สำหรับ SIMA ASEAN Thailand 2018 ยังคงมีวัตถุประสงค์เพื่อจัด

แสดงเทคโนโลยี เครื่องจักรกลการเกษตร อุปกรณ์การเกษตรอย่างครบวงจร เพื่อผลักดันเกษตรกรไทยและอาเซียน ได้เข้าถึงข้อมูล และเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการทำงานจริงได้ พร้อมกันนี้ นักธุรกิจการเกษตรจะได้พบผู้ซื้อที่มีศักยภาพจากทั่วภูมิภาคเพื่อเจรจาธุรกิจ รวมทั้งสัมมนาระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเกษตรกร และสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน

พร้อมทั้งจัดโซนพิเศษ Agri-Tech Zone เพื่อจัดแสดงนวัตกรรมเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ เช่น แอพพลิเคชั่น โดรน เทคโนโลยีสำหรับโรงเรือน เป็นต้น และอีกโซนหนึ่งคือ Thai Agri Focus Zone เพื่อรวบรวมสินค้าแบรนด์ไทย ที่ผลิตด้วยภูมิปัญญาของคนไทย นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาให้ความรู้อีกหลากหลายหัวข้อ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้างานได้ที่เว็บไซต์

ดีเดย์ “พาณิชย์” เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายข้าวพันธุ์ใหม่ “กข 43” น้ำตาลต่ำเหมาะกับผู้บริโภครักสุขภาพ ถึง 15 ก.พ.นี้ เตรียมวางตลาดล็อตแรก 600 ตัน หลังเม.ย.นี้ พร้อมการันตีมาตรฐานโดยกรมการข้าว
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมหลักการตลาดนำการผลิต ภายใต้แผนข้าวครบวงจร เพื่อเกษตรกรมั่นใจได้ว่าผลผลิตจะมีตลาดรองรับที่แน่นอนและได้รับราคาที่เหมาะสม โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ทดลองปลูก“ข้าวพันธุ์ กข43” ซึ่งเป็นข้าวขาวเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ

เนื่องจากผลการวิจัยโดยกรมการข้าวกับคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า ข้าวขาวพันธุ์ กข43 มีค่าการแตกตัวน้ำตาลน้อย และค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ คาร์โบไฮเดรตของข้าวมีลักษณะที่ทนต่อการย่อยได้ดีกว่าข้าวอมิโลสต่ำกว่าพันธุ์อื่นๆ จึงถือเป็นข้าวทางเลือ กของผู้ที่ควบคุมน้ำหนักและกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต

“ปลายปีก่อนผลิตได้เพียง 20 ตัน เพราะเป็นข้าวที่ปลูกยากต้องอาศัยการดูแลรักษาที่ดี เหมาะสมกับพื้นในภาคกลาง มีผลผลผลิตต่อไร่ต่ำเพียง 430 กก.ต่อไร่ ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพ วางแผนการผลิตภายใต้ระบบนาแปลงใหญ่ นาปี มีพื้นที่รวม 100 ไร่ ผลผลิตรวม 20 ตันข้าวเปลือก วางตลาดโดยสหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย แต่ปี 2561/2562 มีพื้นที่สำหรับนาปรัง ประมาณ 3,000 ไร่ คาดว่าจะมีผลผลิต 600 ตันข้าวสารในช่วงเมษายนนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มทำการตลาด โดยการเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย”

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีความสนใจจะเป็นผู้แทนจำหน่ายแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวพันธุ์ กข43 มาได้ที่ นายกรนิจ โนนจุ้ย กองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 2 กรมการค้าภายใน โทร. 02-507-6179 โทรสาร. 02-507-6181 หรือทาง E-mail : ricegroup.dit@gmail.com ภายในวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ หลังจากนั้นจะได้มีการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการรับซื้อข้าวจากสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และเชิญผู้ที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายประชุมในวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ต่อไป

“หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมจะเน้นผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถเป็นตัวแทนจำหน่ายได้จริง ส่วนราคาจำหน่ายในแต่ละปีการผลิตขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ซึ่งในปี 2560/2561 ที่ผ่านมาจำหน่ายราคา กก.ละ 80 บาท ส่วนผลผลิตฤดูกาลปี 2561/2562 จะมีการหารือกันอีกครั้งเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกับทุกฝ่าย”

