หนาวนี้ ชาร์จแบตที่มวกเหล็ก สูดโอโซน อันดับ 7 ของโลก

สัมผัสไอหมอกหนาวนี้ เช็กอินที่มวกเหล็กกันมั้ย? ‘มวกเหล็ก’ จัดเป็นแม่เหล็กตัวเขื่อง ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปสัมผัสไอหมอกยามเช้า สูดโอโซนบริสุทธิ์ อันดับ 7 ของโลก ให้ชุ่มชื่นปอด ในอุณหภูมิเย็นสบาย ด้วยระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 150 กิโลเมตร อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จึงเป็นไฮไลต์ด้านการท่องเที่ยวของคนเมือง ที่อยากหลีกหนีความแออัดวุ่นวาย เปิดวาร์ปไปเช็กอินพักกาย ชาร์จแบต ท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติในจุดที่ไม่ไกลและเดินทางสะดวก แต่ได้ดื่มด่ำบรรยากาศเหมือนขึ้นดอย

ท่องเที่ยว ‘มวกเหล็ก’ ปีนี้ ได้รับแรงหนุนอันแข็งแกร่ง โดยหอการค้าจังหวัดสระบุรี จับมือกับ กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดสระบุรี (Young Entrepreneurs’ Chamber of Commerce Saraburi หรือ YEC สระบุรี) สมาคมการท่องเที่ยวสระบุรี และ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีสระบุรี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ผลักดัน อำเภอมวกเหล็ก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีดีไม่แพ้ที่อื่นๆ ทั้งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรม เรียกว่ามีของดีต้องบอกต่อ

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หอการค้าจังหวัดสระบุรี จัดทริปลั้นล้าแทรกด้วยสาระเชิงเกษตร นำคณะสื่อมวลชนสัมผัสไอหมอกยามเช้า ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรม พ่วงด้วยกิจกรรมแอ๊ดเวนเจอร์ ล่องแก่ง เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะสร้างความครึกครื้น

สายวันที่ 6 ธันวาคม 2561 คณะเราเช็กอินจุดแรก ที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ที่นี่จัดเป็นอัตลักษณ์สำคัญของมวกเหล็ก เป็นต้นกำเนิดกิจการโคนมแห่งแรกของประเทศไทย มาแล้วไม่แวะ ถือว่ามาไม่ถึงมวกเหล็ก นมกล่องแรกของไทยมาจากอำเภอมวกเหล็ก (นมไทย-เดนมาร์ค) ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมาส่งเสริมไว้ ที่นี่ทุกคนได้สัมผัสกลิ่นไอคาวบอย พร้อมทดลองรีดนมวัวแม่พันธุ์ดี รวมทั้งชมกระบวนการผลิตนมกล่อง ภายใต้แบรนด์ นมไทย-เดนมาร์ค

หลังถ่ายภาพหมู่ร่วมกับ คุณวรรณภา ชินชูศักดิ์ ประธานบริษัทประชารัฐรักสามัคคีสระบุรี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และรองประธานหอการค้าจังหวัดสระบุรี ที่ให้เกียรติมาต้อนรับ และนำคณะเราเยี่ยมชม เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงพอดี ท้องเริ่มร้อง มื้อนี้ อ.ส.ค. เป็นเจ้าภาพ พาคณะเราลิ้มรสสเต๊กหมูและปลาชิ้นโตเนื้อหนานุ่มละมุนลิ้น เสิร์ฟคู่กับสลัด และขนมปังกระเทียม ที่ Milk Land สาขา 2 ขอบอกว่าดีต่อใจมากมาย

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ล้อหมุนต่อไปอีกนิด พาคณะเที่ยวชมน้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตกตามธรรมชาติ ที่มีชื่อมาจากหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของน้ำตก ชื่อว่า “บ้านสาวน้อย” และน้ำตกมี 7 ชั้น จึงเป็นที่มาของน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ที่นี่มีน้ำให้เล่นตลอดปี และเมื่อปีที่ผ่านมาได้ขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติแล้วด้วย

