สารฆ่าแมลงด้วยวิถีธรรมชาติปลอดภัยต่อคน-สัตว์ มากที่สุด

หากใครไม่อยากใช้สารเคมีกำจัดแมลงในบ้านเรือน ขอแนะนำให้ลองปลูก “ดอกไพรีทรัม” เป็นพืชทางเลือกใหม่ สำหรับช่วยป้องกันและกำจัดแมลงร้ายแบบวิถีธรรมชาติที่ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“ไพรีทรัม” ดอกไม้ของพระเจ้า
ดอกไพรีทรัม เป็นพืชสมุนไพร ที่มีสรรพคุณเด่นในด้านกำจัดแมลงศัตรูพืช และเป็นยากำจัดเชื้อรา ช่วยรักษาความสมดุลทางธรรมชาติและดูแลป้องกันชีวิตมนุษย์มานานกว่า 2,000 ปี วงการพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติจึงยกย่องพืชชนิดนี้ว่าเป็น “ดอกไม้ของพระเจ้า” (Flower of God)

การปลูกดูแล
ดอกไพรีทรัมนั้น เป็นไม้ดอกทรงพุ่ม มีดอกสีเหลือง/ขาว คล้ายดอกเดซี่ หรือ เบญจมาศ มีการเจริญเติบโตคล้ายต้นผักกาดหอม และเยอร์บีร่า ไพรีทรัมมีลำต้นสั้นติดดิน ใบคล้ายใบผักชีเรียงซ้อนกันแน่นที่โคนต้น มีหัวใต้ดินคล้ายต้นรักแรก และแตกกอเพิ่มจำนวนหัวได้เป็นกลุ่ม

ต้นไพรีทัมขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดและแยกหัวใต้ดินไปปลูก หลังเพาะเมล็ดประมาณ 7 เดือน ต้นจะออกดอกได้ เมื่อได้รับอุณหภูมิต่ำกว่า 16 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ (หากต้นไพรีทรัมได้รับอุณหภูมิสูงกว่า 24 องศาเซลเซียส นานกว่า 1 เดือน จะไม่ออกดอก)

การปลูกไพรีทรัมให้ผลิดอกตลอดทั้งปี ควรเลือกปลูกในพื้นที่สูง 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สภาพอากาศตอนกลางวันร้อนจัด ช่วงกลางคืนมีอากาศหนาวเย็น การเก็บดอกไพรีทรัม มักใช้วิธีเด็ดดอกหรือตัดด้วยเครื่องจักร และนำดอกไพรีทรัมไปตากแดดจนแห้งแล้วเก็บไว้ใช้งาน ดอกสด 3-4 กิโลกรัม ทำเป็นดอกแห้งได้ 1 กิโลกรัม

สารฆ่าแมลงปลอดภัยต่อคน-สัตว์ มากที่สุด
เมื่อนำดอกแห้งเข้าโรงสกัดจะได้สารจากธรรมชาติ เรียกว่า “ไพรีทรินส์” ที่ออกฤทธิ์ดูดซึมทำลายระบบประสาทของแมลง เช่น ยุง แมลงวัน แมลงสาบ แมลงหวี่ ไร เรือด เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน ทำให้แมลงสลบอย่างรวดเร็วในเวลา 2-3 นาที และตายในที่สุด

สารไพรีทรินส์ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์เลือดอุ่น เพราะในตับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่สามารถย่อยสลายสารไพรีทรินส์ได้ จึงไม่มีการตกค้างในร่างกายและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติด้วยแสงแดดและความร้อน องค์การอนามัยโลก WHO และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ FAO จึงยกย่อง สารสกัดจากดอกไพรีทรัมเป็นสารฆ่าแมลงที่ปลอดภัยกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงมากที่สุด

ไพรีทรัม พืชเศรษฐกิจของโลก
ในต่างประเทศนิยมปลูกดอกไพรีทรัมแซมในแปลงผักสวนครัวเพื่อช่วยป้องกันแมลง หรือนำดอกและใบมาขยี้ผสมน้ำรดพืชผักสวนครัวได้ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตราย ส่วนกากที่เหลือหยอดลงที่ยอดต้นข้าวโพดเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้น

