หลังจากที่ทางปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี ได้ส่งเจ้าบุญมาไปรักษา

ทางคุณหมอที่ตรวจรายงาน ในเบื้องต้นว่ามีแผลที่หัว และตามตัวอีกหลาย 10 จุด แต่ละแผลก็มีความฉกรรจ์ คุณหมอได้ทำความสะอาดแผลและใส่ยา และตรวจพบว่ามีสภาพร่างกายที่เสียน้ำขาดน้ำ อาจจะเกิดจากการที่ไก่บริโภคน้ำไม่เพียงพอหรือมีไข้

อีกประเด็นทางคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ได้เอกซเรย์ที่บริเวณหัว พบว่ากะโหลกส่วนหนึ่งหายไป ซึ่งตรงตำแหน่งที่แผลดำๆ บริเวณหัวทั้งหมดมีการติดเชื้อ คาดว่าเชื้อน่าจะกินเข้าไปสู่ในระบบของสมอง และอีกประเด็นที่เจอมีเสียงครืดคราดในปอดในหลอดลมก็คาดว่าน่าจะมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจด้วย อันนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ไก่ตายได้จากการติดเชื้อ ส่วนเวลาที่ไก่ตายนั้นน่าจะช่วงเวลาใกล้สว่าง เนื่องจากเมื่อช่วงกลางดึกเวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่ยังให้อาหารอยู่ยังพบว่าไก่ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนี้ทางเราก็จะส่งมอบเจ้าบุญมา หรือ ไก่หัวขาดแต่ใจยังสู้ ให้กับทางคุณแอ๊ะ หรือ จิตรอาสาที่รับไก่มาจากทางพระลูกวัด นำกลับไปเผาที่วัดทุ่งตาล ตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพราะที่วัดมีเตาเผาสัตว์ต่อไป

สพ.ญ.วรรณี วัฒนพงศ์ชาติ ปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี กล่าวทิ้งท้ายว่า เจ้าบุญมาถือว่าเป็นไก่ที่มีความอดทนสูง แม้จะถูกทำร้ายด้วยการถูกสุนัขรุมกัดที่มีคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2 ตัวขึ้นไป เพราะดูจากบาดแผลร่องรอยเขี้ยวบนตัวของมัน แม้จะมีบาดแผลที่ฉกรรจ์แต่มันยังมีความอึดทน เพราะมันเป็นไก่นักสู้อย่างแท้จริง ที่มันตายเพราะมันติดเชื้อเข้าที่ระบบการหายใจ และที่บาดแผลบริเวณหัวของมันจนลามเข้าไปสู่กระแสเลือดรวมไปถึงการขาดน้ำที่ทำให้มันได้รับปริมาณน้ำไม่เพียงพอ

ส่วนบรรยากาศที่เมรุเผาศพสัตว์วัดทุ่งตาล ตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี มีการนำศพไก่มาวางไว้ที่โต๊ะและมีการนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 4 รูปมาทำพิธีทอดผ้าบังสุกุล จากนั้นนำเจ้าบุญมาห่อผ้าขาว และวางในเตาเผาศพและทำพิธีเผาต่อไป

สร้างความประหลาดใจไม่น้อย หลังเฟซบุ๊กเพจร้านขายไก่ทอดชื่อดัง เคเอฟซี ประกาศโปรโมชั่นใหม่ ขายถังเปล่าช่วงสงกรานต์ ในราคา 399 บาท โดยทางเพจได้โพสต์รูปถังเปล่า แล้วระบุว่า “เอาถังป่าว? ถังเปล่าเคเอฟซี ลิมิเต็ดอิดิชั่น 399 บาท สารพัดสรรพคุณต้อนรับสงกรานต์ ขายกันแบบนี้แหละ ของมันต้องมีจริงๆนะ #ถังไรอ่ะ #เคเอฟซี หมายเหตุ ขายแค่ถังเปล่าเคเอฟซี ปืนฉีดน้ำกับแว่นตากันน้ำไม่มีจำหน่ายน้า”

