื้นและมีการเทปูนลงไปในแบบ ฉีดน้ำ และรอจนปูนแห้งจะได้รูปทรงทางเดินเหมือนกัน

แต่เมื่อนำต้นไม้ปลูกพบว่า ต้นไม้ตายเนื่องจากเศษปูนที่ละลายปนกับดินนั้นเป็นพิษกับต้นไม้ทำให้ต้นไม้ตาย จึงปรับเปลี่ยนเป็นการใช้ทรายเพื่อพยุงทำเป็นทางเดินและเมื่อแห้งให้เททรายออกให้หมด จะกลายเป็นทางเดินที่แห้งแข็งไม่ละลาย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อต้นพืช เมื่อได้ทางเดินที่สมบูรณ์แล้ว จากนั้นใส่กาบมะพร้าวสับลงไปที่ก้นกระถาง ตามด้วยดินและนำไม้ประดับปลูกลงไป ต้นไม้ที่ผู้เขียนเลือกปลูก เช่น ต้นสายรุ้ง, ต้นแพรหยก, ต้นแพรทอง, ต้นริบบิ้นเขียว, ต้นเล็บครุฑด่าง, ต้นริบบิ้นชาลี ซึ่งล้วนแล้วเป็นไม้ขนาดเล็กและเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย นำมาปลูกเลี้ยง จากนั้นนำอุปกรณ์ที่ได้เตรียมไว้มาตกแต่ง เช่น บ้านจิ๋ว, เห็ด, แผ่นทางเดิน มาวางในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่งแต้มด้วยจินตนาการด้วยตัวการ์ตูนต่างๆ ก็สามารถเพิ่มเรื่องราวให้สวนถาดได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก จนมาเป็นสวนถาดขนาดจิ๋วที่พร้อมจะมอบความสดใสให้กับผู้เลี้ยงได้ไม่ยากนัก

จากการต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่เดิมคือ ไม้ดอกไม้ประดับที่ชอบแล้ว ผู้เขียนได้ลองสร้างสวนขวดทั้งแบบระบบปิดและระบบเปิด ซึ่งทั้ง 2 ระบบ นี้มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นชนิดของต้นไม้ วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน และสถานที่ตำแหน่งการจัดวาง ซึ่งพบว่า ในการจัดสวนตามแบบเปิดนั้นสามารถเลือกพืชทั่วไปที่ต้องการน้ำและความชื้นตามอุณหภูมิห้อง ต้องการน้ำแต่ไม่มากนัก เช่น ตะบองเพชร, สายรุ้ง, บุษบาพารวย, ริบบิ้นชาลี, แพรหยก, แพรทอง, ริบบิ้นเขียว, ริบบิ้นแดง, เกล็ดแก้ว, เล็บครุฑ, มะพร้าวทะเลทราย เป็นต้น ซึ่งก็สามารถเลือกตามความชอบของผู้ปลูก

วิธีการปลูกสวนขวดแบบเปิด มีขั้นตอนดังนี้เตรียมขวดโหลแก้วที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำหินภูเขาไฟมารองพื้นให้เต็มเพื่อเพิ่มการระบายน้ำไม่ให้เกิดการขังของน้ำในขวดโหล แล้วนำลงค่อยๆ เติมลงไปจนทั่ว จนไม่เห็นหินภูเขาไฟ แล้วทำการเลือกไม้ประดับที่เราต้องการโดยการเลือกไม้ประดับในการจัดสวนขวด ควรมีต้นไม้ตามหลักการจัดสวนคือ ไม้หลัก ไม้รอง และไม้พุ่มหรือไม้คลุมดิน และนำต้นไม้ที่เอาดินออกโดยให้เหลือแต่ต้นกับรากติดมาเท่านั้น จัดวางตามตำแหน่งที่ต้องการปลูกภายในโหลแก้วและนำดินมาเติมโดยค่อยๆ เดิมด้วยการใช้ช้อนจะช่วยให้ดินและต้นไม้อยู่ในตำแหน่งเดิม

