หวั่นสังคมสูงวัยฉุดรายได้ คลังตั้งทีมศึกษาโครงสร้างจ่อผุดภาษี

ทรัพย์สิน-บริโภคนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างประเมินภาพรวมโครงสร้างประชากรในอนาคต หรือระยะ 30-40 ปี ว่าจะมีสัดส่วนอายุในช่วงใด และจำนวนเท่าใด เพื่อนำมาประเมินถึงความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เนื่องจากในขณะนี้ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว ดังนั้น จะกระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประชากรในวัยแรงงานลดลง ทำให้ฐานภาษีจากวัยแรงงานลดลงตามไปด้วย ดังนั้น จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างภาษีที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน

นายสมชัย กล่าวว่า เมื่อวัยแรงงานลดลง ภาษีที่จะจัดเก็บจากเงินได้บุคคลธรรมดาอาจจะลดลงตามโครงสร้างวัยแรงงาน ดังนั้น ฐานภาษีที่จะมีการจัดเก็บจะต้องปรับเปลี่ยนเป็นฐานภาษีทรัพย์สินและฐานภาษีจากการบริโภค โดยฐานภาษีทรัพย์สินนั้นขณะนี้ร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วนภาษีเพื่อการบริโภคนั้นทางกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษา

นายสมชัย กล่าวว่า การออมของประเทศเป็นอีกประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาให้สอดคล้องกับโครงสร้างประชากร และการลงทุนภาครัฐ ปัจจุบัน อัตราการออมของประเทศอยู่ในระดับ 2.5 ล้านล้านบาท ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และนโยบายที่รัฐบาลต้องการเงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต ขณะเดียวกันโครงสร้างการออมในขณะนี้ก็ยังไม่รองรับสังคมสูงวัยในอนาคต

“การออมของคนไทยยังต่ำ โดยเฉพาะในฝั่งแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคน มีการออมเพื่อวัยเกษียณผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) 5 แสนคนเท่านั้น ถ้าไม่สนับสนุนให้มีการออมต่อไป คนเหล่านี้ก็จะเป็นภาระต่อรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปศึกษาเรื่องการส่งเสริมความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชน การสร้างผลิตภัณฑ์การออมที่เอื้อต่อการออมระยะยาวผ่านแบงก์รัฐและเอกชน” นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวต่อว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายว่าผู้สูงอายุควรจะมีเงินใช้แต่ละเดือนไม่น้อยกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือนก่อนเกษียณ โดยในกลุ่มแรงงานนอกระบบยังมีการออมที่น้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มข้าราชการที่มีระบบการออมภาคบังคับ ทำให้ผู้เป็นข้าราชการจะมีเงินออมไว้ใช้ในแต่ละเดือนหลังเกษียณเฉลี่ย 60-70% ของรายได้ต่อเดือนก่อนเกษียณ ส่วนแรงงานกลุ่มอื่นมีเงินออมไว้ใช้ในแต่ละเดือนหลังเกษียณอายุเฉลี่ยเพียง 20% ของรายได้ต่อเดือนก่อนเกษียณอายุ

กรมการแพทย์แผนไทยเปิดตัว ไพล สมุนไพรกลิ่นหอม ขัดผิว ผสมน้ำผึ้ง และนมสำหรับคนผิวแห้ง มะขามเปียกสำหรับคนผิวมัน ไม่ได้ทำให้สวยอย่างเดียว ยังต้านแบคทีเรีย ลดอักเสบ ด้วย

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มการใส่ใจดูแลสุขภาพความงามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมในวงกว้าง ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์ต่างๆ จึงหันมาใช้สารจากธรรมชาติในการดูแลผิวพรรณ โดยเฉพาะเมื่อละครบุพเพสันนิวาส ซึ่งเป็นละครที่กำลังได้รับความนิยม และได้มีการนำไพลมาขัดผิวนางเอกนั้น มีประชาชนสอบถามข้อมูลวิชาการเข้ามา กรมการแพทย์แผนไทยฯ จึงอยากให้ความรู้เพิ่มเติมในการเลือกใช้สมุนไพรดังกล่าว ประโยชน์จากสมุนไพร ที่เรียกกันว่า “ไพล” นอกจากไพลใช้เป็นยาปรุงในตำรับแก้ปวดเมื่อย อยู่ในยาเหลืองแก้ปวดเมื่อย อยู่ในสูตรลูกประคบแล้ว และยาสำหรับสตรีตามที่เคยกล่าวไปแล้วนั้น ไพลยังถูกนำมาใช้ในด้านความงามของสตรี เนื่องจากมีกลิ่นหอม พร้อมสรรพคุณต้านแบคทีเรีย จึงช่วยให้ผิวสะอาด เนื่องจากไพลมีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และลดการอักเสบได้ดี จึงมีการนำมาใช้ในตำรับความงามเพื่อดูแลสุขภาพผิว แต่การนำไพลมาใช้ดูแลผิวแนะนำว่าควรปรุงเป็นตำรับผสมกับสมุนไพรอื่นที่ออกฤทธิ์คล้ายกัน เพื่อเสริมให้ได้ผลดีเร็วขึ้น