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ทั้งต่างประหลาดใจและอยากทราบถึงเหตุผลว่าทำไม เคเอฟซีถึงจำหน่ายถังเปล่า หรือว่าจะให้เอาไปใช้เล่นสงกรานต์ แต่ราคาถังกระดาษ 399 บาท นับว่าแพงมาก โดยชาวเน็ตสรุปกันได้ว่าน่าจะเป็นมุขขำขันของทางแอดมินเคเอฟซีมากกว่า

นายประทีป เหิมพยัคฆ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี พร้อมด้วย นายวายุกฤช ศรีสุนนท์ หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าวังครก อ.บ้านคา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และผู้ใหญ่บ้าน พร้อมด้วยชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน ชรบ. ร่วมกันเข้าไปติดตั้งสัญญาณไฟกะพริบวาบๆ สีแดง และเสื้อผ้าไปแขวน ลักษณะทำเป็นหุ่นไล่กา แต่ไปติดตั้งป้องกันหมูป่าบุกเข้ามากัดกินสับปะรดหวานอำเภอบ้านคา ของ นายศรคีรี บัวแจ้ง อายุ 47 ปี ที่ปลูกสับปะรดติดเขตรอยต่อเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี บริเวณในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.บ้านคา อ.บ้านคา จ.ราชบุรี หลังถูกฝูงหมูป่าหลายตัวลงจากเขามากัดกินสับปะรดในไร่ ได้รับความเสียหายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงต้องนำอุปกรณ์มาช่วยไล่หมูป่าไม่ให้ลงมากัดกินสับปะรดที่กำลังสุกและรอที่จะเก็บเกี่ยว เนื่องจากแปลงสับปะรดดังกล่าวเป็นแปลงสับปะรดหวานที่ขึ้นชื่อของอำเภอบ้านคา ปลูกแบบชีวภาพ ใช้ฮอร์โมนไข่ ไม่ใช้สารเคมี

นายประทีป กล่าวว่า ชาวบ้านปลูกสับปะรดในพื้นที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์ฯ แต่ถูกฝูงหมูป่าลงมากัดกินสับปะรด ชาวบ้านจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันป้องกันแก้ไขไม่ให้หมูป่าลงมารบกวน โดยการนำเสื้อผ้าที่ใช้แล้วมาแขวน เพราะให้มีกลิ่นคน ทำให้หมูป่าไม่กล้าเข้ามา รวมทั้งนำแผ่น ซีดี มาแขวนไว้ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อน ล่าสุดก็นำแสงไฟสัญญาณวาบๆ มาติดตั้งเพื่อให้หมูป่ากลัวและไม่กล้าที่จะออกมาบุกกินสับปะรดอีก วิธีดังกล่าวสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง และอยากจะประชาสัมพันธ์ว่า อย่าไปทำร้ายหมูป่า อยากให้อยู่ร่วมกันได้ เพราะสัตว์ป่าที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงอยากให้แบ่งพื้นที่ให้สัตว์ป่าอาศัยอยู่ด้วย จึงต้องหาวิธีป้องกันที่ไม่เป็นอันตราย และไม่อยากให้ไปฆ่าหรือทำร้าย ที่ผ่านมาหมูป่าลงมากัดกินพืชไร่ของชาวบ้านบ่อย แต่จะมีแค่เพียงช่วงหน้าแล้งที่อาหารในป่าน้อย จึงได้ลงมาหากินบริเวณแปลงปลูกสับปะรด เพราะผลสุกมีกลิ่นหอม จึงทำให้หมูป่าบุกเข้ามากินเป็นอาหาร จึงอยากให้ทุกคนป้องกันใช้วิธีที่ไม่รุนแรง เพื่อให้หมูป่าเกิดความกลัวและไม่กล้าลงมาอีก

เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา นายดำรง ใคร่ครวญ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และนาย Gilad Cohen รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศรัฐอิสราเอล ได้เป็นประธานร่วมการประชุม “Working Group Dialogue” ระหว่างไทยและอิสราเอล ครั้งที่ 10 ซึ่งเป็นกลไกการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ เพื่อติดตามพัฒนาการการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน พร้อมแสวงหาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือที่อยู่ในความสนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกันด้วย
ในระหว่างการประชุม ทั้งสองฝ่ายได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ รวมถึงทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างไทยกับอิสราเอล

ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศยังได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ยิ่งขึ้น อาทิ ความร่วมมือด้านการพัฒนา ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ทั้งยังให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ขณะที่ ความร่วมมือใน “ด้านแรงงาน” ทางฝ่ายอิสราเอลได้กล่าวชื่นชมแรงงานไทย ซึ่งเป็นแรงงานหลักในภาคการเกษตรของอิสราเอล ส่วนไทยได้ขอให้อิสราเอลให้การคุ้มครองดูแลแรงงานไทยที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ราว 25,000 คนในปัจจุบัน

ด้านความร่วมมือทาง “เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน” ไทยได้เชิญชวนให้อิสราเอล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและเป็นประเทศได้ชื่อว่าเป็น “Startup Nation” ให้พิจารณาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในธุรกิจ startup ของไทย

นอกจากนี้ อิสราเอล ยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรและการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งฝ่ายไทยสนใจที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กับอิสราเอลให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะผู้แทนอิสราเอลได้เข้าพบนางบุษยา มาทแล็ง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีการหารือเกี่ยวกับภาพรวมความสัมพันธ์ไทย-อิสราเอล ซึ่งฝ่ายอิสราเอลได้แจ้งถึงผลการประชุม Working Group Dialogue ครั้งที่ 10 รวมถึงประเด็นความร่วมมือที่เห็นควรจะผลักดันร่วมกัน ซึ่งฝ่ายอิสราเอลก็ได้แสดงความพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับไทย ในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพและมีความสนใจร่วมกัน

เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 30 มีนาคม ร.ต.อ.อุทิศ กลิ่นพิมาย พนักงานสอบสวน สภ.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา รับแจ้งเหตุช้างป่าทำร้ายคนเสียชีวิตในป่าอ้อย เขตบ้านสันกำแพง หมู่ 12 ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จึงรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่ในพิกัด UTM ระบบ WGS84 ที่ 47P 0790016 E 1592526 N ห่างจากเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประมาณ 500 เมตร พบร่างนายอุทร คานทอง อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191 ม.12 บ้านสันกำแพง ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เสียชีวิตในสภาพมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ทั้งกระดูกแขนขาหักทั้ง 2 ข้าง และหน้าอกยุบ ห่างออกไปเล็กน้อยมีไฟฉายและรองเท้าแตะซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตตกหล่น รวมทั้งพบช้างป่าตกมัน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าเบี่ยง” ยืนมองอยู่ห่างๆ เจ้าหน้าที่ต้องคอยระมัดระวังเกรงช้างป่า ที่ยังคงมีอาการตื่นตกใจจะวิ่งเข้ามาทำร้าย หลังชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเสร็จสิ้น จึงมอบหมายให้หน่วยกู้ภัยฮุก.31 นครราชสีมา เคลื่อนย้ายศพไปเก็บรักษาที่โรงพยาบาลวังน้ำเขียว เพื่อให้แพทย์นิติเวช ชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการเสียชีวิตตามกระบวนการ

ร.ต.อ อุทิศ ฯ พนักงานสอบสวนเวร ฯ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำพยานแวดล้อม ระบุนายอุทร ฯ ผู้เสียชีวิต ได้เฝ้าไร่ข้าวโพดเพียงลำพัง พบเห็นช้างป่าตัวดังกล่าว เดินออกมาจากผืนป่าเขาใหญ่มาหากินพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกไว้ ขณะที่ช้างป่ากำลังกินอ้อยที่อยู่ติดกับไร่ข้าวโพดของนายอุทรฯ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เดินไปไล่ช้างป่าที่กำลังตกมัน โดยใช้ไฟฉายส่องทำให้ช้างป่าตกใจเข้ามาทำร้ายนายอุทร ฯ ได้พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด ซึ่งพบรองเท้าที่ไฟฉายตกหล่นห่างจากจุดที่พบศพ ด้วยสภาพร่างกายที่สูงวัยประกอบกับในขณะวิ่งหนีได้ลื่นล้ม ทำให้ช้างป่าวิ่งตามมาทันได้ทำร้ายจนเสียชีวิต

