หอการค้าชี้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น

ผู้บริโภคเดือนกันยายน 2560 ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ระบุผู้บริโภคมีความหวังเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น จากการส่งออก-ท่องเที่ยว แต่ยังห่วงราคาสินค้าเกษตรฉุดกำลังการซื้อ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายน 2560 ว่า อยู่ที่ระดับ 75 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังว่า เศรษฐกิจไทยในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้น จากการส่งออก และการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกันการลงทุนของภาครัฐที่กำลังจะเกิดในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นให้มากขึ้น แต่ผู้บริโภคยังกังวลราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังต่ำ ทั้งข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้กำลังซื้อในหลายจังหวัดทั่วประเทศไม่คล่องตัว

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันขายปลีก ราคาก๊าซแอลพีจีที่สูงขึ้นและการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาสินค้าบางตัว เช่น สุรา บุหรี่ สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าของแพงขึ้น แม้ภาครัฐจะดูแลควบคุมราคาสินค้าจำเป็นไม่ให้สูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจปัจจุบันยังฟื้นตัวไม่ดี แม้จะเห็นว่าเศรษฐกิจในอนาคตอาจปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวไม่มากนัก

แต่ทั้งนี้ประเมินว่า ความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เพราะคาดว่า โครงการสวัสดิการแห่งรัฐจะทำให้เกิดเงินสะพัดเดือนละกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท และทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจท้ายปีให้ดีขึ้น เมื่อรวมกับการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น และภาครัฐจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 3.7-4% จากเดิมที่ประเมินว่าน่าจะขยายตัว 3.6%

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 62.5, 69.8 และ 92.7 ตามลำดับ โดยปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนสิงหาคม 2560 ที่อยู่ในระดับ 62.4, 69.7 และ 91.5 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำและรายได้ในอนาคตมากนัก การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีทุกรายการดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตรวจซุปเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข 234 แห่ง เพื่อมอบป้ายรับรองมารตรฐานอาหารปลอดภัยของ กทม. โดยใช้แบบตรวจประเมินสุขลักษณะสถานที่สะสมอาหารตามข้อบัญญัติ กทม. เรื่องสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร และคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข ฉบับที่ 4/2559 เรื่องข้อกำหนดด้านสุขาภิบาลอาหาร พบว่าทั้ง 234 แห่ง มีผ่านมาตรฐานและได้รับป้ายรับรอง 188 แห่ง หรือ ร้อยละ 80.34 ไม่ผ่านมาตรฐาน 46 แห่ง หรือ ร้อยละ 19.66

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ มีสิ่งที่ต้องพัฒนา ได้แก่ 1. ตู้แช่เย็นหรือตู้แช่แข็ง หรือห้องแช่เย็น หรือห้องแช่แข็งมีการตรวจวัดอุณหภูมิอย่างสม่ำเสมอและมีตารางบันทึกอุณหภูมิที่สามารถตรวจสอบได้ 2. ขนมอบหรือเบเกอรี่กรณีที่ไม่ได้บรรจุในถุงหรือกล่อง ต้องวางจําหน่ายในตู้หรือมีการปกปิดให้มิดชิด 3. การติดป้ายแสดงบริเวณการแยกเก็บอาหารหรือสินค้าที่หมดอายุหรือชํารุดที่รอการเก็บกลับคืน 4. ผู้สัมผัสอาหารต้องมีสุขภาพแข็งแรง ต้องมีใบรับรองแพทย์ว่าไม่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคที่สังคมรังเกียจหรือไม่เป็นพาหะนําโรคติดต่อ และ 5. การจัดให้มีคําเตือนกับผู้บริโภคเพื่อป้องกันการหยิบจับอาหารด้วยมือไว้ในบริเวณ

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานประชุมติดตามประเมินผลการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสารตกค้างในคลองน้ำสาขา ลำห้วยสามพาด บ้านนาดี ตำบลผาสุก อำเภอกุมภวาปี หลังเกิดเหตุรถบรรทุกแร่ทองแดงของบริษัทเอส เค ที ทราน จำกัด พลิกคว่ำลงลำห้วยเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2560 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม โดยบริษัทเอส เค ที ทราน เข้าเก็บกู้ตะกอนดินในลำห้วยตั้งแต่จุดเกิดเหตุไปอีก 300 เมตร ตามคำสั่งของจังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 19-28 กันยายน และสิ่งแวดล้อม ภาค 9 จะตรวจติดตามผลสัปดาห์หน้า ขณะที่กรมควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจน้ำและดิน ในพื้นที่การเกษตร 2 ด้านขนานกับลำห้วยระยะทาง 300 เมตร ไม่พบสิ่งปนเปื้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการตรวจตะกอนดินในลำห้วยจากระยะ 300 เมตร-10 กิโลเมตร เป็นต้นไป โดยเก็บตัวอย่างตะกอนดิน เมื่อวันที่ 12, 13 และ 18 กันยายน 2560 พบโลหะหนัก 8 ชนิดตลอดลำห้วย แต่ในช่วง 300-1,000 เมตร พบโลหะหนักทองแดงระยะ 350, 600, 700 และ 950 เมตร ระดับตั้งแต่ 94-455 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม สูงเกินค่ามาตรฐานอ้างอิงที่อยู่ในระดับ 31.6 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม และพบโลหะหนักตะกั่วในระยะ 350 เมตร ระดับ 54 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงเกินค่ามาตรฐานอ้างอิงที่อยู่ในระดับ

35.8 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ซึ่้งมีผลต่อสุขภาพสิ่งมีชีวิต โดยตะกั่วจะมีพิษสะสมทำให้ก่อมะเร็ง และมีผลกับเด็กในครรภ์ ส่วนทองแดงมีผลต่อผิวหนัง สสจ.อุดรธานีจึงให้โรงพยาบาลกุมภวาปี และโรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคม ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพแรงงานที่ลงไปเก็บกู้แร่ทั้ง 30 คน ในสัปดาห์หน้า ก่อนส่งไปส่วนกลางเพื่อวิเคราะห์ และวางแผนเฝ้าระวังประชาชนต่อเนื่อง

นายสมหวัง กล่าวว่า ให้ออกคำสั่งห้ามประชาชนจับบริโภคสัตว์น้ำ และสัมผัสตะกอนดินไปถึงจุดกักปลาไม่ให้เคลื่อนย้าย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาติดตามเรื่องนี้ รวมทั้งงบบุคลากรและงบประมาณที่ใช้ เพื่อเรียกร้องจากผู้ประกอบการ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนก.ย. 2560 ว่า อยู่ที่ระดับ 75 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้น จากการส่งออก และการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันการลงทุนของภาครัฐที่กำลังจะเกิดในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นให้มากขึ้น แต่ผู้บริโภคยังกังวลราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังต่ำ ทั้ง ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้กำลังซื้อในหลายจังหวัดทั่วประเทศไม่คล่องตัว

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันขายปลีก ราคาก๊าซแอลพีจีที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาสินค้าบางตัว เช่น สุรา บุหรี่ สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าของแพงขึ้น แม้ภาครัฐจะดูแลควบคุมราคาสินค้าจำเป็นไม่ให้สูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจปัจจุบันยังฟื้นตัวไม่ดี แม้จะเห็นว่าเศรษฐกิจในอนาคตอาจจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวไม่มากนัก

แต่ทั้งนี้ประเมินว่าความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เพราะคาดว่าโครงการสวัสดิการแห่งรัฐจะทำให้เกิดเงินสะพัดเดือนละกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท และทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจท้ายปีให้ดีขึ้น เมื่อรวมกับการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น และภาครัฐจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 3.7-4% จากเดิมที่ประเมินว่าน่าจะขยายตัว 3.6%

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 62.5 69.8 และ 92.7 ตามลำดับ โดยปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนส.ค. 2560 ที่อยู่ในระดับ 62.4 69.7 และ 91.5 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตมากนักการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีทุกรายการดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ตามดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังปรับตัวลดลง โดยอยู่ที่ระดับ 50.5 แสดงว่าผู้บริโภครู้สึกว่าภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานในปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวดีนัก

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยปรับตัวสู่ระดับ 85.5 ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้น ในอนาคต

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการ นโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า คาดว่าอีก 5-6 เดือน พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. … จะมีผลบังคับใช้ขณะนี้ อยู่ที่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้มี 1 หมวดจะเป็นส่วนว่าด้วยกองทุนปาล์มน้ำมัน ซึ่งย้ำว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ ในการแทรกแซงราคาปาล์ม แต่ใช้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มในระยะยาว เช่น การวิจัยและพัฒนาต่างๆ

สำหรับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ในปัจจุบันอยู่ที่ 435,601 ตัน เพิ่มขึ้นจากในระดับปกติที่มีอยู่ประมาณ 200,000 ตันซีพีโอ เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค. ที่ผ่านมา 7.18% โดยที่ประชุม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน ไปหาแนวทางรองรับปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยแนวทางหนึ่งที่มีการหารือก็คือ อาจเพิ่มสัดส่วนเปอร์เซ็นต์น้ำมันไบโอดีเซล (บี 100) ในน้ำมันดีเซลจากปัจจุบันที่มีการผสมอยู่ในสัดส่วน 7% เป็น 10% หรือเปลี่ยนจากน้ำมันไบโอดีเซลบี 7 เป็นบี 10

อย่างไรก็ตาม ระดับสต๊อกดังกล่าวถือเป็นระดับที่เพียงพอสำหรับการใช้ในประเทศทั้งส่วนเพื่อบริโภคและเพื่อเป็นพลังงาน ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ราคาผลปาล์มอยู่ที่ 3 บาทกว่า/กิโลกรัมนั้น ยังประเมินว่าเป็นระดับที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการแทรกแซง โดยกระทรวงเกษตรจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพในการผลิตเช่น เช่น กรณีเปอร์เซ็นต์น้ำมันในผลปาล์มปัจจุบัน 17.45% จะพัฒนาให้เพิ่มต่อเนื่องและให้เป็น 23% ในปี 2579

สำหรับผลผลิตในปีนี้คาดว่าผลปาล์มดิบจะอยู่ที่ 11.71 ล้านตัน จากพื้นที่ที่มีการเก็บเกี่ยวได้แล้ว 5 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 11 ล้านตัน โดยสามารถผลิตเป็นน้ำมันได้ประมาณ 2 ล้านตันซีพีโอ โดยราคาน้ำปาล์มดิบขณะนี้อยู่ที่ 22 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดโลกมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสที่ผู้ประกอบการจะส่งออกไปต่างประเทศได้ จากที่ผ่านมาราคาของไทยจะสูงกว่าต่างประเทศเนื่องจากต้นทุนสูงกว่า

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ 3 ที่ยังห่างจากอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ที่ 30 ล้านตันซีพีโอ และอันดับ 2 มาเลเซีย ผลิตอยู่ที่ 19 ล้านตันซีพีโอ โดยเพียง 2 ประเทศนี้ก็มีกำลังการผลิตคิดเป็นประมาณ 90% ของกำลังผลิตทั่วโลกที่ 62 ล้านตันซีพีโอ

วันที่ 6 ตุลาคม 2560 หลังเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดสุพรรณบุรีและมีน้ำป่าไหลหลากจากตอนล่างของ จ.อุทัยธานี ได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ต.หนองมะค่าโมง อ.ด่านช้าง ล่าสุดได้ทะลักเข้าท่วมในพื้นที่ ต.หัวเขา และ ต.วังศรีราช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ทำให้เกิดความเสียหายบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ และน้ำยังไหลเชี่ยวซัดถนนทันที ประชาชนไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และยังท่วมบ้านเรือนประชาชนอีกกว่า 300 หลังคาเรือน

โดยขณะนี้ได้มีหน่วยงาน อบจ.สุพรรณบุรี นำโดยนายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายก อบจ.สุพรรณบุรี และปลัดวิทยา บุญยพัชรินทร์ ผู้ประสานงาน อบจ. ได้เร่งเข้าไปช่วยเหลือ พูดคุยกับชาวบ้านถึงปัญหาที่ได้รับผลกระทบและความช่วยเหลือเบื้องต้น โดยล่าสุดได้นำกระสอบกว่า 50,000 ใบวางสกัดกั้นน้ำในพื้นที่ ต.กระเสียว อ.สามชุก และ ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช พร้อมกับได้นำเครื่องสูบน้ำอีกกว่า 6 เครื่องใหญ่ กระจายในหลายจุดตามอำเภอที่ได้ผลกระทบ เพื่อเข้าช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ที่หมู่บ้าน ต.วังศรีราช อ.เดิมบางนางบวช จำนวน 2 หมู่บ้าน และ ต.หัวเขา ต.หนองกระทุ่ม อ.เดิมบางนางบวช ต.กระเสียว อ.สามชุก น้ำป่ายังได้ทะลักท่วมบ้านเรือนประชาชน ส่วนไร่นาของชาวบ้าน ขณะนี้ได้รับความเสียหายกว่า 5 พันไร่แล้ว ส่วนถนนทางเข้าหมู่บ้านวังศรีราชที่ขณะนี้ถูกน้ำป่าซัดขาด ได้ทำการปิดเส้นทางนี้ และเตือนให้ชาวบ้านที่สัญจรไปมาระมัดระวังและใช้เส้นทางอื่นแทน พร้อมประกาศให้ชาวบ้านเร่งขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ขึ้นที่สูง พร้อมกับเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำป่าอย่างใกล้ชิด

โคโลญจน์ เยอรมันนี– บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อาหารกว่า 120 รายการ ในงานแสดงสินค้าอาหารแบบครบวงจรที่ ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก Anuga 2017 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมันนี โดยจะเป็นการแสดงสินค้าร่วมกันเป็นครั้งแรกกับ FoodFellas และ เบลิซิโอ หลังจากซื้อกิจการในปีที่ผ่านมา

นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก Anuga 2017 นับเป็นการเข้าร่วมงานเป็นครั้งที่ 2 ของบริษัท โดยในปีนี้จะเป็นการนำเสนอบูธภายใต้แนวคิด “Lead the Way to Sustainability” เพื่อเป็นการแสดงความเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตอาหารปลอดภัยได้มาตรฐานระดับโลก ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสู่การพัฒนาและการผลิตอย่างยั่งยืน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ลงทุนและขยายฐานการผลิตไปยัง 16 ประเทศ และส่งออกไปยัง 30 ประเทศใน 5 ทวีป ทั้งยังมีการควบรวมกิจการกับบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปีนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ และเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจทั้งในด้านการผลิตและกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคดังกล่าวได้อย่างทั่วถึงและลดอุปสรรคทางการค้าได้เป็นอย่างดี

นายสุขวัฒน์ กล่าวว่า ในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรระดับโลก Anuga 2017 ซีพีเอฟ ภูมิใจนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความหลากหลายร่วมกับบริษัท Bellisio Parent LLC ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานแบบ Single Serve ของสหรัฐอเมริกา และบริษัท FoodFellas Ltd ซึ่งเป็นธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส (food service supplier) ของประเทศอังกฤษ ด้วยการนำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารจากทั่วโลก ซึ่งแต่ละบริษัทมีแบรนด์สินค้าเป็นของตนเองและกลุ่มเป้าหมายลูกค้าแตกต่างกัน

สำหรับสินค้าที่ ซีพีเอฟ นำไปแสดงในงาน Anuga 2017 นอกจากสินค้าแบรนด์ ซีพี แล้ว ยังมีแบรนด์สินค้าของ Bellisio ประกอบด้วย Michelina’s, EatingWell, So Right, Boston Market, Atkins, Snakmandoo, Chili’s, EAT และแบรนด์ที่เป็นคู้ค้าของ FoodFellas เช่น Kepak Group, Big Jake’s, D Damhus, AvoGrande, ComidaLatina, Ovation, McCrum, Cheesecake, Pomone, Shaws ประกอบด้วยสินค้าอาหารหลากหลาย

รายการ ทั้งอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารพร้อมรับประทาน เนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ และซี่โครงหมู รวมไปถึงเครื่องปรุงรส และเครื่องเทศต่าง ๆ

“ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตอาหารครบวงจรชั้นนำระดับโลก magiuropa.com ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอาหารอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะด้านคุณภาพอาหารปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สู่การผลิตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ ครัวของโลก” นายสุขวัฒน์ กล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อไก่ของ ซีพีเอฟ ได้รับการรับรองมาตรฐาน QS (Quality Scheme) จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นมาตรฐานรับรองกระบวนการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยสำหรับการบริโภค และเป็นมาตรฐานสูงสุดสำหรับการรับรองความปลอดภัยอาหารเพื่อผู้บริโภคชาวเยอรมัน ซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในยุโรปอย่างแพร่หลาย ที่สำคัญมาตรฐาน QS ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมาก เน้นกระบวนการผลิตที่มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในระดับสูงต่อตัวสินค้า ทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ โดยปฏิบัติตามหลัก Animal welfare และ Animal Health

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังเป็นผู้ผลิตอาหารที่ได้รับการคัดเลือกในกลุ่มตลาดใหม่ (Emerging Market) ดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indexes หรือ DJSI) 3 ปีต่อเนื่องกัน และยังเป็นภาคีในข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact หรือ UNGC) เพื่อเดินตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ตลอดทั้งการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายรักษาสิ่งแวดล้อมสากล เช่น โครงการความร่วมมือระดับสากลในการพิทักษ์มหาสมุทร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล (Seafood Business for Ocean Stewardship) และโครงการปฏิรูประบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืนเพื่อสุขภาพที่ดี (Food Reform for Sustainability and Health’ หรือ FReSH) ที่สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) และมูลนิธิอีท (EAT Foundation) เป็นแกนนำ

11 บริษัทในกลุ่มเอสซีจี เคมิคอลส์ เข้ารับมอบประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในงาน “ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน” ประจำปี 2560 จากกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้มอบ และให้เกียรติเป็นประธานในพิธี โดยแยกตามประเภทของใบรับรองฯ ดังนี้

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) บริษัท อาร์ไอแอล 1996 จำกัด จากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา

โครงการนำร่องระบบซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของระเทศไทย (T-VETS)

บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด ใบรับรองฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ ฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction; CFR)

บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด

บริษัท ไทย เอ็มเอ็มเอ จำกัด ใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products; CFP)

บริษัท ไทยโพลิเอททิลีน จำกัด

บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด

บริษัท ไทย เพ็ท เรซิน จำกัด ใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization)

บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด

บริษัท นวอินเตอร์เทค จำกัด

บริษัท ระยอง เทอร์มินัล จำกัด

งานมอบประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผู้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศไทย โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นองค์การมหาชน เพื่อสนับสนุนและประสานงานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายในปี 2563 และ 2573