หมอเกษตรทองกวาว ได้ทดลองปลูกมะนาวหลายพันธุ์

ในกระถางเคลือบลายมังกร ผลปรากฏว่า พันธุ์พิจิตร 1 หรือแป้นพิจิตร ให้ผลดีที่สุด เพราะให้ผลดก ผลมีขนาดใหญ่ ทนทานต่อโรคแคงเกอร์ หรือโรคขี้กลากเป็นที่หนึ่ง มีระบบรากที่แข็งแรง ที่สำคัญบังคับให้ออกผลนอกฤดูได้ง่ายกว่าพันธุ์อื่นๆ เคล็ดลับสำคัญ ต้องควบคุมแมลงศัตรูให้ได้ ตั้งแต่เริ่มผลิใบอ่อนตั้งแต่วันแรก แต่อย่างไรก็ตาม พันธุ์พิจิตร 1 ก็ยังมีข้อด้อยบางอย่าง คือ เป็นมะนาวพันธุ์หนัก ต้องเก็บเกี่ยวผลหลังออกดอกแล้ว 6 เดือน แต่ถ้าหากเก็บผลเมื่อออกดอกเพียง 4 เดือนเช่นเดียวกับพันธุ์อื่นๆ จะได้มะนาวเปลือกหนา เมล็ดโต และมีน้ำน้อย เมื่อเก็บเกี่ยวตามกำหนดเวลา ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

ทั้งนี้ ด้วยลักษณะประจำพันธุ์ของพิจิตร 1 จะเติบโตเร็ว อายุ 2 ปี จะสูงถึง 2 เมตร หากไม่ตัดแต่งกิ่ง จะทำให้เก้งก้าง ต้องผูกโยงกิ่งเมื่อออกผล เป็นการเพิ่มงานขึ้นไปอีก การปลูกในกระถางต้องตัดแต่งกิ่งให้สวยงาม แต่หากเสียดาย แนะนำให้ตอนกิ่ง นำไปจำหน่ายหรือขยายพันธุ์ต่อไป ส่วนรายละเอียดอื่นๆ กลับไปอ่านเทคนิคการปลูกมะนาวนอกฤดูในกระถาง คอลัมน์หมอเกษตร ฉบับที่ 622 วันที่ 1 พฤษภาคม 2559 ได้ครับ

“ฤดูกาลผลไม้ภาคตะวันออก” เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม-มิถุนายน บางสวนอาจจะยาวถึงสิงหาคม ภาคตะวันออก 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด ทยอยเปิดสวนผลไม้ให้เยี่ยมชม ลิ้มรสผลไม้ในสวนและซื้อกลับบ้าน เป็นช่องทางที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้ดีอีกทางหนึ่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจันทบุรี ระยอง ตราด ได้รวบรวมสวนผลไม้และประชาสัมพันธ์ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวภาคตะวันออกคึกคักมาก นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว ชม ชิมผลไม้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์โควิด-19 สวนผลไม้ที่เปิดบริการปี 2565 จังหวัดจันทบุรี 16 สวน จังหวัดตราด 14 สวน และจังหวัดระยอง 31 สวน ผลไม้เด่นๆ มีทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ แต่ละสวนเปิดรับนักท่องเที่ยวในรูปแบบและราคาต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวสายทานวางแผนมาเที่ยวแบบไปเช้ากลับเย็น หรือเป็นเส้นทางทัวร์ และแพ็กเกจทัวร์

“สวนสาวสุดใจ” 1 ใน 16 สวนผลไม้ของจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่เลขที่ 22/3 หมู่ที่ 1 ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีเพียง 14 กิโลเมตร เป็นเส้นทางผ่านไปจังหวัดตราด แยกจากถนนสุขุมวิทไปเพียง 1 กิโลเมตรเศษ เปิดบริการมาตั้งแต่ 13 เมษายน-12 สิงหาคม ทุกวันตั้งแต่ 09.00-17.00 น.