ด้านนายครรชิต ศรีนพวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเวลา22.20 น. เจ้าหน้าที่ชุดผลักดันช้างป่ากลับคืนสู่ป่าเขตการจัดการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่เฝ้าระวังช้างประจำไร่ข้าวโพดหายตัว จึงสนธิกำลังร่วมชุดเฝ้าระวังผลักดันช้างคืนสู่ป่าตำบลวังหมี ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่เขาใหญ่ ฝ่ายปกครองและผู้นำชุมชน เข้าผลักดันช้างและค้นหาเจ้าของไร่ข้าวโพด ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง พบร่างนายอุทร ฯ เสียชีวิตบริเวณไร่อ้อยห่างจากไร่ข้าวโพดประมาณ 150 เมตร และพบ “ เจ้าเบี่ยง ” ช้างป่าที่มีอาการตกมันที่ทำร้ายคนเสียชีวิต

พฤติการณ์ของ “เจ้าเบี่ยง” ซึ่งเป็นช้างป่าเพศผู้ มีอายุมากกว่า 10 ปี ได้ถูกขับไล่ออกจากฝูง จึงต้องออกมาหากินตามลำพัง ด้วยตามประสาของช้างป่าวัยฉกรรจ์ที่เดินหากินเรื่อยๆ เมื่อเห็นอ้อยและข้าวโพด จึงติดใจรสชาติประกอบกับหากินง่ายและมีจำนวนมาก โดยช่วงกลางวันเข้าไปในผืนป่ากลางคืนก็ออกมาหากิน ก่อนหน้านี้ที่มีปัญหาสัตว์ป่ากับมนุษย์กระทบกระทั่งกัน เป็นสาเหตุให้กระทิงและสัตว์ป่าถูกยิงตาย ทุกภาคส่วนจึงจัดตั้งชุดผลักดันช้างป่า เพื่อลงพื้นที่จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้นำชุมชนและชาวบ้านให้เข้าใจกับพฤติการณ์ของช้างป่า

เมื่อพบเห็นให้รีบแจ้งตามช่องทางที่ประสานงานไว้ ชุดผลักดัน ฯ ซึ่งเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วจะรีบเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ทันที คาดนายอุทร ฯ ที่ไปไล่ช้างป่าลำพัง เป็นเหตุให้ “ เจ้าเบี่ยง ” ที่กำลังกินอ้อยอย่างเอร็ดอร่อย และกำลังตกมันเกิดโมโหทำร้ายจนเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ในผืนป่าเขาใหญ่ ยังมีอาหารให้สัตว์ป่ากินตามปกติ ไม่ได้ขาดแคลนแต่อย่างใด มิเช่นนั้นจะพบเห็นฝูงช้างนับสิบตัวหรือฝูงสัตว์ป่าลงมากินพืชไร่ของชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จะดูแลครอบครัวและร่วมจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพนายอุทร ฯ ตามความเหมาะสมและวางมาตรการเข้ม เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

“สงครามการค้าเป็นสิ่งที่ดี และง่ายที่จะเอาชนะ” หนึ่งในข้อความบนทวิตเตอร์ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังประกาศปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ทั้งยังมุ่งเป้ามาที่ “จีน” เป็นประเทศแรก แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า สหรัฐมั่นใจเพียงฝ่ายเดียว หากพิจารณาจากหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกัน ผู้นำฝีปากกล้าอาจต้องกลับมาพิจารณาถึงชัยชนะใหม่อีกครั้ง