ไฮไลต์อยู่ที่สะพานข้ามภาค สร้างเชื่อมระหว่างเขตรอยต่อจังหวัดสระบุรี กับจังหวัดนครราชสีมา หรือภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกคนในคณะพร้อมใจเดินเท้าข้ามเขตรอยต่อและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

จบจากกิจกรรมเดินเที่ยวชมน้ำตกพอให้สเต๊กย่อย คล้อยบ่ายโชเฟอร์พาคณะเข้าสู่โหมดกิจกรรมแอ๊ดเวนเจอร์ให้เลือดลมสูบฉีด กับการล่องแก่ง ที่บ้านปากคลอง อำเภอมวกเหล็ก เรือยางล่องไปตามแก่งต่างๆ ระยะทาง 4 กิโลเมตร พาไปถึงภูเกาะ ก่อนมีรถปิกอัพขับไปรับกลับ

ล่องแก่ง เป็นอีกกิจกรรมที่ชาวคณะไม่มีใครยอมยกธงขาว ชุดชูชีพพร้อม เรือยางพร้อม ใจพร้อม ก็ไปกันเลย เรียกเสียงหัวเราะและเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้ตลอดทาง เป็นอีกกิจกรรมที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ช่วงเย็นก่อนเข้าที่พัก เราได้เยี่ยมชมฟาร์มสายทอง ไร่มัลเบอรี่ ของ คุณสายสุณีย์ สุวรรณดี หรือ ป้าน้อย ที่นี่รับประกันว่าปลอดสารพิษ และเปิดโอกาสให้ชิมลูกมัลเบอรี่กันสดๆ จากต้น เห็นเม็ดเล็กๆ แต่มัดใจได้อยู่หมัด รสชาติอมเปรี้ยวนิดๆ กินเพลินเคี้ยวเพลินเลยจ้า
ป้าน้อย บอกว่า นอกจากขายผลมัลเบอรี่สดแล้ว ยังนำมัลเบอรี่มาแปรรูปเป็นน้ำพร้อมดื่ม แยม ซอสราดเค้ก รวมถึงชาใบหม่อน ทำแบบชาเขียวญี่ปุ่นเลย ภายใต้แบรนด์ Mombery ที่เราได้ลิขสิทธิ์แล้ว

“เรานำแยมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ มาจาก กรมหม่อนไหม โครงการหลวงของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาปรับรสชาติ ปรับสูตร ลองผิดลองถูกอยู่ 5 ปี จนมาขายจริงๆ ได้ 5 ปีหลัง ลูกค้าเป็นคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สjงให้ อ.ส.ค. เป็นหลัก นอกจากนี้ มัลเบอรี่ยังเอามาทำกับข้าวได้ด้วย อาทิ ใส่ในส้มตำ หรือใส่น้ำพริกอ่อง แทนมะเขือเทศ หรือใส่รวมกับมะเขือเทศก็รสชาติดี” ป้าน้อย เผย

มาถึงช่วงตะวันคล้อยลาลับขอบฟ้า ชาวคณะเดินทางต่อไปอีกนิดเพื่อกินอาหารเย็นและเอนกายใต้ผ้าห่มอุ่น ท่ามกลางแมกไม้และขุนเขาของมวกเหล็ก ที่ไร่สมเกียรติ โฮมสเตย์ ของ คุณสมเกียรติ และ คุณสุภาวดี ชุมปัญญา ที่นี่อากาศเย็นสบายกำลังดี