นางสาวชุติมากล่าวเพิ่มเติมว่า การทำตลาดข้าวคุณภาพที่มีลักษณะเฉพาะพันธุ์ในพื้นที่ขนาดใหญ่ในลักษณะนี้ จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคถึงมาตรฐานคุณภาพของผลผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงการสีแปรสภาพว่าเป็นข้าวพันธุ์กข 43 จริง ทางกรมการข้าว จึงได้กำหนดตรารับรองบนถุงบรรจุข้าวพันธุ์ กข43 โดยใช้ เครื่องหมายรับรองเป็นรูปตราหมากฮ็อตสีเขียว ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องติดบนบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลงเลียนแบบ หากผู้ใดฝ่าฝืนเลียนแบบจะมีโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากปลอมเครื่องหมายมีโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“การรับรองจะเริ่มตั้งแต่กลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนนาแปลงใหญ่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การดูแลของสหกรณ์ ที่เป็นสมาชิกเพื่อให้มั่นใจว่าข้าวที่ปลูกให้ผู้บริโภค เป็นข้าว กข43 ที่กรมการข้าวให้เมล็ดพันธุ์ข้าวไปปลูกและสีแปรโดยสหกรณ์หรือโรงสีที่ร่วมมือ เพื่อสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) โดยระบบ QR Trace ซึ่งผู้บริโภคสามารถสแกน QR Code เพื่อทราบข้อมูลถึงแหล่งที่มาของข้าวได้”

ยิ่งใกล้เทศกาลแห่งความรักเท่าไหร่ ตลาดดอกไม้ก็ยิ่งคึกคักขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะดอกกุหลาบเป็นที่ต้องการสูงมาก ส่งผลให้กุหลาบทั้งของไทยและต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดดอกไม้ โดยมีศูนย์กลางที่สำคัญคือปากคลองตลาด

กุหลาบพบพระเสิร์ฟวาเลนไทน์ “สมบูรณ์ วรศักดิ์” เจ้าของร้านขายดอกไม้และที่ปรึกษาพ่อค้าแม่ค้าปากคลองตลาดใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตนจำหน่ายดอกไม้ที่ปากคลองตลาดมาเกือบ 20 ปีแล้ว มองว่าทุกปีในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์คือช่วงกอบโกย เพราะสามารถจำหน่ายดอกไม้ได้จำนวนมาก โดยเฉพาะดอกกุหลาบ ที่จากปกติจะมีเข้ามาในตลาดประมาณ 1 ล้านดอกต่อวัน แต่ในช่วงวันที่ 9-14 ของเดือนกุมภาพันธ์จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวประมาณ 2-2.5 ล้านดอกต่อวัน เพราะเกษตรกรจะผลิตดอกกุหลาบออกมารองรับความต้องการของคนซื้อในช่วงเทศกาลได้มากกว่าปกติ

“คาดว่าปีนี้จะสามารถขายดอกไม้ได้ดีไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงวันวาเลนไทน์ที่ตรงกับวันธรรมดา เด็กนักเรียน นักศึกษาสามารถซื้อไปฝากเพื่อนฝูงได้ ถือเป็นช่วงกอบโกยไปจนถึงตรุษจีน”

ด้านสัดส่วนของดอกกุหลาบที่เข้ามาในตลาดปากคลองตลาดนั้น มาจากในประเทศไทยประมาณ 70% แบ่งเป็นนำมาจากอำเภอแม่สอด อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มากถึง 90% และจากจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 10% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30% นำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย และจีน โดยผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจะได้กำไรจากราคาจำหน่ายดอกกุหลาบประมาณ 20% นอกจากนี้เกษตรกรบางรายยังนำกุหลาบมาขายที่ตลาดด้วยตนเอง

ตลาดเชียงราย ศก.ซบไม่คึกคัก

ขณะที่ตลาดศิริกรณ์ เทศบาลนครเชียงราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นตลาดค้าปลีก-ค้าส่งดอกไม้รายใหญ่ ซึ่งแต่ละปีจะมีกุหลาบในพื้นที่และประเทศจีนส่งเข้ามาจำหน่าย แต่ล่าสุดกลับพบว่าบรรยากาศยังคงซบเซา ไม่คึกคักเหมือนปีก่อนหน้า แม้ว่าจะใกล้ถึงวันวาเลนไทน์แล้วก็ตาม

