ส่วนอีกประเภทหนึ่งที่เล่ามา เรียกว่า คัมควอด (Kumquad)

มีลักษณะอยู่กึ่งกลางระหว่างส้มกับมะนาว นักวิทยาศาสตร์จัดไว้อยู่ในสกุล ซิตรัส หรือ ไซตรัส (Citrus) เช่นเดียวกับคัมควอด มีผลใกล้เคียงกับมะนาว ผลกลมรี ผิวสีเหลืองสดใส เลื่อมมัน จึงนิยมปลูกในกระถางเป็นไม้ประดับ เนื้อผลมีรสหวานอมเปรี้ยว อยู่กึ่งกลางระหว่างส้มกับมะนาว ไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ต่อมาแพร่กระจายเข้าไปในญี่ปุ่น และมีการพัฒนาพันธุ์อย่างกว้างขวางที่ญี่ปุ่น พันธุ์คัมควอด ส่วนใหญ่จึงใช้ชื่อญี่ปุ่น ต่อมาแพร่กระจายเข้าไปสู่ทั้งในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา

การขยายพันธุ์คัมควอด นิยมการทาบกิ่ง โดยใช้พันธุ์มะนาวหรือส้มต้านทานโรคเป็นต้นตอ ประโยชน์ของคัมควอด ใช้เป็นไม้ประดับ รับประทานสด หรือแปรรูปได้หลากหลายชนิด

นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วย นายพงศธร ศรีชัย สหกรณ์จังหวัดพะเยา และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรทำไร่ศรีถ้อย ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา โอกาสนี้ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้พบปะพูดคุยกับสมาชิกกลุ่มเกษตรกรฯ ในการผลิตและรวบรวมผลผลิตลิ้นจี่คุณภาพของสมาชิก ซึ่งผลผลิตจะออกมาเป็นจำนวนมากในช่วงวันที่ 10 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นลิ้นจี่เกรดพรีเมียม มีระดับความหวานที่เหมาะต่อการบริโภค พร้อมทั้งหารือแนวทางการจำหน่ายและช่องทางการตลาดในรูปแบบ Pre-Order หรือการซื้อขายล่วงหน้า กระจายสินค้าจากต้นทางไปสู่ปลายทางผ่านความร่วมมือของขบวนการสหกรณ์ทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันระหว่างสหกรณ์ในแต่ละภาค รวมทั้งหารือการผลักดันการผลิตและการกระจายสินค้าที่มีคุณภาพ การรักษาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

กลุ่มเกษตรกรทำไร่ศรีถ้อย มีสมาชิกรวม 170 คน เป็นสมาชิกที่ปลูกลิ้นจี่ 45 คน มีพื้นที่ปลูก 370 ไร่ กลุ่มเกษตรกรฯ สามารถรวบรวมได้ประมาณ 100 ตัน ต่อรอบการผลิต โดยมีช่องทางจำหน่ายลิ้นจี่ในตลาดทั่วไป งานอีเว้นต์ของหน่วยงานราชการ รวมทั้งสำนักงานสหกรณ์จังหวัดพะเยา ดำเนินการช่วยกระจายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผู้ที่สนใจลิ้นจี่คุณภาพ พันธุ์ฮงฮวย “ไหล่ยก อกตั้ง ก้นป้าน หวาน อร่อย” มีทั้งเกรดพรีเมียม เกรด AA และเกรด A ขนาดบรรจุ 5 กิโลกรัม ขนส่งโดย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สามารถสอบถามและสั่งซื้อได้ที่ โทรศัพท์ 091-302-2833, 085-714-9805 Line ID : wiraphat77 และ Facebook : ลิ้นจี่คุณภาพแม่ใจ สำหรับผู้ที่สนใจลิ้นจี่คุณภาพจากกลุ่มเกษตรกรทำสวนลิ้นจี่แม่สุก เกรด AA และเกรด A ขนาดบรรจุ 3 กิโลกรัม ขนส่งโดยรถห้องเย็น

