ส้มโอบ้านแท่น ไม้ผลขึ้นชื่อมีคุณภาพ ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ

สร้างรายได้งาม คุณชาญวิทย์ พงษ์สุพรรณ เกษตรอำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ ให้ข้อมูลว่า ในอำเภอแห่งนี้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ การปลูกข้าว การทำไร่อ้อย และพืชไร่อื่นๆ อีกหลายชนิด ในส่วนของพืชสวนอย่างส้มโอเป็นอีกหนึ่งพืชที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยทำการตลาดส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้ผลผลิตอย่างส้มโอมีกำลังผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เพราะด้วยรสชาติที่ดีในแต่ละปี เมื่อมีผลผลิตออกจำหน่าย ลูกค้าต่างเข้ามาติดต่อขอซื้อกันอย่างมาก จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ขึ้นชื่อของอำเภอบ้านแท่นไปแล้วในเวลานี้

“เกษตรกรที่ปลูกส้มโอตอนนี้ ก็มีการรวมกลุ่มกันปลูกส้มโอแปลงใหญ่อยู่ประมาณ 4 กลุ่ม ตั้งมาตั้งแต่ปี 2560 โดยสมาชิกภายในกลุ่มมีการผลิตส้มโอที่ได้คุณภาพ และเกษตรกรบางรายได้รับการรับรองมาตรฐาน จีเอพี (GAP) จึงทำให้สินค้าอย่างส้มโอที่ผลิตจากอำเภอบ้านแท่น เป็นสินค้าทางการเกษตรที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกษตรกรผลิตจำหน่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ เกิดรายได้หลักล้านบาท ทำให้เกษตรกรในหลายๆ พื้นที่เกิดความสนใจ ฉะนั้น ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของการปลูกส้มโอก็สามารถติดต่อมาทางสำนักงานเกษตรอำเภอบ้านแท่น ทางเราจะประสานกลุ่มเกษตรกรที่มีความชำนาญ และให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาดูงานการปลูกส้มโอ แล้วนำไปปฏิบัติสร้างเป็นอาชีพต่อไปได้” คุณชาญวิทย์ กล่าว

คุณประจวบ ป้อมสุวรรณ เกษตรกรปลูกส้มโอ อยู่ที่อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ เป็นอีกหนึ่งเกษตรกรที่ปลูกส้มโอจนประสบผลสำเร็จ สามารถทำการตลาดส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายส้มโอเป็นอย่างดี พร้อมทั้งผลิตกิ่งพันธุ์จำหน่าย ฉะนั้น นอกจากจำหน่ายผลผลิตแล้ว ยังเกิดรายได้จากการตอนกิ่งพันธุ์จำหน่ายอีกด้วย

คุณประจวบ เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนยึดการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเพียงอย่างเดียว คือการทำนา แต่ด้วยระยะหลังมานี้ผลผลิตบางช่วงที่ได้ราคาไม่ดีนัก จึงทำให้เกิดความคิดที่อยากจะทำเกษตรแบบผสมผสาน เมื่อเข้าสู่ปี 2554 จึงได้แบ่งพื้นที่นาบางส่วนมาทำสวนส้มโอ โดยซื้อพันธุ์ส้มโอทองดีจากเกษตรกรในพื้นที่ มาปลูกดูแลอยู่ประมาณ 4 ปี จึงมีผลผลิตออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด

“ช่วงนั้นในพื้นที่นี้ จะมีเกษตรกรหลายท่านที่ปลูกส้มโอประสบผลสำเร็จ ทีนี้เราก็มองว่าตัวเราเองก็น่าจะทำได้ เพราะพื้นที่เรามีอยู่ จึงได้แบ่งพื้นที่นามาปลูกส้มโอเพื่อทดลอง ประมาณ 3 ไร่ พอผลผลิตเริ่มจำหน่ายได้ เกิดรายได้ดี จึงขยับขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น จนตอนนี้ปัจจุบันปลูกอยู่ประมาณ 10 ไร่ คิดว่าน่าจะคงพื้นที่ปลูกอยู่ในปริมาณเท่านี้ เราเน้นดูแลเอง ใช้แรงงานในครอบครัว เมื่อพื้นที่ปลูกไม่มาก เราดูแลได้ง่ายทั่วถึง ทำให้ควบคุมในเรื่องของคุณภาพได้” คุณประจวบ บอก