เมื่อเติมดินจนเต็มและโคนต้นแน่นสามารถยืนทรงต้นได้แล้วให้ฉีดน้ำ 1 ครั้ง และเติมดินอีกครั้งจนเต็ม จากนั้นนำหินขนาดต่างๆ มาประดับให้เป็นเส้นทางเดิน หรือนำแผ่นทางเดินมาวาง และโรยด้วยหินชนิดต่างๆ เพิ่มเรื่องราวเติมแต่งแล้วแต่จินตนาการที่ชอบ จากนั้นเสริมแต่งด้วยตุ๊กตาหรือสัตว์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดใสและเรื่องราวที่สมจริงเข้าไปก็ทำให้สวนขวดมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย

จากที่กล่าวมานั้น ผู้เขียนมีการเปิดช่องทางการขายหลากช่องทาง เช่น จากการขายงานเกษตรแฟร์ลาดกระบัง งานถนนคนเดินลาดกระบัง งาน Art Street ลาดกระบัง และช่องทางเครือข่ายออนไลน์ทาง facebook (https://web.facebook.com/ไม้ประดับราคาไม่แพง) และทาง Instagram ในชื่อ (gamkorrakot) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถเป็นแหล่งแสดงสินค้าและข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย สามารถตรวจสอบการสั่งซื้อของลูกค้า ได้พูดคุยกับลูกค้าโดยตรง สามารถสอบถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงได้ ซึ่งผู้ปลูกก็จะเข้ามาตอบข้อซักถามรายละเอียดต่างๆ

แต่เนื่องด้วยสวนขวดและสวนถาดนั้นมีความบอบบางมาก และเสียหายง่ายจากการกระทบกระเทือนจึงไม่เหมาะต่อการส่งผ่านทางไปรษณีย์ เหมาะกับการขายผ่านทางหน้าร้านเพราะลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนวัสดุตกแต่งตามที่ต้องการได้ ถึงแม้จะไม่เหมาะกับการส่งทางไปรษณีย์ แต่ผู้เขียนพบว่าสามารถสร้างมูลค่าจากการขายเดิมจะขายไม้ประดับกระถางละ 20-30 บาท แต่เมื่อนำมาตกแต่งงานปูน และใส่ต้นไม้ลงไปจะขายในราคากระถางละ 100-200 บาท ถือว่าสามารถเพิ่มรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากสิ่งที่มีอยู่เดิมให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วยการไม่หยุดคิด ไม่หยุดพัฒนานั้นเอง

การที่สังคมทุกวันนี้มีความเจริญเติบโตมากขึ้น ก็เป็นเพราะมีคนขยัน มีคนพัฒนาตนเองตลอดเวลา ทำให้ประเทศชาติเดินทางไปได้ สังคมเดินหน้า และการที่เรานั้นมีทรัพยากรที่ดีอยู่ในมือ มีความพร้อมนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากเราไม่หยุดพัฒนาทรัพยากรของเราเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งตัวเองเอง ชุมชน และประเทศชาติก็จะพัฒนาไปพร้อมๆ กัน อยู่ที่ว่าเราจะมาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไหม เราจะอยู่อย่างเท่าทันสถานการณ์ เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมของข้อมูลความรู้ที่สามารถค้นหาได้เพียงปลายนิ้ว เพียงแค่เราจับเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์และลงมือทำเท่านั้น สิ่งที่คิดหรือความฝันก็กลายเป็นจริงได้ “เพียงแค่ลงมือทำและไม่หยุดพัฒนาตัวเอง”

ทั้งนี้ ผู้เขียนหวังว่าบทความเรื่อง เพียงทำในสิ่งที่ชอบสู่การสร้างชีวิตที่มีเป้าหมาย ตอน สวนขวดและสวนถาดพาเพลิน นั้นจะเกิดประโยชน์สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อย และหากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกหอมแดงใหญ่ของประเทศ โดยจังหวัดศรีสะเกษ มีขนาดพื้นที่ปลูกหอมแดงเป็นอันดับ 1 ของภาค ซึ่งสร้างรายได้ให้เกษตรกรค่อนข้างมาก โดยหอมแดงเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น ระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยวอยู่ที่ประมาณ 45-70 วัน เกษตรกรนิยมเตรียมพันธุ์ของตนเองไว้ และบางส่วนสั่งซื้อจากจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบกับหน่วยงานภาครัฐดำเนินการส่งเสริมรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่ โดยเป็นสินค้าของดีจังหวัดศรีสะเกษ