คุณอรอุษา สุดประเสริฐ หรือ คุณสาว และ นาวาโท สุดใจ สุดประเสริฐ คือเจ้าของที่มาของชื่อสวน “สวนสาวสุดใจ” เปิดสวนผลไม้หลังบ้านขนาด 7 ไร่ มีทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสวนและบริการบุฟเฟ่ต์ทั้งกรุ๊ปทัวร์และขับรถมาเอง และยังมีบริการจำหน่ายผลไม้สด-แปรรูป รวมทั้งกิ่งพันธุ์ทุเรียนหลายสายพันธุ์ของแท้รับประกันได้อีกด้วย

คุณสาว เล่าว่า สวนนี้เป็นมรดกตกทอดครั้งรุ่นคุณพ่อ-คุณแม่ ปรับเปลี่ยนเป็นสวนผลไม้รับนักท่องเที่ยวเมื่อปี 2549-2550 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีและนายอำเภอแหลมสิงห์ขณะนั้น มาชวนให้เปิดเป็นสวนผลไม้รับนักท่องเที่ยว ส่วนตัวทำอาชีพค้าขายอยู่ก่อน เห็นว่าทำสวนแล้วเปิดรับนักท่องเที่ยวคือการให้บริการ ด้วยนิสัยชอบบริการ ชอบค้าขายจึงตัดสินใจเปิด ปีแรกทดลองเปิดแบบไม่เก็บเงิน เพื่อดูความพร้อมของสวน ความต้องการ-รับฟังความคิดเห็นผู้มาเที่ยวชมเห็นว่าน่าจะไปได้ ปีที่ 2 จึงเริ่มเปิดเก็บค่าบริการคนละ 79 บาท เป็นสวนแรกๆ ของจังหวัดจันทบุรีและเปิดมาถึงปีนี้ร่วม 15 ปีแล้ว ตอนเปิดใหม่ๆ โชคดีมีสื่อโซเชียลดังๆ เช่น เพจหมูหิน ช่วยโปรโมตและมีโอกาสรับผู้นำระดับประเทศเป็นทูตจากบัลแกเรีย ทำให้สวนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ต่อมาได้ทำเพจของตัวเองด้วย ผลตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งมาหยุดชะงักไป 1-2 ปีในช่วงที่มีโควิด-19 มาปีนี้แม้จะยังมีสถานการณ์โควิด แต่เราเปิดรับนักท่องเที่ยวภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด

“ส่วนใหญ่ชาวสวนจะไม่มีพลังและไม่ชอบเปิดสวนผลไม้รับนักท่องเที่ยว เพราะไม่พร้อมในองค์ประกอบ รายละเอียดหลายอย่าง เช่น ไม่มีเวลาและแรงงานที่จะช่วยบริการ ที่สำคัญต้องมีใจรัก ทำได้เพราะใจรักชอบ สนุกกับการค้าขาย มีแรงงานที่เป็นญาติๆ 4-5 คนมาช่วย และได้ผู้ที่นำนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ ช่วยบริการลูกค้าแทนเราได้อย่างประทับใจ ส่วนผลไม้ต่างๆ ที่บริการบุฟเฟ่ต์และจำหน่าย มาจากสวนเองและสวนเพื่อนบ้านใกล้ๆ เก็บจากต้นสดๆ ใครมีอะไรมาขายได้หมด ให้ราคาตลาดหรือสูงกว่านิดหน่อย ไม่ต้องเสียเวลาไปขายที่อื่น ลูกค้าได้ผลไม้สดๆ มีคุณภาพ ราคาไม่แพง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง อย่างมังคุดขาย 2-3 กิโลกรัม 100 บาท สละสุมาลี 70 บาท ทุเรียน 4 กิโลกรัม ลูกละ 700 บาท เงาะกิโลกรัมละ 30 บาทจะตัดเป็นช่อเพื่อให้คงความสดได้นาน เมื่อลูกค้ามาเที่ยวชมสวน ชิมบุฟเฟ่ต์แล้วถ้ารสชาติอร่อยติดใจจะซื้อกลับ รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปกลุ่มสินค้า OTOP ของชุมชน แม้กระทั่งกิ่งพันธุ์ทุเรียนสายพันธุ์ต่างๆ กิ่งละ 100 บาท” คุณสาว กล่าว