ส้มโอจึงให้ผลผลิต

ในการเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกส้มโอ คุณประจวบ บอกว่า เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ทำนามาก่อน จึงต้องปรับพื้นที่ปลูกบางส่วน ด้วยการขุดให้ภายในสวนมีร่องน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง และยกสันร่องที่มีความกว้างอยู่ที่ 12 เมตร เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมขังกับโคนต้น ส่วนการให้น้ำกับต้นส้มโอจะวางระบบน้ำหยดทั้งสวน จึงทำให้ส้มโอได้รับน้ำอย่างเพียงพอทุกต้น เมื่อเตรียมแปลงปลูกเรียบร้อยแล้ว นำกิ่งพันธุ์ส้มโอทองดี อายุ 3 เดือน ที่ได้จากการตอน มาปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้ ให้มีระยะห่างระหว่างต้นและแถวอยู่ที่ 6×6 เมตร

“ช่วงแรกที่เราปลูกลงไปใหม่ๆ ก็จะรดน้ำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จากนั้นก็รดน้ำตามความเหมาะสม โดยดูความชื้นความแฉะของดินเป็นหลัก มีการใส่ปุ๋ยบำรุงต้นบ้าง มีปุ๋ยเคมีสลับกับปุ๋ยคอก ซึ่งส้มโอกว่าจะให้ผลผลิตได้ ต้องใช้เวลาดูแลอย่างน้อยถึง 4 ปี ช่วงนี้ต้องมีการป้องกันโรคและแมลงต่างๆ อยู่เสมอ พร้อมทั้งกำจัดวัชพืชภายในสวนให้เรียบบร้อย อย่าให้รกมากจนเกินไป เมื่ออายุเริ่มได้กำหนดที่จะให้ผลผลิตได้แล้ว เราก็จะมีการดูแลความพร้อมของต้นให้พร้อม สำหรับการออกผล” คุณประจวบ บอก

การเตรียมต้นส้มโอให้ออกดอกติดผลนั้น คุณประจวบ เล่าว่า ประมาณเดือนธันวาคมจะใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ ในอัตรส่วน 1-3 กิโลกรัม ต่อต้น พร้อมทั้งให้น้ำตามความเหมาะสม ไม่นานต้นก็จะเริ่มออกดอกมาให้เห็น จากนั้นเดือนมกราคมจากดอกจะเริ่มติดเป็นผล โดยใน 1 ต้น ให้มีผลอยู่บนต้นที่ 200 ผล เป็นอย่างต่ำ เพราะถ้าหากให้มีผลบนต้นมากจนเกินไป จะทำให้ผลส้มโอมีขนาดที่เล็กและต้นอาจรับน้ำหนักไม่ไหว

เมื่อต้นเริ่มติดผลเป็นที่เรียบร้อย ช่วงนี้จะดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยการใส่ปุ๋ยทางใบและทางราก เดือนละ 1 ครั้ง หมั่นดูแลไปเรื่อยๆ จนกว่าผลจะได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น จากนั้นก่อนตัดจำหน่าย 1 เดือน จะใส่ปุ๋ย สูตร 13-13-21 เพื่อให้ผลมีรสชาติที่ดี โดยระยะเวลาออกดอกจนกว่าจะได้ผลส้มโอที่แก่พร้อมจำหน่ายได้ ต้องใช้เวลาดูแลถึง 7 เดือน เลยทีเดียว