ปัจจุบัน ราคาที่เกษตรกรขายได้ของจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2561 หอมปึ่งราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 15-20 บาท โดยขณะนี้ พื้นที่ปลูกหอมแดงจะอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบแรก ส่วนหอมแดงที่ปลูกในพื้นที่ทำนา เกษตรกรกำลังเร่งทำการปลูก ซึ่งคาดว่า ผลผลิตของจังหวัดจะออกมากในปลายเดือนธันวาคม 2561 ถึงมกราคม 2562

ด้าน นายไพทูรย์ สีลาพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานี (สศท.11) กล่าวเสริมว่า หอมแดงเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น โดยสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม จะส่งผลต่อปริมาณผลผลิต หากปีใดสภาพอากาศหนาวเร็ว ฝนไม่ชุก ปริมาณความชื้นในอากาศสูง การเจริญเติบโตจะดีและผลผลิตจะดีตามด้วย อย่างไรก็ตาม พบว่า ปีนี้สภาพอากาศร้อน หอมแดงอาจเกิดโรคหอมเลื้อย หรือโรคหมานอน โดยต้นหอมเกิดอาการบิดเบี้ยวและราบลงกับพื้นดิน (เกิดจากเชื้อราคอลลีท็อตทริคั่ม เข้าทำลายผิวเนื้อเยื่อโคนต้นเน่าเสียหาย) และจะส่งผลปริมาณผลผลิตตกต่ำหรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

ดังนั้น จึงขอเตือนเกษตรกรให้ดูแลแปลงเพาะปลูก หากพบหรือสงสัยหอมแดงจะเป็นโรคหมานอน สามารถเก็บเกี่ยวเป็นหอมสดก่อนที่จะปล่อยให้ลงหัวได้ หรือคลุกหัวพันธุ์ หรือฉีดพ่นดินด้วยสารกันเชื้อรา หรือใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่าก่อนปลูกเพื่อป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับเชื้อรา ซึ่งเกษตรกรสามารถขอคำปรึกษาได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัด หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานี โทร. 0 4534 4653 – 4 หรืออีเมล

ลพบุรี – นายสุปกิต โพธิ์ปภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา โรงเรียนช่องสาริกา” (Partnership School) ณ โรงเรียนช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โดยมี นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร เครือเบทาโกร ดร.ปัญญา แก้วเหล็ก ศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี ผศ.ดร.เฉลิมชัย หาญกล้า รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี นายสมบัติ ท้าวสาบุตร ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 9 ตำบลช่องสาริกา และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องจากภาคราชการ สถาบันการศึกษา และชุมชนในพื้นที่เข้าร่วม

โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่ผู้เรียน ให้สถานศึกษาซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคนในชุมชน เป็นศูนย์กลางการพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิต ยกระดับความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ในการบริหารจัดการ ร่วมพัฒนาและสนับสนุนสถานศึกษา ให้ได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างทั่วถึง นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวนัส กล่าวว่า เครือเบทาโกรมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้สังคมไทยผ่านแนวคิดการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic – Area Based Community Development: HAB) มาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยครอบคลุมใน 5 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสุขภาพ ซึ่งมิติด้านการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาผ่านโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา โดยผลักดันให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนในการพัฒนาระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น ซึ่งเครือเบทาโกรได้คัดเลือกโรงเรียนช่องสาริกาเป็นโรงเรียนนำร่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาโดยมีเป้าหมายคือ สร้างเด็กดี เด็กเก่ง ที่ไม่ทิ้งถิ่นฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“แนวทางการพัฒนาการศึกษารูปแบบ Partnership School ของเครือเบทาโกร คือนำหลักการและแนวคิดการพัฒนาด้านการศึกษา จากโครงการ 1 โรงเรียน 1 โรงงาน 1 หมู่บ้าน ที่เครือเบทาโกรดำเนินโครงการอยู่ในพื้นที่ตำบลช่องสาริกา รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงพื้นที่แบบองค์รวมหรือ HAB มาประยุกต์ใช้ โดยมีแผนการดำเนินงานระยะสั้นคือเพื่อยกระดับความรู้ของเด็กนักเรียนให้มีคะแนนสอบที่สูงขึ้น เช่น การวัดความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ (NT) หรือ การสอบ O-NET ระยะกลางเน้นการพัฒนาวิธีการเรียนการสอน (Constructionism) และพัฒนาการบริหารจัดการในโรงเรียน ส่วนระยะยาว ให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ Career Based Academy โดยความสำเร็จของโครงการคือ เด็กนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น เด็กมีคุณธรรมจริยธรรม และทุกภาคส่วนร่วมพัฒนา เห็นคุณค่าชุมชน” นายวนัส กล่าว

สำหรับคณะทำงานโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ช่องสาริกา ประกอบด้วยภาคีร่วมดังนี้ ภาคีที่ 1 โรงเรียนพี่เลี้ยง: โรงเรียนอนุบาลพัฒนานิคม ภาคีที่ 2 ภาคเอกชน: เครือเบาโกร ภาคีที่ 3 มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี และภาคีที่ 4 ภาคประชาสังคม: วัด ผู้ใหญ่บ้าน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ปราชญ์ชุมชน

คุณชฎาพร เบ็ญมาศ หรือ ครูเวย์ อยู่บ้านเลขที่ 4/2 หมู่ที่ 6 ตำบลนิยมชัย อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ครูสอนดนตรีผู้มีอาชีพเสริมคือการเพาะเลี้ยงหนูพุกขาย ครูเวย์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี คณะครุศาสตร์ เอกดนตรีศึกษา ปัจจุบัน เป็นครูสอนดนตรีอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี

ครูเวย์ เล่าว่า ที่บ้านพ่อและแม่ทำไร่ทำสวน ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อยอยู่แล้ว ตนจึงได้คลุกคลีอยู่กับไร่กับนามาตั้งแต่เด็ก หนูก็กินบ่อย อีกทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็บริโภคหนูกันเป็นประจำ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบรสชาติของหนู คิดว่าอร่อยเนื้อนุ่ม หากจะเพาะเลี้ยงหนูขายเองได้จะดีแค่ไหน เพราะในปัจจุบันหากินได้ยาก ราคากิโลกรัมหรือตัวละ 100-200 บาท จึงมองเห็นช่องทางสร้างอาชีพจากตรงนี้ เมื่อมองเห็นโอกาส หลังจากนั้น ครูเวย์จึงเริ่มศึกษาใช้เวลาหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและปรึกษาพี่ที่รู้จักเป็นเวลา 3 เดือน ศึกษาวิธีการเลี้ยง พฤติกรรม อาหาร รวมถึงสถานที่เหมาะกับการเลี้ยง เงินทุนเท่ากับศูนย์ และพอดีกับที่บ้านมีบ่อเลี้ยงปลาเก่าก่ออิฐบล็อกเพิ่มก็สามารถเลี้ยงได้แล้ว

วิธีเตรียมตัวในการเลี้ยงครั้งแรก บางคนอาจกังวลเรื่องสถานที่ว่าต้องมีร่มไม้หรือไม่มีร่มไม้ หนูเป็นสัตว์ที่ทนต่อทุกสภาพอากาศ ร้อนก็ได้ หนาวก็ได้ ถ้าสถานที่เลี้ยงไม่มีร่มไม้เลย ให้หาวัสดุกันแดดมามุงเล็กน้อย แต่ถ้าที่บ้านมีร่มไม้อยู่แล้วก็สามารถเลี้ยงได้เลย และหากนึกถึงหนูจะนึกถึงความว่องไว ถ้าคิดจะเลี้ยงแนะนำให้ใช้วงปูนเลี้ยงจะง่ายกว่า และทำความสะอาดง่าย ใช้วางซ้อนกันสองวงหนูก็จะหนีไม่ได้ เพราะหนูที่เลี้ยงกับหนูที่จับมาทางธรรมชาติจะต่างกัน หนูที่เลี้ยงจะเชื่องและเลี้ยงง่ายกว่า

หนูพุก แบ่งออกได้ 2 สายพันธุ์ คือ หนูพุกเล็ก และหนูพุกใหญ่ การเพาะเลี้ยงหนูพุกของครูเวย์เป็นหนูพุกเล็ก ไม่ต้องลงทุนมาก เริ่มหาพ่อแม่พันธุ์