สมเกียรติ โฮมสเตย์ มีสตอรี่มหัศจรรย์ โดย คุณสุภาวดี เล่าว่า จุดเริ่มมาจากคุณสมเกียรติไม่สบาย ตรวจร่างกายพบว่า ปอดดำเป็นฝ้า ทุกคนตกใจมาก เพราะไม่ได้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ คุณหมอให้ยามากิน 3 สัปดาห์ และย้ายมาอยู่ที่นี่ กลับไปพบคุณหมอไปเอกซเรย์ไม่เจอฝ้าแล้ว มันเป็นปาฏิหาริย์ เราเลยตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ถาวรและทำรีสอร์ต

“ไม้สักในรีสอร์ตเราปลูกเองกับมือทั้งหมดเลย เรารักที่นี่ ตำบลหนองย่างเสือ อากาศดีมาก เราอยู่กับชุมชนจริงๆ 3 ปีครึ่ง ตอนนั้นคนที่รู้จักถามว่า คุณเก๋ (คุณสภาวดี) ทำรีสอร์ตหรือ เราตอบว่าไม่ได้ทำ ไปดูเองละกัน ถ้าใช้ได้ก็มาดู ฟรีตลอด มาช่วง 10 ปี ให้หลัง จึงเริ่มมีคนเข้าพัก เราคิดราคาถูก และสามารถทำให้ชุมชน ชาวบ้าน เด็กนักเรียนที่นี่มีรายได้ ส่วนหนึ่งเราก็มอบให้โรงเรียนและวัดด้วย

“ถามว่า ได้กำไรบ้างไหม ก็มีบ้าง แต่เราได้กำไรชีวิต เรามีความสุขกับตรงนี้ ต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ที่ดินผืนนี้กับเรา อยู่แล้วมีความสุขมาก” คุณเก๋ เล่า

ค่ำคืนนี้ที่ไร่สมเกียรติ โฮมสเตย์ โอโซนอันบริสุทธิ์ทำให้ทุกคนหลับสนิท และตื่นเช้าด้วยความสดชื่นแจ่มใส พี่สาวของเราคนหนึ่งลุกขึ้นมาจ๊อกกิ้งเบาๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ก่อนใครเพื่อน ก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวต่อ

โปรแกรมในวันที่สอง เริ่มจากเยี่ยมชมไร่ผักปลอดสารพิษ ครูสรรเสริญ ชมการสาธิตการทำสลัดโรล จากนั้นทุกคนได้ทดลองม้วนสลัดโรล แต่มีข้อแม้ว่าคนไหนม้วน คนนั้นต้องรับผิดชอบกินเองด้วย โดยน้ำสลัดมาจาก แบรนด์ครูสรรเสริญ ตัวจริงเสียงจริง

อาจารย์สงบ เพียรทำดี เจ้าของไร่ผักครูสรรเสริญ ที่ลาออกจากราชการตอนอายุ 59 ปี หันมาปลูกผักเป็นเกษตรกรเต็มตัว เพราะที่บ้านทำธุรกิจ เราทำบาร์สลัดส่งในห้างบิ๊กซี โลตัส ทั่วประเทศ ภายใต้แบรนด์ครูสรรเสริญ ต้องใช้ผักจำนวนมาก โดยไร่ผักครูสรรเสริญ เป็นชื่อภรรยาของอาจารย์สงบนั่นเอง

“ผมโชคดีว่าภาครัฐ โดยเฉพาะพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการเกษตร มองว่าสวนของเราพอมีศักยภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ เป็นที่ที่จะให้องค์ความรู้กับเกษตรกรได้ รวมถึงถูกบังคับจากคนที่บ้านว่า คุณต้องปลูกให้ได้ (ยิ้ม) ตอนแรกต้องมาเจอกับปัญหาดินเสื่อมโทรม ดินแข็งมาก ใหม่ๆ เริ่มท้อ ชาวบ้านแถวนี้ก็มองว่าอาจารย์จะไปรอดไหม ก็คิดอยู่นาน สุดท้ายเราเริ่มศึกษาปรับปรุงดิน ทำให้ผักงามขึ้น กำลังใจก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ

“สุดท้าย จากผักที่เราเห็น กลายเป็นผักดินแปลงใหญ่ที่สุดในมวกเหล็ก” อาจารย์สงบ เล่าทิ้งท้าย

ล้อหมุนต่อไป ที่ไร่องุ่นไร้เมล็ดปลอดสารพิษ ภูนวพันธุ์ ของ คุณสมชาย ผลเคน ทันทีที่มองเข้าไปในโรงเรือน ต้องชมก่อนเลยว่า ผลองุ่นที่นี่ดกและงามมาก และพอได้ลิ้มรสความหวานก็ต้องกดไลก์รัวๆๆๆ และซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากด้วย

ชมแปลงผัก ไร่องุ่นกันแล้ว อีกไฮไลต์ของมวกเหล็ก จัดว่าเป็นแม่เหล็กตัวสำคัญคือ สวนเบญจมาศ บิ๊กเต้ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บนเนื้อที่ 100 ไร่ นอกจากจะทำธุรกิจขายดอกเบญจมาศรายใหญ่ของไทยแล้ว ยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ให้ปักหมุด ถ่ายรูป กับดอกเบญจมาศสีสันสวยงาม เก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

คุณสุดาสิริ พรหมพิทักษ์ ผู้จัดการสวนเบญจมาศ บิ๊กเต้ เผยว่า ทำสวนเบญจมาศมา 13 ปี เพิ่งเริ่มเปิดให้เข้าชม 3 ปีที่ผ่านมา จากเดิมเราขายดอกไม้ เราต้องวิ่งหาลูกค้า วิ่งชนลูกค้า แต่พอเปิดให้ท่องเที่ยวเป็นลูกค้ารู้จักเรา เขาวิ่งเข้าหาเรา พอขายได้เราก็สามารถเลือกคู่ค้าได้ จากเมื่อก่อนเขาเลือกเรา ตอนนี้เราเป็นฝ่ายเลือกเขา

“พอเริ่มเปิดให้ท่องเที่ยว ตอนนี้โตขึ้นเรื่อยๆ ร้านกาแฟ ขยายเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยววันทำการ 30-50 คน วันเสาร์-อาทิตย์ 300-500 คน ดอกเบญจมาศมีทุกวันทั้งปี ผลผลิตวันละ 1 ตัน ส่งภาคกลาง ภาคอีสาน รวมถึงห้างแม็คโคร ตอนนี้ไปถึงแม็คโครหัวหินแล้ว” คุณสุดาสิริ เผย

ด้านตลาดดอกเบญจมาศ คุณสุดาสิริ บอกว่า เดิมทีเบญจมาศในเมืองไทยนำเข้าจากมาเลเซีย ปีละกว่า 20 ล้านบาท แต่หลังจากเราทำผลผลิตได้สม่ำเสมอ คุณภาพดี สามารถลดยอดการนำเข้าได้ เป้าหมายของสวนคือ การลดยอดนำเข้า

ชื่นชมทุ่งเบญจมาศกันเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาอาหารพอดี คณะเราตรงดิ่งไปกินมื้อเที่ยงที่ Mela Garden Retreat Cottage ที่นี่เปิดเป็นที่พักสไตล์รีสอร์ตโอบล้อมด้วยขุนเขา ออกแบบสไตล์อิตาลี โดย Mela เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า แอปเปิ้ล รอบๆ ที่พักเป็นแปลงแอปเปิ้ลขนาดใหญ่กว่า 300 ต้น พร้อมด้วยแปลงกุหลาบและแปลงสมุนไพรที่ออกแบบเป็นตารางสี่เหลี่ยมเหมือนแปลงต้นไม้ตามสวนในต่างประเทศ

พูดถึงที่พักจัดว่าหรูหรามีระดับท่ามกลางผืนป่าและขุนเขา และเคยเป็นสถานที่เก็บตัวของกองประกวดมิสแกรนด์สระบุรีด้วย พูดถึงเรื่องอาหารคอนเฟิร์มว่ารสชาติแซ่บและเด็ดจริง

