สศก. เผย ปี 61 ผลผลิตลิ้นจี่ทั้งประเทศ 45,446 ตัน ลดลงจากปี

ที่แล้วเพียงร้อยละ 1 ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ 450 กก. เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล โดยผลผลิตสำคัญ 4 จังหวัด ภาคเหนือ จะออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนและออกมากในเดือนพฤษภาคมนี้ คิดเป็น ร้อยละ 62 ของผลผลิตทั้งหมด

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตลิ้นจี่ ปี 2561 (ข้อมูลคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ณ 26 กุมภาพันธ์ 2561) พบว่า เนื้อที่ให้ผล รวมทั้งประเทศ 100,927 ไร่ ลดลง จากปี 2560 ร้อยละ 9 เนื่องจากลิ้นจี่ให้ผลผลิตน้อยติดต่อกันหลายปี ในแหล่งผลิตที่สำคัญทางภาคเหนือ และภาคกลาง เกษตรกรจึงปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลอื่น เช่น ลำไย มะม่วง กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ส้มโอ และมะพร้าวน้ำหอม เป็นต้น ผลผลิต รวมทั้งประเทศ 45,446 ตัน ลดลง ร้อยละ 1 ตามการลดลงของเนื้อที่ให้ผล ส่วนผลผลิตต่อไร่ 450 กก. เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8 จากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล โดยมีอากาศหนาวเย็น และหนาวนานกว่าปีที่ผ่านมา เหมาะกับการออกดอกของลิ้นจี่

จากการติดตามสถานการณ์แหล่งผลิตลิ้นจี่ 4 จังหวัด ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา เชียงราย และน่าน คาดว่า ปี 2561 ทั้ง 4 จังหวัด มีเนื้อที่ให้ผล 88,413 ไร่ ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 10 ผลผลิต 4 จังหวัด รวม 39,705 ตัน ลดลงร้อยละ 6 โดยคาดว่า เชียงใหม่ จะมีผลผลิต 24,360 ตัน รองลงมา คือ พะเยา 6,792 ตัน เชียงราย 5,048 ตัน และ น่าน 3,505 ตัน

สำหรับผลผลิตต่อไร่ 4 จังหวัด เฉลี่ย 449 กก. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวย อากาศหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา ยกเว้น จังหวัดเชียงราย ผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากมีฝนตกทำให้ต้นลิ้นจี่แตกใบอ่อนแทนการออกดอก โดยขณะนี้ ลิ้นจี่ อยู่ในช่วงเริ่มติดผล มีผลขนาดหัวไม้ขีดไฟ และคาดว่าทั้ง 4 จังหวัด ผลผลิตจะออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน และออกตลาดมากในเดือนพฤษภาคม 2561 รวม 24,554 ตัน หรือร้อยละ 62 ของผลผลิตทั้งหมด

ด้าน นายธวัชชัย เดชาเชษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ (สศท.1) กล่าวเสริมว่า ทั้งนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ในพื้นที่จะขายผลผลิตในให้แก่ผู้รับซื้อที่มาตั้งจุดรับซื้อ โดยแบ่งผู้รับซื้อออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ผู้รับซื้อเพื่อการส่งออกไปประเทศจีน 2. ผู้รับซื้อที่เป็นโมเดิร์นเทรด และ 3. ผู้รับซื้อที่เป็นพ่อค้าทั่วไป โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดในลักษณะกระจุกตัวเพียงเดือนเดียว คือช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาที่อาจจะเกิดขึ้น โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ประกอบการ วางจำหน่ายสินค้าในหลายแห่ง เช่น ร้านธงฟ้าประชารัฐ และเครือข่ายตลาดประชารัฐทุกแห่งในพื้นที่ เป็นต้น จึงอยากขอเชิญชวนทุกท่านร่วมบริโภคลิ้นจี่ หรือเลือกซื้อเป็นของฝากเพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรในช่วงผลผลิตออกตลาดร่วมกัน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการติดตามงานของกระทรวงเกษตรและสกรณ์ ภายหลังการทำงานของ นายกฤษฎา บุญราช เข้ารับตำแหน่ง รมว.เกษตรฯ ครบ 4 เดือน ว่า กระทรวงเกษตรฯ เป็นหน่วยงานหลักที่จะแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ทุกนโยบายที่สั่งการลงไปเป็นความตั้งใจจะเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ได้มากดดัน สิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมในภาคการเกษตรคือ การเชื่อมโยงการตลาดอีคอมเมิร์ช ซึ่งปัจจุบันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้เชื่อมโยงระบบอินเตอร์เน็ตในทุกหมู่บ้านแล้ว ดังนั้น จะเป็นประโยชน์มากกับการจำหน่ายสินค้าผ่านเชื่อมโยงกับอาลีบาบาในอนาคต เป็นไปตามนโยบายตลาดนำการผลิต