อายุของหนูที่เริ่มผสมพันธุ์ได้คือ 3 เดือนครึ่ง ให้จับตัวผู้และตัวเมียมารวมกันในบ่อเลี้ยงเพื่อให้หนูได้ผสมพันธุ์กัน โดยมีอัตราการปล่อยคือ ตัวผู้ 1 ตัว ต่อตัวเมีย 3-4 ตัว มีวิธีการสังเกตเพศระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย ตัวผู้อวัยวะเพศจะมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจและอยู่ห่างกับรูทวาร ตัวเมียจะมีอวัยวะเพศที่ค่อนข้างยาวแหลม

หนูใช้เวลาตั้งท้อง 1 เดือน สังเกตอย่างไรว่าหนูกำลังท้อง ให้จับหางแล้วยกดู ถ้าตัวเมียตั้งท้องจะมีนมออก จากนั้นหลังคลอด 20 วัน หนูจะเริ่มลืมตาได้ ปล่อยให้อยู่กับแม่ก่อน หลังจากนั้น เมื่อหนูสามารถหาอาหารเองได้ให้จับแยกลูกออก เพื่อจับแม่ไปเพาะพันธุ์ต่อ

ตัวเมียจะมีรูติดกับอวัยวะเพศ
ในตอนนี้ครูเวย์จะเน้นขายพ่อแม่พันธุ์เป็นหลัก สามารถขายได้ตั้งแต่หนูลืมตา ขายเป็นตัวหรือเป็นคู่ หรือลูกที่เพิ่งออกมาแล้วให้ลูกค้าไปเพาะพันธุ์ต่อ ตัวละ 100 บาท อายุ 2 เดือน ราคาตัวละ 150 บาท และถ้าเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมผสมจะขายคู่ละ 600 บาท ลูกที่ออกมาเฉลี่ยอย่างน้อย 6 ตัว ยังไม่ได้มีการเลี้ยงเพื่อขายเนื้อให้คนบริโภค

อาหารที่ใช้เลี้ยงหาได้ตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่ คือมันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หอยเชอรี่ และพืชผักทุกชนิด วิธีการให้คือนำอาหารที่จะให้ไปวางไว้ในบ่อเลี้ยงเดี๋ยวเขาจะมากินเอง เพราะบางท่านอาจไม่มีเวลาต้องทำงานประจำ ก็สามารถให้อาหารทิ้งไว้กะว่าพอให้เขากินอิ่ม การเลี้ยงหนูถือว่าเลี้ยงไม่ยาก จะมีแค่ต้องคำนึงถึงการเก็บเศษอาหารที่เขากินนิดหน่อย แค่นั้นเอง แต่ค่อนข้างนานในการเก็บสักครั้ง อาจเป็น 3 สัปดาห์ เก็บ 1 ครั้ง

บ่อเลี้ยงหนูของครูเวย์เป็นบ่อเลี้ยงปลาเก่าสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ 2×2.5 เมตร ความสูงก้อนอิฐบล็อกประมาณ 5 ก้อน บ่อหนึ่งที่เลี้ยงตอนนี้ปล่อยได้ประมาณ 200 ตัว แต่ถามว่าทั่วไปเขาเลี้ยงกันโดยส่วนมากจะใช้บ่อวงปูน ซ้อนเทินกัน 2 วง แล้วก็ปล่อยตัวผู้ตัวเมียลงผสมพันธุ์ อันนี้สำหรับคนที่ไม่มีพื้นที่

ภายในบ่อให้ใส่แกลบ ถ้าใครไม่มีแกลบก็สามารถใช้ฟางได้ ใส่เพื่อให้เขามีที่หลบที่คุ้ย และอาจจะมีการใส่ดินลงไปสักนิดเพื่อให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด

อย่างที่ทราบกันดีว่าหนูเป็นตัวพาหะนำโรค ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจความสะอาดเป็นพิเศษ น้ำต้องหมั่นเปลี่ยนโดยการผสมอีเอ็มลงในน้ำ เวลาหนูฉี่หรือขับถ่ายออกมาจะไม่มีกลิ่น และแกลบที่ใส่รองในบ่อมีคุณสมบัติช่วยย่อยและดูดกลิ่นฉี่ได้ด้วย วิธีนี้ถือว่าได้ผล เลี้ยงไว้หน้าบ้านก็ไม่มีกลิ่น

ถ้าห่วงเรื่องโรคตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว ยกตัวอย่างที่จังหวัดพิจิตรเขาเลี้ยงทำเนื้อประมาณ 25 ปี ไม่เคยมีปัญหาเรื่องโรคฉี่หนูหากคลุมเรื่องความสะอาดได้ อาจจะมีโรคปอดบวม หรือหนูกัดกันให้ใช้วิธีแยกตัวเจ็บออก