ดอกแห้งผสมกับน้ำมันงาและน้ำมันพืช หยอดใส่รังปลวก สามารถทำลายปลวกได้ทั้งรัง นอกจากนี้ ยังนิยมใช้สารไพรีทรินส์เป็นส่วนประกอบของยากำจัดแมลงในอุตสาหกรรมไร่ไวน์องุ่น อุตสาหกรรมยาสูบ รวมถึงสเปรย์กำจัดยุง ในบ้านเรือน

บริษัท สถาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ “คายาริ ไพรีทรัม สเปรย์” เป็นรายแรกที่ริเริ่มนำดอกไพรีทรัมเข้ามาปลูกที่ประเทศไทย โดยบริษัทร่วมมือจากสถาบันวิจัย BRA รัฐแทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย ทดลองปลูกดอกไพรีทรัม ณ สวนคริสต์มาสอิงภู อ.ภูเรือ จ.เลย เมื่อเดือนตุลาคม 2554 โดยมีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์ความมหัศจรรย์ของดอกไพรีทรัมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ที่จะส่งเสริมปลูกเชิงการค้าในอนาคต

ปัจจุบัน “ดอกไพรีทรัม” เป็นไม้ดอกไม้ประดับเพื่อความสวยงามและช่วยขับไล่แมลงไม่ให้เข้ามารบกวนในแปลงปลูกพืชสวนครัวแล้ว ดอกไพรีทรัม ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมากในหลายประเทศ เช่น เคนยา และออสเตรเลีย ดังนั้น “ดอกไพรีทรัม” เป็นพืชทางเลือกใหม่ที่เกษตรกรไทยควรปลูกเพื่อใช้กำจัดแมลงในไร่นาและบ้านเรือน เพราะเป็นสารฆ่าแมลงที่ปลอดภัยกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

เริ่มต้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2534 คุณเปรม เอี่ยมอักษร ซึ่งเป็นเกษตรกรในพื้นที่ หมู่ที่ 4 ตำบลควนเมา อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง เป็นผู้ริเริ่มนำฝรั่งเข้ามาปลูกในพื้นที่เป็นครั้งแรก เป็นพันธุ์กลมสาลี่ และแป้นสีทอง เมื่อปลูกได้สักระยะพบว่า พันธุ์แป้นสีทองเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงกว่า รสชาติหวาน และมีความกรอบเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ในเวลาต่อมาก็ได้มีเกษตรกรให้ความสนใจมากขึ้น จนขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นในบริเวณใกล้เคียงจนเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2540 ผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ฝรั่งราคาสูงขึ้น จนเกษตรกรรายอื่นๆ ในพื้นที่จึงหันมาปลูกฝรั่งเป็นอาชีพเสริม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 จากอาชีพเสริมก็กลายเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในบางราย และได้มีการนำฝรั่งพันธุ์กิมจู เข้ามาปลูกเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าซึ่งเป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดี แต่ฝรั่งพันธุ์แป้นสีทองก็ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่า

ต่อมา สำนักงานเกษตรอำเภอรัษฎา ได้เข้ามาแนะนำและส่งเสริมการผลิตพืช GAP แปลงใหญ่ และได้จัดตั้งเป็นกลุ่มแปลงใหญ่ฝรั่งรัษฎาขึ้นในปี พ.ศ. 2560 จดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ฝรั่งรัษฎา และจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดแปลงใหญ่ฝรั่งรัษฎา เพื่อเข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดในปัจจุบัน

วิธีการปลูกฝรั่ง

ใช้กิ่งพันธุ์จากการตอนกิ่งเพื่อปลูกใหม่ ระยะในการปลูก ระหว่างแถวและระหว่างต้น 3×5 เมตร และ 4×4 เมตร แล้วแต่สภาพพื้นที่ จำนวนต้นจะอยู่ที่ประมาณ 100 ต้น ต่อไร่ หลังจากเตรียมแปลงเสร็จแล้วจะใช้วิธีการขุดหลุมปลูกใหม่ ความลึกประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร รองหลุมด้วยปุ๋ยคอกที่สามารถหาได้ในพื้นที่ เช่น มูลวัว ไก่ แพะ ค้างคาว หมู รองหลุมไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วหลังจากนั้นถึงจะนำต้นพันธุ์มาปลูก