“พอเข้าสู่เดือนสิงหาคม ส้มโอในสวนก็พร้อมที่จะตัดขายได้ ในช่วงนี้เราก็จะเก็บผลผลิตขายทั้งหมด ซึ่งผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ก็อยู่ที่ 3 ตัน หากดูแลดีๆ ไม่มีแมลงศัตรูพืชมารบกวน และโรคที่ต้องป้องกันอยู่เสมอของส้มโอคือ โรครากเน่าโคนเน่า ส่วนแมลงศัตรูพืชก็จะเป็นเพลี้ยไฟไรแดง หากช่วงไหนที่เรารู้ว่าจะเกิดการระบาด ก็จะหมั่นตรวจเช็กและฉีดพ่นยาป้องกันอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้ต้นส้มโอมีความสมบูรณ์ และให้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ หลังจากเก็บผลผลิตหมดต้น เราก็จะใส่ปุ๋ยคอกเสริม และพักต้นประมาณ 1-2 เดือน หลังจากนั้นก็ตัดแต่งกิ่งและเตรียมผลิตรอบใหม่ต่อไป” คุณประจวบ บอก

ช่วยให้ผลผลิตขายได้ดี

ในเรื่องของการทำตลาดจำหน่ายส้มโอทองดีนั้น คุณประจวบ เล่าว่า เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอได้มีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าที่เข้ามาติดต่อซื้อขายสามารถได้ผลผลิตในปริมาณที่แน่นอน และทำตลาดได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วง โดยเฉพาะพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อเพื่อนำผลผลิตไปส่งจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งผลผลิตอย่างส้มโออำเภอบ้านแท่นตลาดหลักที่ส่งออกไปจำหน่ายคือ ประเทศจีน และบางส่วนก็จะจำหน่ายตลาดในประเทศ

โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 35 บาท ซึ่ง 1 ผล จะทำน้ำหนักให้อยู่ที่ 1 กิโลกรัม เป็นขนาดที่เหมาะสมและลูกค้าสามารถซื้อรับประทานได้เรื่อยๆ ในราคาที่ไม่สูงมากจนเกินไป

“ตั้งแต่ผมมาปลูกส้มโอ เป็นอีกหนึ่งพืชทางเลือก ก็รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตเราดีขึ้น โดยเราไม่ต้องมีความเสี่ยงจากการไปปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพียงอย่างเดียว อย่างน้อยเมื่อผลผลิตจากข้าวไม่ได้ราคา เราก็ยังมีสวนส้มโอที่สร้างรายได้ให้กับเรา ดังนั้น การปลูกส้มโอไม่ใช่เรื่องอยาก หากมีการเรียนรู้และดูแลต้นให้สมบูรณ์ ส้มโอก็จะให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งใครที่สนใจอยากจะปลูกส้มโอสร้างรายได้ อยากแนะนำว่าสิ่งแรกให้ดูก่อนเลย คือเรื่องของพื้นที่ปลูก อย่าให้ต่ำเกินไป มีปริมาณน้ำที่ให้ส้มโออย่างเพียงพอ พร้อมทั้งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในเรื่องของการปลูกอยู่เสมอ ก็จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี จากนั้นก็ผลิตแบบมีคุณภาพ ก็จะสามารถขายและมีรายได้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้แน่นอน” คุณประจวบ ทิ้งท้ายหลักความสำเร็จของการปลูกส้มโอ

สำหรับท่านใดที่สนใจการปลูกส้มโอพันธุ์ทองดีให้ได้คุณภาพ สามารถติดต่อเข้าศึกษาดูงานหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ได้ที่ คุณประจวบ ป้อมสุวรรณ หมายเลขโทรศัพท์ 089-534-9139