นพ. เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า สมุนไพรที่ใช้ในการพอกผิวตำรับที่แนะนำ ประกอบด้วย 1. ผงไพล 2 ช้อนโต๊ะ 2. ผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ 3. ดินสอพองสะตุ บดละเอียด 5 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ผิวแห้ง น้ำมะขามเปียกเหมาะสำหรับผู้ที่ผิวมัน และนมเหมาะสำหรับผู้ที่ผิวแห้ง ผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว แต่อย่าให้เหลวจนเกินไป จากนั้นชำระร่างกายให้สะอาด นำสมุนไพรที่ผสมไว้มาทาพอกตามผิวกายหรือผิวหน้าด้วยการลูบไล้เบาๆ ไม่ต้องขัดหรือขยี้ เพราะรูขุมขนจะขยายมากขึ้น ทำให้ผิวหยาบกระด้าง พอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล จุดด่างดำต่างๆ ดูจางลง ผิวพรรณเนียนนุ่ม ข้อควรระวัง ในการใช้ ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้หรือมีประวัติในการแพ้สมุนไพรข้างต้น กรณีพอกบริเวณผิวหน้า ควรระวังอย่าให้เข้าตา หากเข้าตาให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด

“ที่สำคัญในยุค 4.0 จะมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมจากไพล ท่านสามารถศึกษาจากฉลากของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้เพื่อสะดวกต่อการใช้ประโยชน์ ในกรณีมีเวลาน้อย ไม่สะดวกต่อการปรุงใช้เอง ก็มีทางเลือกให้ นอกจากการนำสมุนไพรพื้นบ้านมาดูแลสุขภาพผิวพรรณแล้ว ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้เน้นการรับประทานข้าวกล้อง ข้าวสีนิล อาหารที่มีเส้นใยผักและผลไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ ท้องผูก และเป็นการขับของเสียออกจากร่างกาย ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพียงเท่านี้ก็จะมีผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง ผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก สนใจข้อมูลสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center (02) 591-7007 ต่อกองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก” นพ. เกียรติภูมิ กล่าว

ถึงแม้ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่มียาใดสามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ จุดประสงค์ของการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สำคัญ คือการดูแลและรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนปกติ ลดอัตราเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับผู้ป่วยให้ได้น้อยที่สุด ซึ่งมักเกิดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นมานานหลายปี ความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เป็น เบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือด และยิ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากเท่าไร ก็จะช่วยชะลอและลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนเรื้อรังลงได้มาก เท่านั้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงหรือเลือดเป็นกรด ซึ่งทั้ง 3 อาการก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนแบบเรื้อรัง คือเกิดในระยะยาว ส่วนใหญ่เป็นความเสื่อมของเส้นเลือดตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ สมอง หัวใจ ไต ตาและเส้นเลือดที่ขา

ตัวอย่างภาวะแทรกซ้อนแบบเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวานขึ้นตา ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีเส้นเลือดเล็ก ในกรณีที่ ผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน ทำให้เส้นเลือดทำงานได้ไม่ดี นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานมีความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย ทำให้เส้นเลือดตีบง่ายและอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถึงขั้นตาบอดได้

สำหรับเบาหวานลงไต ในช่วงแรกจะไม่มีความผิดปกติปรากฏ นอกจากไตทำงานหนัก อาจจะมีโปรตีนรั่วหรือไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ การทำงานของไตลดลง ทำให้มีของเสียคั่ง น้ำคั่ง ทำให้เกิดตัวบวม แขนขาบวม อาจถึงขั้นล้างไตหรือเปลี่ยนไต

