หนูจิงโจ้ ไม่ใช่สัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยแต่เป็นสัตว์

ที่มีถิ่นกำเนิดในทะเลทรายแถบมองโกเลีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จึงไม่น่าแปลกใจหากนำมาเลี้ยงในบ้านเรา แล้วเขาสามารถปรับสภาพให้อยู่ได้อย่างปกติ

ในประเทศไทย ยังไม่พบว่าสามารถขยายพันธุ์หนูจิงโจ้ได้ แต่ที่กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามกระจายอย่างกว้างขวาง เพราะหนูจิงโจ้ถูกนำเข้ามาจำหน่าย โดยผู้ค้าเพียงไม่กี่ราย และคุณปิยสิชฌ์ พัฒนะพราหมณ์ หรือ คุณโอ๊ต จัดอยู่ในผู้นำเข้าในระดับแถวหน้า

คุณปิยสิชฌ์ บอกว่า ความนิยมของหนูจิงโจ้ในประเทศไทย มีมานาน 7-8 ปีแล้ว ปัจจุบันความนิยมซื้ออยู่ในระดับกลาง และเป็นกลุ่มที่สนใจหนูจิงโจ้จริงๆ ช่วงเวลาที่นำเข้าต่อปีมีเพียงครั้งเดียวในช่วงกลางปี และหากสนใจซื้อไปเลี้ยงควรมาเลือกซื้อระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม จะได้เลือกลักษณะหนูจิงโจ้ที่ถูกใจไปเลี้ยง

“หนูจิงโจ้ ออกลูกปีละครั้ง ครั้งหนึ่งไม่เกิน 3 ตัว เป็นสัตว์นำเข้าจากทะเลทรายแถบอียิปต์ ถ้าเดินจะเคลื่อนไหวได้ช้า แต่ถ้ากระโดดจะเคลื่อนไหวได้เร็ว นอนในเวลากลางวัน ออกหากินในเวลากลางคืน กินเมล็ดพืชและผักเป็นอาหาร จะขุดรูนอนอยู่ในชั้นทราย เนื่องจากเป็นสัตว์ในถิ่นทะเลทราย หนูจิงโจ้ จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพความแปรปรวนของภูมิอากาศในทะเลทราย ที่ร้อนจัดในเวลากลางวัน และหนาวเย็นในเวลากลางคืน”

หนูจิงโจ้ จึงจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์แปลกและหายากอีกชนิดหนึ่ง

การนำเข้ามาจำหน่ายในแต่ละครั้ง คุณปิยสิชฌ์จะให้ประเทศต้นทางที่สั่งเป็นผู้คัดเลือก อายุของหนูจิงโจ้ที่จะส่งมาจำหน่ายในเมืองไทยเอง โดยอายุส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 6 เดือน ถึง 3 ปี หากอายุน้อยกว่า 6 เดือน โอกาสตายระหว่างการขนส่งมีสูง

คุณปิยสิชฌ์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันผู้ที่ซื้อหนูจิงโจ้ไปเลี้ยง มักใช้ในการศึกษาพฤติกรรม ไม่ได้นำไปเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นเหมือนเช่น สุนัข หรือแมว เพราะหนูจิงโจ้มีขาหลังที่เล็กและยาวมาก แม้จะแข็งแรง แต่ก็เปราะบางหากตกกระทบอย่างแรง

“มีบางคนซื้อไปเล่นบ้าง แต่ไม่เหมาะ เพราะถ้าคนจับเขาจะกระโดดออก และหากกระโดดลงไปที่พื้น อาจลื่น ทำให้ขาหักได้ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ขาหลังมีความสำคัญมาก เพราะขาหน้าหดสั้นเข้าหาลำตัว ใช้การได้น้อย ดังนั้นถ้าขาหลังหัก การใช้ชีวิตของหนูจิงโจ้จะลำบากมาก”

แต่หนูจิงโจ้ก็มีหางที่ยาว และมีส่วนปลายที่มีขนสีขาวและดำ ช่วยต้านลมเมื่อกระโดด ซึ่งส่วนหางใช้ในการเปลี่ยนทิศทางการกระโดด ลักษณะคล้ายหางเสือเรือ และใช้พยุงตัวเมื่ออยู่กับที่ และสามารถเปลี่ยนทิศในการเคลื่อนที่ได้กระทันหัน