หลังจากสัมผัสสารเคมีในสวนไม้ผลของตนเองมานาน ร่างกายอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด และช่วงปี 2540 เศรษฐกิจไม่ดีหากซื้อปุ๋ยใช้อย่างเดียว ต้นทุนการผลิตคงจะต้องสูง ไม่คุ้มกับผลผลิตที่ได้ จึงคิดเริ่มต้นสู่การคิดค้นผลิตสารชีวภาพไว้ใช้เอง

คุณวันเพ็ญ สนลอย หมอดินอาสาประจำจังหวัดปราจีนบุรี เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการทดลองผลิตสารชีวภาพว่า เมื่อเริ่มผลิตสารชีวภาพ พื้นที่ทำสวนไม้ผลเพียง 3 ไร่ ของตน จึงกลายเป็นแปลงทดลองผิดทดลองถูกในการใช้สารชีวภาพที่ตนเองผลิตขึ้น ผ่านไป 4-5 ปี ก็ประสบความสำเร็จ

“สูตรสารชีวภาพทั้งหมด นำความรู้ที่ได้ศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ มาประยุกต์ปรับสูตรให้ใช้ได้ในสวนของเรา เมื่อใช้แล้วดีก็แจกจ่ายให้เกษตรกรเอาไปทดลองใช้ แล้วประเมินผลว่าดีหรือไม่ เพื่อนำมาปรับปรุงอีกครั้ง” เจ้าตัวบอก

ปัจจุบันการผลิตสารชีวภาพกลายมาเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ให้แก่คุณวันเพ็ญ จากสวนเพียง 3 ไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 18 ไร่ และสร้างรายได้ปีละเกือบ 2 ล้านบาท โดยมีสารชีวภาพที่คิดค้นไว้ทั้งหมด 14 สูตร เช่น เร่งโตผลขั้วเหนียว เร่งโตยอดใบ ฮอร์โมนไข่ ฮอร์โมนเร่งหวาน-สี เตรียมต้นสะสมอาหาร ป้องกันเชื้อรา น็อคหนอนและแมลง เป็นต้น และความภาคภูมิใจที่สุดของหมอดินอาสาหญิงคือ การได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระองค์ทรงสนพระทัยนำสารชีวภาพสูตรสมุนไพรผงไปทดลองใช้

ความรู้จากการคิดค้นด้วยตนเองที่ไม่อยากเก็บไว้คนเดียว คุณวันเพ็ญ ได้เผยแพร่ความรู้ให้แก่เกษตรกรผู้สนใจทั่วไป และนักเรียน โดยเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เป็นที่ปรึกษาให้กับโรงเรียน เป็นคณะร่างหลักสูตรภูมิปัญญาท้องถิ่น และยังเปิดบ้านให้ผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้การผลิตสารชีวภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ในช่วงที่ราคาปุ๋ยเคมีสูงขึ้นในขณะนี้ คุณวันเพ็ญ แนะนำว่า “ตอนนี้ปุ๋ยแพง ถ้าเกษตรกรรู้จักทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ พด.2 ใช้เองก็สามารถอยู่ได้ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี”?

สูตรปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ผลิตจากสารเร่งซุปเปอร์ พด.2 สามารถทำใช้ได้เอง เป็นสูตรที่คุณวันเพ็ญ เรียกว่าสูตรรวมมิตร ซึ่งได้แนะนำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้และได้รับความนิยม

ส่วนผสมสำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 200 ลิตร ประกอบด้วย
– กุ้ง หอย ปู ปลา 30 กิโลกรัม
– กากน้ำตาล 30 กิโลกรัม
– พืช ผัก ผลไม้ 20 กิโลกรัม
– หน่อกล้วย 1-2 หน่อ
– น้ำมะพร้าว น้ำซาวข้าว น้ำล้างหมู หรือปลา ใส่พอประมาณเกือบเต็มถัง สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 จำนวน 1 ซอง ขอรับได้จากสถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด

นำสารเร่งซุปเปอร์ พด.2 ผสมน้ำคนให้เข้ากัน นำหน่อกล้วยมาสับให้ละเอียด นำกากน้ำตาล หรือใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำอ้อยใส่ลงในถัง 200 ลิตร เทสารเร่งซุปเปอร์ พด.2 ลงในถัง นำกุ้ง หอย ปู ปลา และพืชผัก ผลไม้ สับใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ปิดฝาหลวมๆ ตั้งไว้ในที่ร่ม หมักไว้ 3 เดือน จะได้ธาตุอาหารหลัก หมัก 6-9 เดือน จะได้ธาตุอาหารรอง และหมักไว้ 12 เดือน จะได้ธาตุอาหารเสริม หากเกิดกลิ่นเน่าเหม็นให้เติมกากน้ำตาล ประมาณ 5-10 กิโลกรัม ประมาณ 1 สัปดาห์ กลิ่นจะหอมขึ้น

การนำไปใช้ เมื่อเริ่มเตรียมดินปลูกให้ตัดหญ้าทิ้งไว้แล้วหมักด้วยปุ๋ยอินทรีย์น้ำอัตราส่วนผสม 20 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หมักไว้ 3 เดือน หลังปลูกพืชแล้วฉีดทางดิน ในอัตรา 2 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ทุกเดือน ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของรากพืช ชักนำให้เกิดการงอกของเมล็ด เพิ่มการเจริญเติบโตและขยายตัวของใบและยืดตัวของลำต้น

นอกจากสูตรรวมมิตรแล้ว ยังมีการทำซุปเปอร์ พด.2 สูตรเปิดตาดอก และการทำยาไล่แมลงจากสมุนไพร ซึ่งสูตรเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย และได้ถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรตลอด ได้รับการยอมรับที่ดีหลังจากทดลองใช้ คุณวันเพ็ญบอกว่า “ไม่ได้ต้องการทำเพื่อขายเท่านั้น ใครไม่มีเงินหากสนใจจริงให้นำไปทดลองใช้ ถ้าได้ผลดีก็มาเรียนรู้ที่นี่ไม่ต้องเสียเงิน คิดว่าการได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนให้ลืมตาอ้าปากได้ เป็นความสุขของเรา”?

ในยุคที่ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรกำลังปรับราคาสูงขึ้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เกษตรกรต้องร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คนมีความรู้ความสามารถต้องแสดงออกมาอย่างนี้…

หากสนใจเรียนรู้ การผลิตสารชีวภาพสูตรต่างๆ ติดต่อ คุณวันเพ็ญ สนลอย หมอดินอาสาประจำจังหวัดปราจีนบุรี บ้านเลขที่ 62/1 หมู่ที่ 5 ตำบลไม้เค็ด อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี โทร. (037) 405-026, (081) 803-4930

“ระหัดวิดน้ำ” เป็นนวัตกรรมภูมิปัญญาพื้นบ้านที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองทางการเกษตรของประเทศไทยในอดีต ซึ่งเป็นระหัดวิดน้ำที่ทำจากไม้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการวิดน้ำเข้าสวนและไร่นา มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำเกษตรกรรมของประเทศ เมื่อพิจารณาจากหลักการและทฤษฎีทางด้านวิศวกรรมชลศาสตร์จะพบว่า “ระหัดวิดน้ำภูมิปัญญาโบราณเป็นปั๊มน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีข้อจำกัดในด้านความสูงของการสูบน้ำ” ถ้าหากระดับการสูบน้ำทำมุมมากกว่า 30 องศา น้ำที่ชักลากจะไหลย้อนลงมาตามรางวิดน้ำ ซึ่งเป็นข้อจำกัดทางด้านประสิทธิภาพของระหัดวิดน้ำโบราณ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) สุวรรณภูมิ จึงได้สร้างระหัดวิดน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเกษตรกรรมขึ้น เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระหัดวิดน้ำให้มีความทันสมัยมากขึ้น ลดข้อด้อยของระหัดวิดน้ำแบบเดิม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น ราคาถูก ง่ายต่อการนำไปสร้างและใช้งานได้จริง ตลอดจนการนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีอยู่อย่างเหลือเฟือ มาใช้ขับเคลื่อนมอเตอร์แทนที่การใช้พลังงานลมเพื่อลดข้อจำกัดด้านพื้นที่การใช้งาน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลงานของ นายณัฐศิษฐ์ แขกใจเย็น และ นายภาณุพงศ์ ภูผา นักศึกษา สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยมี ผศ.ดร. ณรงค์ชัย วิวัฒนาช่าง และ อาจารย์ชนะรบ วิชาลัย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา การดำเนินผลงาน