“ร็อบ ชมิทซ์” นักเขียนชาวอเมริกันจาก NPR สถานีวิทยุแห่งชาติเซี่ยงไฮ้ เขียนบทความลงเว็บไซต์สรุป 5 สินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐ และอาจช่วยให้พลิกคดีกลายเป็น”ผู้ชนะ” ในสงครามการค้านี้

สินค้าตัวแรกก็คือ “ถั่วเหลือง” เนื่องจากจีนเป็นผู้เลี้ยงและบริโภคสุกรรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ โดยปีที่ผ่านมาสหรัฐส่งออกถั่วเหลืองกว่า 30 ล้านตัน มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ไปยังตลาดจีน คิดเป็นกว่า 57% ของการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐ

หากจีนลดการนำเข้าหรือตั้งกำแพงภาษีนำเข้าถั่วเหลือง ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือ เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในมลรัฐตอนกลางและตอนเหนือของสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์

ขณะที่ “บราซิล” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกถั่วเหลือง โดยปีที่ผ่านมาการส่งออกเกือบ 51 ล้านตัน และหนึ่งในตลาดสำคัญก็คือจีน หมายความว่าหากจีนตอบโต้สหรัฐ ก็ยังสามารถนำเข้าจากบราซิลได้

“โบอิ้ง” ผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติอเมริกันรายใหญ่สุดของโลก เป็นอีกอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐและจีนโดยตรง เพราะนอกจากจีนถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโบอิ้งแล้ว ปัจจุบันการผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของเครื่องบินเจ็ตไลเนอร์เพื่อการพาณิชย์ ก็มาจากฐานผลิตในจีน โดยเดือน ต.ค.ปีที่ผ่านมา โบอิ้งและผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติจีน (COMAC) ได้ลงนามข้อตกลงโรงงานประกอบโบอิ้ง 737 ในเมืองชายฝั่งโจวซานของจีน

นอกจากนี้ เดือน พ.ย. 2017 โบอิ้งก็ได้ลงนามขายเครื่องบิน 300 ลำกับจีน เป็นมูลค่าราว 37,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าอีก20 ปีข้างหน้า สายการบินพาณิชย์ของจีนจะซื้อเครื่องบินใหม่ จำนวนถึง 7,200 ลำ มูลค่าราว 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะที่ นายเรย์ คอนเนอร์ รองประธานโบอิ้ง เคยกล่าวว่า คำสั่งซื้อของจีนสนับสนุนการจ้างงานในสหรัฐถึง 150,000 ตำแหน่ง หากโบอิ้งไม่ได้คำสั่งซื้อจากจีน ก็จะเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับคู่แข่งจากยุโรปอย่าง “แอร์บัส”

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงการบินมองมุมเดียวกันว่า อุปสรรคที่ทรัมป์กำลังเล่นงานจีน อาจกดดันให้จีนหันไปนำเข้าเครื่องบินลอตใหญ่จากแอร์บัสแทน ซึ่งจีนเพิ่งปิดดีลสั่งซื้อเครื่องบินของแอร์บัสไป 140 ลำ ระหว่างเยือนกรุงเบอร์ลิน

“ข้าวฟ่าง” เป็นประเด็นปัญหาระหว่างสหรัฐและจีนต่อเนื่อง หลังจีนเปิดสอบสวนระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2016-31 ต.ค. 2017 ว่า สหรัฐมีการทุ่มตลาด “ข้าวฟ่าง” หรือไม่ รวมถึงการสอบสวนเรื่องการอุดหนุนราคาที่ไม่เป็นธรรม โดยการสอบสวนกำหนดว่าต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 ก.พ. 2019 หลังจีนพบความผิดปกติของราคาข้าวฟ่างจากสหรัฐว่าต่ำกว่าปกติ เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในตลาดโลก หากพบความผิดจริง ถือว่ารัฐบาลจีนสามารถเอาคืนสหรัฐได้หลายกระทง