ส่วนอวัยวะที่มีเส้นเลือดใหญ่ ได้แก่ สมอง หัวใจและเท้า ผู้ป่วยเบาหวานอาจเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ส่วนที่เท้า ผู้ป่วยเบาหวานจะมีอาการชาปลายมือ ปลายเท้าอยู่แล้วหากเกิดแผล แผลก็จะหายช้า หรืออาจมีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ถ้าไม่ทำการรักษาให้ทันอาจทำให้สูญเสียนิ้วเท้าหรือตัดเท้าได้

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องรู้จักคำว่า “น้ำตาลสะสม” และเป้าหมายในการรักษาตนเองน้ำตาลสะสม ควรมีระดับที่เท่าไหร่ ซึ่งเป้าหมายแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน สำหรับผู้ป่วยโรค เบาหวาน อาหารและการควบคุมอาหารเป็นหลักการสำคัญในการดูแลตนเอง ซึ่งจะต้องรับประทานอาหารที่เหมาะสม จำกัดอาหารจำพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล เน้นทานผัก ผลไม้ แต่ผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน สับปะรด มะม่วง ก็ไม่ควรที่จะรับประทานมาก นอกจากนี้การออกกำลังกายก็จะทำให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นและสิ่งที่มักมาคู่กับโรคเบาหวาน คือความดันโลหิตและระดับไขมันก็ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

หมู่บ้านบากันเคย ริมชายทะเลอันดามัน หมู่ที่ 3 ตำบลตันหยงโป อำเภอเมือง จังหวัดสตูล แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านมีเคยหรอย..(กะปิอร่อย) ที่สุดของจังหวัดสตูล ด้วยชื่อเสียงความอร่อยของตัวเคย (ตัวกุ้งขนาดเล็ก) ทำให้หมู่ที่ 3 บ้านบากันเคย ทำกะปิขายเป็นรายได้หลักนอกเหนือจากการทำประมงพื้นบ้าน

หมู่บ้านกะปิบากันเคยแห่งนี้ไม่เคยเสื่อมเสียในเรื่องนำสิ่งของมาเจือปนในกะปิ ชาวบ้านที่ทำกะปิที่นี่ยืนยันว่า หากวัตถุดิบคือตัวเคยไม่มี ก็จะหยุดแปรรูป เปลี่ยนไปทำประมงประเภทอื่นแทน แต่หากถึงฤดูตัวเคยชุกชุมก็จะหันมาทำกะปิกัน ทำให้ที่นี้มีคนมาศึกษาดูงาน และซื้อหากะปิไปบริโภคเป็นของฝากกันจนขึ้นชื่อ

ลีม๊ะ ฮะยีบิลัง ในวัย 43 ปี เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่แปรรูปตัวเคย มาทำกะปิเป็นรายได้หลักรองจากประมงพื้นบ้าน โดยสามีจะมีหน้าที่หลักในการออกเรือหาตัวเคยในท้องทะเล ซึ่งในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายนจะมีตัวเคยชุกชุม ส่วน “ลีม๊ะ” จะมีหน้าที่นำมาแปรรูป โดยได้สูตรความหอม อร่อย จากแม่สามีที่ถ่ายทอดวิชาปรุงตัวเคยให้

ลีม๊ะ บอกว่า ขั้นตอนแรกหลังได้ตัวเคยมานำไปล้างกับน้ำเค็มที่สะอาด เก็บเศษใบไม้ หรือสิ่งที่ไม่ต้องการออก จากนั้นนำไปตากแดดแรงประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อได้ตัวเคยที่มีความแห้งปานกลางคลาย กุ้งแห้งแล้วนำไปคลุกกับเกลือเม็ด พักไว้ก่อนนำเข้าเครื่องบดหยาบๆ 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้ครกตำ หมักไว้ 4-5 วัน จากนั้นนำมาตากแดดอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ห้ามเกินกว่านี้อาจจะทำให้ตัวกะปิแตกตัวไม่หอมได้ หลังจากนั้นนำมาคลุกด้วยน้ำตาลทรายอีกครั้ง และบดให้เป็นเนื้อเดียวกัน หมักไว้อีกประมาณ 1 สัปดาห์ ยิ่งเก็บกะปิก็ยิ่งจะส่งกลิ่นหอมพร้อมจำหน่าย