อาหารสำหรับหนูจิงโจ้ อยู่ในกลุ่มเมล็ดพืช มีบ้างที่กินแมลง แต่ส่วนใหญ่จะกินเมล็ดพืชเป็นหลัก ส่วนน้ำ จะกินผักแทนน้ำ เพราะธรรมชาติในถิ่นกำเนิดของหนูจิงโจ้ไม่มีแหล่งน้ำ มีเพียงน้ำค้างที่ติดตามยอดหญ้า ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรให้กินน้ำจากผัก อาจมีบางตัวที่เจ้าของฝึกให้กินน้ำจากกระบอกน้ำเหมือนหนูได้ แต่ไม่ควรให้น้ำเป็นถ้วย เพราะหนูจิงโจ้จะไม่รู้จัก อาจกระโดดเล่น ทำให้ป่วยได้

การอาบน้ำ ไม่จำเป็นสำหรับหนูจิงโจ้ เพราะเป็นสัตว์ในแถบทะเลทราย ซึ่งโดยปกติหนูจิงโจ้จะทำความสะอาดตัวเองอยู่แล้วโดยการคลุกตัวกับทราย หากนำไปเลี้ยงควรใส่ทรายในถ้วยขนาดใหญ่ไว้ให้ เพื่อให้หนูจิงโจ้ลงไปกลิ้งทำความสะอาดตัวเอง

แม้หนูจิงโจ้จะไม่ใช่สัตว์สังคม ที่จำเป็นต้องเลี้ยงหลายตัว แต่หนูจิงโจ้เป็นสัตว์เคลื่อนที่ด้วยการกระโดด ดังนั้น พื้นที่สำหรับเลี้ยงหนูจิงโจ้ควรมีขนาดมากกว่าตัวสัตว์อย่างน้อย 10 เท่าตัว หรือยิ่งกว้างยิ่งดี

“หนูจิงโจ้เป็นสัตว์ไม่ก้าวร้าว กัดไม่เป็น อยู่ตัวเดียวหรืออยู่รวมเป็นกลุ่มก็ได้ หูยาว ตากลมโตมาก”

คุณปิยสิชฌ์ บอกด้วยว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้สนใจเลี้ยงหนูจิงโจ้ คือ สถานที่เลี้ยงและอาหาร จึงควรจัดสถานที่เลี้ยงให้เป็นพื้นราบ ไม่มีซี่กรง เพราะหนูจิงโจ้มีขาขนาดเล็ก อาจติดซี่กรงและเกิดปัญหากับขาหลังที่ใช้งานเป็นหลัก

ผู้เลี้ยงควรเลือกที่เลี้ยง เป็น กระบะ ถัง หรือตู้ปลาขนาดใหญ่ รองด้วยทราย ขี้เลื่อย หรือซังข้าวโพด อาหารจำพวกเมล็ดพืช สามารถให้ทิ้งไว้ได้ และหมั่นตรวจดู หากพบเปลือกให้เก็บทิ้ง และเพิ่มอาหารใหม่ให้ ไม่จำเป็นต้องให้เป็นเวลา

น้ำ ให้ผ่านผัก และให้ในปริมาณน้อย เช่น ผักกาดหอม แครอท ต้องประเมินปริมาณน้ำที่ไม่มากเกินไป หากมากอาจทำให้ท้องเสียได้

ที่นอน หนูจิงโจ้สามารถสร้างที่นอนเองได้ ผู้เลี้ยงควรนำฟางสุมทิ้งไว้ หนูจิงโจ้จะจัดการกับฟาง โดยนำไปทำเป็นรังนอนคล้ายรังนก หรือใช้ท่อ พีวีซี โพรงไม้ นำมาวางแทนที่นอนของหนูจิงโจ้ได้เช่นกัน

ความมืด เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้เลี้ยงไม่ควรละเลย หนูจิงโจ้ นอนในเวลากลางวัน ดังนั้น ความสว่างในเวลากลางวันอาจรบกวน จึงควรเลี้ยงบริเวณตัวบ้าน หากเลี้ยงนอกตัวบ้าน แสงอาทิตย์อาจส่งผลกระทบต่อดวงตาที่กลมโตของหนูจิงโจ้ ทำให้เกิดอาการเครียดหรือบาดเจ็บที่ดวงตาได้ นอกจากนี้ควรระวังไม่ให้เกิดความชื้นในที่พัก เพราะหนูจิงโจ้เป็นสัตว์ในแถบทะเลทราย หากได้รับความชื้นในปริมาณมาก จะทำให้ป่วยในที่สุด