อิ่มท้องกันแล้ว มาไหว้พระและเดินย่อยอาหารที่วัดถ้ำดาวเขาแก้ว อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ที่นี่มีถ้ำขนาดใหญ่ ความลึกประมาณ 500 เมตร กว้าง 15 เมตร การเข้าชมต้องขึ้นบันไดจากเชิงเขาดาวเขาแก้วไปถึงปากถ้ำ ประมาณ 100 เมตร ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยตามเพดาน และฝาผนัง บางจุดคล้ายรูปดาว และในช่วงเย็นจะได้พบกับฝูงค้างคาวนับพันตัวที่พากันบินออกหากิน

พระรณภพ อนิโฆ รักษาการเจ้าอาวาสวัดถ้ำดาวเขาแก้ว เล่าว่า ที่ถ้ำแห่งนี้ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เคยมาพำนักเมื่อปี 2522 จากนั้นหลวงพ่อประทวน อตฺตทีโป ประธานสงฆ์วัดถ้ำดาวเขาแก้ว เริ่มเข้ามาพัฒนาเมื่อปี 2535 สร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ปลูกต้นไม้ สร้างถนน การไฟฟ้าเข้ามา ในถ้ำจุดเด่นจะมีผนังแก้ว หินงอกหินย้อย และที่ไม่เหมือนถ้ำอื่นก็คือ เหนือผนังถ้ำจะเป็นรูปดาว มีจุดหนึ่งเป็นเหมือนลายหลังเสือ เรียกว่า ถ้ำปูนสี

คุณวรรณภา ชินชูศักดิ์ ประธานบริษัทประชารัฐรักสามัคคีสระบุรี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และรองประธานหอการค้าจังหวัดสระบุรี เผยว่า เราเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี ใน Loop มวกเหล็ก หลังจากจัดงานมวกเหล็กฮาฟมาราธอน ปีที่ 2 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว 4,500 คน จึงมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในฝั่งของโซนมวกเหล็ก มวกเหล็กมีอัตลักษณ์ที่สำคัญคือ เรื่องของนม นมกล่องแรกของไทยมาจาก อำเภอมวกเหล็ก (นมไทย-เดนมาร์ค) โดย ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมาส่งเสริมไว้

“นอกจากนมแล้วมีเส้นทางน่าสนใจหลายเส้นทาง อาทิ อุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ที่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติปีที่ผ่านมา มีน้อยหน่า ผลไม้ปลอดสารพิษ และมีโอโซนเป็น อันดับ 7 ของโลก ไม่ว่าเขาใหญ่จะประกาศว่ามีโอโซนเป็นอันดับที่เท่าไร มวกเหล็กจะมีโอโซนเท่ากัน เพราะเราอยู่ติดกัน

“ล่องแก่ง ในอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จริงๆ แล้ว มีมานานมาก แต่หายๆ ไป คนจะไปเน้นเที่ยวที่จังหวัดนครนายก จึงอยากให้มาลองสัมผัสดูว่าล่องแก่งที่จังหวัดสระบุรีเป็นยังไง รวมถึงวัดถ้ำดาวเขาแก้ว เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ตรงสะดือของถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย ลักษณะคล้ายๆ กับดาว เราสามารถที่จะหลอกสาวๆ แล้วบอกว่าเอาเดือนเอาดาวมาให้คุณได้” คุณวรรณภา เล่า

คุณวรรณภา บอกว่า นอกจากนี้ จังหวัดสระบุรี มีทูตการท่องเที่ยว เป็นรูปน้องวัว COE morry (โคอี้โมรี่) ที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ร่วมมือกันทำขึ้นมา จะมาช่วยสร้างสีสันในทุกกิจกรรม กระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงทำเป็นของฝาก ของที่ระลึก อาทิ ผ้าพันคอ ลายน่ารักๆ ด้วย