ก่อนจะจับหนูทุกครั้งให้สวมถุงมือกันหนูกัด และใช้เหล็กยาวจับยกที่หางมีแค่นี้ก็สามารถจับใส่กรงขายได้เลย ใน 1 กรง สามารถใส่หนูตัวใหญ่ได้ 2 ตัว ถ้าเป็นตัวเล็กใส่ได้ 6 ตัว กรงที่ใช้ใส่เป็นกรงดักหนูทั่วไป หากลูกค้าสั่งซื้อจะมีการตกลงก่อนว่าจะซื้อกรงจากเราหรือเขามีกรงเอง เราจะบอกลูกค้าว่าค่ากรง กรงละ 60 บาท การส่งทุกครั้งจะมีการลดและการแถมเพราะเราเข้าใจว่ามือใหม่ต้องเกิดความไม่มั่นใจกันเป็นธรรมดา ราคาส่งถ้าอยู่ไกลคิด 600 บาท บางคนสั่งหนูเอาแบบท้องรอคลอดเลย บางฟาร์มขายตัวละ 700 บาท แต่ที่ฟาร์มนี้ขายตัวละ 500 บาท เพราะคนเริ่มสนใจเยอะ ไม่มีการโก่งราคา

เพาะขายพ่อ-แม่พันธุ์กำลังไปได้ดี ตลาดเนื้อไม่พอความต้องการผู้บริโภค

การตลาดถือว่ากำลังไปได้ดี ครูเวย์เริ่มเพาะเลี้ยงขายพ่อแม่พันธุ์เป็นเวลาปีครึ่ง ตอนนี้หนูที่เลี้ยงมีประมาณ 400 ตัว เพาะพันธุ์ไม่พอขาย ลูกค้าจองกันมาตั้งแต่ลูกยังไม่ทันออก รายได้ถือว่าดีมาก ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

คิดเป็นเดือน อย่างช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมามีรายได้จากการขายพ่อแม่พันธุ์ และหนูเพิ่งเกิดได้เป็นเงิน 30,000 บาท

ลูกค้าที่สั่งซื้อพ่อแม่พันธุ์ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากต่างจังหวัด และในอำเภอใกล้เคียง ตอนนี้เริ่มมีคนสนใจ เข้ามาเยี่ยมชมฟาร์มอยู่เรื่อยๆ ลูกค้าจะทราบข้อมูลจากทางเฟซบุ๊ก และทางเพจ ซื้อขายหนูพุก ลพบุรี ลูกค้าจะใช้วิธีเสิร์ชหาข้อมูลแหล่งที่ขายหนูบริเวณใกล้เคียงกับที่อยู่ เราจึงได้ลูกค้าจากตรงนี้อีกทางหนึ่ง

“มีคนถามมาเยอะว่า ราคาเนื้อกิโลละเท่าไร เรายังไม่ทำ เพราะถ้าเราขายเนื้อคือหนูของเราต้องเยอะมากๆ เยอะขนาดหนูไม่มีที่จะอยู่ ถ้าแถวบ้านขายเนื้อกิโลละ 200 บาท ตัวหนึ่งหนักประมาณ 4 ขีด ถือว่าแพง ขณะนี้ตลาดเนื้อเรียกได้ว่าไม่พอต่อผู้บริโภค เพราะยังมีผู้บริโภคอีกมากที่ชื่นชอบเนื้อหนูมากกว่าเนื้อหมู แต่หาซื้อกินไม่ได้” ครูเวย์ บอก

หนูพุก จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ เนื้อจะนุ่มหวาน ผู้ที่ชอบบริโภคบอกว่าต่างจากเนื้อหมู ไม่เหม็นสาบ ยิ่งช่วงหน้าแล้งจะอร่อยเป็นพิเศษ บางคนบอกว่าย่างแล้วเอามาลาบอร่อยมาก

ครูเวย์ บอกว่า การเลี้ยงหนูพุกไม่ยาก แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ครั้งแรกถ้าไม่มีต้นทุนเดิมคือ บ่อปลาเก่า ให้ใช้วงบ่อซีเมนต์เทินกัน 2 บ่อ สามารถเลี้ยงได้ ถ้าผู้เลี้ยงอาศัยอยู่ในชุมชนเมืองไม่สามารถปลูกผักเองได้ ให้หาเศษผักตามตลาดมาให้ก็ได้