การส่องไฟ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเรื่องอุณหภูมิภายในที่พักของหนูจิงโจ้ ซึ่งคุณปิยสิชฌ์ แนะนำให้ติดหลอดไฟอินฟราเรด เพื่อให้ความร้อน แต่ไม่ระคายเคืองตา

การทำความสะอาด ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้เลี้ยงหนูจิงโจ้ เพราะหนูจิงโจ้ขับถ่ายเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่มีกลิ่น ขับถ่ายไม่บ่อยและน้อย ดังนั้น การทำความสะอาดที่ง่ายที่สุดคือ เมื่อเห็นมูลที่ถ่ายทิ้งไว้ สามารถเก็บทิ้งได้ทันที หรือเลือกวิธีเปลี่ยนส่วนประกอบทุกอย่างภายในสถานที่เลี้ยงพร้อมกันในคราวเดียว เดือนละครั้งก็เพียงพอแล้ว

สนนราคาสำหรับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กอย่างหนูจิงโจ้ อยู่ที่ 1,800-3,000 บาท ขึ้นกับขนาด

ส่วนการเพาะขยายพันธุ์ในไทย คุณปิยสิชฌ์เองเคยลองเพาะขยายพันธุ์หนูจิงโจ้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาบอกว่า หากตั้งใจจริง สามารถเพาะได้ แม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม เพราะการออกลูกของหนูจิงโจ้ต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมจริงๆ คือ พื้นทราย โพรงหรือรู และต้องเงียบ ไม่มีสิ่งรบกวน ไม่อย่างนั้นหนูจิงโจ้จะไม่ยอมออกลูกเด็ดขาด จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ปัจจุบันการจำหน่ายหนูจิงโจ้ จะสั่งนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาจำหน่ายมากกว่า

อาจมีหลายแหล่งนำเข้า แต่แหล่งซื้อที่หาง่ายและเป็นตลาดใหญ่ คือ ตลาดนัดจตุจักร หรือ ที่ร้าน Mini Zoo Café จตุจักรพลาซ่า โซน D ซอย 7 หรือเข้าไปดูหน้าตาสัตว์เลี้ยงน่ารักทางเฟซบุ๊กได้ที่

เมืองหนังโนรา อู่นาข้าว พราวน้ำตก แหล่งนกน้ำ ทะเลสาบงาม เขาอกทะลุ น้ำพุร้อน จริงแล้วยังมีของดีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ตลาดนัดต้นไม้ชายคลอง ตลาดนัดสำหรับคนหัวใจสีเขียวที่เพิ่งเริ่มเปิดทำการนี่แหละครับ

น้องโต้ง – กฤต พวงสุวรรณ ชวนผมไว้ตั้งแต่ช่วงกลางปี ว่า จะเชิญมาร่วมงานเปิดตัวตลาดต้นไม้ชายคลอง ที่รวบรวมอาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ของดีพื้นบ้าน งานหัตถกรรม และกล้าไม้สารพัดโดยเฉพาะไม้ประจำถิ่น ที่จำต้องอนุรักษ์และขยายพันธุ์กันต่อไป

งานเริ่มเช้าวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม สถานที่นัดพบคือ หน้ามหาวิทยาลัยทักษิณ อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ด้วยความกลัวว่าจะไม่ทันเวลา ก็เลยเดินทางเสียตั้งแต่เย็นวันศุกร์ นั่งเครื่องไปลงสนามบินจังหวัดตรัง แวะค้างสักคืน รุ่งเช้ากินหมูย่างพอให้คลายคิดถึงสักจานก็คงพอ ที่ตรังผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ชาอุ่นๆ แกล้มหมูย่าง หนังกรอบๆ ติดรสหวานไปนิดสำหรับคนไม่กินหวานอย่างผม ได้น้ำจิ้มเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ก็คงคล่องคอยิ่งนัก แต่ด้วยความอยากให้คงรสชาติของหมูย่างเมืองตรังที่สุด ก็เลยกินเปล่าๆ เสียงั้น อร่อยคงที่ดีจริงๆ

ผมไปถึงป่าพะยอมในยามเช้า จากการคะเนด้วยสายตา ตลาดน้อยๆ ที่โต้งเคยวาดฝันให้ผมชมทางจินตนาการมิใช่ในภาพที่เห็น โต้งล่าว่า