แม้ว่า “สหรัฐ” เป็นผู้ส่งออกข้าวฟ่างรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้จัดหารายใหญ่ที่สุดให้กับตลาดจีน โดยปี 2017 จีนนำเข้าข้าวฟ่างจากสหรัฐเกือบ 5 ล้านตัน มูลค่าถึง1.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อป้อนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ในช่วงที่ราคาข้าวโพดแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม “เม็กซิโก” เป็นอีกประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกข้าวฟ่างอันดับสองของโลก โดย

ปีก่อนผลิตได้ 625,000 ตัน และมีแนวโน้มจะเพิ่มการผลิตมากขึ้น ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากหากจีนจะหันพึ่งเม็กซิโก และลดการนำเข้าจากสหรัฐ แม้ว่าการสอบสวนดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งเป็นผลจากที่รัฐบาลจีนตอบโต้สหรัฐ หลังสหรัฐอนุมัติการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์จากจีนช่วงต้นปีนี้ พร้อมประเมินว่า ผลการสอบสวนครั้งนี้อาจสร้างความเสียหายให้กับตลาดสหรัฐมากกว่า

จีนถือเป็นฐานผลิตใหญ่ของบริษัท “แอปเปิล” โดยจะประกอบที่โรงงาน “ฟ็อกซ์คอนน์” ในจีน บริษัทในเครือฮ่องไฮ พรีซิชัน อินดัสทรี บริษัทสัญชาติไต้หวันที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งนี้ การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมด ขึ้นอยู่กับแรงงานของจีนที่มีจำนวนมาก และต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าในสหรัฐ ปีที่ผ่านมา “ทิม คุก” ซีอีโอของแอปเปิล กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกจีนเป็นฐานการผลิต ปัจจัยแรกไม่ใช่เรื่องค่าแรง แต่ศักยภาพของแรงงานทักษะสูงมีจำนวนมาก ทั้งรัฐบาลจีนยังได้จัดสร้างโรงงานที่สามารถจ้างแรงงานได้ถึง 3,000 คนต่อวัน

ผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์กล่าวว่า ปัจจุบันจีนเป็นตลาดค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของ “GM” หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ผู้ผลิตยานยนต์ของสหรัฐ ต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน โดยหลายปีที่ผ่านมา GM สามารถจำหน่ายรถยนต์ในตลาดจีนได้มากกว่าในสหรัฐ

อย่างในปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์และกิจการร่วมค้าของ GM ขายรถยนต์ 4 ล้านคันในตลาดจีน เพิ่มขึ้น 4.4% จากปีก่อนหน้า โดยปีที่ผ่านมา GM ได้ส่งรถโมเดลใหม่เข้าสู่ตลาดจีนถึง 18 รุ่น เพื่อจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า รถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) และรถยนต์หรู

“แฮนน่าห์ แอนเดอสัน” นักวิเคราะห์ตลาดโลกจากเจพีมอร์แกน แอสเซต แมเนจเมนต์ มองว่า ศึกการค้านี้สหรัฐน่าจะได้รับผลกระทบทางลบมากกว่าจีน เพราะจะเห็นว่ารัฐบาลจีนเริ่มปรับตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐน้อยลงในหลายอุตสาหกรรม

องค์การสะพานปลา (อสป.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านสัตว์น้ำในจังหวัดปราจีนบุรี จัดการประชุมสัมมนาเพื่อแก้ปัญหาฝ่าวิกฤติราคาผลผลิตปลาน้ำจืดตกต่ำ ณ โชคภรณ์ประเสริฐฟาร์ม อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561