“เคล็ดลับของที่นี่ คือทุกครั้งที่มีการนำตัวเคยมาตากแดดหากมีฝนตกให้รีบเก็บทันที เพราะกะปิอาจจะเสียรสชาติและมีสีดำกลิ่นหืนได้ รสชาติกะปิที่นี่จะขึ้นอยู่กับความชอบของลูกค้าไม่เค็มจนเกินไป แต่หากลูกค้าต้องการความเค็มก็จะเพิ่มเกลือลงไปอีก ส่วนกะปิที่มีสีดำบ้าง สีชมพูบ้างขึ้นอยู่ที่ตัวเคย หากตัวเคยนั้นหาในป่าโกงกางก็จะมีสีดำ หากหาได้นอกชายฝั่งติดทรายก็จะมีสีอมชมพู”

ลีม๊ะ ระบุด้วยว่า สำหรับตัวเคยนอกจากจะแปรรูปเป็นกะปิแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังแปรรูปเป็นกุ้งส้ม หรือจะซื้อมากินแบบสดๆ ทอดกับไข่ก็อร่อยดี หรือจะกินกะปิแบบเพียวๆ จิ้มมะม่วงก็อร่อยน้ำลายไหล โดยราคาส่งขายกะปิ กิโลกรัมละ 90 บาท ครึ่งกิโลกรัม 45 บาท หรือต้องการแบบกระปุกละ 50 บาท ส่วนกุ้งส้มกิโลกรัมละ 50 บาท จำหน่ายขีดละ 10 บาท กุ้งแห้งกิโลกรัมละ 180 บาท

ด้าน หัถยา หมัดตานี ประธานกองทุนบทบาทสตรีตำบลตันหยงโป บอกว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีแม่บ้าน แปรรูปกะปิไม่น้อยกว่า 7 กลุ่มใหญ่ เพื่อส่งขายทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ชื่อเสียงความอร่อยไปไกล หลายคณะมาศึกษาดูงาน และซื้อหากันถึงแหล่งผลิต ทั้งหาเองและแปรรูปเองในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ และสามารถซื้อหาเป็นของฝาก ปรุงได้หลากหลายเมนู และที่นี่ยังขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเลสดๆ ที่อยากให้ท่านที่ชื่นชอบมาแวะชิม และซื้อหาเยี่ยมชมหมู่บ้านของเรา

จํานวนผู้เสียชีวิตและป่วยด้วยโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี สำหรับในประเทศไทยข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-2559 ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ กว่า 54,530 คน เฉลี่ยวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน

น้ำมันมะกอก เบอร์ทอลลี่ จึงได้เชิญ นพ. วิวัฒน์ แสงเลิศศิลปชัย จากศูนย์หัวใจโรงพยาบาลบีเอ็นเอช มาให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจ ระบุว่า การที่อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจะทำหน้าที่ได้ดีนั้น หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สะดุด ดังนั้น หากหัวใจเราไม่แข็งแรง การทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกาย ก็จะสะดุดตามไปด้วย เรียกได้ว่าหัวใจเป็นศูนย์กลางของระบบอวัยวะอื่นๆ ใน ร่างกายทั้งหมด

นพ. วิวัฒน์ กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจมาจากกรรมพันธุ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งเรารู้ตัวว่ามีแนวโน้มเสี่ยงมากกว่าคนอื่น ยิ่งควรต้องมีวินัยใส่ใจตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะรักษาได้ทันเวลาและเพิ่มโอกาสในการรักษา

“ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเรารับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อ ร่างกาย เราก็จะสุขภาพดีตามไปด้วย รวมทั้งทำให้ร่างกายสมดุล ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรคหัวใจด้วยเช่นกัน เพราะโรคหัวใจเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และความอ้วน ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง”

แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่รับประทานไขมันเลยก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะร่างกายก็จะขาดพลังงาน ทุกสิ่งจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมดุล “ในหนึ่งวันเราควรรับประทานไขมัน 15-30% จากปริมาณแคลอรีที่เราบริโภคทั้งวัน และใน 15-30% ของปริมาณไขมันนั้น ควรเป็นไขมันดีหรือไขมันประเภทไม่อิ่มตัวมากกว่าครึ่งของปริมาณไขมันที่ บริโภคทั้งหมด โดยไขมันดีหรือไขมันประเภทไม่อิ่มตัวนั้น มีคุณสมบัติในการลดไขมันไม่ดีในเลือดหรือ คอเลสเตอรอลตัวร้ายอย่าง LDL ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี ได้แก่ น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน อะโวกาโด และถั่ววอลนัท เป็นต้น” นพ. วิวัฒน์ กล่าว

ถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมาดูแลและป้องกันการเกิดโรคหัวใจก่อนที่จะสายเกินไป ผลสอบโอเน็ต ประจำปีการศึกษา 2560 ที่ รร. อนุบาลขอนแก่น ได้คะแนนเต็ม 100 คะแนน จำนวน 21 คน ส่งผลทำให้เป็นที่ 1 ในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ โดยใช้การสอนแบบวอลดอร์ฟ ( Waldorf ) ตั้งแต่ชั้นปฐมวัย จนถึงอายุ 5 ขวบ ขึ้นไป ไม่เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างเดียว แต่จะให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมตามที่ครูสอน เพื่อให้อ่านออกเขียนได้ สะกดคำได้

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 มีนาคม ที่เวทีเกียรติยศ สนามหน้าเสาธง โรงเรียนอนุบาลขอนแก่น ถ. ประชาสโมสร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ดร.ภูมิพันธ เรืองแหล่ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 1 (ผอ. สพป. ขอนแก่น เขต.1) เป็นประธานมอบเกียรติบัตรพร้อมมอบเสื้อสามารถและกล่าวแสดงความยินดีกับเด็กนักเรียน โรงเรียนอนุบาลขอนแก่น ที่มีผลสอบคะแนน (O-NET) โอเน็ตได้ 100 คะแนนเต็ม สูงกว่าระดับชาติขั้นพื้นฐาน จำนวน 21 คน แยกเป็นสอบวิชาคณิตศาสตร์ ได้ 100 คะแนนเต็ม 14 คน และสอบวิชาภาษาอังกฤษ ได้ 100 คะแนนเต็ม จำนวน 7 คน ทำให้ผลคะแนนการรวมสอบโอเน็ต ของ สพป. ขอนแก่น เขต 1 เป็นที่ 1 ของระดับเขตการศึกษาทั่วประเทศไทย โดยมี ดร.อภิชาติ นาเลาห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลขอนแก่น นายวิทวัส เรืองศิริวัฒนกุล นายสมนึก อาจยะศรี นายนิรุจน์ นครศรี นายศักดา มุสิกวัน รอง ผอ. รร. อนุบาลขอนแก่น ผู้บริหาร คณะครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ร่วมแสดงความยินดี

ดร.ภูมิพันธ เรืองแหล่ ผอ. สพป. ขอนแก่น เขต 1 กล่าวว่า เด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลขอนแก่น เก่งทุกคน ดังเช่น อัตลักษณ์ของ รร. อนุบาลขอนแก่น คือความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ เพราะการศึกษาให้ความสำคัญกับเด็กมาก ถามว่ามีการแข่งขันสูงไหม ตอบเลยว่ามีการแข้งขันสูงมาก การจัดการศึกษานั้นทาง สพป. ขอนแก่น เขต 1 เราไม่ได้เน้นเฉพาะด้านความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างเดียว แต่เราจะเน้นในด้านของการคิดเป็น ทำเป็น โดยผ่านทางกิจกรรมนักเรียนทุกระดับชั้น ต้องชื่นชมคุณครู ที่ให้ความสนใจ ในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นครอบคลุมทั้งด้านเก่งดี มีสุข

ดร.ภูมิพันธ กล่าวอีกว่า ต้องขอชื่นชม ท่าน ผอ. อภิชาติ พร้อมทีมบริหารและคุณครูทุกคน ที่ส่งผลให้ลูกนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สอบได้คะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการสอบประเภทนี้ไม่ใช่จะเป็นการออกข้อสอบจากคนๆ เดียว แต่จะเป็นครูที่มาจากทั้ง 4 ภูมิภาค ระดับประเทศ นี่คือผลจากการจัดการเรียนการสอน เกิดจากการวางแผนการสอนอย่างเป็นระบบ ทำให้ รร. อนุบาลขอนแก่น เป็นที่หนึ่งมาแล้ว 7 ปี ที่ได้คะแนนเต็ม หรือไม่ต่ำกว่า 20 คน ทุกปี ทำให้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชั้นนำ ระดับประเทศ