ในช่วงที่ปลูกใหม่ต้องดูแลและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ปลูกได้ประมาณ 1 เดือน จะใส่ปุ๋ยครั้งแรก โดยใช้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 ตามด้วยฉีดยาไล่แมลงทันที การใส่ปุ๋ยต่อครั้งจะเว้นห่างกัน 45-60 วัน ต่อครั้ง ในปีแรกจะเน้นไปที่การบำรุงรักษาเต็มที่จะยังไม่เน้นผลผลิต แต่เมื่อเริ่มเข้าปีที่ 2 จะเริ่มเปลี่ยนการใช้ปุ๋ยเป็นสูตร 15-15-15 จะเริ่มใส่ปุ๋ยในช่วงติดดอก และใส่ทุกๆ 45-60 วัน จนถึงช่วงห่อผลจะเปลี่ยนปุ๋ยอีกครั้งเป็นปุ๋ยสูตร 13-13-21 จนถึงระยะเก็บเกี่ยวผลผลิต ระยะเวลาจากเริ่มติดดอกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตจะอยู่ที่ประมาณ 180 วัน

กำจัดวัชพืช

ควรทำอย่างสม่ำเสมอ จะใช้วิธีการตัดหญ้า 3 เดือน ต่อครั้ง ในกรณีวัชพืชโตเร็วอาจจะปรับเปลี่ยนรอบให้เร็วขึ้นเป็น 2 เดือน ต่อครั้ง โดยไม่เน้นการใช้สารเคมี จะทำทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว การตัดแต่งกิ่งจะช่วยให้ฝรั่งเกิดกิ่งอ่อน และมีช่อดอกออกมาด้วยทำให้ทรงพุ่มโปร่ง ได้สัดส่วน อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องได้ทั่วถึง สะดวกในการเก็บ โดยทั่วไปต้นที่สมบูรณ์จะตัดกิ่งก้านออก 25-30% สำหรับต้นที่ไม่แข็งแรงให้ตัดกิ่งก้านออก ประมาณ 20% นอกจากการตัดแต่งกิ่งแล้วการทำให้ใบร่วงจะทำให้ระยะการเก็บเกี่ยวสั้นลง และการปลิดผลทิ้งให้เหลือประมาณ 2-6 ผล ต่อกิ่ง

การบังคับให้ฝรั่งออกดอก

ใช้วิธีการตัดแต่งกิ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าตาดอกจะเกิดจากกิ่งอ่อน ดังนั้น การตัดแต่งจะทำให้เกิดการแตกกิ่งอ่อนและช่อดอกได้กิ่งที่จะตัดแต่ง คือ กิ่งที่อ่อนแอ กิ่งที่เป็นโรคและกิ่งที่ไม่ได้รับแสง ในช่วงแรกยังใช้กระดาษที่มีหมึกอยู่ ซึ่งบางครั้งไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค แต่หลังจากที่หน่วยงานได้เข้ามาส่งเสริมและให้ความรู้ ได้ปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุห่อผลที่เป็นกระดาษขาว (กระดาษไร้หมึก) เป็นการยกระดับคุณภาพผลผลิต และปลอดภัยต่อผู้บริโภค