“กาบแก้ว ดอนเน็ตร” เจ้าของร้านตุ๊ต๊ะ ฟลอริสท์ ผู้จำหน่ายดอกไม้ในตลาดศิริกรณ์ จังหวัดเชียงราย ให้ความเห็นว่า เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ดูซบเซา รวมถึงปริมาณดอกกุหลาบที่น้อยลง เนื่องจากอากาศแปรปรวน ไม่หนาวเย็นต่อเนื่องและมีฝนตก อีกทั้งมองว่าค่านิยมของคนโดยเฉพาะวัยรุ่นแตกต่างจากอดีต โดยใช้โซเชียลมีเดียส่งข้อความถึงกันมากกว่า

ซึ่งสภาพดังกล่าวทำให้ราคาดอกกุหลาบสูงขึ้นกว่าปีก่อนกว่าเท่าตัว โดยกุหลาบที่เริ่มวางจำหน่ายแล้วเป็นกุหลาบเกรดบีและซี ที่สั่งซื้อจากสวนบนภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ในราคาห่อละ 150-200 บาท ห่อละ 25 ดอก ราคาจำหน่ายปลีกดอกละ 20 บาท ส่วนเกรดเอยังออกสู่ตลาดน้อย คาดว่าราคาขายส่งอยู่ที่ดอกละ 30-40 บาท ซึ่งราคานี้อาจปรับอีกเล็กน้อยในวันวาเลนไทน์

ขณะที่ดอกไม้จากประเทศจีนยังอยู่ระหว่างรอดูท่าทีของตลาด และ ราคาจากประเทศจีน โดยปีที่ผ่านมาก็พบมีราคาสูงในช่วงวันวาเลนไทน์ดอกละกว่า 200 บาท โดยมีการนำเข้าเป็นเกรดเอเพียงเกรดเดียว ซึ่งคุณภาพดีกว่าในประเทศไทยมาก คือมีก้านยาว คงทน และดอกใหญ่ แต่หากพ้นวันวาเลนไทน์ไปแล้วราคาจะลดฮวบลงเหลือดอกละเพียง 15-20 บาท ทำให้ผู้ประกอบการต้องคำนวณเวลากันอย่างหนัก หากว่าได้ราคาที่เหมาะสม และตลาดรองรับก็จะสั่งมาจากทางชายแดนด้าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย

ข้อมูลจากด่านศุลกากรเชียงของ จ.เชียงราย แจ้งว่า ในปัจจุบันการนำเข้าสินค้าประเภทดอกไม้ ไม้ประดับจากประเทศจีนผ่านทางถนนอาร์สามเอ

ไทย-สปป.ลาว-มณฑลยูนนาน จีนตอนใต้ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 พบว่าเดือนกันยายนนำเข้าดอกไม้ ไม้ประดับ มากเป็นอันดับที่ 4 มูลค่า 23 ล้านบาท เดือนตุลาคมนำเข้ามากเป็นอันดับ 4 เช่นกัน มูลค่า 22.8 ล้านบาท โดยใช้การขนส่งทางรถบรรทุกห้องเย็นจากประเทศไทยไปขนจากชายแดนจีน-สปป.ลาว มายัง อ.เชียงของ ก่อนกระจายไปยังตลาดต่าง ๆ ภายในประเทศไทย

ชาวสวนถอดใจหันปลูกพืชอื่น

“ภราดร กานดา” เจ้าของไร่ปฐมเพชร ในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้คนยังคงให้ความสำคัญ และ

กุหลาบยังเป็นที่ต้องการของตลาด ชาวสวนเตรียมให้ปุ๋ยให้น้ำไว้เพื่อให้ดอกออกตามปกติ แต่ปีนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจ ช่วงความหนาวมีเพียงไม่กี่วัน เอื้อต่อการเกิดแมลงในดอกกุหลาบ ทำให้ดอกกุหลาบมีปัญหาในเรื่องของคุณภาพ ซึ่งอาจจะต้องใช้ฮอร์โมนเข้ามาเสริม ต้นทุนการเพาะปลูกจึงสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจก็นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัย เพราะคนไม่ค่อยซื้อดอกไม้ ทำให้ในปี 2561 ชาวสวนปลูกกุหลาบน้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