บุฟเฟ่ต์ทุเรียนต้องมี
อร่อยซื้อกลับ

คุณสาวชี้แจงกติกาเข้าชมสวนสาวสุดใจว่า 1. กรณีบุฟเฟ่ต์ผลไม้ ต้องจองคิวล่วงหน้าเท่านั้นไม่รับวอล์กอิน หน้าสวนโดยมีอัตราค่าบริการ ดังนี้ ผู้ใหญ่ 699 บาท (ถ้าจองในเพจสวนสุดใจ 650 บาท) เด็ก 1-3 ขวบฟรี เด็ก 4-12 ปีครึ่งราคา มัดจำ 50% 2. กรณีไม่บุฟเฟ่ต์ สามารถซื้อผลไม้นั่งทานในสวนตามพื้นที่ที่จัดไว้ให้ และกรณีเข้าสวนอย่างเดียวเสียค่าบำรุงสวน ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ลูกค้าเสาร์-อาทิตย์ ลูกค้ากรุ๊ปทัวร์ถ้ามาทานบุฟเฟ่ต์ไม่ค่อยซื้อกลับอาจจะไปเที่ยวต่อหรือไม่สะดวกในการขนกลับ หรือมีวอล์กอินขับรถมาทานบุฟเฟ่ต์โดยเฉพาะไป-กลับจะไม่ซื้อกลับ ที่ขับรถมาเองมาเที่ยวชมสวนจะซื้อกลับบ้าง ส่วนใหญ่เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดเทศกาลนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จะมาก บางวันเป็น 100 คน จะขายบุฟเฟ่ต์ได้วันละหลักหมื่น ถ้าเทียบกับวอล์กอินน้อยมากวันละ 2,000-3,000 บาท

“การบริหารจัดการบุฟเฟ่ต์ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะทุเรียนไฮไลต์ที่ทุกคนต้องได้ทาน ต้องเตรียมทุเรียนให้พอและใช้ระยะเวลาบ่มให้สุกทานอร่อย จึงต้องให้ลูกค้าจองในเพจสวนสาวสุดใจหรือโทร.มาจองล่วงหน้าก่อน โดยจะมีส่วนลดให้ จากราคาเต็ม 699 บาทต่อคน เหลือ 650 บาท ถ้านักท่องเที่ยวทานบุฟเฟ่ต์ต้องมีทุเรียนให้ทานไม่ให้ผิดหวัง เพราะเขาตั้งใจมาทานทุเรียน ถ้าอร่อยติดใจจะซื้อทุเรียนหรือผลไม้อื่นๆ กลับหรือสั่งซื้อทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าที่ขับรถมาหรือวอล์กอินเข้ามาทานบุฟเฟ่ต์ปกติจะไม่รับ เพราะกลุ่มละ 4-5 คน บางครั้งที่นั่งไม่พอและการบริการแทบไม่มีกำไร แต่บางครั้งเห็นใจว่าเดินทางมาแล้ว” คุณสาว กล่าว

ด้าน นาวาโท สุดใจ กล่าวว่า ในร้านมีผลไม้เพื่อนบ้านมาวางจำหน่ายทุกชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูป แต่ทุเรียนจะได้รับความสนใจซื้อกลับมากที่สุด ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 120-130 บาท ทุเรียนที่ตัดแก่จัด ประมาณ 90% ระยะ 4-5 วันสุก จะให้คำแนะนำรายละเอียดเพิ่มเติมกับลูกค้า วิธีเช็กทุเรียน ลักษณะสุกกำลังดี ตรงกับที่ชื่นชอบ เช่น กรอบนอกนุ่มใน หรือสุก ด้วยการใช้ไม้เคาะหนามเสียงโปร่งๆ ดมก้นทุเรียนให้มีกลิ่นหอม ดูปลิงหลุด หากใกล้ครบกำหนดเวลาแล้วลองแกะพูเป็นรูปสามเหลี่ยมและกดเนื้อทุเรียนดูอีกครั้ง ถ้านิ่มเล็กน้อยคือกรอบนอกนุ่มใน ถ้านิ่มคือสุก ถ้าเนื้อแข็งยังดิบอยู่ต้องปิดสามเหลี่ยมไว้ 1-2 คืน คอยเช็กดูเป็นระยะๆ ที่สำคัญไม่นำทุเรียนไปวางบนพื้นปูนซีเมนต์และเก็บห้องแอร์เด็ดขาด ต้องวางบนไม้หรือกระดาษแข็งเพื่อป้องกันเชื้อราและให้ทุเรียนได้สุกตามธรรมชาติ

ทัวร์สวนผลไม้ กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว
เม็ดเงินสะพัด