ด้าน ดร.อภิชาติ นาเลาห์ ผอ.รร. อนุบาลขอนแก่น กล่าวว่า การศึกษาปัจจุบันมีการแข่งขันสูง แต่ถ้าให้เด็กได้จัดกิจกรรมที่ครูจัดกิจกรรมให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้ สะกดคำได้ เช่น การทำโรงเรียนแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) ตั้งแต่ชั้นปฐมวัย จนถึง อายุ 5 ขวบขึ้นไป เพราะว่ามีคุณครูที่สามารถสอนนักเรียนได้เป็นอย่างดี สามารถที่จะตีโจทย์คณิตศาสตร์ได้ดี นับได้ว่าเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง ต้องขอขอบคุณ ครูหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการต่างๆ ที่ช่วยกันผลักดันให้ผู้บริหารเกิดความร่วมมือกันในการวางแผนพัฒนาคุณภาพวิชาการด้านโรงเรียนอนุบาลขอนแก่นเป็นอย่างดี จนก้าวสู่เป็นโรงเรียนระดับประเทศ อีกอย่างทั้งตัวนักเรียนและผู้ปกครองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ รร. อนุบาลขอนแก่น สามารถพัฒนาต่อยอดความสำเร็จนี้ และจะรักษามาตรฐานนี้ไว้ตลอดไป ซึ่งปีนี้มีนักเรียนที่ได้คะแนนเต็มโอเน็ตคณิตศาสตร์ 14 คน ภาษาอังกฤษ 7 คน รวม 21 คน และมี 1 นักเรียน ในจำนวนนั้นสอบได้คะแนนเต็ม 100 ทั้งคณิต – อังกฤษ ถือได้ว่ายอดเยี่ยม

รศ.ดร.อริยาภรณ์ พงษ์รัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เปิดเผยถึงกิจกรรมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีมหาวิทยาลัยเป็นพี่เลี้ยง ของ ม.อุบลฯ ว่า โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่สถานศึกษาในท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาการจัดการเรียนการสอน โดยนำสะเต็ม เอดูเคชั่นประยุกต์ใช้การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ การยกระดับความรู้ภาษาอังกฤษ การจัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนและการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาศักยภาพครูโดยการพัฒนาการสอนแบบแอ๊กทีฟ เลิร์นนิ่ง โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม สร้างความตระหนักรู้ทางจริยธรรมต่อผลกระทบของการทุจริตคอร์รัปชั่นแก่นักเรียนโรงเรียนเครือข่าย

รองอธิการบดี ม.อุบลฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้สืบเนื่องจากโครงการดังกล่าว ม.อุบลฯ ยังได้ดำเนินกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ และการจัดหาฐานข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่างๆ ที่สำคัญต่อการเรียนการสอนของครูและนักเรียน โดยนำนวัตกรรมทางการศึกษา ทรัพยากร ตลอดจนความรู้ความเชี่ยวชาญทางวิชาการของบุคลากร และเทคโนโลยีจากสถาบันอุดมศึกษาช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับสถานศึกษา

“ในปีงบประมาณ 2561 มหาวิทยาลัยได้ลงนามความร่วมมือกับโรงเรียนเครือข่าย จำนวน 20 แห่ง ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.อำนาจเจริญ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับโรงเรียนและท้องถิ่น ดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านวิชาการแก่ครูและนักเรียน อาทิ การพัฒนาศักยภาพครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเฉพาะการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ การยกระดับความรู้ภาษาอังกฤษ การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม และการรู้หน้าที่ของพลเมือง” รองอธิการบดี ม.อุบลฯ กล่าว

นายบุญส่ง จำปาโพธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยผลการประกวดผลงานของนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ของสถาบันการอาชีวศึกษา และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร รวม 23 สถาบัน ในเวทีประชุมทางวิชาการ และนวัตกรรมเทคโนโลยีบัณฑิต สถาบันการอาชีวศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2560 ว่า การประชุมครั้งแรกนี้มีผลงานร่วมประกวดทั้งสิ้น 350 ผลงาน ใน 12 กลุ่มสาขาวิชา โดยรางวัลชนะเลิศ อาทิ กลุ่มสาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “ผลงานเครื่องขยายท่อพีวีซีด้วยความร้อนเหนี่ยวนำ” ของสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2