ไผ่เป็นพืชตระกูลเดียวกับหญ้า โดยไผ่ได้ชื่อว่าเป็นหญ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไผ่เป็นพืชสารพัดประโยชน์สำหรับเกษตรกร เนื่องจากทุกส่วนของไผ่เราสามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ส่วนของหน่อใช้เป็นอาหาร บริโภคได้ทั้งหน่อสดและเอาไปดองเพื่อถนอมอาหาร ส่วนลำต้นสามารถใช้เป็นไม้ใช้สอยได้ต่างๆ นานา ทำค้างสำหรับพืชไม้เลื้อย ทำรั้วบ้าน ทำด้ามจอบด้ามพร้า สานตะกร้ากระบุง ทำเครื่องเรือน หรือสร้างบ้านได้แทบทั้งหลัง แม้แต่ใบก็เอามาทำปุ๋ยได้

ในสมัยก่อนเราพึ่งพาไม้ไผ่ในชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ปัจจุบันแม้ไผ่ธรรมชาติจะลดน้อยลงไป แต่สำหรับเกษตรกรการปลูกไผ่ไว้ในสวนของตัวเองเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อหาได้มากทีเดียว เพราะในปัจจุบันไม้ไผ่ที่ตัดขายตามร้านค้ามีราคาแพงมาก ดังนั้น การปลูกใช้เองเป็นการดีที่สุดสำหรับเกษตรกรในยุคนี้

ยางพารา ถือเป็นพืชเศรษฐกิจในภาคใต้ จากสภาวะเศรษฐกิจส่งผลให้ราคายางเคลื่อนไหวแพงบ้างถูกบ้าง และในช่วง 2-3 ปีมานี้ ยางมีราคาถูกมาก ทำให้เกษตรกรส่วนหนึ่งโค่นยางทิ้งเมื่อถึงอายุ และมักจะมองหาพืชชนิดอื่นปลูกทดแทนยาง เช่น ปาล์มน้ำมัน สะละ ทุเรียน มังคุด กล้วย แล้วแต่ความถนัด บางสวนก็โค่นยางออกบางส่วนเพื่อปลูกพืชอย่างอื่นแซม เกษตรกรชาวสวนยางทางภาคใต้ต่างพากันปรับตัว หาวิธีต่างๆ เสริมรายได้ เพื่อความอยู่รอด

สวนไผ่อาบู ตั้งอยู่ที่ ตำบลลำภี อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โดย คุณบุญชู สิริมุสิกะ ชายหนุ่มที่ทิ้งอาชีพวิศวกรในเมืองหลวงกลับคืนสู่บ้านเกิด ที่มีรากฐานอาชีพทำสวนยางและสวนปาล์ม แน่นอนว่าเป้าหมายการลาออกมาทำเกษตรของเขาไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว แต่เขาแสวงหาความสุขและความมั่นคงที่แท้จริง

คุณบุญชู เล่าให้ฟังว่า เขาเรียนจบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เรียนจบก็มีโอกาสมาทำงานเป็นวิศวกรออกแบบระบบการผลิต ให้กับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น

ในเวลานั้นเขามองอาชีพด้านการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวว่าเป็นอาชีพที่ลำบาก มันเหนื่อย เกษตรเท่ากับจน เนื่องจากในวัยเด็กช่วงที่ปิดเทอมและช่วงวันหยุด เขากับพี่จะต้องช่วยที่บ้านทำงานในสวนอยู่ตลอด แทนที่จะได้มีโอกาสนอนดูการ์ตูนสบายๆ เหมือนเด็กคนอื่นๆ พอมีโอกาสได้เรียนและจบออกมาทำงานเป็นวิศวกร เขาบอกกับตัวเองว่า นี่แหละคือตัวตน นี่แหละคืองานที่เขาชอบ

ครั้งหนึ่งเขามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหาร มีประธานบริษัทและกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ท่านได้ถามเขาว่า “คุณจะทำงานกับบริษัทเรากี่ปี เขาก็ตอบว่าผมจะทำไปเรื่อยๆ จนเกษียณอายุ แต่นายญี่ปุ่นกลับบอกเขาว่า คุณทำงานที่นี่ 5 ปีก็พอแล้ว ภายใน 5 ปี ทุกคนควรมีความก้าวหน้าในอาชีพ หากใครคนใดทำงานเดิมนานๆ ก็เสมือนองค์กรกำลังปิดกั้นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความสามารถในด้านอื่นที่เขามี” ณ เวลานั้นเขาก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมนายญี่ปุ่นจึงสอนเขาอย่างนั้น