“การหาตลาดหลายคนกังวลว่าเลี้ยงมาแล้วกลัวไม่มีตลาดรองรับ ที่นี่จะแนะนำลูกค้าไปว่าให้ลูกค้าเพาะให้ได้ลูกมาก่อน หากไม่มีตลาดหรือคิดว่าเราขายไม่ได้แล้วจริงๆ อย่างไรให้โทร.ติดต่อมาที่เรา เดี๋ยวเราจะแนะนำลูกค้าที่อยู่แต่ละจังหวัดให้” ครูเวย์ แนะนำ

สำหรับมือใหม่อยากเลี้ยงหนูพุกสร้างรายได้ สอบถามหรือปรึกษาวิธีการเลี้ยงได้ที่ คุณชฎาพร เบ็ญมาศ หรือ ครูเวย์ โทร. (083) 330-8203 สกว. จับมือ สนช. และ สวพ.ทบ. ผลักดันงานวิจัยเพื่ออนาคตยางพาราไทยภายใต้การบริหารจัดการทุนวิจัยอย่างมืออาชีพครบทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมเปิดตัวหน้ากากป้องกันสารเคมี-ชีวะ และที่นอนยางพาราสำหรับกำลังพล

7 ธันวาคม 2561 – ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการวิจัย สกว. “การวิจัยเพื่ออนาคตยางพาราไทย” และบรรยายเรื่อง “สกว. กับการบริหารงานวิจัยเพื่ออนาคตยางพาราไทย” โดยกล่าวว่า สกว.ได้สนับสนุนทุนวิจัยมุ่งเป้าด้านยางพารามาตั้งแต่ปี 2555 เพื่อให้สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง เพิ่มการใช้ยางพารา ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวโครงการวิจัยในครั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ และมีผลกระทบต่อประเทศ ซึ่ง สกว.ได้จัดสรรทุนวิจัยประมาณ 350 ล้านบาท ให้แผนงาน/โครงการวิจัยด้านยางพารารวม 237 โครงการ มีการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ครบทั้ง 5 ด้าน ทั้งด้านพาณิชย์ ด้านชุมชนพื้นที่ ด้านวิชาการ ด้านสาธารณะ และด้านนโยบาย

“สกว.ให้ความสำคัญในการพัฒนางานวิจัยยางพารา เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อให้ราคายางพารามีเสถียรภาพ เกษตรกรและสถาบันเกษตร ผู้ประกอบการยางพาราและไม้ยางพารา สามารถสร้างรายได้และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ภายใต้การบริหารจัดการทุนวิจัยอย่างมืออาชีพครบทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยพัฒนาทั้งเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพทางการตลาด การใช้สารประกอบที่ไม่ใช่ยางเพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม งานวิจัยด้านนโยบายและการมาตรฐาน รวมถึงดำเนินการผลักดันงานวิจัยตามยุทธศาสตร์ของ สกว. ไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์”

ด้าน พล.ต. ชูเกียรติ ช่วยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (สวพ.ทบ.) และ พ.อ. รณภพ จันทร์นิยม รองผู้อำนวยการ สวพ.ทบ. นำเสนอผลงานวิจัยสำคัญที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สกว. ได้แก่ โครงการพัฒนาหน้ากากป้องกันสารเคมี-ชีวะสำหรับพลประจำรถถังผ่านมาตรฐานสากล โดย รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะ ซึ่ง ผศ.ดร.สุนทร สิทธิสกุลเจริญ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ระบุว่าหน้ากากนี้สามารถนำไปใช้ในภารกิจทางทหาร เช่น กำลังพลประจำรถถังรุ่น M25 A1 ในการปฏิบัติการของหน่วยรถหุ้มเกราะ และกรณีเกิดอุบัติภัยต่างๆ เช่น การรั่วไหลของสารเคมี ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเพื่อให้ผ่านมาตรฐานสากลในมาตรฐานในการควบคุมของ The North Atlantic Treaty Organization (NATO) และมีต้นทุนต่ำกว่าการจัดหาจากต่างประเทศร้อยละ 40