ด้าน คุณรัศนญพร มโนศรีบุญรัตน์ นายกสมาคมท่องเที่ยวสระบุรี รักษาการสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสระบุรี กรรมการที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยว่า จังหวัดสระบุรีจะผลักดันให้มีเส้นทางท่องเที่ยวสากล ที่ทุกคนมาจังหวัดสระบุรีแล้วอยากจะไป คือ เส้นทางที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จประพาส 11 จุด 14 ครั้ง เป็นไฮไลต์ทั้งหมด อาทิ อ.ส.ค. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ วัดพระพุทธบาท ฯลฯ

“นอกจากนี้ เราเส้นทางศรัทธามหากุศล มีวัด 9 วัด ที่เป็นไฮไลต์มาก มีพระพุทธรูปทองคำ พระแก้วมรกต 3 ฤดู อยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาสัมผัส อาทิ วัดพุทธบาทราชวรมหาวิหาร วัดพระพุทธบาทน้อย วัดเขาวง วัดพะเยาว์ วัดสูงเสาไห้ วัดเขาแก้ววรวิหาร วัดพระพุทธฉาย วัดป่าสว่างบุญ วัดถ้ำโพธิสัตว์” คุณรัศนญพร เผย

เรียกว่าชาร์จแบตเต็มเปี่ยมกับทริปมวกเหล็ก ทริปสั้นๆ ที่มีอะไรเกินคุ้ม พร้อมกลับไปลุยงานกันต่อได้เล้ยยย!!มีสำรับหมูตุ๋นอร่อยๆ อยู่หม้อหนึ่งครับ ที่คงทำกินกันในหมู่คนจีนในเมืองไทยมานาน ก็คือ “หมูฮ้อง” ซึ่งมีคำอธิบายมาตรฐานอยู่ว่า คืออาหารฮกเกี้ยนที่ไปโด่งดังที่เซี่ยงไฮ้ในชื่อHong Shao Rou แถมมีอีกสำรับที่คล้ายกันมากจนน่าจะเป็นอันเดียวกัน ก็คือ “ฮ้องบะ” (ปีนังเรียก Hong Bak) มีทั้งที่ใส่หน่อไม้แห้ง หน่อไม้จีน ที่เมืองเพชรบุรีถึงกับมีคำเก่าเล่าคล้องจองสืบมาว่า “ปลาเค้าแกงหน่อไม้สด ปลากดแกงหน่อไม้ดอง หมูหองแกงหน่อไม้แห้ง” เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีสำรับที่เรียกว่า “แกงหอง” ในตำรับครัวไทยโบราณอีก ถึงแม้ใส่ถั่วลิสงเพิ่มเข้ามา และมีปรุงกลิ่นด้วยโป๊ยกั๊ก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามาจากสูตรเดียวกันนั้นเอง

คำว่า “ฮ้อง” เป็นคำจีนฮกเกี้ยน จีนกลางออกเสียงเป็น หง แต้จิ๋วเป็น อั้ง แปลว่า “แดง” ครับหมูฮ้องแปลตามตัวจึงคือ “หมูสีแดง” อาจเป็นได้นะครับ ที่รากศัพท์คำนี้มาจากความเชื่ออันเป็นมงคลเกี่ยวกับสีแดงของคนจีน ที่เอามาผูกเข้ากับอาหาร เพราะก็มีที่เล่ากันว่า มักทำหมูฮ้องในงานมงคลกันเป็นส่วนใหญ่

หมูฮ้องมีโครงสร้างง่ายๆ คือเนื้อหมูสามชั้น ตุ๋นในน้ำซีอิ๊วเพื่อที่จะให้สี “ฮ้อง” ออกน้ำตาลแดงเรื่อๆ อาจใส่เครื่องเทศแห้งบางตัว นอกจากนี้ก็มีผักแห้ง เช่น หน่อไม้แห้ง ที่จะให้รสผักมาตัดความเลี่ยนมันของหมูได้อร่อย