ผศ.ดร. ณรงค์ชัย วิวัฒนาช่าง รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) สุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า การประดิษฐ์ระหัดวิดน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ มีแนวความคิดของการสร้างและออกแบบโดยมีต้นแบบจากระหัดชกมวย ซึ่งใช้แรงคนเป็นต้นกำลังในการหมุนระหัดวิดน้ำ ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในปัจจุบัน สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั่วไป เช่น เหล็ก ท่อพีวีซี (PVC) ตลอดจนวัสดุเหลือใช้อื่น อาทิ ยางรถบรรทุก

นอกจากนี้ ยังใช้เทคนิคในการทำงานพื้นฐานที่ช่างทั่วไปสามารถทำได้ เช่น งานตัด งานเจาะ และงานเชื่อม ใช้เครื่องมือช่างพื้นฐานที่มีอยู่ก็สามารถสร้างระหัดวิดน้ำได้ ใช้พลังงานไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์ชนิดผลึกเดี่ยว (Single Crystalline Silicon Solar Cell) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mono Crystalline Silicon Solar Cell ขนาด 30 โวลต์ 300 วัตต์ เป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนระหัดวิดน้ำใช้ขับมอเตอร์กระแสตรง (VC Motor) ขนาด 24 โวลต์ 250 วัตต์ มีประสิทธิภาพ 78% ต่อขั้นด้วยไดโอดบริดจ์ (Diode Bridge) ขนาด 50 แอมป์ 1,000 โวลต์ และแบตเตอรี่

“ระหัดวิดน้ำพลังงานแสงอาทิตย์” สร้างด้วยวัสดุที่หาได้ในปัจจุบันที่มีโครงสร้างที่สร้างจากเหล็กฉาก เจาะรูพร้อมชุดอุปกรณ์จุดต่อสำเร็จรูปมีท่อสูบน้ำเป็นวัสดุพีวีซี (PVC) ชุดก้านใบระหัดที่สร้างจากเหล็กรูปพรรณ ตลอดจนใบระหัดวิดน้ำที่สร้างจากยางนอกรถบรรทุก ประกอบกันเป็นสายพานระหัดที่มีระบบฟันเฟืองถ่ายทอดกำลังเป็นเหล็กรูปพรรณ มีชุดต้นกำลังที่เป็นมอเตอร์กระแสตรงจากจักรยานไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โดยตรง

จากผลการทดสอบระหัดวิดน้ำวัดอัตราการไหลผ่านฝาย โดยคำนวณหาประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ำด้วยสมการ การทดลองนี้ใช้การวัดอัตราการไหลของน้ำผ่านฝายสันคมรูปสามเหลี่ยม (V-notch Weirs) พบว่า ระหัดวิดน้ำที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงถึง 97% ที่ระดับความสูง 1 เมตร ซึ่งค่าประสิทธิภาพจะแปรผกผันกับความชันของมุมยก (a)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) สุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี โทรศัพท์ (081) 839-6772 โทรสาร (035) 544-299