คุณณี กับคณะ 4 คนวอล์กอินมาทานบุฟเฟ่ต์สวนสาวสุดใจ เล่าว่า รวมตัวกันกับเพื่อนๆ ขับรถยนต์มากันเองจากจังหวัดปทุมธานี ตั้งใจมาทานทุเรียนโดยเฉพาะ โดยดูตามเฟซบุ๊กและเลือกสวนสาวสุดใจ เลือกทานบุฟเฟ่ต์อย่างเดียวไม่ชมสวน ตั้งใจมาทานทุเรียนจริงๆ เมื่อได้ทานแล้วทุกคนไม่ผิดหวัง คุ้มค่ามากสำหรับการขับรถไป-กลับในวันเดียว ทุกปีเคยซื้อทานที่ตลาดไท ปีนี้อยากได้บรรยากาศของสวนไม่เคยเห็น ไม่รู้จักต้นทุเรียนมาก่อนเลย เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ขับรถมาเองจากน่านบอกว่า ต้องการมาเห็นต้นทุเรียนและได้เห็นสวนทุเรียนที่กำลังมีลูกเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมาก

ส่วนทางด้านตัวแทนจากเอเย่นต์ทัวร์ “Rally Trip by Tong” กรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้จัดทัวร์สวนผลไม้สวนสาวสุดใจมา 2 ครั้งแล้ว โดยรวมอยู่ในแพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน มาพักค้างที่ตราดและจันทบุรี กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ คณะละ 30-40 คน เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร นอกจากทานอาหารทะเลและเที่ยวทะเลแล้ว ชื่นชอบกับการเที่ยวชมสวนผลไม้และทานผลไม้สดๆ จากสวน โดยเฉพาะทุเรียนคือไฮไลต์ของทุกคน เพราะเชื่อมั่นว่ามีคุณภาพดี อร่อย สดจากสวน คาดว่าจะมีการจัดทัวร์สวนผลไม้อีกในแพ็กเกจทัวร์จนกระทั่งหมดฤดูกาล

คุณเสาวนีย์ คนกล้า ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจันทบุรี กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปิดสวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด-19 เมื่อ 2-3 ปีก่อนช่วยสร้างกระแสการท่องเที่ยวได้ดี เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ปีนี้สวนผลไม้เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวกันใหม่อีก ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวอย่างปลอดภัย ซึ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่อง วันหยุดยาวเดือนพฤษภาคม การเปิดสวนผลไม้ กระตุ้นให้เกิดการเดินทางเพิ่มมากขึ้น อัตราการเข้าพักในโรงแรม รีสอร์ตจันทบุรีเต็ม 100% การเที่ยวสวนผลไม้จะได้บรรยากาศและเรียนรู้ ประสบการณ์มากกว่าการเดินทางท่องเที่ยว แต่ละสวนมีความโดดเด่นต่างกัน บางสวนมีทุเรียนหลากหลายสายพันธุ์ หมอนทอง ชะนี หลินลับแล หลงลับแล มูซังคิง ไฮไลต์คือ ทุเรียน GI สายพันธุ์จันทบุรี 1-10 บางสวนเป็นเกษตรอินทรีย์ มีฟาร์มคอกม้า มีทุเรียนเบญจพรรณสายพันธุ์โบราณ เช่น พวงมณี นกหยิบ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านบุคลากรที่ให้บริการทำให้แต่ละสวนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างกัน บางสวนเปิดให้ชมสวนและซื้อผลไม้กลับ บางสวนจัดให้ทานบุฟเฟ่ต์ ด้วยผลไม้สดๆ มีคุณภาพ

ถึงเดือนมิถุนายนเข้าสู่ฤดูกาลของอินทผลัม ผลไม้ประโยชน์สูงอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ช่วยลดอาการท้องผูก รวมถึงให้พลังงานสูง บำรุงร่างกายที่อ่อนล้าให้กลับมีกำลัง ปัจจุบัน ในประเทศไทยเริ่มมีการปลูกอย่างแพร่หลาย ด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า ราคาต่อกิโลกรัมค่อนข้างสูง บางสายพันธุ์สูงถึงหลักพัน แต่ถ้าหากในอนาคตกลไกการตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากพื้นที่ปลูกมากขึ้น ผลผลิตเพิ่มขึ้นตามราคา ย่อมตกลงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นประเด็นสำคัญคือจะทำอย่างไรให้อยู่ได้ และยังมองเห็นกำไรในยามที่ผลผลิตราคาถูกลง ที่นี่มีคำตอบ