หลังจากทำงานได้ประมาณ 6 ปี วันหนึ่งเขามีโอกาสได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับการเกษตร รายการปราชญ์เดินดิน ตอน “ลุงนิล คนของความสุข” ของทีวีบูรพา ลุงนิล เป็นปราชญ์เกษตรที่จังหวัดชุมพร เขาเห็นลุงนิลมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีความสุขกับการทำเกษตรบนพื้นที่แปลงเกษตรเล็กๆ เป็นการทำเกษตรแบบสวนสมรม ลุงนิลได้อยู่กับครอบครัว ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันทุกวัน เขาบอกกับตัวเองว่านี่แหละชีวิตที่มีความสุข มันควรจะเป็นแบบนี้

ตั้งแต่นั้นมา ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ในงานวิศวกรรมที่เขาเคยชอบก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ช่วงเวลาว่างเขามักมองหาความรู้ใหม่ๆ ด้านการเกษตรอยู่เรื่อยๆ เหมือนความสนใจในชีวิตมันเปลี่ยน

เขาเริ่มรู้สึกว่าแม้รายได้จากการทำงานเป็นวิศวกรจะมีรายได้มากก็จริง แต่ความมั่นคงของการเป็นวิศวกรในยามบั้นปลายชีวิตมันกลับมีน้อยมาก

แต่ทว่ารายได้จากการทำการเกษตร แม้จะดูว่าน้อยในช่วงเริ่มต้น แต่มันกลับเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงในยามบั้นปลายชีวิต เขาเริ่มค้นพบว่า เงินไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขความสบายของชีวิต การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เราต่างพากันทำงานหาเงิน เมื่อได้เงินมาแล้วก็นำเงินที่ได้ไปแลกมาซึ่งความสุข

ในขณะที่งานด้านการเกษตรแค่ได้ลงมือทำความสุขก็เกิดแล้ว ความสุขมันเกิดขึ้นได้ทุกขณะ มันเกิดทันที ที่สำคัญทำแล้วยังมีผลพลอยได้ตามมา ซึ่งก็คือเงิน และถ้าทำดีๆ มันไม่ลำบากไม่จนแน่ๆ

หลังจากตัดสินใจลาออกมาทำเกษตรในช่วงแรกๆ เขาเริ่มต้นด้วยการปลูกพืชระยะสั้น เช่น ถั่วฝักยาว บวบ แตงกวา โดยทำการเกษตรแบบใช้สารเคมีเหมือนเกษตรทั่วไป เขาทำอยู่อย่างนั้นสองสามรอบ ก็พบว่าเงินที่ได้มาเมื่อนำมาลงทุนแล้วในระหว่างรอจะเก็บเกี่ยวผลผลิตรอบใหม่ เงินที่มีก็ใช้หมดพอดี พอได้เงินงวดใหม่มาก็เอามาลงทุน พอรอผลผลิตอีกรอบก็หมดอีก หยุดทำเมื่อไรก็หมดเงินเมื่อนั้น

เขาทำอยู่แบบนั้นได้ประมาณ 6 เดือน ก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันไม่ใช่แล้ว มันน่าจะมีอะไรผิดพลาด เขาจึงหยุดปลูกพืชต่างๆ ประมาณ 3 เดือน โดยในระหว่างนั้นก็ยังมียางพาราและปาล์มที่ยังเป็นรายได้

เขาคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อหาหนทางใหม่ที่ควรจะดีกว่าเดิม เขาจึงพบว่าสิ่งที่เราเห็นคนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จกับการทำการเกษตรทางยูทูปหรือตามทีวีเป็นเรื่องที่เขาอยากให้เราดู แต่ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวที่เราไม่รู้คือ ช่วงจังหวะที่เขาเหล่านั้นล้มเหลวซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำมาเป็นบทเรียน แต่ที่เราเห็นคือช่วงที่เขาเหล่านั้นประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งความสำเร็จมันเป็นของใครของมัน มันลอกเลียนแบบกันไม่ได้

เขาจึงนำวิธีคิดและวิธีการทำงานแบบวิศวกรมาปรับใช้กับการเริ่มต้นการทำเกษตรใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาทำบนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยึดมั่นในปรัชญา นำพาด้วยการทำงานอย่างวิศวกร

คุณบุญชูคิดวางแผนว่า จะสร้างสวนของตัวเองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เชิงเกษตรที่เป็นวิถีเกษตรแบบบ้านๆ จริงๆ เขาเริ่มวางแผนงานใหม่และกำหนดรูปแบบในการทำแปลงเกษตรของตัวเองใหม่ โดยยึดหลักที่ว่า ทุกกิจกรรมต้องง่ายและทำแล้วต้องเกิดรายได้จริง

เขาบอกกับเราว่าที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการทำเกษตร ขอเพียงมีพื้นที่ ถึงแม้ดินนั้นจะไม่ดี หรือน้ำไม่มี ก็สามารถที่จะทำเกษตรได้ ไม่ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงดินหรือลงทุนสร้างแหล่งน้ำ แต่ควรเริ่มต้นด้วยการเลือกปลูกพืชที่เหมาะกับดินและเหมาะกับปริมาณน้ำฝนในพื้นที่นั้นๆ ถ้าเราปลูกพืชที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น อะไรๆ มันก็จะง่าย เขากำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพืชมาปลูกลงแปลง 10 ข้อ เพื่อใช้เป็นตัวคัดกรองคร่าวๆ ก่อนจะปลูกพืช

เกณฑ์ประเมิน 10 ข้อ สำหรับพืชที่จะปลูก มีดังนี้

ต้องเป็นพืชที่คนทั่วไปมองข้าม
ต้องเป็นพืชที่ปลูกแล้วสร้างรายได้จริงๆ
ต้องเป็นพืชที่มีโรคและแมลงรบกวนน้อย อาศัยการพึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก
ต้องเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วมได้ดี
ต้องให้ผลผลิตสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่อิงฤดูกาล
ต้องเป็นพืชที่มีความต้องการสูง เน้นหนักไปทางด้านสุขภาพ
ต้องเป็นพืชที่ทนทาน ไม่ต้องดูแลมาก
ต้องเป็นพืชที่สามารถแปรรูปได้
ต้องเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน
ต้องเป็นพืชที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ เช่น การทำกิ่งพันธุ์จำหน่าย
ซึ่งเกณฑ์ประเมินทั้ง 10 ข้อ ถ้าพืชตัวใดผ่านสัก 8 ข้อ ก็สามารถนำมาปลูกได้เลย

ไผ่ในสวนยาง เริ่มจากแนวคิดนี้

หลายท่านอาจจะคิดว่าไผ่กับยางพาราไม่น่าจะปลูกร่วมกันได้ แต่จริงแล้วสามารถปลูกร่วมกันได้ แต่เราต้องมีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสม การเลือกพันธุ์ไผ่ที่เหมาะสมจะนำมาปลูกแซมในสวนยางคือ ไผ่ในตระกูลตงทั้งหมด เช่น ตงลืมแล้ง (ไผ่กิมซุ่ง เขียวเขาสมิง) ตงศรีปราจีน ซางหม่น หม่าจู ปักกิ่ง และอื่นๆ เนื่องจากไผ่เหล่านี้มีลำต้นสูง เวลาที่ต้นยางมีอายุมากแล้ว ไผ่จะสามารถพุ่งขึ้นไปรับแสงสู้กับต้นยางได้ แต่สวนยางของคุณบุญชูเลือกปลูก ไผ่ตงลืมแล้ง (ไผ่กิมซุ่ง เขียวเขาสมิง) เพราะดูแลง่ายและสามารถต่อยอดอาชีพสร้างรายได้ได้หลายทาง

ขนาดต้นพันธุ์ต้องเหมาะกับอายุของต้นยางในสวน

การเตรียมต้นพันธุ์ที่ดี เป็นที่รู้กันว่าการปลูกไผ่เป็นพืชแซมเรื่องการรับแสงจะด้อยกว่าปกติ เนื่องจากมีต้นยางปลูกอยู่ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น เพื่อให้ไผ่เติบโตได้เร็ว ควรเตรียมต้นพันธุ์ให้สมบูรณ์เต็มที่ ควรเป็นต้นพันธุ์ที่อนุบาลไว้อย่างน้อย 60 วัน ให้ต้นไผ่แข็งแรงที่สุด ไผ่ที่แตกหน่อในถุงหลังจากปลูกต้นไผ่จะตั้งลำได้เร็วมากกว่า การดูความเหมาะสมของอายุและขนาดต้นยาง โดยเราจะสามารถปลูกไผ่แซมในช่วงยางอายุกี่ปีก็ได้ แต่หัวใจสำคัญคือ การจัดการแสง โดยการจัดการขนาดและความสูงของกอไผ่ให้เหมาะกับขนาดของต้นยาง ถ้าปลูกตอนต้นยางเล็กให้คุมความสูงของลำไผ่ไม่เกิน 3 เมตร เว้นลำไม่เกิน 3 ลำ ถ้ายางโตแล้ว 8 ปีขึ้นไป ให้คุมความสูงลำไผ่ 4-5 เมตร เว้นลำกอละ 4-5 ลำ ที่สวนไผ่อาบูปลูกไผ่เป็นพืชแซมตอนที่ยางมีอายุ 8 ปี ซึ่งเป็นยางที่เพิ่งเริ่มกรีดน้ำยาง

ระยะห่างระหว่างกอไผ่ การเว้นระยะกอไผ่ให้คำนึงถึงระยะต้นยางเป็นหลัก หากยางปลูก 9×9 เมตร สามารถปลูกไผ่ระยะห่าง 3-4 เมตร ถ้าผู้ปลูกวางแผนจะปลูกพืชอื่นแซมเพิ่มอีก เช่น ตะเคียน พะยูง มะฮอกกานี ให้ปลูกไผ่ระยะ 6 เมตร เพื่อต่อไปจะได้ปลูกพืชแซมระหว่างไผ่เพิ่มเติมได้อีก

หลุมที่ขุดสำหรับปลูกต้นไผ่ใช้กว้างยาวลึก 30 เซนติเมตรเท่ากัน รองก้นหลุมด้วยมูลสัตว์พอประมาณ โดยให้ปลูกหันทรงพุ่งของต้นพันธุ์ไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงช่วงเช้า ฤดูกาลที่เหมาะสมปลูกไผ่คือ ปลายฝนและหน้าหนาว เพราะไผ่จะพักตัวในช่วงแรกเพื่อสะสมอาหาร เมื่อเข้าต้นฤดูฝนปีถัดไป ไผ่จะตั้งกอได้เร็ว ไม่ต้องกลัวเรื่องติดแล้ง เพราะการปลูกไผ่เป็นพืชแซม ไผ่จะไม่ได้รับแดดโดยตรงคือแสงค่อนข้างรำไร ต้นพันธุ์จึงผ่านแล้งได้ หากผู้ปลูกไม่มีเวลาเอาใจใส่ดูแลจริงๆ ให้ปลูกช่วงต้นฤดูฝน เพราะไผ่จะได้แข็งแรงก่อนเข้าแล้ง การดูแล ช่วงที่ต้นไผ่ยังเล็กอยู่ ให้ดูแลเรื่องวัชพืชรอบโคนต้นและควรใส่ปุ๋ยบำรุงบ้างตามสมควร ช่วงแรกเน้นสูตรเสมอ 15-15-15 มีมูลไก่หรือมูลสัตว์อื่นสามารถใส่ได้บ่อยครั้ง

เจ้าของสวนไผ่อาบูเล่าว่า “ตอนที่ยางพาราคาตกก็เลิกใส่ปุ๋ยให้ต้นยาง เพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ก็หันมาเอาใจใส่ไผ่มากกว่า และในสวนยังมีผักอีกหลายชนิด เช่น ผักเหมียง ต้นส้มป่อย พลูกินกับหมากซึ่งขายเป็นรายได้เสริมได้ทุกสัปดาห์ จากการปลูกไผ่ในสวนแล้วนำเศษใบไผ่ใบไม้มากองไว้เป็นกองในสวนแล้วใส่จุลินทรีย์ พด.1 หมักเป็นกองปุ๋ยตามธรรมชาติ วิธีนี้ทำให้สภาพดินดี ดินชุมชื้นขึ้น ปริมาณน้ำยางก็อยู่ในเกณฑ์ดี และยังสังเกตเห็นว่าสวนยางแปลงอื่นเมื่อเข้าหน้าแล้งยางจะผลัดใบหมดทั้งสวน แต่ที่นี่ต้นยางจะค่อยๆ ผลัดใบ เพราะในดินมีความชื้นจากกอไผ่ช่วยค่อนข้างมาก”

สำหรับเกษตรรุ่นใหม่

สำหรับข้อแนะนำนี้ คุณบุญชู กล่าวว่า คนที่ทำงานมีเงินเดือนประจำอยู่แล้วที่คิดจะมาทำเกษตร ที่เขาเจอจะมีอยู่ด้วยกันสองกลุ่มด้วยกัน

แบบแรก คือ คนที่มีเงินเป็นทุนเดิม ที่คิดว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากวิถีคนเมืองเป็นแบบสโลว์ไลฟ์ มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย คนกลุ่มนี้เขาจะเริ่มต้นทำยังไงก็ได้เพราะเขามีเงิน เมื่อล้มเหลวหรือเกิดความผิดพลาดก็เอาเงินมาลงใหม่ ซึ่งการทำลักษณะนี้ผมไม่แนะนำ เพราะผู้ทำจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น

แบบที่สอง คือ กลุ่มคนที่อยากทำเกษตรจริงๆ แม้จะไม่มีความรู้เรื่องเกษตร แม้จะมีเงินทุนจำกัดก็สามารถทำได้ แต่เขาจะต้องเรียนรู้ให้มาก ควรเริ่มต้นจากการค้นหาคนต้นแบบที่สามารถจะขอคำแนะนำจากเขาได้ ลองทำในเวลาว่างควบคู่กับการทำงานปกติไปสักระยะ ทำไปเรียนรู้ไป จากความรู้ที่มีและจากการลงมือทำบ่อยๆ จะเกิดเป็นประสบการณ์ ทำไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่างานเกษตรเป็นเรื่องที่เราทำได้ ทำแล้วมีรายได้จริง จึงค่อยก้าวออกมาเต็มตัว

ผมไม่แนะนำให้ใครที่กำลังจะผันตัวเองมาทำเกษตร กระโจนเข้ามาทำโดยความอยากเพียงอย่างเดียว เพราะมันอาจล้มเหลวได้ง่ายๆ การจะทำเกษตรให้สำเร็จผู้ทำต้องมีความรู้และความตั้งใจจริงๆ รู้จักตัวเอง รู้จักสิ่งที่กำลังจะทำ เมื่อรู้แล้วก็ลงมือได้เลย”

ผู้เขียนนั่งอ่านเฟซบุ๊ก สวนไผ่อาบู มีคนใฝ่ฝันที่จะทำเกษตรจำนวนมากมาขอความรู้มาขอคำแนะนำ ทุกคนล้วนได้รับคำตอบจากคุณบุญชูด้วยความจริงใจเสมอ จากการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการนำประสบการณ์ด้านวิศวกรรมมาปรับใช้เข้าด้วยกัน ทำให้เขาสามารถถ่ายทอดประสบการณ์การทำเกษตรให้ผู้ที่สนใจได้เข้าใจแนวทางการทำเกษตรในแบบวิถีเกษตรที่ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำเกษตรเข้ามาศึกษาเรียนรู้ที่สวนไผ่อาบูเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประสบปัญหาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และเสบียงสัตว์ มีราคาแพง ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสูงตามไปด้วย เพราะต้นทุนการเลี้ยงสัตว์เกิดจากค่าอาหาร ถึงร้อยละ 70 ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพเป็นอย่างมาก ดังนั้น การปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เลี้ยงสัตว์ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ ช่องทางสำคัญที่จะทำให้การประกอบอาชีพสามารถอยู่รอดได้ นั่นคือ การลดต้นทุนการผลิตลง โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารที่ใช้เลี้ยง การประยุกต์ใช้พืชในท้องถิ่นมาเป็นอาหาร เป็นแนวทางหนึ่งที่ทำได้ ดั่งเช่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงเป็ดเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ที่กำลังประสบความสำเร็จในขณะนี้