“ผมอยากให้มีพื้นที่เปิดขายต้นไม้ครับพี่ มีต้นไม้ประจำถิ่น ไม้แปลกถิ่น ไม้ดอก ไม้ผล ไม้ป่า จัดให้ครบ ส่วนเรื่องหัตถกรรมงานฝีมือก็จะเชิญชาวบ้านให้นำของมาอวดมาขายกัน อาหารเครื่องดื่มรสชาติเดิมๆ เป็นตลาดนัดชาวบ้านชวนกันมาขายช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์”

“พ่อค้าแม่ค้าก็น่าจะประมาณร้อยบู๊ธครับพี่ มาแบบหลากหลายเลย ประเด็นหลักของเราคืออยากให้เกษตรกรมีพื้นที่ขายผลผลิตครับ”

“แล้วคนเดิน ได้ประชาสัมพันธ์ยังไงบ้าง” “ผมก็ชวนพี่น้องผ่านโซเชียลนี่แหละพี่ มีเชิญพี่น้องสื่อมาร่วมเปิดตัวด้วย คาดว่าก็คงมีคนมาบ้าง” ภาพที่ปรากฏในเช้าวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2561 ก็คือ ป้ายหน้างานเป็นสถานที่ตั้งของธนาคารต้นไม้ (ภาคประชาชน) สาขาป่าพะยอม มีป้ายชื่อตลาดนัดต้นไม้ชายคลอง ที่ตกแต่งด้วยไม้ไผ่ ตอไม้ ไม้ดอก ไม้สวยงาม และกล้าไม้ป่าต่างๆ จัดเป็นสถานที่ไว้รอมาถ่ายรูปสนุกๆ กัน สภาพของร้านค้าก็เป็นซุ้มที่ช่วยกันตกแต่ง ภายใต้ร่มเงาของหมู่ไม้ใหญ่ครอบคลุมพื้นที่หลายไร่ ที่จอดรถด้านข้างก็สะดวกสบาย มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกทั้งเจ้าหน้าที่ตลาด เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ดูเป็นงานเปิดตัวที่อลังการไม่น้อย ที่สำคัญ ผู้คนเดินทางมาร่วม มาช็อป ชิม ชม แชะ แชร์กันมากมาย น่าจะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำหรับคนชอบเดินเที่ยวในแบบนี้

10.00 น. ได้ฤกษ์เปิดตลาดอย่างเป็นทางการ ท่านสินชัย รามมณี ปลัดจังหวัดพัทลุง เดินทางมาเป็นประธานในพิธี ร่วมกับ ท่านภัตจิรา เณรพึ่ง ประธานหอการค้าจังหวัดพัทลุง โดยมี ท่านประโยชน์ สมศักดิ์ นายอำเภอป่าพะยอม มาให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน นอกจากนี้ ยังมีผู้ใหญ่ทั้งในส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่มาร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก นอกจากนี้ พี่น้องสื่อมวลชนภาคใต้ก็มากันพร้อมหน้า เรียกว่าเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดอีกงานหนึ่ง

หลังจากเปิดงานและพูดคุยตอบคำถามต่างๆ แล้ว ก็ได้เวลาเดินชมตลาดกัน งานนี้ผู้จัดการคนเก่งของตลาด – พี่จู ร้อยหวัน (สุรศักดิ์ เย็นทั่ว) และ โต้ง พาเดินชมพร้อมบอกกล่าวเรื่องราวของชุมชนแห่งใหม่นี้ ในส่วนของอาหารมีก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำยาใต้หลากรส ข้าวแกง ปลาทอด น้ำพริก ยำ ข้าวยำ ขนมพื้นเมือง กระทั่งมันต้ม ถั่วต้ม ก็มีมาร่วมอยู่ด้วย ผักสดๆ มากมาย โดยเฉพาะสะตอที่มีมาห้อยขายหน้าร้านกันจำนวนมาก ราคาก็เบาๆ ฝักละ 5 บาท 10 บาท ที่แปลกตาสำหรับคนต่างถิ่นก็คือการทำสาคูสดๆ จากต้น