ถึงแม้สถานการณ์ มะพร้าว ในประเทศไทยจะไม่สู้ดีนัก ราคาตก ส่งผลเสียต่อเกษตรกรเป็นวงกว้าง แต่ก็ยังมีเกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมุ่งมั่นที่จะผลิตมะพร้าวต่อไป เพราะเชื่อว่ายังไง มะพร้าว ก็ยังนับได้ว่าเป็นพืชมหัศจรรย์ สามารถขายสร้างประโยชน์ได้ทุกส่วน และการปลูกมะพร้าวก็สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี สวนกระแสสถานการณ์ในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง

คุณแดง มาประกอบ หรือ พี่แดง อยู่บ้านเลขที่ 311 หมู่ที่ 6 ตำบลสามกระทาย อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บัณฑิตแม่โจ้ และเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวน้ำหอม ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าพี่แดงถือเป็นเซียนเรื่องการเกษตร ทำมาแล้วหลายแขนง ปลูกมาแล้วหลายชนิด ทั้งพืชอายุสั้น ผลไม้ แตงโม แคนตาลูป แต่ต้องเลิกปลูกด้วยเหตุผลที่การปลูกพืชผลไม้ต้องใช้คนงานเยอะ และต้องมีเวลาเข้าสวนทุกวัน ไม่สามารถปลีกตัวไปทำอาชีพเสริมได้ จึงเริ่มลองมาศึกษาเรื่องการปลูกมะพร้าวน้ำหอม เพราะคิดว่ามะพร้าวน้ำหอมเป็นพืชที่ให้รายได้แน่นอน มีรายได้เข้ามาทุกเดือน คิดง่ายๆ ว่า

“เราเลี้ยงลูก ลูกโตไปโอกาสที่เขาจะกลับมาเลี้ยงดูเราก็ไม่แน่นอน เพราะเราบังคับไม่ได้ แต่ถ้าปลูกมะพร้าว มะพร้าวเลี้ยงเราได้แน่นอน จากที่พิสูจน์มา เพราะผมปลูกมะพร้าวเลี้ยงแม่มาตั้งแต่ ปี’34 มีรายได้เข้าทุกเดือน เดือนละเกือบ 20,000 บาท โดยไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็มีคนมาตัดถึงสวน” พี่แดง บอก

ปลูกมะพร้าวน้ำหอม 15 ไร่ มีรายได้เข้ากระเป๋าทุกเดือน
ปัจจุบัน พี่แดง ปลูกมะพร้าวน้ำหอม จำนวน 15 ไร่ ปลูกในระยะห่าง 4×6 เมตร ได้จำนวน 950 ต้น… 1 ไร่ ปลูกได้ 66 ต้น

ปลูกมะพร้าวอยู่ 2 พันธุ์ ด้วยกัน สมัครเว็บแทงบอล คือพันธุ์ตูดจีบบ้านแพ้ว และพันธุ์ดำเนินต้นเตี้ย มีจุดเด่นแตกต่างกัน ตูดจีบบ้านแพ้ว ลักษณะเด่น จะได้ผลที่ใหญ่ การออกผลหลังปลูก เฉลี่ย 3 ปี ตูดจีบบ้านแพ้วถ้าสังเกตให้ดีโดยต้นจะมีสะโพกเล็กน้อย คือถ้าเทียบกับดำเนินต้นเตี้ยจะดูรู้เลย ลักษณะจั่นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ ปลายจั่นมน ระยะเรียงตัวของจั่นค่อนข้างยาว แล้วพ้นคอคือไม่ติดอยู่ในคอ ถือเป็นลักษณะดี ดังนั้น การติดผลจะดก ใบจะมีสีเขียวสดใสเป็นเอกลักษณ์ ลูกใหญ่แต่ความหวานของน้ำสู้ดำเนินต้นเตี้ยไม่ได้ เหมาะแก่การทำตลาดมะพร้าวควั่น มะพร้าวส่งออก เพราะว่าลูกใหญ่สวย การติดผลดีสม่ำเสมอ