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงเป็ดเขาตูม จากผลกระทบของปัญหาดังกล่าว ที่มีต่อการเลี้ยงเป็ดไข่ อันเป็นกิจกรรมเสริมรายได้ ทำให้ทางวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ต้องหาทางออก โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้พวกเขามองถึงการนำต้นสาคูที่มีอยู่มากในท้องถิ่น มาใช้ประโยชน์เป็นวัตถุดิบเลี้ยงเป็ดไข่ทดแทนอาหารสำเร็จรูปที่มีราคาแพง ช่วยประหยัดค่าอาหารเป็ดได้ค่อนข้างดี ทำให้กลุ่มมีกำไรและพอที่จะอยู่รอดได้

คุณลาริ เหมหลำ ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงเป็ดเขาตูม เล่าให้ฟังว่า สำหรับอาชีพหลักของสมาชิกในกลุ่ม ได้แก่ การปลูกยางพารา โดยอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของ ส.ป.ก.

“แต่พอดีว่ามีพื้นที่ว่าง เหลือประมาณ 1 ไร่ จึงคิดใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อสร้างรายได้เสริม” ประธานกลุ่มกล่าว

“แรกเริ่มได้ชักชวนเพื่อนบ้านละแวกเดียวกันรวมกลุ่มจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงเป็ดเขาตูม เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2549 มีสมาชิก 7 ราย ระดมหุ้น รายละ 15,000 บาท พร้อมกับกู้เงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมมาลงทุน จำนวน 140,000 บาท เพื่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ด และใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับซื้ออาหารเลี้ยงเป็ดไข่ จำนวน 500 ตัว”

ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือกเลี้ยงเป็ดไข่ เพราะตลาดในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงมีความต้องการไข่เป็ดจำนวนมาก มีตลาดรองรับแน่นอน ไม่ต้องแข่งขันสูงเหมือนกับไก่ไข่ ประธานกลุ่มเล่าให้ฟังว่า ทางกลุ่มซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยง ราคาตัวละ 19 บาท หลังจากเลี้ยงได้ 4 เดือน เป็ดจะเริ่มออกไข่ และเมื่ออายุได้ 6 เดือน จะให้ผลผลิตไข่เต็มที่

ปัจจุบัน กลุ่มสามารถเก็บไข่เป็ดได้ไม่ต่ำกว่า 300 ฟอง ต่อวัน หรือ 9,000 ฟอง ต่อเดือน โดยผลผลิตไข่ที่ได้ มีทั้งการส่งไข่เป็ดสดคละเกรดให้กับพ่อค้าในตลาดจังหวัดยะลา ฟองละ 3 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่วนหนึ่งแปรรูปเป็นไข่เค็ม เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยจำหน่ายในราคา 4 บาท ต่อฟอง

แต่อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มได้ประสบปัญหาสำคัญ เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตขยับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงเป็ดไข่ที่มีราคาแพง

หนทางแก้ไขนั้น กลุ่มจึงได้หันมาใช้วัสดุที่มีอยู่มากในธรรมชาติ คือ ต้นสาคู นำมาเป็นอาหารเลี้ยงเป็ดทดแทนรำข้าวที่มีราคาสูง นับว่าช่วยลดภาระได้ค่อนข้างมาก คุณลาริ กล่าวด้วยว่า ต้นสาคู เป็นไม้ยืนต้น เป็นพืชตระกูลเดียวกับปาล์ม ซึ่งถือเป็นพืชประจำท้องถิ่นของภาคใต้ สามารถขึ้นได้ในธรรมชาติตามพื้นที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง หรือในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี พบมากในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา สตูล ฯลฯ

ซึ่งลำต้นของต้นสาคูจะมีลักษณะกลม เมื่อต้นแก่เต็มที่จะมีจั่นดอกแตกออกตรงส่วนยอด ชาวบ้านเรียกว่า “แตกเขากวาง” เพราะแต่ละจั่นมีแง่งคล้ายเขากวาง เมื่อโตเต็มที่ลำต้นจะสูงประมาณ 8-10 เมตร