จนได้ผลผลิตเป็นสาคูน้ำกะทิแสนอร่อย มีด้วงสาคูตัวเป็นๆ มายั่วน้ำลายคนชอบแมลงอีกด้วย ในส่วนของผลไม้ก็มีขายตามฤดูกาล ในช่วงนี้ก็เป็นทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง สะละ ที่น่าตื่นตาสำหรับผมก็คือลูกชก ลักษณะคล้ายลูกลาน แต่เป็นทะลายยาวๆ ไม่เป็นช่อพวง ทำแบบเดียวกับลูกลาน ลูกจาก ลูกชิด แต่เวลามีผลต้นไม่ตาย เป็นของหวานที่ได้ชิมแล้วเคี้ยวหนึบ หวาน หอม อร่อยมาก

ในส่วนของเครื่องดื่มก็มีชา กาแฟ ที่เป็นกาแฟโรบัสต้าปลูกในพื้นที่ทางใต้ ไม่ว่าจะชงร้อนหรือเย็น กลิ่นหอมเข้าจมูกดีนัก เสื้อผ้าเครื่องประดับก็มีมาหลายร้าน ทั้งผ้ามัดย้อม ผ้าบาติก และผ้าทอประจำถิ่น เครื่องประดับก็มีหลากหลาย ผลผลิตที่แปรรูปมาจำหน่าย เช่น ข้าวสังข์หยด ปลาแดดเดียว กะปิ เครื่องแกง อาหารปรุงสำเร็จ เรียกว่ามาเดินตลาดแล้วซื้อกลับไปที่บ้านได้เลย มาตลาดเดียวได้ครบทุกอย่าง

ในส่วนของตลาดขายต้นไม้ ที่โต้งยกเป็นไฮไลต์ของตลาด มีไม้ป่าเกือบทุกชนิด ยางนา พะยูง พะยอมทอง จำปาทอง หลุมพอ สาวดำ แดง ฯลฯ ไม้ผลก็นำมาด้วย ทุเรียน เงาะ มังคุด เป็นหลัก ผักพื้นบ้าน ผักสวนครัว และไม้ดอกไม้ประดับ ยกมาวางจำหน่ายให้ได้ซื้อหากลับไปปลูกกัน ในราคาที่แสนเป็นมิตรกับกระเป๋า วันนั้นผมก็ได้ไม้พื้นเมืองมาหนึ่งชนิด เขาเรียกว่า “เทียมลิง” ลักษณะเหมือนเครือย่านาง ใบใหญ่กว่า การเลื้อยจับไปตามค้างหรือกิ่งไม้อื่น ไม้สูงเพียงไหนต้นเทียมลิงก็สูงได้เพียงนั้น ชื่อเพียงลิงก็คือ ลิงขึ้นต้นไม้ได้สูงขนาดไหน ต้นเทียมลิงก็เลื้อยไปได้สูงปานนั้น การนำมาบริโภคก็คือเด็ดยอดมาแกงเลียง ผัดผัก หรือกระทั่งเป็นผักแนมสดๆ ก็ยังได้ และยังมีไม้ดีๆ อีกมากมาย เสียท่าที่ผมต้องขึ้นเครื่องกลับ ไม่งั้นได้ช็อปกันเพลินแน่ๆ

จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือ ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเว้นห่างเป็นระยะ เหมือนเราเดินในสวนสาธารณะ ที่จัดวางต้นไม้ไว้ร่มครึ้ม ยิ่งได้ไผ่สองกอริมคลองยิ่งแผ่ปกคลุมให้ความร่มเย็นได้ตลอดวัน ทีมงานจัดพื้นที่รอบๆ ตลาดโดยเฉพาะช่วงเลียบคลองเป็นมุมนั่งเล่น จะสั่งอาหารมารับประทาน จะสั่งเครื่องดื่มมาชิมก็ไม่ผิดกติกาใดๆ มีทั้งแบบนั่งเก้าอี้หรือปูเสื่อนั่งกันได้ตามอัธยาศัย ได้อาหารอร่อย มองน้ำในคลองไหลผ่าน แว่วว่าอยากจะนอนสักตื่นด้วยซ้ำไป

สำหรับสมาชิกในโลกโซเชียลก็มีมุมให้แชะแอนด์แชร์มากมาย จะถ่ายรูปกับป้าย จะถ่ายกับร้านรวง หรือถ่ายกับต้นไม้ กระทั่งจุดเช็คอิน รับรองว่าภาพที่ได้จะออกมาสวยงามและมีชีวิตชีวา เพราะบรรยากาศของตลาดที่นี่เหมือนคนในครอบครัวมานั่งทำของดีๆ ให้ได้ชม ได้ชิม ได้ช็อป ได้แชะ และได้แชร์กัน

การเดินทางก็สะดวกมาก ตลาดอยู่ติดถนน ใครไปไม่ถูกให้วางจุดไว้ที่มหาวิทยาลัยทักษิณ แล้วขับรถไปเถอะ เจอรถจอดเยอะๆ แถวนั้นนั่นแหละใช่เลย ที่สำคัญ โต้งบอกว่า อาจปรับเปลี่ยนเวลาปิดให้เลื่อนไปสักหน่อย เนื่องจากตลาดนี้เปิดเช้า – ห้าโมงเย็น แต่ตอนนี้ได้รับเสียงเรียกร้องให้เปิดไปถึงยามค่ำสักหน่อย ได้แสงไฟหรือจะลองจุดตะเกียงเสริมบรรยากาศก็น่าสนุกไปอีกแบบ ที่สำคัญ หากได้ผู้สูงวัยมานั่งเล่านิทานเรื่องราวแต่หนหลังก็จะน่าสนใจไม่น้อย

กิจกรรมที่วางไว้ในอนาคตคือ มีดนตรีขับกล่อมจากนักดนตรีทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น มีการอบรมเสริมอาชีพ มีกิจกรรมสำหรับพ่อแม่ลูก มีการสาธิตอาหารพื้นเมือง และจะมีผลผลิตจากเด็กๆ ลูกหลานคนป่าพะยอมมาวางจำหน่ายต่อไปอีกด้วย ให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ “ตลาดต้นไม้ชายคลอง ตลาดของทุกคนที่รักธรรมชาติ”

สนใจอยากไปเที่ยวชม ติดต่อน้องโต้ง ได้ที่ โทร. (092) 350-8465 รับรองว่าได้ไปชมสักนิดแล้วจะติดใจครับ ที่สำคัญ พัทลุงมีที่เที่ยวสวยๆ งามๆ เพียบเลย เที่ยวอิตาลีที่ปราจีนบุรี เส้นทางท่องเที่ยวใกล้กรุงเดินทางแสนสะดวกสบาย แวะถ่ายรูปสุดชิลท่ามกลางแลนด์มาร์คชื่อดังที่ยกมารวมไว้ใน The Verona at Tublan โดยฝรั่งหัวใจไทย “แดเนียล เฟรเซอร์” ควงนักแสดงสาวหน้าหมวย “มิ้น มิณฑิตา วัฒนกุล” ไปสัมผัสดินแดนแห่งสมุนไพรจังหวัดปราจีนบุรี ผจญภัยสุดวิงเวียนกับลูกบอลยักษ์ Roller Ball จากนั้นไปจัดกระดูกที่ศูนย์แพทย์เทวดาอนันตราปุระ พร้อมชมสถาปัตยกรรมสุดอันซีนที่วัดล้านหอย

รายการหลงรักยิ้ม ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดประสบการณ์สุดพิเศษ เดินทางท่องเที่ยวใกล้กรุงในวันธรรมดา 3 เส้นทางน่าเที่ยว นครนายก, ปราจีนบุรี และสระแก้ว ปลุกกระแสการท่องเที่ยวในวันธรรมดา ให้เป็นวันพักผ่อนสุดพิเศษ ภายใต้แคมเปญ “วันธรรมดาน่าเที่ยว หรรษาใกล้กรุง” นำโดยพิธีกรฝรั่งอารมณ์ดี “แดเนียล เฟรเซอร์” ควงนักแสดงสาวหน้าหมวย “มิ้น มิณฑิตา วัฒนกุล” สัมผัสดินแดนแห่งสมุนไพร จังหวัดปราจีนบุรี