คุณธีรภัทร มีชัย หรือ พี่น้ำ เจ้าของสวนอินทผลัมบ้านสวนมีสุข ตั้งอยู่เลขที่ 41 หมู่ที่ 9 ตําบลโนนแหลมทอง อําเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อดีตวิศวกรดูแลอาคารในเมืองหลวง วางแผนทำการเกษตรก่อนลาออกจากงานประจำ มุ่งมั่นตั้งใจศึกษาหาข้อมูลพืชที่จะนำมาปลูกไว้สำหรับเลี้ยงตนเองและครอบครัวในยามแก่เฒ่า สุดท้าย มาลงเอยที่การปลูกอินทผลัม และฝรั่งหงเป่าสือ เป็นผลไม้สร้างรายได้ โดยการนำความรู้จากงานด้านวิศวกรมาปรับประยุกต์ใช้ในสวน ในส่วนของการจัดการระบบน้ำ ระบบไฟ ให้มีแบบแผน ช่วยลดต้นทุน แม้ในวันที่ผลผลิตราคาถูกลงก็ยังสามารถอยู่ได้แบบสบายๆ

พี่น้ำ เล่าถึงการวางแผนทำการเกษตรว่า ก่อนหน้านี้ตนเองทำงานเป็นวิศวกรดูแลอาคารมีเงินหลายหมื่น พร้อมกับการวางแผนล่วงหน้าก่อนออกจากงานประจำนานกว่า 5 ปี ในการเริ่มศึกษาหาพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ดินของตนเองที่กาฬสินธุ์ โดยตั้งเป้าไว้ว่า พืชชนิดนั้นจะต้องเป็นพืชที่มีมูลค่าและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน หลังจากนั้นลงมือทดลองปลูกก่อนลาออกจากงานอีก 3 ปี

“หลายคนสงสัยว่าทำไมผมใช้เวลาวางแผนและลงมือนานขนาดนี้ คำตอบของผมก็เพื่อให้ได้รู้ว่าพืชที่ผมตัดสินใจเลือกปลูกว่ามันสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นดินของเราไหม และปลูกไปแล้วให้ผลผลิตได้จริงๆ เพราะถ้าหากไม่มีการวางแผนหรือทดลองปลูกก่อน ตัดสินใจลาออกจากงานมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ถือว่าเคว้งนะ การทำเกษตรทำให้เงินจม มีค่าใช้จ่ายต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นการทดลองทำเพื่อให้รู้ว่าเหมาะสมหรือจะไปรอดหรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก แต่ถ้าหากทำแล้วไปได้ดี วิเคราะห์แล้วว่าผลผลิตที่ปลูกไปจะกลับมาเลี้ยงชีพเราได้ และสามารถต่อยอดไปได้อีก จึงค่อยตัดสินใจลาออกจากงานประจำก็ยังไม่สาย”

พี่น้ำ บอกว่า การทำเกษตรของตนเองถือว่าได้เปรียบเกษตรกรมือใหม่หลายคนด้วยความที่มีความรู้ทางด้านวิศวกรที่สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการทำสวนได้เป็นขั้นตอน มองเห็นทุกอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถดูแลจัดการสวน ควบคุมปริมาณและคุณภาพของผลผลิตให้ออกมาได้ตามความต้องการ

โดยปัจจุบันที่สวนปลูกอินทผลัม จำนวน 3 ไร่ มีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ บาฮีเหลือง บาฮีแดง และโคไนซี เป็นต้น พันธุ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทั้งหมด ด้วยข้อดี คือ 1. ได้ต้นที่เกิดขึ้นจะเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ 2. รู้เพศชัดเจน เป็นต้นเพศเมีย 100% ไม่มีการกลายพันธุ์ 3. สายพันธุ์ที่ได้เป็นสายพันธุ์มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอยู่แล้ว และ 4. ผลผลิตที่ได้จะเหมือนกันทุกต้น ชื่อพันธุ์สามารถใช้ชื่อเดียวกันได้ ควบคุมคุณภาพได้ง่าย