สำหรับพืชท้องถิ่นชนิดนี้ เป็นพืชที่คนในท้องถิ่นนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น ใบของต้นสาคู สามารถนำไปมุงหลังคาแทนใบจาก ลำต้นใช้สร้างบ้าน ทำเชื้อเพลิง และนำมาผลิตเป็นแป้งได้ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า แป้งสาคู ทั้งนี้ ในส่วนของคุณค่าทางอาหารของแป้งสาคูนั้น พบว่า แป้งสาคู 100 กรัม จะประกอบด้วย ความชื้น 14 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 84.7 กรัม พลังงาน 353 แคลอรี วิตามิน บี 1 0.01 มิลลิกรัม แคลเซียม 11 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม และเหล็ก 1.5 มิลลิกรัม

ซึ่งจากข้อมูลของกองอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์ SIXBETG8.COM ได้ให้ข้อแนะนำในการนำสาคูมาใช้เลี้ยงสัตว์ว่า ด้วยคุณค่าทางอาหารต่ำ การใช้เป็นอาหารสัตว์ควรใช้ร่วมกับวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารตามความต้องการของสัตว์ นอกจากนี้ สาคูบดและตากแห้งสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานในสูตรอาหารได้เช่นเดียวกับมันเส้น และควรใช้สาคูร่วมกับวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอื่นที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เนื่องจากสาคูมีคุณค่าทางอาหารต่ำ

สำหรับวิธีการนำต้นสาคูมาเป็นอาหารเลี้ยงเป็ด กลุ่มจะเลือกเฉพาะต้นที่มีจั่นดอก เพราะจะให้โปรตีนสูง โดยตัดทั้งต้นนำมาเลาะเปลือกออก จากนั้นนำลำต้นเข้าเครื่องบดให้ละเอียด แล้วค่อยนำมาผสมกับอาหารสำเร็จรูปให้เป็ดกินทุกวัน

ต้นสาคู 1 ต้น สามารถใช้เลี้ยงเป็ดไข่ จำนวน 500 ตัว ได้ประมาณ 1 สัปดาห์

จากการเก็บข้อมูลของทางกลุ่มพบว่า เป็ดไข่ที่เลี้ยงด้วยสาคู มีประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารดี น้ำหนักและอัตราการเจริญเติบโตของเป็ดไม่แตกต่างกับการเลี้ยงด้วยรำข้าวหรือปลายข้าว

“สำหรับต้นสาคูนี้ถือว่าสามารถช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ได้ค่อนข้างมาก ทำให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น และคืนทุนได้ภายใน 6 เดือน หลังจากเป็ดเริ่มให้ผลผลิต” ประธานกลุ่มกล่าว

นอกจากการนำพืชท้องถิ่นอย่าง สาคู มาใช้ประโยชน์แล้ว ทางกลุ่มยังได้นำวัสดุที่เหลือทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือ หัวกุ้ง และเปลือกกุ้ง

ซึ่งหัวกุ้งและเปลือกกุ้ง ถือว่าเป็นอาหารเสริมที่มีคุณค่าสูง โดยเฉพาะแคลเซียม โดยทางกลุ่มจะให้เสริมทุกวัน เป็ดไข่ที่เลี้ยงด้วยหัวกุ้งและเปลือกกุ้งจะได้ไข่แดงที่มีสีแดงเข้ม

สำหรับหัวกุ้งและเปลือกกุ้ง ทางกลุ่มจะซื้อมาในราคา กิโลกรัมละ 3 บาท ละออง ภูจวง อายุ 34 ปี ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 16 ตำบลขามเฒ่าพัฒนา อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โทรศัพท์ 087-145-6552 เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) ซึ่งได้ใช้ความพยายามฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคจนประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นแบบอย่างแก่เยาวชนและเกษตรกรทั่วไป

คุณละออง เล่าให้ฟังว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อปี 2544 ได้ไปสมัครงานและเข้าทำงานที่บริษัท ไทยซัมมิกฮาร์เนส นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แผนกวางแผนและควบคุมการผลิต ตำแหน่งพนักงานทั่วไป ทำหน้าที่แจกจ่ายเอกสาร และธุรการทั่วไป ทำงานได้ 9 ปี และระหว่างนี้ยังศึกษาต่อจนจบ ปวส. ที่โรงเรียนเทคโนโลยีศรีราชา (ภาคค่ำ 2 ปี) อีกด้วย