ผมอยากกินหมูฮ้องสักหม้อ แต่ผักแห้งที่ผมมี คือดอกแคหางค่าง ตอนนี้เป็นหน้าของมันทีเดียว คนแถบอีสานตอนเหนือ เช่น หนองคาย ชอบเอามาอั่วกิน ผมเก็บมาได้จากใต้ต้นของมันตามริมทางหลวงชนบท แล้วตากแดดอยู่หลายวันจนแห้งครับ

ดอกแคแห้งแบบนี้ ใครเคยไปเดินเที่ยวตลาดเมืองพม่า อย่างในเมืองมัณฑะเลย์ จะเห็นมีวางขายแยะทีเดียว คนพม่าไม่ได้กินเฉพาะแคหางค่างดอกใหญ่แบบนี้ แต่ดอกแคนาสีขาวๆ ที่บ้านเราชอบเอามาปลูกเป็นไม้ประดับต้นสูงๆ เขาก็ตากแห้งเอามาวางขายด้วยเช่นกัน เวลาจะกิน ก็ล้างให้หมดฝุ่นผง แช่น้ำไว้ จะได้นุ่มเร็วหน่อย

ที่ต้องเตรียมอีก ก็มีซีอิ๊วดำหวาน-ดำเค็ม แล้วก็เครื่องตำ คือกระเทียม พริกไทย รากผักชี พอดีผมมี เม็ดคำเงาะ (annatto seeds) เลยใส่เพื่อเพิ่มสีแดงส้มด้วย

หมูฮ้องจะออกหวาน ซึ่งลำพังซีอิ๊วดำหวานอาจไม่เพียงพอ จึงต้องหาอะไรมาเป็นตัวช่วย ตั้งแต่น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยวทำเป็นน้ำตาลไหม้ (brown sugar) ก็ได้ครับ แต่หม้อนี้ พอดีแม่ผมให้น้ำสับปะรดคั้นสดๆ มาสองสามขวด เลยคิดว่าลองใช้น้ำสับประรดนี่แหละครับ จะได้ออกรสเปรี้ยวนิดๆ ช่วยตัดความมันได้อีกแรงหนึ่ง

เราต้องหั่นหมูสามชั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ก่อน คลุกกระเทียมพริกไทยรากผักชีตำและซีอิ๊วดำหวาน (ใครจะใส่เหล้าจีนสักหน่อยก็ได้) หมักไว้สักครึ่งชั่วโมง จากนั้นเอาลงคั่วในกระทะ พอเริ่มหอม ก็ใส่น้ำให้ท่วม เติมซีอิ๊วดำเค็ม เกลือนิดหน่อย ตามด้วยดอกแคแห้ง ต้มไปราว 15 นาที จึงค่อยเติมเครื่องปรุงรสหวาน ซึ่งหม้อนี้ผมใช้น้ำสับปะรดคั้นสดอย่างที่บอก

ทีนี้ก็ต้มต่อไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อน คะเนว่าพอหมูเปื่อย เจ้าดอกแคแห้งของเรานี้ก็จะพลอยเปื่อยไปด้วยกันแบบพอดีๆ ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาราวชั่วโมงครึ่งเศษๆ นะครับ

ขึ้นชื่อว่าดอกแค ไม่ว่าแคอะไร จะมีรสฝาดเล็กน้อย เจ้ารสฝาดนี่แหละที่จะมาถ่วงดุลให้หมูฮ้องหม้อนี้ของเราไม่ได้มีแต่รสหมูเลี่ยนๆ อย่างเดียว ยิ่งพออุ่นอีกสักครั้งสองครั้ง จะเห็นความแตกต่างจากตอนที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆ ชัดทีเดียวครับ กินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มร้อนๆ นี่คือการผสมผสานกันของสำรับจีนโบราณที่ใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นอุษาคเนย์เพิ่มเข้าไป