การเตรียมดินก่อนปลูก พื้นที่เดิมของที่สวนเคยปลูกมันสำปะหลังมาก่อน ต้องไถพรวนดินใหม่ และมีการใช้ปุ๋ยคอกและแกลบปรุงดินเฉพาะจุดที่จะปลูกอินทผลัม ดินที่เหมาะสมในการปลูกอินทผลัมต้องเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี ไม่อุ้มน้ำในหน้าฝน ไม่ขังน้ำ

การปลูก ขุดหลุมลึก 50×50 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างร่อง 8×8 เมตร 1 ไร่ ปลูกได้ 25 ต้น ใส่ปุ๋ยคอกและแกลบรองก้นหลุม เนื่องจากต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกไม่สูงมาก และต้องการให้ต้นเจริญเติบโตได้เร็ว จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงหลุมปลูก การดูแลรดน้ำ-ใส่ปุ๋ย

ระบบน้ำ อินทผลัมเป็นพืชที่ขาดน้ำไม่ได้ เจ้าของสวนจำเป็นต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว เพราะน้ำมีส่วนสำคัญในทุกช่วงอายุของอินทผลัม ในช่วงต้นยังเล็กจะช่วยให้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ต้นไม่แคระแกร็น ส่วนต้นใหญ่ที่ให้ผลผลิตแล้ว น้ำก็มีส่วนช่วยทำให้ผลผลิตออกมาสมบูรณ์ ลูกโตเช่นกัน

อัตราการรดน้ำ 2 วันรดครั้ง ต้นเล็กเปิดรดน้ำนาน 10 นาที ต้นใหญ่เปิดรดน้ำนานครึ่งชั่วโมง หรือดูตามสภาพอากาศและความชื้นของดินประกอบ โดยระบบน้ำของที่สวนเป็นระบบสปริงเกลอร์หัวเล็ก ปักไว้รอบต้น ต้นละ 3 ขา และจะรดน้ำในช่วงเช้าเท่านั้น เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ต้น เมื่อเจอแดดร้อนในช่วงกลางวันดินยังมีความชุ่มชื้นช่วยรักษาต้นไม่ให้เหี่ยวเฉาจนเกินไป แต่ถ้าหากเริ่มรดในช่วงกลางวันที่มีแดดร้อนจัดจะส่งผลต่อระบบรากของต้นอินทผลัมได้

ปุ๋ย ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้ ต้องให้อย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกันกับน้ำ ในช่วงปลูกเริ่มแรกจะมีการใส่ปุ๋ยคอกเพื่อให้ดินร่วนซุย สลับกับการใส่ปุ๋ยเคมีไปด้วย เพื่อให้ต้นและใบสมบูรณ์ แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

“อินทผลัมเป็นพืชที่ใช้ระยะเวลาปลูกค่อนข้างนานกว่าจะให้ผลผลิตประมาณ 3-4 ปี ที่สวนของผมจะมีเทคนิคการใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ คือใส่ทุกเดือน ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ต่างกันที่ปริมาณการใส่ต่อต้นจะเพิ่มขึ้นไปตามอายุ เช่น ในปีแรกจะเน้นใส่ปุ๋ยสูตรที่ตัวหน้าสูงหน่อยเพื่อเร่งใบ เร่งยอด ให้เจริญเติบโตให้ได้มากที่สุด ใส่ปริมาณต้นละ 1-2 ช้อนโต๊ะ พอปีที่ 2 ก็ยังใส่ปุ๋ยสูตรเดิมเพิ่มเติมคือ ปริมาณการใส่ที่มากขึ้นเป็นต้นละ 2-3 ขีด เมื่อเข้าปีที่ 3 จะเห็นได้ว่าต้นเริ่มสมบูรณ์ พอที่จะคาดการณ์การออกจั่นได้ว่าจะออกในช่วงไหน ก็คือประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม 2 เดือนนี้ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตรที่เน้นตัวหลังสูงๆ เพื่อต้องการให้ออกดอก เช่น สูตร 8-24-24 ปริมาณต้นละ 1 กิโลกรัม หลังจากนั้นอินทผลัมจะออกจั่น จะปรับสูตรปุ๋ยให้พร้อมกับการติดลูกอีกครั้ง”