สำหรับไร่ปฐมเพชรก็ลดพื้นที่ปลูกดอกกุหลาบลงเช่นเดียวกัน และหันมาทำเกษตรแบบผสมผสานมากกว่า โดยปลูกผลไม้หลายอย่างตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นกล้วย ทุเรียน ใช้การแปรรูปมากขึ้น เช่น การทำกล้วยอบ ส่วนพื้นที่ปลูกกุหลาบจะเหลืออยู่ประมาณ 2-3 ไร่เท่านั้น

“จริง ๆ การขายดอกกุหลาบมีรายได้ตลอดทั้งปี อำเภอพบพระขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องความชำนาญการปลูกกุหลาบ แต่ก็มีปัญหาเรื่องแรงงาน ราคาที่ไม่แน่นอน ชาวสวนกำหนดราคาเองไม่ได้ หลังจากตัดดอกกุหลาบส่งให้พ่อค้าแม่ค้า 7-8 วันจึงจะรู้ราคา และช่วงหลังเมื่อมีงานมงคล คนจะลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้ดอกไม้แห้งมากขึ้น งานแต่งงานก็ใช้ดอกกุหลาบเพียงไม่กี่ดอกเท่านั้น แต่ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ไฮไลต์ยังคงเป็นดอกกุหลาบสีแดง ดอกไม้ส่วนใหญ่ในอำเภอพบพระกว่า 90% จะส่งให้แม่ค้าที่ปากคลองตลาด ส่วนที่เหลือแม่ค้าคนกลางจะเป็นผู้คัดคุณภาพส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคุณภาพดอกกุหลาบในบ้านเรายังไม่สามารถส่งออกไปยังแถบยุโรปได้”

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ นายสมบูรณ์ ธีรบัณฑิตกุล ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กรมป่าไม้ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า(ศปก.พป.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) อำนวยการโดย นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ ได้สั่งการให้ออก ปฏิบัติงานร่วมกับ นายชูชาติ เทพสุต ป่าไม้จังหวัดสกลนคร พ.ต.ท.ประสิทธิ์ จิระสกุลไทย รอง ผกก.สส.ภ.จว.สกลนคร พ.ต.ท.ภานุพล เลพล รองผกก.ป.สภ.เต่างอย พ.ต.ท.อรุณ ดำรงณ์จิต สวป.สภ.เต่างอย เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เต่างอย เจ้าหน้าที่ทหารของ

กอ.รมน.จังหวัดสกลนคร เจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.29 เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่21(อุดรธานี) เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเต่างอยร่วมกันดำเนินการตรวจสอบ/ตรวจยึด/จับกุม กรณีนายทุนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่อำเภอเต่างอยจังหวัดสกลนคร ตามนโยบายรัฐบาลในการทวงคืนผืนป่า และการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในประเทศตกต่ำ สามารถตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบริเวณ ตำบลโคกกลาง อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าภูล้อมข้าว และป่าภูเพ็ก จำนวนเนื้อที่ 256-2-72ไร่

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนแล้วว่าเป็นของนายทุนต่างถิ่นเข้ามาดำเนินการ และได้มอบเรื่องราวให้ นายวิชัย วงศ์แสนสี หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ สน.4(เมือง) เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เต่างอย จังหวัดสกลนครเพื่อสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดให้รับโทษตามกฎหมายต่อไป

นายศุภวัตร กาญจน์อติเรกลาภ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศูย์วิจัยฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจความสมบูรณ์เพศของปะการัง บริเวณหาดหน้าบ้าน เกาะมันใน จ.ระยอง พบปะการังวงแหวน และปะการังสมอง มีความสมบูรณ์ของเซลล์สืบพันธุ์ จึงนำปะการังดังกล่าวขึ้นมาดูการปล่อยไข่และสเปิร์ม บนโรงเพาะพันธุ์ปะการังแบบอาศัยเพศเกาะมันใน โดยปะการังวงแหวนและปะการังสมองมีการปล่อยไข่และสเปิร์มในช่วงเวลา 19.30 – 21.30 น. จึงทำการผสมพันธุ์ปะการังแบบอาศัยเพศและศึกษาระยะการพัฒนาของตัวอ่อน