เที่ยวเมืองนอกใกล้กรุง สัมผัสความงดงามของสถาปัตยกรรมสไตล์อิตาลี The Verona at Tub Lan ถ่ายรูปสุดชิลท่ามกลางแลนด์มาร์คเด็ด ไม่ว่าจะเป็น สะพานจำลอง Castelvecchio, ทะเลสาบ Garda, ลานกลางแจ้งแบบ Arena, หอคอย Lamberti, หอนาฬิกา, หอระฆัง และจัตุรัส Erbe พร้อมตะลุยกิจกรรมแอดเวนเจอร์สุดท้าทาย อย่าง Roller Ball ลูกบอลยักษ์กลิ้งสุดมันส์ และปีนหน้าผาจำลองความสูง 12 เมตร จากนั้นไปผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทยอนันตราปุระ มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการจัดกระดูก นวดคลายไมเกรน คลายเส้น ฝังเข็ม และครอบแก้ว ซึ่งรักษาหายมาแล้วหลายต่อหลายคนเลยก็ว่าได้ จากนั้นไปสัมผัสประติมากรรมสุดอันซีนที่วัดรัตนเนตรตาราม หรือ วัดล้านหอย ซึ่งเป็นที่กล่าวขานในเรื่องความแปลกตา ในการนำเปลือกหอยที่ถูกทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์สร้างความสวยงามให้กับวัด โดยฝีมือของเจ้าอาวาส พระ และเณร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ความวิจิตรบรรจงของงานพุทธศิลป์จากเปลือกหอย ที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ

นโยบายการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มุ่งเน้นให้มีการจัดการศึกษาทั้งสายสามัญ และด้านศาสนาควบคู่กันไป โดยการส่งเสริมให้การจัดการศึกษาของสถาบันศึกษาปอเนาะมีความเข้มแข็ง ใช้การศึกษาเพื่อสร้างความสมานฉันท์ สร้างความเข้าใจ และสร้างสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล จากนโยบายดังกล่าว สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสตูล (สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล) ภายใต้การนำของ คุณอุดร สิทธิพาที ผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล ได้ดำเนินโครงการเสริมสร้างการเรียนรู้สู่สถาบันศึกษาปอเนาะ เช่น การพัฒนาอาชีพหลักสูตรระยะสั้น มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตามอัธยาศัย การศึกษาดูงานตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และจัดตั้งปอเนาะต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง

คุณอุดร สิทธิพาที ผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล และผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด ได้ประชุมติดตามโครงการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับ กลุ่มสำนักงาน กศน.จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี พ.ศ. 2560-2579

สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล ได้บูรณการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปผลปัญหาและอุปสรรคของสถานศึกษาในสังกัด สำนักงาน กศน. ในภารกิจหลักสำคัญต่างๆ ได้แก่ โครงการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สู่หมู่บ้านชายแดนใต้ โครงการจัดการศึกษาตลอดชีวิตในสถาบันศึกษาปอเนาะ โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงการ ลูกเสือ กศน. ชายแดนใต้ เป็นต้น

ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆ เช่น การพัฒนาหลักสูตร การอบรมความรู้ให้กับวิทยากรผู้อบรม รวมทั้งการวางแผนปรับปรุงการจัดกิจกรรม การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และการพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสำหรับใช้จัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

ขับเคลื่อน “เศรษฐกิจพอเพียง”
สู่ศูนย์เรียนรู้ในชุมชนอย่างยั่งยืน

สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนปัตตานี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ขับเคลื่อนโครงการขยายผลหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักศึกษา กศน. ได้มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เลือกทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพสังคมในแต่ละพื้นที่ โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกพืชผักสวนครัว การเพาะเห็ดนางฟ้า การเลี้ยงไก่ ทำการประมง ฯลฯ

ขณะเดียวกัน สำนักงาน กศน. จังหวัดสตูล ได้ร่วมกับคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาชนบท ตามหลักปรัชญาของเศษฐกิจพอเพียง ระดับอำเภอ เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาตามศาสตร์พระราชา ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม สร้างแกนนำขยายผลสู่ศูนย์เรียนรู้ในชุมชนอย่างยั่งยืน และสนับสนุนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอดองค์ความรู้ดังกล่าวจากรุ่นสู่รุ่น และนำไปขยายผลในชุมชน ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เปิดโลกการเรียนรู้ สู่อุทยานธรณีสตูลอุทยานธรณีสตูล มีเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ 2,597 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 4 อําเภอ ของจังหวัดสตูล คือ อำเภอทุ่งหว้า อำเภอมะนัง อำเภอละงู และอำเภอเมืองสตูล ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน มีชายหาดและเกาะน้อยใหญ่ที่สวยงาม ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำภูผาเพชร ถ้ำเจ็ดคต น้ำตกวังสายทอง ปราสาทหินพันยอด ฯลฯ นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมทางธรรมชาติได้หลากหลายอาทิ ล่องแก่ง ดำน้ำ เที่ยวถ้ำ น้ำตก ชายหาด ฯลฯ