ผศ. มานพ กาญจนบุรางกูร ผู้อำนวยการองค์การสะพานปลา เปิดเผยว่า องค์การสะพานปลาร่วมกับพาณิชย์จังหวัดปราจีนบุรี สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปราจีนบุรี เกษตรจังหวัดปราจีนบุรี สหกรณ์จังหวัดปราจีนบุรี ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำปราจีนบุรี ประมงจังหวัดปราจีนบุรี และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดปราจีนบุรี จัดการประชุมสัมมนาเพื่อแก้ปัญหาฝ่าวิกฤติราคาผลผลิต ปลาน้ำจืดตกต่ำ ณ โชคภรณ์ประเสริฐฟาร์ม อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยเป็นการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ สัตว์น้ำ ตัวแทนสหกรณ์ ผู้เลี้ยงปลา รวมทั้งเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตปลาน้ำจืดตกต่ำในปัจจุบัน

ผศ. มานพ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ในส่วนขององค์การสะพานปลาซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้บริการในเรื่องของตลาดกลางซื้อขายและขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ ได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “วิกฤตตลาดปลาน้ำจืดไทย…ทำไม…อย่างไร…ใครจะแก้” เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาวิกฤติราคาผลผลิตปลาน้ำจืดตกต่ำ เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำยังขาดข้อมูลความรู้และการจัดการด้านการตลาด ส่งผลให้ขาดอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง ภาครัฐจึงจำเป็น ที่จะต้องช่วยเหลือและกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการบริหารการตลาด

เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งขณะนี้องค์การสะพานปลาได้มีการจัดเตรียมพื้นที่รองรับให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนำผลผลิตมาจำหน่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้งทางรัฐบาลมีนโยบายในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และร่วมกันจัดการด้านการตลาด โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในลักษณะ “ประชารัฐ” โดยมุ่งเน้นผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ลดต้นทุนและร่วมกันบริหารจัดการ ด้านการตลาด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกันจัดพิธีเปิดและแถลงข่าวกองทุน RAC NAMA ของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทำความเย็นประสิทธิภาพพลังงานสูงที่ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ กองทุน RAC NAMA ได้พัฒนามาตรการจูงใจทางการเงินเพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมโอกาสในเชิงธุรกิจสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น

นายกฎชยุตม์ บริบูรณ์จตุพร รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า “สำหรับกองทุน RAC NAMA งบประมาณ 320 ล้านบาท (8.3 ล้านยูโร) ที่จะส่งผ่านมายังประเทศไทยนั้น กฟผ. จะทำหน้าที่บริหารเงินทุน ผ่านมาตรการจูงใจทางการเงินเพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้สารทำความเย็นธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมใน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องทำน้ำเย็นและเครื่องปรับอากาศ”

“เงินทุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือเงินอุดหนุน จำนวนราว 120 ล้านบาท จะใช้ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนสายการผลิต รวมทั้งสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ด้านการฝึกอบรมและทดสอบ และส่วนที่สองคือเงินทุนหมุนเวียน จำนวนราว 200 ล้านบาท จะใช้ในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้ใช้กลุ่มครัวเรือนและผู้ใช้เชิงพาณิชย์ในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นายกฎชยุตม์กล่าวเพิ่มเติม

ในส่วนของ ดร. รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า “กองทุน RAC NAMA ถือเป็นมิติใหม่การดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Finance ของประเทศไทย และถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) โดยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายในปี พ.ศ. 2563 ที่ร้อยละ 20–25 จากกรณีปกติ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework on Climate Change: UNFCCC) ความตกลงปารีสหรือ Paris Agreement นอกจากนี้ ยังเป็นกองทุนแรกของประเทศไทยที่ได้รับการสนับสนุนจาก NAMA Facility โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรร่วมกับรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี”

ด้าน นางคามิลล่า เฟนนิ่ง หัวหน้าเครือข่ายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กล่าวว่า “รัฐบาลสหราชอาณาจักรมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในวันนี้ได้เป็นผู้แทนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสหราชอาณาจักรและรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในการสนับสนุนประเทศไทยให้ดำเนินการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งหมดไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นที่สำคัญของภูมิภาค ดิฉันเชื่อมั่นว่ากองทุน RAC NAMA นี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ”