สิ่งสำคัญที่อีกอย่างหนึ่ง คือ การปลูกฝังให้รุ่นลูกได้เรียนรู้

และซึมซับการทำฟาร์มโคนม ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง และไปต่อได้ เพราะเป็นอาชีพที่พ่อให้” นายปฐมพร เม่งผ่อง กล่าวทิ้งท้ายด้วยความตั้งใจที่จะสานต่ออาชีพการทำฟาร์มโคนมจากรุ่นปู่ย่า และมีความหวังจะส่งต่อมรดกอาชีพพระราชทานสู่รุ่นลูกต่อไป

กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ จ.กระบี่ จัดพิธีปล่อยกล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองกระบี่คืนสู่ป่า 1,500 ต้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวงฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 และสืบสานต่อยอดพระราชเสาวนีย์ด้านการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ป่าท้องถิ่นภาคใต้ เร่งขยายพันธุ์-ปลูกเพิ่มไม่ให้สูญพันธุ์

นายสุรเดช ปัจฉิมกุล รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 ตลอดจนสนองพระราชเสาวนีย์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีพระราชประสงค์ที่จะอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ป่า ท้องถิ่นภาคใต้ ให้อยู่กับธรรมชาติแบบยั่งยืน

กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ จังหวัดกระบี่ ได้จัดพิธี “ปล่อยรองเท้านารีเหลืองกระบี่คืนสู่ป่า” จำนวน 1,500 ต้น ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ โดยกิจกรรมดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม เพื่อสนองแนวทางพระราชเสาวนีย์ให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ ดำเนินการขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีเพื่อเพิ่มจำนวนและปลูกคืนสู่ป่า รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญในด้านการสนับสนุน ฟื้นฟู และอนุรักษ์ เกิดจิตสำนึก มีความรัก และหวงแหนทรัพยากรพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองกระบี่ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ให้ยังคงอยู่คู่กับผืนป่าจังหวัดกระบี่และประเทศไทยต่อไป

​ด้าน นายวิรัตน์ ธรรมบำรุง ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 7 กล่าวว่า ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ นับเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีที่พบในภาคใต้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า กล้วยไม้รองเท้านารี เป็นพันธุ์กล้วยไม้ป่าท้องถิ่นภาคใต้ที่หายาก โดยเฉพาะพันธุ์เหลืองกระบี่ที่ถือได้ว่าเป็นพันธุ์กล้วยไม้ประจำจังหวัดกระบี่ ในปัจจุบันมีจำนวนลดลงไปจากธรรมชาติ จนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง

สำหรับความเป็นมาของโครงการ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 21เมษายน พ.ศ. 2543 ครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี ซึ่งได้รวบรวมและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีที่พบในภาคใต้ไว้ รวม 6 พันธุ์ ได้แก่ เหลืองกระบี่ เหลืองตรัง เหลืองพังงา ขาวสตูล ม่วงสงขลา และคางกบใต้ภายหลังทอดพระเนตรได้มีพระราชเสาวนีย์ให้สถานีทดลองข้าวกระบี่ในขณะนั้น ดำเนินการขยายพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี เพื่อเพิ่มจำนวนและปลูกคืนสู่ป่าในพื้นที่ที่เหมาะสม

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ (ศวพ. กระบี่) ในปัจจุบัน ได้สนองพระราชเสาวนีย์โดยจัดทำเป็น “โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกระบี่” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีในจังหวัดกระบี่มิให้สูญพันธุ์ ปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปเกิดความรู้สึกหวงแหนทรัพยากรพันธุกรรมพืชของชาติ และเพื่อรวบรวมพันธุ์รองเท้านารีที่มีแหล่งกำเนิดในจังหวัดกระบี่ นำมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ให้เพิ่มมากขึ้น

​ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ กรมวิชาการเกษตร ได้ดำเนินการขยายพันธุ์รองเท้านารี โดยเฉพาะรองเท้านารีเหลืองกระบี่ ปีละ 2,000 กระถาง และปลูกคืนสู่ป่า ปีละ 1,500 กระถาง ส่วนที่เหลือ ได้มอบให้ส่วนราชการต่างๆ นำไปช่วยขยายพันธุ์ให้แพร่หลายมากขึ้น พร้อมกันนี้ ได้จัดทำเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับกล้วยไม้รองเท้านารี สำหรับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ผู้สนใจทั่วไป