แมลงศัตรูฝรั่ง

แมลงวันทอง การทำลายเกิดจากแมลงวันทองวางไข่ที่ใต้ผิวฝรั่งสุก (หรือระยะที่ผิวอ่อน) ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่จะเจริญกินเนื้อฝรั่งเป็นอาหารทำให้ฝรั่งอ่อนนิ่มและเละ ในที่สุดการป้องกันห่อผลในขณะที่ผิวยังแข็ง มีสีเขียว ขนาดเล็ก การห่ออาจห่อด้วยถุงพลาสติกชั้นเดียว หรือ 2 ชั้น และใช้กับดักกาวเหนียวตั้งไว้บริเวณรอบๆ แปลง ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีและเป็นที่พอใจของเกษตรกร
เพลี้ยแป้ง จะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบอ่อน กิ่งอ่อน และช่อดอกทำให้แห้งเฉา หรือใบผิดรูปร่าง และผลผลิตลดลง การป้องกัน จะใช้น้ำส้มควันไม้ในการป้องกันกำจัด โดยใช้ทุกๆ 7 วัน
สิ่งที่เกษตรกรให้ความสนใจคือ การบำรุงรักษาที่เหมือนกัน แต่เมื่อปลูกต่างพื้นที่ (อำเภอใกล้เคียง) ผลผลิตที่ออกมาในเรื่องของรสชาติจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน และผลผลิตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4,000 กิโลกรัม ต่อไร่ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 25 บาท ต่อกิโลกรัม ดังนั้น ฝรั่งรัษฎา รสชาติโดดเด่น – ดังไกล 1 ไร่ 1 แสน สามารถทำได้จริง

“อโรคยา ปรมาลาภา … ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ยิ่งในยุคโควิด สุขภาพดีต้องมาก่อน “ดร. โชติมา ชุบชูวงศ์” แห่งไร่โชตวัน Organic Farm ในพื้นที่อำเภอปากช่อง ตั้งใจผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพดี ป้อนเข้าสู่ตลาด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า

ดร. โชติมา ชุบชูวงศ์ เป็นนักการตลาดผู้ปั้นแบรนด์สินค้าในองค์กรเอกชนมานานกว่า 10 ปี ได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อกลับไปฟื้นฟูสวนเกษตรในพื้นที่ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ดินทำกินของครอบครัวมานานกว่า 100 ปี เป็นแปลงปลูกพืชไร่ประเภทอ้อย มันสำปะหลัง รวมทั้งพืชผัก ผลไม้นานาชนิด เช่น น้อยหน่าพันธุ์พื้นเมือง กระท้อน เงาะ ทุเรียน ลำไย ฯลฯ

ดร. โช ได้เปลี่ยนแปลงไร่แห่งนี้ให้กลายเป็นสวนเกษตรผสมผสาน ที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ โดยเข้าร่วมกับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ SDGsPGS ปัจจุบันไร่แห่งนี้ ปลูกทั้งพืชผักไม้ผลนานาชนิด เช่น อะโวกาโด มัลเบอร์รี่ แก้วมังกรเหลืองอิสราเอล หมากเม่า ตะลิงปลิง เสาวรส ฯลฯ

“ระหว่างทำดุษฎีนิพนธ์ ช่วงศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธจิตวิทยา ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ปราชญ์เกษตรทั่วประเทศ เรื่องปัจจัยที่สร้างความสำเร็จให้กับผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ ทำให้ได้รับรู้ว่าการทำเกษตรอินทรีย์เท่ากับการให้ และยิ่งให้ก็ยิ่งได้” ดร. โช กล่าว

“อโลเวร่า” สินค้าเด่น ไร่โชตวัน

ปัจจุบัน อโลเวร่า (Aloe Vera) หรือว่านหางจระเข้ คือสินค้าหลักที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ไร่โชตวัน ที่นี่ปลูกและแปรรูปอโลเวร่าอย่างครบวงจร ดร. โช ตัดสินใจปลูก อโลเวร่า ตามคำแนะนำของ ดร. รักษ์ วงษ์สาคร เนื่องจาก อโลเวร่า เป็นพืชที่ปลูกดูแลง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและแมลง นอกจากเป็นพืชอาหารเพื่อสุขภาพและความงามแล้ว ยังเป็นไม้ประดับฟอกอากาศ ที่ได้รับความนิยมในทุกมุมโลก จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตสดใสในระยะยาว

ไร่โชตวัน ปลูกอโลเวร่า สายพันธุ์บาร์บาเดนซิส (Barbadensis) ซึ่งมีจุดเด่นสำคัญคือ มีกาบใหญ่ ให้ผลผลิตดี เนื้อแน่น อร่อย สะอาด ไม่ขม ไม่เหม็นเขียว ใช้พอกหน้าแล้วไม่คัน ใช้หมักผมแล้วผมนุ่ม หายคัน หายรังแค ปั่นทานตอนเช้าลดกรดไหลย้อน และกรดในกระเพาะอาหาร นี่คือประโยชน์ดีๆ มากมายของอโลเวร่า สายพันธุ์บาร์บาเดนซิส เมื่อลูกค้าใช้แล้วดีก็บอกต่อกันปากต่อปาก

ในระยะแรก ดร. โช ซื้อต้นพันธุ์อโลเวร่า จำนวน 100 ต้น ในราคาต้นละ 50 บาท ก่อนปลูก รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 1 กิโลกรัม ปลูกในระยะห่าง ต้นละ 60 เซนติเมตร ที่นี่ปลูกอโลเวร่าในระบบพืชสวน โดยปลูกแซมร่วมกับต้นน้อยหน่าและแก้วมังกร บนเนื้อที่ 5 ไร่ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่าแล้ว ยังง่ายต่อการดูแลจัดการ เพราะให้ปุ๋ยมูลไส้เดือนและปุ๋ยมูลวัว ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง แก่พืชทั้ง 3 ชนิด ไปพร้อมๆ กัน ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้อย่างดี

โดยธรรมชาติแล้ว ต้นอโลเวร่าเป็นพืชทนแล้ง รดน้ำแค่ 3 วันครั้ง ที่ผ่านมาแปลงปลูกอโลเวร่า ของไร่โชตวันได้รับการสนับสนุนระบบน้ำจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำให้เนื้ออโลเวร่ามีคุณภาพและให้ผลผลิตที่ดีมากขึ้น

หลังปลูกได้ 6 เดือน ต้นอโลเวร่าเริ่มมีหน่อ สามารถนำหน่อไปปลูกขยายพันธุ์ได้อีกจำนวนมาก ทุกวันนี้ ไร่โชตวันปลูกอโลเวร่านับหมื่นต้น เมื่อปลูกเข้าเดือนที่ 8 สามารถตัดกาบใบไปขาย และนำไปแปรรูปเป็นอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ นอกจากขายกาบใบสดแก่ผู้สนใจในราคา 40-50 บาท/กิโลกรัม แล้ว ยังขายต้นพันธุ์ให้ผู้สนใจนำไปปลูกต่อด้วย โดยขายต้นพันธุ์ อายุ 3-6 เดือน จำหน่ายในราคาต้นละ 20-50 บาท ส่วนต้นพันธุ์ อายุ 1 ปี ขายต้นละ 250 บาท เมื่อนำไปปลูกดูแล 2 เดือน ก็สามารถตัดกาบใบสดไปใช้งานได้

“สำหรับลูกค้าที่ซื้อต้นพันธุ์ไปปลูก เพื่อให้ต้นอโลเวร่าเติบโตเร็ว และฟื้นเร็วจากการขนส่งระหว่างทาง ก่อนปลูกควรรองก้นหลุมด้วยมูลไส้เดือนออร์แกนิก 1 กิโลกรัม ต่อ 1 หลุม เพื่อเพิ่มไนโตรเจน สารอาหารให้กับรากว่าน โดยมูลไส้เดือนจะช่วยเก็บความชื้นและค่อยๆ ปล่อยสารจำเป็นแบบรู้ใจว่านออกมา เพื่อการงอกใหม่ของราก และการเติบโตของยอดใบ ทำให้กาบใบมีรสชาติอร่อยมาก หากใครสนใจมูลไส้เดือนดีๆ ขอแนะนำของ FB: เวิร์มฟาร์มเมอร์ ฟาร์มไส้เดือนเขาใหญ่ ของ คุณวีระพงษ์ สีลาเขตต์ คุณภาพดีเยี่ยม” ดร. โช กล่าว