การผสมเกสร เมื่อจั่นเริ่มแตก ให้นำละอองเกสรตัวผู้ที่เก็บรวบรวมไว้มาผสมกับเกสรดอกตัวเมีย ด้วยเครื่องมือพ่นผสมเกสร หลังจากการผสมเกสรเสร็จเรียบร้อยทางสวนจะนำถุงห่ออินทผลัมมาห่อช่อดอกทิ้งไว้ประมาณ 45 วัน ด้วยถุงห่อสีขาวขนาดเล็ก 1. เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช 2. ช่วยป้องกันกระแสลมพัดหลังจากการผสมเกสร 3. ป้องกันการเกิดเชื้อราในช่วงหน้าฝน และ 4. ป้องกันการเสียดสีของผล ช่วยทำให้ผิวสวย น่ารับประทาน หลังจากแต่งผล ห่อผลต่อเนื่องด้วยถุงห่อผลชุนฟงสีน้ำตาลขนาดใหญ่

หลังจากการผสมเกสรเสร็จนับไปอีก 5 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามฤดูกาลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม แต่การที่อินทผลัมจะออกดอกได้สมบูรณ์หรือไม่ ปัจจัยสำคัญคือสภาพอากาศของปีนั้นๆ ในบางครั้งเดือนที่วางแผนไว้ไม่ออกผลผลิตก็จะเลื่อนตามไปด้วย ซึ่งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการออกจั่นจะอยู่ในระดับความเย็นที่ประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส นานติดกัน 5-7 วัน อินทผลัมก็จะออกดอกได้ดี

ด้วงศัตรูพืชต้องระวัง ด้วงถือเป็นศัตรูพืชตัวร้ายในสวนอินทผลัม ที่สวนจะดูแลด้วยวิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน คือการหมั่นสำรวจตรวจแปลงเป็นประจำ “วิธีสังเกตด้วงง่ายๆ หากต้นไหนมีด้วงเจาะเข้าไป เขาจะทิ้งร่องรอยเป็นขุยๆ ไว้ที่ลำต้น ก็ต้องใช้วิธีขุดเจาะลำต้นเพื่อเอาตัวด้วงออกมาให้ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เอาออกมาไม่ได้ ด้วงจะเข้าไปวางไข่และเจาะกินลำต้นไปเรื่อยๆ จนต้นตายในที่สุด”

วางแผนความเสี่ยงก่อนปลูก
รับได้ในวันที่ราคาผลผลิตถูกลง

พี่น้ำ บอกว่า ปีนี้เป็นปีที่สองของการเก็บผลผลิตขายสู่ตลาด ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ทั้งในด้านของคุณภาพ ปริมาณผลผลิต และผลตอบรับจากลูกค้าที่ล้นหลาม สามารถขายผลผลิตหมดอย่างรวดเร็ว ด้วยเทคนิคการทำตลาดแบ่งออกเป็น 2 ช่องทาง คือ

แบ่งขายตลาดออนไลน์ 80 เปอร์เซ็นต์ bestsitez.com เพราะมีความต้องการของตลาดค่อนข้างสูง หมายความว่าผู้ขายก็ต้องมีกลุ่มของคนที่สนใจอินทผลัมด้วย เพราะถ้าหากไม่มีเป้าหมายหรือกลุ่มคนไม่สนใจ ความต้องการซื้อสินค้าเราก็จะน้อย เพราะฉะนั้นประเด็นสำคัญคือการเลือกหากลุ่มลูกค้าให้ตรงจุดขายได้แน่นอน
แบ่งขายหน้าสวน 20 เปอร์เซ็นต์ ไว้สำหรับนักท่องเที่ยวหรือคนที่เข้ามาศึกษาดูงานที่สวน

โดยปีที่ผ่านมาไปได้สวย สามารถขายอินทผลัมได้ในราคากิโลกรัมละ 400-500 บาท นับเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ถ้าหากวันใดราคาของผลผลิตถูกลง อาจจะตกลงไปเหลือราคาหลักสิบ ก็ยังยืนยันว่าจะสามารถทำกำไรให้อยู่ได้ เนื่องจากผลกระทบตรงนี้ตนเองได้คิดล่วงหน้าก่อนลงมือปลูกไว้แล้วว่า ในอนาคตอาจเกิดขึ้นได้ด้วยกลไกการตลาด หากเมื่อไหร่ที่มีจำนวนสินค้ามากๆ ราคาของสินค้านั้นๆ ก็ต้องถูกลง อินทผลัมก็เช่นกัน ที่สวนจึงได้มีการวางแผนรองรับความเสี่ยงไว้อยู่แล้ว หากวันหนึ่งราคาตกลงมาเหลือกิโลกรัมละ 30-50 บาท ก็ยังสามารถอยู่ได้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผลผลิตต่อต้นกับขั้นตอนการปลูกการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก กำไรยังมีให้เห็นแน่นอน เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ การวางแผนการตลาดถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำเกษตรให้สามารถเลี้ยงชีพและอยู่ได้อย่างมั่นคง