นายศุภวัตร กล่าวว่า ปะการังส่วนใหญ่ที่เป็นตัวๆ มากมายประกอบกันเป็นโคโลนีนั้น เมื่อโตเต็มที่แล้วก็จะปล่อยไข่หรือสเปิร์มของตัวมันออกมา บางชนิดในโคโลนีเดียวกันจะมีทั้งสองเพศคือ ปล่อย มาทั้งสเปิร์มและไข่ สเปิร์มและไข่ของปะการังเมื่อออกมาแล้ว จะผสมกันเป็นตัวอ่อน เรียกว่า พลานูลา (Planula) เป็นที่น่าสนใจว่าการผสมพันธุ์ของปะการังด้วย วิธีนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในทะเลสำหรับเมืองไทยอยู่ในระยะเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งตัวอ่อนเหล่านี้จะขึ้นมาลอยอยู่ในน้ำทะเลเต็มไปหมด จนบางครั้งเข้าใจผิดว่าเป็นกาเพิ่มจำนวนของแพลงตอน พืช ลูกปะการังตัวเล็กๆจะล่องลอยไปตามกระแสน้ำอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งจนกระทั่งเจอพื้นที่ๆ เหมาะสมจะลงเกาะกับวัตถุที่แข็ง เช่น ก้อนหิน หรือซากปะการัง จากนั้นปะการังก็จะเริ่มสร้างโครงสร้างแข็งที่เป็นหินปูนขึ้นมาเป็นโครงร่าง

พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เป็นประธานเปิดงาน Kick Off จากแผนสู่การขับเคลื่อน “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ร่วมทำพิธี Kick Off ความ “ร่วมมือ ปลดล็อค ก้าวต่อสู้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” พร้อมมอบนโยบาย “แนวทางแม่แจ่มโมเดลพลัส ตอบโจทย์การสนับสนุนการพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างไร” สังเกตพร้อมฟังบรรยายพื้นที่แปลงสาธิต สร้างป่า สร้างรายได้ ศาสตร์พระราชา โดยนายศักดา มณีวงศ์ สำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ และเยี่ยมชมนิทรรศการแม่แจ่มโมเดลพลัส ที่ศูนย์เรียนรู้บ่มเพาะการปลูกและแปลรูปไผ่แบบผสมผสาน ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” มี เมื่อประชาชนทำการเกษตรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งนำไปสู่การเผาทำลายภายหลังการเก็บเกี่ยวเป็นการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำและทำลายสุขภาพ จึงได้มีนโยบายที่ว่าด้วยเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนพลิกคืนผืนป่า และต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การทำเกษตรที่ใช้พื้นที่น้อยแต่ให้มูลค่าเพิ่มสร้างฐานตลาดเพื่องรองรับ มุ่งมั่นที่จะลดพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวที่จะนำมาซึ่งการทำลายพื้นที่ป่า จะต้องมีกติการ่วมกันว่าต้องปลูกพืชที่ให้ร่มเงา ปลอดสารพิษ ไม่ทำลายป่าไม้ และจะต้องได้รับความร่วมมือจากคนชุมชนแม่แจ่ม อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโครงการก็จะต้องดูที่ความมั่นคง ความเจริญก้าวหน้าและการยกระดับทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของประชาชน จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จจริง

นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า สังคมออนไลน์ทุกวันนี้ มีการแชร์ข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่เป็นความจริง มีแหล่งอ้างอิงทางวิชาการที่เชื่อถือได้ และเรื่องที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนผู้บริโภค อาทิ เรื่องการดื่มนมที่มีความบิดเบือนจากข้อมูลทางด้านโภชนาการ กรมอนามัยในฐานะหน่วยงานวิชาการและมีภารกิจหลักด้านการส่งเสริมโภชนาการในทุกกลุ่มวัย จึงต้องสร้างความรู้แก่ประชาชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า นมเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับทุกวัย

เพราะในนมมีโปรตีนคุณภาพดีและมีปริมาณแคลเซียมสำหรับการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน โดยเฉพาะนมโคสด 100 เปอร์เซ็นต์ ไขมันต่ำรสจืดมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมที่มีการปรุงแต่งด้วยน้ำตาลและกลิ่น เนื่องจากมีแคลเซียมในปริมาณมาก ช่วยสร้างกระดูกที่มีผลต่อพัฒนาการด้านความสูง แต่จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า คนไทยดื่มนมน้อยมากเฉลี่ยคนละประมาณ 14ลิตรต่อปี ในขณะที่อัตราการดื่มนมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เฉลี่ยคนละ 60 ลิตรต่อปี และทั่วโลกเฉลี่ยคนละ 103.9 ลิตรต่อปี หรือกล่าวได้ว่าอัตราดื่มนม คนไทยยังต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลก 4 – 7 เท่า

นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า กรมอนามัยจึงสนับสนุนให้คนไทยดื่มนมวัวให้มากขึ้น เนื่องจากนมเป็นแหล่งอาหารประเภทโปรตีนที่มีคุณภาพดี ช่วยในการเจริญเติบโตร่างกายในเด็ก และสำคัญมากต่อมวลกระดูกและการขยายตัวของกระดูก ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และในช่วงวัยรุ่นที่เริ่มมีช่วงโตเร็วจะมีการสะสมมวลกระดูกเพิ่มขึ้นมาก ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายในผู้ใหญ่ มีวิตามินต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินดี แคลเซียม และฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ขณะที่ผู้กินมังสวิรัติควรระวังการขาดวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก

“ทั้งนี้ เด็กก่อนวัยเรียน 1 ปีขึ้นไป และวัยเรียน ควรดื่มนมรสจืด 2 แก้วต่อวัน ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมครบส่วนไม่ควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนยหรือไร้ไขมัน เพราะมีแหล่งพลังงานคือไขมันและวิตามินเอ ดี อี เค ซึ่งละลายในไขมัน หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว และบริโภคปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนกินข้าวหรือผักใบเขียวเข้ม 4 ทัพพี หรือเต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกระดูกทั้งมารดาและทารกในครรภ์ วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุแนะนำให้ดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว เพื่อให้ได้รับแร่ธาตุแคลเซียมเพียงพอ ป้องกันภาวะกระดูกพรุน ผู้ที่ปัญหาภาวะไขมันในเลือดสูง ควรเลือกดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือนมไร้ไขมัน และที่สำคัญเลือกดื่มนมรสจืดดีที่สุด นมรสจืดดีกว่านมปรุงแต่งรส ในการเลือกดื่มนมและผลิตภัณฑ์นมขอให้สังเกตว่ามีเครื่องหมาย อย.รับรองอย่างถูกต้อง และอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ว่ามีน้ำนมโคสดแท้กี่เปอร์เซ็นต์ ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำนมโคสดแท้ที่เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะได้รับสารอาหารจากนมมากกว่า” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและโภชนาการ ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวยืนยันว่า องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุใน Milk and dairy products in human nutrition ว่า นมและผลิตภัณฑ์นมสำคัญต่อโภชนาการที่ดีของคนตลอดช่วงชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก ให้ความสำคัญกับการดื่มนม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี เป็น ‘วันดื่มนมโลก‘ (World Milk Day)

เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ และองค์กรที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม ด้วยการให้ความรู้และคุณประโยชน์ของนมให้แก่ประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ที่ได้มีการจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลก อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรโคนมมีรายได้ โดยมีการควบคุมการผลิต โดยไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นตามกำหนดของ Codex ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร FAO/WHO (Codex Alimentarius Commission – CAC) มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานอาหารให้เป็นมาตรฐานสากล

นํ้ามันมะกอก ไม่ได้มีประโยชน์ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ดีเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ด้านความงามอีกด้วย เพราะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงวิตามินอีชั้นเยี่ยม แบรนด์น้ำมันมะกอก “เบอร์ทอลลี่” จึงแนะนำสุดยอดเคล็ดลับในการใช้น้ำมันมะกอกเพื่อความงาม ไว้ 6 ประการ ดังนี้