ชวนปลูกอโลเวร่า เป็นรายได้เสริม

หากใครยังมีพื้นที่ว่าง ดร. โช แนะนำให้ปลูกอโลเวร่าเป็นรายได้เสริม เพราะการปลูกอโลเวร่า พันธุ์บาร์บาเดนซิส จำนวน 1 ต้น สามารถสร้างรายได้มากกว่า 1,000 บาท ได้ไม่ยาก จาก 2 ช่องทาง คือ 1. สร้างมูลค่าเพิ่มจากใบ หรือกาบ โดยปกติ อโลเวร่าจะมีกาบใบเฉลี่ย 10 ใบ ต่อปี กาบใบสด 1 ใบ เมื่อนำมาแปรรูปจะได้ปริมาณน้ำและเนื้อว่าน จำนวน 0.5 ลิตร เมื่อนำอโลเวร่าผสมน้ำผลไม้ออกขาย จะมีรายได้ถึง 100 บาท คูณด้วยจำนวน 10 ใบ ต่อปี จะมีรายได้ถึง 1,000 บาท อย่างแน่นอน

2.สร้างมูลค่าเพิ่มจากการขายต้นพันธุ์ เนื่องจากอโลเวร่า 1 ต้น สามารถออกลูกหน่อเล็ก 20 ต้น ขายราคาต้นละ 10-20 บาท จะมีรายได้ 10×20 = 200 บาท หากเลี้ยงเป็นหน่อใหญ่ 5 หน่อ ขายหน่อละ 50 บาท มีรายได้ 50×5 = 250 บาท เมื่อคำนวณรายได้จากสร้างมูลค่าเพิ่มจากใบ หรือกาบ และการขายต้นพันธุ์จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,000+200+250 = 1,450 บาท ต่อต้นทีเดียว

“นี่คือการคำนวณรายได้ขั้นต่ำ แบบปลูกและแปรรูปด้านเครื่องดื่มเอง ไม่นับเครื่องสำอางที่ต่อยอดได้ เช่น เป็นส่วนผสมของครีมหมักผม มะกรูดแก้ผมร่วง จะทำให้ผมนุ่มกว่ามะกรูดล้วนๆ หรือสเปรย์ ครีมบำรุงผิวอีกมากมายค่ะ อยากเชิญชวนคนไทยมาปลูกอโลเวร่ากันนะคะ ช่วยเพิ่มรายได้ ได้สุขภาพดี ปลูกง่าย ไม่มีศัตรูพืชกวนใจ ไม่มีใบรกรุงรังค่ะ” ดร. โช กล่าว

แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า

เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับประโยชน์ของต้นอโลเวร่า หรือว่านหางจระเข้ ว่า เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคต่างๆ มานานหลายศตวรรษในประเทศจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ วุ้นว่านหางจระเข้ เป็นยาฆ่าเชื้อ ฝาด สมานแผล บำรุงผิว กำจัดฝ้า แก้ไข้ เจ็บคอ ช่วยประสานกระดูก รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฯลฯ จึงถูกขนานนามว่าเป็น “สมุนไพรมหัศจรรย์จากธรรมชาติ”

ดร. โช เล็งเห็นคุณประโยชน์หลากหลายของอโลเวร่า จึงได้นำมาสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม โดยนำอโลเวร่าผสมน้ำผลไม้สกัดเย็นตามฤดูกาล เช่น เสาวรส มัลเบอร์รี่ หมากเม่า ส้ม มะพร้าวน้ำหอม ขายขวดละ 35 บาท ปรากฏว่าสินค้าขายดี มียอดสั่งเข้ามาเยอะมาก

นอกจากนี้ เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้นำเสนอคุณประโยชน์ของว่านงาช้าง หรือหอกสุรกาฬ ว่าเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ช่วยฟอกโลหิต ทำให้ใบหน้าหายจากสิวฝ้าตกกระได้ ปัจจุบัน ไร่โชตวัน ปลูกว่านงาช้างไว้จำนวนมาก จึงนำผลวิจัยการแปรรูปว่านงาช้างจากต่างประเทศมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามในรูปแบบเซรั่มว่านงาช้าง มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ บำรุงผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส ลดรอยจุดด่างดำต่างๆ จำหน่ายในราคาไม่แพง ถูกใจลูกค้าทุกเพศทุกวัย

“เซรั่มว่านงาช้าง SS Super Serum เว็บเล่นบาคาร่า เป็นสินค้าใหม่ไร่โชตวัน เราเลี้ยงว่านงาช้างจนอวบอ้วนด้วยกระบวนการออร์แกนิก ส่งไปสกัดโดยผู้เชี่ยวชาญของเรา จนได้เซรั่มที่ดีสุด ‘สิวหาย สบายผิว’ เพราะด้วยพลังว่านงาช้าง ผสมอโลเวร่า เติมความเย็นเข้าสู่ผิวเพื่อลดการสะสมของเมลานินที่ก่อให้เกิดฝ้า ช่วยปรับสภาพผิวหน้า ผลัดเซลล์ผิวให้เนียนนุ่มเรียบเนียนกระชับกระจ่างใส สินค้าชนิดนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายในต่างประเทศ แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก หลังทดลองเปิดตลาด ลูกค้าให้การตอบรับที่ดี ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เปิดรับตัวแทนจำหน่าย ใครสนใจก็ติดต่อเข้ามาได้เลยค่ะ” ดร. โช กล่าว ไร่โชตวัน มีเป้าหมายผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ดีที่สุด โดยเน้นคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า ภายใต้นโยบาย ซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถทำความรู้จักกับไร่โชตวัน ได้ที่

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้นั้นตัวเราทั้งสิ้นคือคนที่ทำให้เกิด เพราะนี่คือความจริงแห่งชีวิตมนุษย์ พยายามปลุกตัวเองให้เป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ พร้อมเปิดใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกคนย่อมมีอิสระในการใช้สมองคิดและลงมือทำในสิ่งที่เราคิด ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น คนที่โชคดีที่สุดของชีวิตคือคนที่ชนะใจตัวเอง ควบคุมเวลาที่เดินไปตลอดเวลาให้มีคุณค่ากับชีวิตให้ได้มากที่สุด อย่าให้เวลานั้นมาควบคุมชีวิตเรา เชื่อมั่นในตัวเองให้มากที่สุด นี่คือข้อแรกที่สามารถทำให้จิตใจเราแข็งแกร่ง ทำให้มีความกล้าคิด กล้าทำกับทุกสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง แบบเชื่อมั่นว่าจะต้องสำเร็จได้แน่นอน เพราะมันคือวิถีชีวิตที่เกิดจากการตัดสินใจของตัวเองทั้งสิ้น

ก่อนอื่นขอขอบพระคุณอย่างมากมายจากนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านและผู้เขียน ที่มีแฟนๆ ให้แรงใจกันมาตลอด ทุกครั้งเมื่อหนังสือวางแผงมักจะมีการส่งเสียงโทร. (081) 846-0652 และทางเฟซบุ๊ก สมยศ ศรีสุโร หรือ ID Line Janyos จากแฟนๆ ที่ให้แรงใจเสมอมากับทุกเรื่องราวที่ได้นำมาเสนอ ขอขอบพระคุณอีกครั้ง ขอฝากคอลัมน์นี้ไว้ในอ้อมใจแฟนๆ ด้วยนะครับ

ปักษ์นี้ผมมีความยินดีอย่างมากที่ได้นำเสนอเรื่องราวของนักสู้ชีวิตที่มีความขยันและอดทนเป็นเลิศ คุณจงจิตต์ สนเลม็ด หรือ พี่แอ๋ว เกษตรกรต้นแบบการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า ของตำบลหาดส้มแป้น อำเภอเมืองระนอง บนเนื้อที่ 4 ไร่ จากสภาพของพื้นที่ของตำบลหาดส้มแป้นนั้นเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขา ภูเขาล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 178-180 เมตร อุณหภูมิประมาณ 24-30 องศา เป็นพื้นที่เหมืองแร่ดินขาวเก่าที่สำรวจแล้วว่าน่าจะเหมาะกับการปลูกกาแฟเป็นอย่างมาก ที่เยี่ยมมากกว่านั้นคือตำบลหาดส้มแป้นมีทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติอีกตำบลหนึ่งของจังหวัดระนองอีกด้วย