ฝากถึงมนุษย์เงินเดือนอยากทำเกษตร

“ฝากสำหรับเกษตรกรมือใหม่ที่จะมาทำเรื่องของเกษตรโดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน และคิดว่าตัวเองมีเงินทุนหนา มีที่ดิน อยากจะทำอะไรสักอย่าง แล้วลาออกจากงานประจำมาลงมือทำ เพราะคิดว่าสิ่งที่เราทำมันจะประสบผลสำเร็จแบบที่เราคิดไว้ อันนี้คือไม่อยากให้คาดหวังมากจนเกินไป เพราะว่าการทำเกษตรส่วนมากจะผิดหวังถ้าไม่มีการวางแผนที่ดีมาก่อน หากเราจะย้อนกลับไปทำงานประจำอย่างที่เราเคยทำมันจะลำบาก ที่นี่การที่เราทำเกษตรพืชแต่ละตัวว่าจะให้ผลผลิตมันต้องใช้เวลา พอใช้เวลาช่วงที่เรามาอยู่บ้านลงมือ ลงเงิน ลงแรงเข้าไป การที่มันจะตอบแทนเรา มันค่อนข้างใช้ระยะเวลา ไม่แนะนำให้ออกมา แต่แนะนำให้ทดลองก่อนหากงานเกษตรที่ทำสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้วค่อยตัดสินใจออกจากงาน” พี่น้ำ กล่าวทิ้งท้าย

รักษ์ มนัญญา สมเทพ แห่งตำบลทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี

นักเขียน นักกวี และอดีตบรรณาธิการหนังสือหลายเล่ม ทิ้งชีวิตเมืองหลวงกลับสู่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด แต่ก็ยังมีเขียน งานกวีอยู่บ้างประปราย ทั้งยังรับจ้างเป็นบรรณาธิการหนังสือ คือหลังกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด ก็ไม่ทิ้งงานหนังสือไปเสียเลยทีเดียว

ทุกวันนี้ รักษ์ มนัญญา สมเทพ หรือที่เรียกกันสนิทปากว่า พี่รักษ์

พี่รักษ์ นอกจากจะรับทำงานหนังสือ ยังทำเกษตรแบบพอเพียงด้วย เมื่อกลับมาอยู่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดแล้ว วิถีเกษตรซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เขาก็ไม่อาจทิ้งหรือละเลยได้

ในตอนกลับมาใหม่ๆ ก็ทำนาปลูกข้าว ตอนนี้นาที่เคยทำก็ปล่อยให้เขาเช่า ซึ่งคิดค่าเช่าโดยแบ่งข้าวกับคนที่เช่า ก็พอจะได้มีข้าวกิน ไม่ต้องซื้อ พี่รักษ์ กล่าว

ชีวิตในตอนนี้ของ รักษ์ มนัญญา สมเทพ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านค้าชุมชน ให้บริการกับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเวลาในแต่ละวัน ส่วนใหญ่ก็หมดไปกับร้านค้าแห่งนี้ แต่ก็ยังมีเวลาพอให้กับตัวเอง ที่ทำแล้วก่อให้เกิดความสุข อย่างเช่นทำเกษตรอินทรีย์ แบบว่าปลูกง่ายๆ ปลูกอะไรก็ตามที่กินได้ ส่วนจะปลูกเพื่อขาย อีกสองถึงสามปีค่อยคิดอีกที พี่รักษ์ บอก

ผักที่พี่รักษ์นำมาปลูกส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักสวนครัว ไม่ว่าจะเป็นโหระพา ข่า ตะไคร้ ขึ้นฉ่าย หอม หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ซื้อมาทำกับข้าว แล้วมีหน่อ มีต้นตอ พี่รักษ์เอาลงดินหมด