นายวิรัตน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกล้วยไม้เขตร้อนที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะกล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์พื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มีจำนวน 17 ชนิด ล้วนอยู่ในสกุล Paphiopedilum เพียงสกุลเดียวเท่านั้นซึ่งได้รับความสนใจนำมาปลูกเลี้ยง ปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์เพื่อการค้ากันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น บางประเทศในยุโรปและเอเชีย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งส่งออกกล้วยไม้รองเท้านารีที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกไม่แพ้ไม้ดอกไม้ประดับประเภทอื่นๆ ทั้งในรูปแบบของไม้กระถางและไม้ตัดดอก ส่วนรองเท้านารีเหลืองกระบี่เป็นสายพันธุ์ท้องถิ่น ที่พบในหลายจังหวัดที่ติดกับชายฝั่งอันดามัน เช่น ภูเก็ต พังงา ตรัง แต่พบมากในจังหวัดกระบี่ จึงเป็นที่มาของชื่อรองเท้านารีเหลืองกระบี่เป็นพันธุ์ที่หายาก และนับวันมีปริมาณที่ลดลง ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้เร่งขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มปริมาณโดยการนำไปปล่อยในป่าอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 สิงหาคม 2562 – ฟอร์ด ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถกระบะ นำเสนอรถกระบะพันธุ์แกร่ง ฟอร์ด เรนเจอร์ 4 รุ่นย่อย รองรับการใช้งานทุกรูปแบบของเกษตรกร ด้วยสมรรถนะและประสิทธิภาพการใช้งานเหนือชั้น พร้อมลุยทุกงานสมบุกสมบันและภารกิจอันท้าทาย

ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น XL มีให้เลือกทั้งแบบกระบะตอนเดียวและกระบะแบบมีแค็บ ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นนี้สามารถรองรับทุกการใช้งานหนัก ไม่ว่าจะเป็นการบรรทุกผลผลิตทางการเกษตร ด้วยกระบะขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการบรรทุกได้เต็มประสิทธิภาพ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร พร้อม VG Turbo Intercooler กำลังสูงสุด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร ติดตั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า และอุปกรณ์ความปลอดภัยในการขับขี่ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอีกมากมาย มอบทั้งความคุ้มค่าคุ้มราคาและสมรรถนะที่เหนือกว่าให้แก่รถกระบะพันธุ์แกร่ง ให้พร้อมรับมือทุกงานหนักในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านขนส่ง งานเกษตรกรรมทั่วประเทศ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีรายละเอียดแต่ละรุ่น ดังนี้

ฟอร์ด เรนเจอร์ สแตนดาร์ดแค็บ 2.2L XL เกียร์ธรรมดา 6 สปีด รถกระบะที่แข็งแกร่งเหมาะกับงานเกษตรทั่วไป ด้วยพละกำลังและความทนทานของเครื่องยนต์ พื้นที่กระบะท้ายกว้างถึง 1.8 ตารางเมตร ตอบโจทย์งานเกษตรที่ต้องการบรรทุกผลิตผลจำนวนมาก ด้วยราคาเพียง 559,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ สแตนดาร์ดแค็บ 2.2L XL 4×4 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด รถกระบะพันธุ์แกร่ง ได้รับการพัฒนาให้พร้อมรับมือกับงานสุดหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นการลากจูง การบรรทุก หรือขับตะลุยเส้นทางออฟโรด ด้วยเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป พร้อมแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถเฉพาะรุ่น 4×4 เหมาะกับงานเกษตรที่เน้นใช้ยานพาหนะในการขนส่งผลิตผลในปริมาณมาก และวิ่งบนพื้นที่สมบุกสมบัน ในราคา 649,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ XL 2.2L 4×2 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด กระบะพันธุ์แกร่งสมรรถนะดีเด่น อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาด อย่างหน้าต่างปรับไฟฟ้าพร้อมระบบเปิด-ปิดแบบสัมผัสเดียวด้านคนขับ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรเพื่อตอบโจทย์ทุกความท้าทายทั้งการทำงานที่อาศัยความคล่องตัว และในชีวิตประจำวัน ในราคา 599,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ ดับเบิ้ลแค็บ XL 2.2L 4×2 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด กระบะรุ่นใหม่ที่เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดและฟีเจอร์ความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบป้องกันการหนีบที่ด้านคนขับ และจุดยึดสำหรับเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ตอบโจทย์งานเกษตรที่ต้องใช้ความรวดเร็ว แต่ก็ต้องมีความระมัดระวังในการทำงาน และยังสามารถนำไปใช้เป็นรถสำหรับครอบครัวในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ทั้งหมดมาในราคาสุดคุ้มเพียง 689,000 บาท

ฟอร์ดตระหนักถึงความท้าทายในการทำงานของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการรถที่สามารถบรรทุกของหนักเพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุดิบและผลิตผล รวมทั้ง ยังต้องรองรับการขับขี่แบบสมบุกสมบันจากการทำงานในพื้นที่การเกษตรซึ่งมีเส้นทางและพื้นผิวถนนที่หลากหลาย ทำให้ต้องการรถที่มีเครื่องยนต์ทรงพลัง สามารถยึดเกาะถนนได้ดี มีอุปกรณ์ปกป้องความปลอดภัยสูงสุด ฟอร์ด เรนเจอร์ จึงถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ทำเกษตรกรรมระดับอุตสาหกรรมใหญ่ ที่ไม่เพียงต้องการรถที่สมรรถนะเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ยังต้องการความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย ด้วยการผสมผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่งต่อการทำงานทุกรูปแบบทุกพื้นที่การเกษตร พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะที่เหนือชั้น และมาตรฐานความแกร่งสมบุกสมบันของกระบะนิยาม ‘เกิดมาแกร่ง’

“ฟอร์ดเล็งเห็นถึงความสำคัญของการประกอบอาชีพเกษตรกร โดยเฉพาะผู้ทำการเกษตรระดับอุตสาหกรรม มีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน และมีความแกร่งทนทานมากพอที่จะทำให้งานเกษตรกรรมสำเร็จลุล่วงไปได้ ฟอร์ดจึงนำเสนอ ฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้ง 4 รุ่นย่อย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกร และตอกย้ำนิยาม ‘เกิดมาแกร่ง’ เพื่อสะท้อนถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยที่แกร่งไม่แพ้กัน” นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

รถกระบะพันธุ์แกร่ง ฟอร์ด เรนเจอร์ 4 รุ่นย่อย ฟอร์ด เรนเจอร์ สแตนดาร์ดแค็บ 2.2L XL 4×2 และ 4×4 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ XL 2.2L 4×2 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และฟอร์ด เรนเจอร์ ดับเบิ้ลแค็บ XL 2.2L 4×2 เกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ว ณ โชว์รูมฟอร์ด ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดโครงการสัมมนาความก้าวหน้าและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านความร่วมมือยางพาราระหว่างประเทศ (Seminar on Update and Exchange Knowledge from International Rubber Forum) ของการยางแห่งประเทศไทย ประจำปี 2562 เปิดพื้นที่เวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เรียนรู้เพิ่มประสบการณ์งานวิจัย เสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนา เตรียมความพร้อมผู้เข้าอบรมสู่เวทีวิจัยยางพาราระดับนานาชาติ ระหว่างวันที่ 14-16 สิงหาคม 2562 ณ เดอะไพน์ รีสอร์ท จังหวัดปทุมธานี

นางสาวมยุรี ลงสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานเปิดโครงการสัมมนาฯ กล่าวว่า กยท. เป็นองค์กรกลางที่ดูแลและบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ มีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านยางพาราทั้งงานวิชาการ งานวิจัย การค้า การลงทุน ตลอดจนบุคลากร ให้ก้าวสู่ความมีมาตรฐานในระดับสากลกับองค์กร สถาบัน หรือสมาคมระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ “การพัฒนา” “ความยั่งยืน” และ “การประสานประโยชน์ระหว่างประเทศ” ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กยท. มีหลายๆ กิจกรรม หลายๆ โครงการ ซึ่งได้ดำเนินการและบูรณาการกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการยางภาคเอกชน ด้วยความพยายามที่จะผลักดันพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วยการคิดค้น การพัฒนา ต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ และที่สำคัญ ได้มีการแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติจากทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญและบูรณาการพัฒนายางพารา และผลิตภัณฑ์ยางพาราให้มีคุณภาพ สร้างประโยชน์และเพิ่มมูลค่าตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงสินค้าแปรรูปร่วมกัน

นางสาวมยุรี กล่าวเพิ่มว่า การจัดโครงการจัดสัมมนาความก้าวหน้าและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านความร่วมมือยางพาราระหว่างประเทศ ของ กยท. ซึ่งปีนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกของ กยท. จะเป็นโครงการหนึ่งที่เป็นพื้นที่และเวทีสำหรับผู้แทนประเทศไทยทั้งผู้บริหาร นักวิชาการ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญได้มีโอกาส แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านความร่วมมือยางพาราระหว่างประเทศ และเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์งานวิจัย การมีส่วนร่วมระดับนานาชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยผู้ที่เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้จะได้เข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปตามฐานต่างๆ เพื่อเป็นการละลายพฤติกรรม สร้างความสัมพันธ์ และให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเหมาะสม และช่วยกันสร้างเครือข่ายนักวิจัยให้มีความรู้ ความสามารถในการก้าวสู่เวทีเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง กยท. กับองค์กรความร่วมมือยางพาราระหว่างประเทศต่อไป และท้ายที่สุดผู้เข้าสัมมนา

ในครั้งนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประโยชน์ต่อวงการยางพาราทั้งต่อองค์กร ประเทศชาติ และนานาชาติต่อไปหลายคนรู้จักการหมักดองอาหาร กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นกรรมวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับชาวไทยมาช้านาน อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ คิดว่า “ผักดอง” เป็นอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ถูกสุขอนามัย หรือเป็น ของแสลง

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายว่า คนไทยสมัยก่อนมักรู้จักการหมักและการดองควบคู่กันไป โดยในหลักการถนอมอาหาร การหมัก (fermentation) และการดอง (pickling) นั้นมีกรรมวิธีที่ต่างกัน คือ

“การหมัก” หมายถึง การถนอมอาหาร โดยอาศัยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์บางชนิด เป็นตัวช่วยในการย่อยสลาย อาจเติมเกลือหรือไม่ก็ได้ และอาจเติมส่วนประกอบอย่างอื่น เช่น ข้าวคั่ว เพื่อเสริมให้จุลินทรีย์มีบทบาทในการหมัก ทำให้เกิดรสชาติที่ต้องการ ซึ่งอาจต้องหมักทิ้งไว้ ประมาณ 2 – 3 วัน หรือหลายเดือน แล้วแต่ชนิดของผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำปลา ปลาร้า ปลาเจ่า หม่ำ ไส้กรอก (เปรี้ยว) ผักกาดดอง หรือหน่อไม้ดอง เป็นต้น

ส่วน “การดอง” หมายถึง การถนอมอาหารในน้ำเกลือ และมีน้ำส้มเล็กน้อย อาจเติมเครื่องเทศ น้ำตาล หรือน้ำมันด้วยก็ได้ การดองอาจอาศัยเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปช่วย ถ้าดองในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นต่ำ เช่น แตงกวาดอง กระเทียมดอง ขิงดอง เป็นต้น หรืออาจดองโดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจุลินทรีย์เลย ซึ่งมักใช้กับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หรือที่มีความเป็นกรดสูง และใช้น้ำเกลือที่เค็มจัด เช่น มะม่วงดอง