การบำรุง ช่วงใกล้เวลาผลผลิตออก ปรุงด้วยปุ๋ย สูตร 13-13-21 ให้มีความหวานเพิ่มขึ้นได้ ถือว่าเป็นเทคนิคการตลาด ตลาดต้องการทุกที่

ดำเนินต้นเตี้ย มีลักษณะใกล้เคียงกับตูดจีบบ้านแพ้ว สันนิษฐานว่าสายพันธุ์อาจจะผสมกัน แต่ดำเนินต้นเตี้ยอาจจะมีพวงร้อยเข้ามาผสมอยู่บ้าง เพราะลักษณะเวลาพบปัญหา จะเหมือนพวงร้อย ลักษณะลูกจะต่างกัน การติดผลจะดกกว่า ลักษณะต้นไม่มีสะโพก ต้นตรง จั่นจะชิดอยู่ที่คอ ไม่ค่อยพ้นกาบ ซึ่งปัญหาตรงนี้ต้องดูตอนออกจั่นครั้งแรกอายุหลังปลูก 18 เดือน ถือว่าออกลูกเร็ว เพียง 2 ปีครึ่ง จะเริ่มตัดได้แล้ว ต้นจะเล็กและเตี้ยกว่า ตัวนี้เคยบันทึกแล้วได้ 18 จั่น ต่อปี ระยะบางทีไม่ถึง 20 วัน ตัดได้ รสชาติน้ำหวานกว่าตูดจีบบ้านแพ้ว ตลาดเดินดีมาก เพียงแต่ว่าต้องอาศัยเทคนิคทำให้ลูกใหญ่ เพราะลักษณะลูกค่อนข้างเล็ก

เทคนิคน้ำสลับแห้ง ทำให้น้ำมะพร้าวรสชาติหวานอร่อย
การปลูกที่นี่จะไม่ใช้การขุดหลุมระยะ 50x50x50 เซนติเมตร แต่จะใช้วิธีการไถดะผาล 3 แล้วไถแปร ขุดหลุมเพียงหน้าจอบเดียวแล้วปลูก คือแค่ให้ถมได้ครึ่งลูก แล้วไถยกร่องอีกครั้งหนึ่ง และทำร่องมาอยู่ข้างๆ เพื่อการจัดการในอนาคต ขับซาเล้งเข้ามาเก็บได้เลย ไม่ต้องใช้แรงงานขนออกมาจากสวน ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก สวนมะพร้าวทั่วไปจะอยู่ตรงกลาง ต้องร่องเรือออกมา นับว่าเสียเวลา

ระบบน้ำสลับแห้ง ที่นี่เป็นดินร่วนปนทราย การให้น้ำมีระบบชลประทาน สวนจะต่อกับระบบผ่านร่องสวนมา แต่ต้องใช้วิธีน้ำสลับแห้ง ไม่ใช่ขังร่องเหมือนที่ดำเนินสะดวก บ้านแพ้ว หรือสมุทรปราการ จะมีน้ำขังไว้เต็มร่องตลอด แต่จะผันน้ำเข้า 1 เดือน ผันน้ำเข้าครั้งหนึ่ง พอประมาณ 1 สัปดาห์ วงรอบการเปิดน้ำชลประทานจะปิด น้ำก็จะแห้ง ดังนั้น ก็จะได้รสชาติของน้ำที่หวานกว่า เพราะปริมาณน้ำไม่ได้ขังอยู่ตลอด

ผลผลิตต่อต้น ต่อปี จั่นละ 10 ลูก 180 ผล ต่อต้น ต่อปี โดยประมาณ ช่วงแรกที่ปลูกความสมบูรณ์ของต้นจะยังไม่มี ช่วงที่ติดผลใหม่ๆ ลูกจะเยอะ แต่อย่าเพิ่งไปดีใจ พอจั่นที่ 5-6 จะไม่ค่อยติดลูก ดังนั้น ต้องรออายุ 5 ปีขึ้น จึงจะมีความสม่ำเสมอของต้น คือติดทะลายสม่ำเสมอ