คนครัวจีนมือเยี่ยมมักบอกว่า หมูฮ้องนั้นต้อง “ละลายในปาก” (melt in your mouth) เราลองมาทำให้ได้ถึงขั้นนั้นดูสิครับสภาพอากาศแห้งแล้ง อาจส่งผลกระทบต่ออ้อยปลูกใหม่และอ้อยตอในระยะเก็บเกี่ยวถึงระยะแตกกอ กรมวิชาการเกษตร แนะเกษตรกรชาวไร่อ้อยเฝ้าระวังการระบาดของหนอนกออ้อย มักพบการเข้าทำลายของหนอนกออ้อยอยู่ 3 ชนิด คือ หนอนกอลายจุดเล็ก หนอนกอสีขาวและหนอนกอสีชมพู

หนอนกอลายจุดเล็ก ตัวหนอนจะเจาะเข้าไปตรงส่วนโคนระดับผิวดิน และเข้าไปกัดกินส่วนที่กำลังเจริญเติบโตภายในหน่ออ้อย ทำให้ยอดอ้อยแห้งตาย ผลผลิตอ้อยลดลง 5-40% และยังพบหนอนเข้าทำลายอ้อยในระยะอ้อยย่างปล้อง โดยหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในลำต้นอ้อย ทำให้อ้อยแตกแขนงใหม่ และแตกยอดพุ่ม

ส่วน หนอนกอสีขาว ตัวหนอนจะเจาะไชจากส่วนยอดเข้าไปกัดกินยอดที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ยอดแห้งตายโดยเฉพาะใบที่ยังม้วนอยู่ ส่วนใบยอดอื่นๆ ที่หนอนเข้าทำลายจะมีลักษณะหงิกงอ และมีรูพรุน เมื่ออ้อยมีลำแล้ว หนอนจะเข้าทำลายส่วนที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ไม่สามารถสร้างปล้องให้สูงขึ้นไปได้อีก ตาอ้อยที่อยู่ต่ำกว่าส่วนที่ถูกทำลายจะแตกหน่อขึ้นมาทางด้านข้าง และเกิดอาการอ้อยแตกยอดพุ่ม

หนอนกอสีชมพู หนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินตรงส่วนโคนของหน่ออ้อยระดับผิวดิน เข้าไปกัดกินส่วนที่กำลังเจริญเติบโตภายในหน่ออ้อย ทำให้ยอดแห้งตาย ถึงแม้ว่าหน่ออ้อยที่ถูกทำลายจะสามารถแตกหน่อใหม่เพื่อชดเชยหน่ออ้อยที่เสียไป แต่หน่ออ้อยที่แตกใหม่จะมีอายุสั้นลง ทำให้ผลผลิตและคุณภาพของอ้อยลดลง

สำหรับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาหนอนกออ้อย ให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในแหล่งชลประทาน ควรให้น้ำเพื่อให้อ้อยแตกหน่อชดเชย และปล่อยแตนเบียนไข่ไตรโคแกรมมา อัตรา 30,000 ตัวต่อไร่ต่อครั้ง ให้ปล่อยติดต่อกัน 2-3 ครั้ง ใช้ในช่วงที่พบกลุ่มไข่ของหนอนกออ้อย

เมื่ออ้อยอายุ 1 เดือนไปแล้ว หรืออ้อยแสดงอาการยอดเหี่ยว 10% ควรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงเดลทาเมทริน 3% อีซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 2-3 ครั้ง ห่างกัน 14 วัน กรณีพบการระบาดของหนอนกออ้อยหรืออ้อยแสดงอาการยอดเหี่ยวมากกว่า 10% ให้พ่นด้วยสารฆ่าแมลงอินดอกซาคาร์บ 15% อีซี อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารลูเฟนนูรอน 5% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นในอัตราส่วน 60 ลิตรต่อไร่