ที่ผ่านมาหลายคนคงเคยคิดว่า ผักดองเป็นของต้องห้าม แต่ถ้าได้อ่านงานวิจัยเกี่ยวกับผักดองและภูมิปัญญาการใช้ผักดองของไทยและต่างชาติแล้วจะต้องเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะ “ผักเสี้ยนดอง” ซึ่งคนไทยโบราณบอกว่าเป็นยาร้อน กินแล้วเลือดลมดี มีกำลัง แก้ปวดเมื่อย ตาจะดี ผิวจะสวย

คล้ายกับความเชื่อของชาวเคนยาที่ว่า ผักเสี้ยน คือ อาหารเป็นยา ช่วยบำรุงและให้พลังงาน ซึ่งในด้านคุณค่าทางโภชนาการพบว่า ผักเสี้ยนมีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก รวมทั้งแคลเซียม และเหล็ก โดยเฉพาะการดองเร็ว พอผักเริ่มมีรสเปรี้ยวพอดีๆ ก็ทานจะได้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือโปรไบโอติกส์ มากที่สุดเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่นๆ การดองจึงเป็นความรู้พื้นบ้านในการถนอมสารอาหารได้อย่างดี

สำหรับ โปรไบโอติกส์ คือ เป็นแบคทีเรียที่มีอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ ช่วยต่อต้านเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย ได้แก่ แบคทีเรียที่สร้างกรดแลคติก ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์อาหารหมัก จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค ช่วยย่อยอาหารที่มนุษย์ย่อยไม่ได้หรือย่อยได้ไม่หมด ช่วยในการดูดซึมของสารอาหาร คอเลสเตอรอล และสร้างวิตามินที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย เช่น วิตามินบี 12 ไบโอติน และวิตามินเค ส่วนอาหารที่แบคทีเรียกลุ่มโปรไบโอติกส์นำไปใช้ได้ เรียกว่า พรีไบโอติกส์ เช่น ใยอาหาร

โปรไบโอติกส์ยังมีหน้าที่สำคัญ คือ ช่วยทำลาย สารพิษในลำไส้ ช่วยย่อยอาหารพวกเส้นใยให้กลายเป็นกรดไขมันสายสั้นโมเลกุลเล็กๆ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ ซึ่งนับเป็นกลไกของร่างกายที่ช่วยให้กองกำลังแบคทีเรียดีควบคุมแบคทีเรียร้ายเอาไว้ นอกจากนี้ โปรไบโอติกส์ยังช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ช่วยสร้างและปรับระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ จึงช่วยลดปฏิกิริยาภูมิแพ้นั่นเอง

ด้วยคุณค่าทางอาหารข้างต้น ผักเสี้ยนดองจึงน่าจะเหมาะกับผู้ที่ขาดสารอาหาร เช่น ขาดวิตามินเอ โลหิตจาง คนที่มีปัญหา เลือดออกตามไรฟัน หรือมีปัญหาระบบทางท้องไส้ เพราะนอกจากจะมีกากใยอาหารสูงช่วยขจัดของที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้ดีแล้วยังมีโปรไบโอติกส์มากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า “ผักเสี้ยน” มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ดี มีฤทธิ์แก้ปวด ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ต้านการอักเสบ เรียกว่าเป็นทั้งอาหารและยา ที่คนสมัยก่อนคุ้นเคย อย่างไรก็ตาม การทานผักดองนั้น ควรระมัดระวังและให้ความสำคัญในเรื่อง รสชาติ กลิ่น สี และความสะอาด คือ ผักดองที่ดีนั้นไม่ควรมีรสเค็มจัด ควรมีกลิ่นหอมกรดอ่อนๆ น้ำที่หมักควรมีสีออกขาว ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีสีอื่นปน และไม่มีเชื้อก่อโรคอื่นๆ ปนเปื้อนนั่นเอง

ร้าน PAUL จับมือ แบรนด์ยูฟาร์ม นำผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา ธรรมชาติ 100% รังสรรค์ 3 เมนูเพื่อสุขภาพให้แก่ลูกค้า ตอกย้ำ แนวคิดการคัดสรรอาหารคุณภาพดี ระดับพรีเมี่ยม สอดคล้องตามแนวคิดของร้าน PAUL ที่มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มคุณภาพ มาจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Well-Being) พร้อมเสิร์ฟในร้านอาหาร PAUL 9 สาขา เริ่มวันที่ 23 สิงหาคม นี้