1.บำรุงเส้นผมที่ชี้ฟู ช่วยฟื้นฟูสภาพผมที่แห้งเสียจากการโดนทำร้ายด้วยความร้อน เพียงนวดน้ำมันมะกอกปริมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ลงบนเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว จากนั้นหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ก่อนสระด้วยแชมพูตามปกติ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งวิตามินอีจะช่วยทำให้ผมกลับมาเงางาม และลดการขาดหลุดร่วงได้

2.เช็ดเครื่องสำอาง นอกจากจะล้างได้อย่างหมดจดแล้ว ยังไม่ต้องออกแรงถูให้ผิวบอบช้ำ แถมยังเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า เพียงทาน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะลงบนผิวหน้า นวดเบาๆ 10-20 วินาที ก่อนเช็ดด้วยสำลีนุ่มๆ ก็สามารถล้างได้อย่างหมดจด

3.มอยส์เจอร์ไรเซอร์ สารประกอบฟีนอลิกในน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดี ทำให้เป็นมอยส์เจอร์ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ป้องกันการแพ้ง่าย ไม่ทิ้งคราบเหนอะ ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว เพียงทาหลังจากอาบน้ำ

4.สครับขัดผิว เพียงผสมน้ำมันมะกอกกับสครับเข้าด้วยกัน อย่างสูตรง่ายๆ เริ่มจากผสมน้ำตาลไม่ขัดสีครึ่งถ้วยตวงและน้ำมันหอมระเหยเข้าด้วยกัน ตามด้วยน้ำมันมะกอกครึ่งถ้วยตวง ผสมให้เข้ากัน ใช้ขัดผิวเน้นตรงบริเวณที่แห้งกร้านอย่างข้อศอกหรือหัวเข่า หลังจากสครับ ผิวจะนุ่ม ชุ่มชื่น จนคุณรู้สึกได้ทันที

5.ยาระบายจากธรรมชาติ ลองเปลี่ยนจากยาระบายมาเป็นน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะตอนท้องว่าง ซึ่งมีฤทธิ์ระบายตามธรรมชาติและไม่ทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ ก็จะช่วยบรรเทาการท้องผูกได้

6.ครีมบำรุงเท้า เพียงชโลมน้ำมันมะกอกที่ฝ่าเท้าและใส่ถุงเท้าเพื่อล็อกความชุ่มชื้นก่อนนอนเป็นประจำ ปัญหาเท้าแตกก็จะหมดไป กลับมานุ่มอีกครั้ง หากพูดถึงอาหารสำหรับผู้ป่วยหรือโภชนบำบัด หมายถึงอาหารที่ช่วยในการรักษาโรค โดยการดัดแปลงอาหารธรรมดาให้เป็นอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ การเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์จึงมีความสำคัญต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยพักฟื้นหลังการรักษาหรือผ่าตัด ที่ต้องเสริมความแข็งแรงของร่างกายเพื่อให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ปารินทร์ สุเมธสิทธิกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และหัวหน้าเชฟ บริษัท ฟู้ดเฮ้าส์ เคเทอร์ริ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือโอซีเอส กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ ที่ให้บริการในโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ กล่าวว่า ผู้ป่วยพักฟื้นจำเป็นต้องรับประทานอาหารเพื่อสร้างพลังงานในการทำงานของอวัยวะต่างๆ สร้างความแข็งแรงซ่อมแซมความเจ็บของอวัยวะในร่างกาย เนื่องจากโภชนบำบัดที่เหมาะสมมีส่วนทำให้อาการของโรคบรรเทาลง เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยพักฟื้นจึงควรมีรสชาติที่ดี รับประทานง่าย อ่อนหวาน ลดมัน ลดเค็ม หรือมีการออกแบบให้มีความหลากหลาย เช่น อาจเปลี่ยนชนิดของคาร์โบไฮเดรตหลักจากข้าวมาเป็นอาหารพวกแป้งอื่นๆ ทดแทน เช่น ข้าวโพด เผือก มัน เป็นต้น เมื่อผู้ป่วยมีความสุขกับการรับประทานอาหารที่มีการปรุงและเลือกใช้วัตถุดิบอย่างใส่ใจ จึงส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น