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของการทุจริต ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการคือ พยายามจ่ายเงินเข้าถึงกระเป๋าของเกษตรกร ขณะนี้มีบัตรคนจน ต้องใช้วิธีจ่ายผ่านบัตร เพื่อลดขั้นตอนการทุจริต ทำให้ขั้นตอนสั้นที่สุด ก็จะลดการทุจริตได้มากที่สุด อย่าทำงานแล้วเปิดช่องให้มีการทุจริต ต้องกำชับเกษตรจังหวัด และให้กำลังใจเขาด้วย เพราะเขาทำงานหนัก และต้องให้การตลาดนำการผลิต ต้องมีการขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ จะพลิกโฉมเกษตรกรได้จริง ผมฝากให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ต่างจังหวัดทุกคนผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ ใครไม่ทำให้สั่งย้ายให้หมด เพราะเราลงทุนด้านอินเตอร์เน็ตสูงกว่าหมื่นล้านบาท ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ กระทรวงพาณิชย์ ผมก็สั่งให้ทำแบบนี้ ใครที่เรื่อยเฉื่อย เก้าอี้ก็หนาวๆ ร้อนๆ อยู่”

นายสมคิด กล่าวว่า สำหรับปัญหาการปลูกพืชในพื้นที่ไม่เหมาะสม ในปี 2562 อยากเห็นผลทางปฏิบัติในการจูงใจให้เกษตรกรหันไปปลูกพืช หรือกิจกรรมการเกษตรประเภทอื่นๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยากให้ซีเรียส ฝากให้ติดตามโครงการเพิ่มปริมาณโค เนื่องจากตรงกับความต้องการของเกษตรกรมากที่สุด เลี้ยงง่ายให้ผลตอบแทนสูง และมีความเป็นไปได้อย่างโครงการโคล้านตัวในสมัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรมว. เกษตรฯ ประสบผลสำเร็จมาก ให้กรมปศุสัตว์พิจารณาดูว่ามีวิธีการไหนบ้างที่จะเพิ่มปริมาณโคได้โดยเร็วที่สุด เช่น การนำเข้า เพราะไทยไม่สามารถผลิตลูกพันธุ์ได้อย่างเพียงพอ

ด้านต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร อยากให้ลดลงให้ได้ อย่างกรณีปุ๋ยที่ยังแพงอยู่ มีผู้ผลิตไม่กี่เจ้า สูตรก็ยังคงเดิม ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ ต้องหันมาพิจารณาการผลิตปุ๋ยสั่งตัด หรือผลิตเองตามความเหมาะสมของสภาพดิน จะทำให้ต้นทุนลดลง รวมทั้งให้ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตปุ๋ยให้ลดราคาลงบ้าง และร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซื้อปัจจัยการผลิตผ่านแอพ เอโมบาย อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยของ ธ.ก.ส. ยังสูงมากถึง 7% อยากให้ลดลง เหลือแค่ 4% ซึ่งได้หารือเบื้องต้นกับ ธ.ก.ส. ไปบ้างแล้ว แต่ยังช้าอยู่

“ปุ๋ยน่าจะเป็นต้นทุนที่สูงของเกษตรกร แต่ที่ผ่านมาราคาปุ๋ยแพง ปัจจุบันยังแพง ให้กระทรวงเกษตรฯ เชิญบริษัทปุ๋ยมาขอความร่วมมือลดราคาปุ๋ย เพื่อลดต้นทุนช่วยเหลือเกษตรกร แต่ถ้าทำไม่ได้ ให้หารือกับ บริษัท ปตท. ซึ่งมีสารตั้งต้นในการทำปุ๋ยอยู่แล้ว เพื่อทำปุ๋ยสั่งตัดให้เหมาะสมกับความต้องการของเกษตรกร นอกจากนี้ ปัญหาด้านสหกรณ์ที่มีเงินลงทุนในระบบสูงมากกว่าแสนล้านบาท เป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หากผิดพลาดขึ้นมาจะมีผลทางด้านอาญา ที่วางใจไม่ได้ ดังนั้น จึงให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดสัมมนาสหกรณ์รายใหญ่ที่เข้มแข็ง หารือให้จบปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ควรเพิกเฉย”

มาเด้อจ้ามาลงสระกับอ้ายไผ่

ลูกทุ่งมหานิยมเลือดอีสาน “ไผ่ พงศธร” โชว์วิถีชีวิตลูกชาวบ้าน ตึกแห (ภาษาอีสาน หมายถึง ทอด-หว่านแห) หาปลาไปกินแลง (หาปลานำไปทำอาหารเย็น) เจ้าของร้านกาแฟใจดี ให้ลูกค้าจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มตามความพอใจ เพิ่งจะเคยเห็นเหมือนกันว่ามีร้านกาแฟที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มตามความพอใจ

ชนิดว่า ถ้าอร่อยมาก ก็จ่ายมาก ถ้าไม่อร่อย ก็ไม่ต้องจ่าย คุณเอกสิทธิ์ รัชตะกิตติสุนทร เจ้าของกาแฟ a’sey a’sey crafe’ เอเซย์ เอเซย์ คราฟเฟ่ ตั้งอยู่ที่ บ้านโฮ่งมะค่า ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ คอนเซ็ปต์ให้ลูกค้าจ่ายเงินค่ากาแฟตามความพอใจ คุณเอกสิทธิ์ เล่าว่า ปัจจุบัน นอกจากเปิดร้านกาแฟแล้ว ยังเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดให้กับสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลแห่งหนึ่ง และเป็นเจ้าของไร่เอกเขนกปลูกผักสลัดออร์แกนิก

สำหรับ ร้านกาแฟ a’sey a’sey crafe’ เปิดได้เพียง 4 เดือน เท่านั้น ที่มาก็คือ เจ้าของร้านต้องการใช้พื้นที่ตรงนี้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ประกอบกับรู้จักโรงคั่วเมล็ดกาแฟ จึงตัดสินใจเปิดร้าน

“ผมชอบดื่มกาแฟ และมีญาติเป็นเจ้าของโรงคั่วกาแฟ เลยทดลองเปิดบ้านเป็นร้านกาแฟ หวังให้เป็นที่พบปะสังสรรค์ของเพื่อนๆ แต่จากนั้นไม่นาน เริ่มมีลูกค้ามาใช้บริการ และบอกปากต่อปากในเรื่องของรสชาติ และบริการที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ จ่ายเงินค่าเครื่องดื่มตามความพอใจ”

คุณเอกสิทธิ์ เผยต่อว่า เมื่อลูกค้าสั่งเครื่องดื่ม และรับไปนั่งทานแล้ว ค่อยมาชำระค่าเครื่องดื่มทีหลัง โดยหย่อนเงินลงกล่องใต้เคาน์เตอร์ ปัจจุบันเมนูที่นิยมสั่งคือ กาแฟดริปสูตรเย็น เพราะใช้เมล็ดกาแฟออร์แกนิก ร้านกาแฟแห่งนี้จะเปิดให้บริการลูกค้าเพียงเดือนละ 10 วัน ตั้งแต่ วันที่ 10-20 ทุกเดือน ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร้านเพียงวันละ 40 ราย เท่านั้น

ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ (สกช.) ว่าด้วยความร่วมมือในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานเครือข่ายเกษตรกรอาสาพัฒนาประชารัฐระดับหมู่บ้านและชุมชน ปี 2561 ต่อยอดร่วมในการทำความเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย

ระหว่าง วันที่ 22-23 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพฯ โดยมีสาระสำคัญคือ เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และชุมชน, ให้ความรู้โทษภัยยาเสพติดแก่เกษตรกร , พัฒนาเกษตรกรเป็นแกนนำเฝ้าระวัง ป้องกันปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน, มีส่วนร่วมในการชักชวน แนะนำ เข้าสู่กระบวนการบำบัดและช่วยเหลือเยียวยาหลังบำบัด, และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์นโยบายแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชนหมู่บ้าน

โดยสภาเกษตรกรจังหวัดแต่ละจังหวัดจะเลือกพื้นที่เป้าหมายเพื่อทำงานร่วมกับ ปปส. ภาคทั้ง 9 ภาค ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2561 ประเมินและรายงานผล เพื่อเป็นข้อมูลและโมเดลที่จะดำเนินโครงการขยายผลต่อไปในปี 2562 ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ปปส. ได้เผยถึงสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทยพบว่ายังมีความรุนแรง ซึ่งรัฐบาลได้ยกระดับเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศในแผนพัฒนาชาติ 20 ปี ความรุนแรงของปัญหายาเสพติดยังอยู่ในกลุ่มเด็กเยาวชน อายุต่ำกว่า 24 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ 45% ถูกจับกุมคดียาเสพติด และ 75% เข้ารับการบำบัดยาเสพติด

ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมได้จะกลายเป็นปัญหาอย่างมากกับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต สภาเกษตรกรฯ มีเครือข่ายเกษตรกรทุกหมู่บ้านจะให้ความร่วมมือกับ ปปส. แต่ขอเน้นย้ำว่า สภาฯ ไม่ได้เข้าไปช่วยในเรื่องของการชี้เบาะแสหรือการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด แต่เครือข่ายเกษตรกรจะช่วยเรื่องของการป้องกัน รณรงค์ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ชุมชนตระหนักถึงพิษภัยยาเสพติด และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้บุตรหลานของเกษตรกรหรือประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงพิษภัยและไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หากสามารถนำพาให้เด็กเยาวชน บุตรหลานสนใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในหมู่บ้าน/ชุมชนเพิ่มขึ้น เชื่อมั่นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 มี.ค.61) นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ นายอำเภอสทิงพระ จ.สงขลา และ นายชยันต์ สังขไพฑูรย์ ประธานสภาเกษตรกร จ.สงขลา เดินทางลงพื้นที่ ต.คลองรี อ.สทิงพระ จ.สงขลา เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการขุดลอกและขยายคลองพลเอกอาทิตย์กำลังเอก รวมทั้งโครงการขยายคลองหนัง ซึ่งเป็นคลองสาขาของคลองพลเอกอาทิตย์ฯ ที่ช่วยระบายน้ำจากทะเลสาบสงขลาลงสู่ทะเลอ่าวไทย

นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คลองพลเอกอาทิตย์กำลังเอก เป็นคลองขุด ความยาวกว่า 70 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอ ในคาบสมุทรสทิงพระ ได้แก่ อ.ระโนด อ.กระแสสินธุ์ อ.สทิงพระ และ อ.สิงหนคร ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2527 หรือกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นที่รับน้ำในช่วงฤดูฝน รวมทั้งกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในหน้าแล้ง ทั้งในส่วนของเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์

ซึ่งขณะนี้ได้มีการขุดลอกและขยายคลองพลเอกอาทิตย์ฯ ให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นจากเดิม 40 เมตร ขยายไปอีกข้างละ 15 เมตร ซึ่งจะทำให้คลองมีความกว้างเพิ่มขึ้นจาก 40 เมตร เป็น 70 เมตร รวมทั้งปรับปรุงในส่วนของความลึกเพิ่มจากเติมแต่ละจุดอีก 2 เมตร ซึ่งหากแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำจาก 2 ล้าน ลบ.ม. เป็น 7 ล้าน ลบ.ม. หรือมากกว่าเดิมกว่า 3 เท่าตัว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จราวปี 2565 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 5,000 ล้านบาท

สำหรับการเดินทางมาในครั้งนี้ ยังได้ติดตามโครงการขยายคลองหนัง อ.สทิงพระ จ.สงขลา ความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นคลองสาขาของคลองพลเอกอาทิตย์ฯ อีกคลองหนึ่ง เเละมีหน้าที่หลักในการช่วยระบายน้ำจากทะเลสาบสงขลาลงสู่ทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะในช่วงหน้ามรสุมหรือฤดูฝน ซึ่งพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระมักจะถูกน้ำท่วมขังอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ และสภาวะน้ำทะเลหนุน อีกทั้งแต่ละครั้งก็จะถูกน้ำท่วมสูงมากกว่าพื้นที่อื่น เพราะอยู่ท้ายน้ำ และกินเวลายาวนานนับสัปดาห์ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน รวมทั้งบ้านเรือน พื้นที่ทางการเกษตร และสัตว์เลี้ยงอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ในส่วนของคลองหนังนั้น จะมีการขุดขยายคลอง โดยเพิ่มความกว้างจากเดิม 20 เมตร เป็น 40 เมตร รวมทั้งขุดลอกในส่วนที่ตื้นเขินและมีวัชพืช ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องการเวนคืนที่ดินตลอดแนวคลอง ซึ่งมีทั้งบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก โดยมีการจัดสรรงบประมาณเอาไว้ทั้งโครงการ ประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะขุดลอกให้แล้วเสร็จในระยะเวลาประมาณ 2 ปี

สหพัฒน์มองทิศทางเศรษฐกิจดี เชื่อนโยบายรัฐช่วยกระตุ้นจับจ่าย แนะเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรสวัสดิการคนจนทั่วถึง เพิ่มวงเงินช่วยใช้สอยมากขึ้น เพิ่มมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ยัน 1 เม.ย. สินค้าอุปโภคบริโภคทุกกลุ่มจะไม่ปรับตามค่าแรง ห่วงอาหารขึ้นราคา ต้องหาแนวทางป้องกัน

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหพัฒน์ได้คาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 จะมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลก็จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชน อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐถือว่ารัฐทำโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ แต่ภาครัฐจะต้องเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรตามร้านต่างๆ ให้ทั่วถึง และมากขึ้นเพื่อให้บริการแก่ประชาชน รวมทั้งสถานการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้สหพัฒน์ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมียอดขาย 34,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และมีกำไรอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท

นายบุญชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ มองภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสแรกอาจจะสู้ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วไม่ได้ เนื่องจากมีแรงสนับสนุนจากมาตรการรัฐผ่านโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ หากรัฐบาลเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐน่าจะทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หากดูในส่วนของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศที่ผ่านมา ไม่เติบโตมากอาจจะติดลบบ้าง เนื่องจากกำลังซื้อประชาชนยังไม่เต็มที่ ดังนั้น ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป การปรับขึ้นค่าแรง ทางกลุ่มสหพัฒน์ทั้งหมดมีนโยบายชัดเจนไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกกลุ่มแต่อย่างใด แต่กังวลสินค้าอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว 50 บาท อาจขึ้นเป็น 60 บาท ถือว่าไม่ดีนัก ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เมื่อขึ้นค่าจ้างทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้น ซึ่งภาครัฐต้องหาทางป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น

นายบุญชัย กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดที่สหพัฒน์ให้ความสำคัญในปีนี้คือ การจับมือกับคู่ค้าใหม่ ในด้านการจำหน่ายสินค้า อาทิ วินามิลค์ แบรนด์โยเกิร์ต อันดับ 1 จากเวียดนาม ที่มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และมาตรฐานอียู ซึ่งได้มอบหมายให้สหพัฒน์เป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวในประเทศไทยในทุกช่องทางตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 พร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และนมข้นหวานในประเทศไทยในอนาคต เป็นต้น ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 คือ การเสริมความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างเข้มแข็งผ่านโครงการคู่ค้าพันธมิตร โดยตั้งเป้าหมายการขายรายเดือนร่วมกับร้านค้าอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ และกาเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับช่องทางบีทูบี และบีทูบีของบริษัทมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ของคู่ค้า

นายบุญชัย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของสหพัฒน์ ในปี 2560 นั้น อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมียอดขายอยู่ที่ 31,360 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4 มีกำไร 1,444 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่สหพัฒน์มีการบริหารระบบขนส่งสินค้าและคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วย ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ขณะเดียวกันสินค้าหลายแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่ดี

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างดำเนินการตามนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกรมจับมือกับหน่วยงานต่างๆ ติดตามการเตรียมความพร้อมของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในสินค้าเกษตรสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ กาแฟ โคเนื้อ และโคนม รับมือการค้าเสรีและใช้ประโยชน์จากการเปิดตลาดของคู่ค้าเพื่อส่งออก โดยกาแฟลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและชุมพร สำหรับโคเนื้อลงพื้นที่จังหวัดนครพนม และสำหรับ โคนมลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สระบุรี และกาญจนบุรี เพื่อเตรียมพร้อมรับตามตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ที่ไทยต้องเปิดตลาดโดยลดภาษีเหลือ 0% ในสินค้ากาแฟ วันที่ 1 มกราคม 2563 หางนม-เวย์ เนย ไขมันเนย เนยแข็ง และโคเนื้อวันที่ 1 มกราคม 2564 และในสินค้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่งและนมผงขาดมันเนย ในวันที่ 1 มกราคม 2568

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับแผนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า กรมมีกำหนดลงพื้นที่พบเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการโคเนื้อในภาคกลางช่วงเดือนพฤษภาคม และจะร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติลงพื้นที่และจัดสัมมนาเตรียมความพร้อมเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ของไทยเรื่องการใช้ประโยชน์จากการค้าเสรีในเดือนเมษายน-พฤษภาคม ณ จังหวัดสุโขทัย จันทบุรี เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายในการดูแลผลไม้ ไม่ให้เกิดปัญหาล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยให้ออกมาตรการดูแลและผลักดันการส่งออก ซึ่งในวันที่ 30 มีนาคมนี้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเรียกประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ผลไม้ เพื่อรับมือผลไม้หน้าร้อนที่กำลังออกสู่ตลาด

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ราคาตกต่ำในขณะนี้ กระทรวงจึงอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องการผสมปาล์มในน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมอีก เพื่อผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง แต่มีแนวโน้มว่าราคาอาจต่ำกว่า บี 7 ด้วยการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแล โดยเกรดนี้จะทำให้ใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอีกทางหนึ่ง

นายศิริ กล่าวว่า กระทรวงจะเปิดทางเลือกให้ผู้ใช้ด้วยกลไกราคาที่ต่ำลง หากสามารถดำเนินการได้จะ ส่งผลให้ไบโอดีเซลที่ขายทั่วไปมี 2 เกรด คือ บี 7 และเกรดพิเศษ ขณะเดียวกันกระทรวงจะหารือค่าย รถยนต์เรื่องการกำหนดมาตรฐานบี 10 ซึ่งจะเป็นการช่วยเกษตรดูดซับปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน ที่ใช้ บี 7 ซึ่งใช้ซีพีโอ 1.2 ล้านตัน ต่อปี ควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ จากการหารือกับผู้ค้าน้ำมันในขณะนี้พบว่า ไม่สามารถสต๊อกซีพีโอเพิ่มได้อีกแล้ว เนื่องจากเดิมกระทรวงได้ขอให้สต๊อกจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่สต๊อกซีพีโอยังมีปริมาณสูงและผลปาล์มฤดูกาลใหม่กำลังออกสู่ตลาด กระทรวงจึงขอความร่วมมือสต๊อกแบบหมุนเวียนไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้