ดร. ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหาร และคอฟฟี่เฮ้าส์ บริษัท เบคเฮาส์ จำกัด กล่าวว่า ร้านอาหาร PAUL เปิดตัว 3 เมนูอาหารใหม่สำหรับลูกค้าที่ใส่ใจในสุขภาพ โดยนำเนื้อไก่เบญจา เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ปลอดสาร ปลอดยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นไปตามปรัชญาของร้าน PAUL ที่ยึดมั่นในการบริโภคที่ดี เป็นกุญแจสำคัญของการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ จึงใส่ใจในการคัดสรรส่วนผสมและวัตถุดิบของอาหาร เพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งด้านรสชาติและปลอดภัย

“นอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว PAUL ยังให้ความสำคัญกับความโดดเด่นของวัตถุดิบ ที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่าง ไก่เบญจา คุณภาพระดับซูเปอร์พรีเมียม นอกจากผลิตหรือเลี้ยงแบบธรรมชาติ ปลอดสารเคมีแล้ว ยังเลี้ยงด้วยข้าวกล้อง ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นไทย และมีคุณสมบัติพิเศษเรื่องความหอม นุ่ม ฉ่ำ ทำให้เมนูอาหารของร้าน PAUL ลงตัวและตอบโจทย์ลูกค้าทั้งโภชนาการและรสชาติ” ดร. ปพนธ์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ร้านอาหารในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ มาประกอบอาหารให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะร้านอาหารระดับพรีเมียม โดย ไก่เบญจา เป็นผลิตภัณฑ์แรกและหนึ่งเดียวของ “ยู-ฟาร์ม” (U-Farm) แบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อสุขภาพระดับซูเปอร์พรีเมียม เสริมด้วยนวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติพิเศษที่ให้ประโยชน์นอกเหนือจากคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐาน ไก่เบญจา เป็นเนื้อไก่สด จากการเลี้ยงไก่ด้วยข้าวกล้องคัดพิเศษ ให้รสชาติ ความหอม ความนุ่ม และความฉ่ำของเนื้อไก่มากกว่าปกติถึง 55% เนื้อไก่ออกสีชมพู ที่สำคัญยังปลอดสาร ปลอดภัย ไม่ใช้ฮอร์โมน และไม่เคยได้รับยาปฏิชีวะนะ 100% ตลอดการเลี้ยงดู โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกจาก NSF และเป็นผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับปรัชญาของร้าน PAUL ที่มุ่งมั่นในการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ

สำหรับเมนูไก่เบญจาปรุงเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าผู้รักสุขภาพของร้าน PAUL เบื้องต้น มี 3 เมนู ประกอบด้วย เมนูแรก Pasta Pesto Benja Chicken and Fresh Avocado เป็นเมนูพาสต้า กับอโวคาโดสด และอกไก่เบญจา พร้อมกับซอสที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านพอล เมนูที่ 2 Seared Benja Chicken breast เป็นอกไก่เบญจา บนซอสมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อม อะโวกาโด และ เห็ด และเมนูที่ 3 คือ Benja Chicken, Multigrain croissant sandwich หรือ ครัวซองค์มัลติเกรนไก่เบญจา ทั้งสามเมนูนำเนื้อไก่ที่มีความหอม นุ่ม และฉ่ำ เมื่อนำมาปรุงตามแบบฉบับของเชฟที่ร้าน PAUL ได้รสชาติที่ลงตัวช่วยให้ลูกค้ามีเมนูอาหารที่ดูแลสุขภาพให้เลือกเพิ่มมากขึ้น

ผู้ที่ดูแลและใส่ใจสุขภาพสามารถพบกับเมนูที่รังสรรค์ด้วยไก่เบญจา ได้ที่ร้าน PAUL 9 สาขา ได้แก่ Siam Paragon, Central Embassy, Tops Central Chidlom, Central World, Ei8ht Thonglor, The Emporium, ICONSIAM, Mega Bangna และ Empire Tower ได้ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม – 30 กันยายน 2562 นี้