หากคุณยังพอจำผลไม้เหล่านี้ได้ดีเช่น ชมพู่พันธุ์ทับทิม

ขนุนพันธุ์จำปาบ้านแพ้ว ละมุดพันธุ์เมฮิโก หรือที่โด่งดังและคุ้นกับคอผลไม้มากที่สุดตั้งแต่ในห้างยันรถเร่จนถึงปัจจุบันคือฝรั่งเวียดนามคิดว่าหลายคนคงยังไม่ลืม…ความมีรสชาติอร่อยและแปลกของผลไม้เช่นว่านี้ได้มาจากพรสวรรค์ และความสามารถของบุคคลท่านหนึ่งที่ชื่อคุณนรินทร์ วัฒนะอนุรักษ์ ที่ว่ามีพรสวรรค์นั้นคงมิได้กล่าวอ้างเกินความเป็นจริงแต่ประการใดเพราะท่านถือเป็นหนึ่งในเซียนนักพัฒนาไม้ผลเพียงไม่กี่คนที่สร้างความฮือฮาในอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ผลจากประเทศเพื่อนบ้านหลายชนิดจนประสบความสำเร็จ สร้างความเอร็ดอร่อยให้กับคนไทย และที่ดูจะทำมากคือผลไม้จากประเทศอินโดนีเซีย เหตุเพราะท่านได้ไปปักหลักอยู่นานถึง 32 ปี เพื่อรับเป็นที่ปรึกษาด้านการปลูกไม้ผลให้กับบริษัทเอกชนที่นั่นและปัจจุบันยังคงทำอยู่หลายแห่ง

นักพัฒนาผลไม้ท่านนี้ยังเปิดเผยว่าพอได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองการาวัง มานานแสนงานจึงหาอาชีพที่ถนัดทำหลังเกษียณ โดยทำเป็นแหล่งขยายพันธุ์ไม้ผลที่มีชื่อหลายประเภทบนเนื้อที่ 10 ไร่ อันได้แก่มะม่วง ฝรั่ง และ ลำไย เป็นต้น

ครั้นพอเวลาผ่านไป ผลไม้ของท่านกลับกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอินโดนีเซียไปโดยปริยาย เพราะมีรสชาติแสนอร่อยกว่าผลไม้เจ้าของประเทศเสียด้วยซ้ำ จนทำให้พ่อค้าที่มารับจะต้องติดต่อสั่งจองล่วงหน้าเพื่อประกันความผิดหวัง เคล็ดลับของการผลิตผลไม้ที่เอร็ดอร่อยเช่นนี้คุณนรินทร์บอกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย เพียงแต่ใช้หลักการปลูกแบบไทยที่ให้น้ำกับปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น

คุณนรินทร์ เป็นชาวตำบลหลักสอง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ปัจจุบันท่านอายุ 72 ปี ที่อำเภอบ้านแพ้วท่านก็มีสวนที่ปลูกผลไม้ไว้หลายชนิด บนเนื้อที่ 7 ไร่แล้วตั้งชื่อสวนตัวเองว่า “สวนนรินทร์พันธุ์ไม้ ตั้งอยู่เลขที่ 41 หมู่ 2 ตำบลหลักสอง อำเภอบ้านแพ้ว สมุทรสาคร แต่ที่ปลูกมากและเป็นหลักคือมะพร้าวน้ำหอมมีอยู่พันกว่าต้น นอกนั้นมีมะเฟือง ขนุน ละมุด แล้วท่านยังมีพันธุ์ทุเรียนแขกอินโดฯ จำหน่ายมาได้ราวปีเศษ

หรือไม่นานนี้ท่านได้พัฒนาพันธุ์มะม่วงเวียดนามที่มีชื่อว่าก๊ากฮัวล็อคได้สำเร็จขณะนี้มีผลผลิตบ้างแล้ว แต่ยังไม่มาก มีอยู่ประมาณ 50 ต้น คุณลุงบอกว่ารสชาติต้องรับประทานช่วงสุกจึงอร่อย เนื้อไม่มีเสี้ยน ใช้ช้อนตักทานได้สบาย ถือเป็นมะม่วงชั้นหนึ่งของเวียดนาม ขนาดใหญ่กว่ามะม่วงอกร่องเล็กน้อย ลักษณะผลทรงป้อมไม่ยาวเหมือนฟ้าลั่น

ล่าสุดได้นำกิ่งมะม่วงจากประเทศอินโดนีเซียมาเสียบยอด มะม่วงชนิดนี้มีชื่อแปลเป็นไทยว่า “น้ำผึ้งในวัง” ซึ่งพันธุ์นี้ถือว่าแปลกและน่าสนใจตรงที่ เมื่อออกลูกจะเป็นพวงจำนวน 20 กว่าผล มีผลขนาดกลาง ถือเป็นพันธุ์ที่มีลูกดกและออกผลทั้งปี

นอกจากความเป็นสวนที่มีพันธุ์ไม้ผลทั้งไทยและเทศ อีกด้านที่ติดกันกับสวนแลเห็นป้ายจำหน่ายเห็ดสดและก้อนเห็ดโคนญี่ปุ่นติดไว้ด้านหน้า ถามไป-มาได้ความว่าเป็นงานเล็กๆของลูกชายสองคน แต่เท่าที่ดูจากภายนอกแล้วมีโรงเรือนจำนวน 3-4 หลัง โรงทำก้อนเห็ดขนาดใหญ่ งานนี้คงไม่เล็กตามที่คุณลุงนรินทร์กล่าว

ได้พูดคุยกับทายาทของคุณลุงนรินทร์สองท่าน ที่เป็นพี่น้องอายุห่างกันเพียงปีเดียว เกี่ยวกับธุรกิจการผลิตเห็ดโคนญี่ปุ่นคือ คุณพนมกร วัฒนะอนุรักษ์ ผู้เป็นพี่ชาย โทรศัพท์ 081-1992209 เรียนจบจากวิทยาลัยเพาะช่าง อายุ 41 ปี และคุณวิวัฒน์ วัฒนะอนุรักษ์ น้องชาย โทรศัพท์ 081-4456588 จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อายุ 40 ปี ทั้งคู่พักอยู่ที่บ้านเลขที่ 41 ตำบลหลักสอง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เป็นผืนเดียวกับบ้านคุณลุงนรินทร์

สำรวจตลาด ราคาไม่ตก

ต้นทุนคงที่ หมดปัญหาแรงงาน

คุณพนมกร บอกว่า ทำเห็ดโคนญี่ปุ่นมาประมาณ 2 ปี ก่อนหน้านี้เขาและน้องชายทำงานที่เดียวกันงานที่ทำเกี่ยวกับลิขสิทธิ์หนังของค่ายหนังชื่อดัง ทำมาประมาณ 5 ปี

จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจในครั้งนี้คุณวิวัฒน์เผยว่าได้สำรวจตลาดไว้ก่อนล่วงหน้า รวมไปถึงศึกษาเรื่องราคาที่ผ่านมาเห็นว่ามีราคาดีและราคาไม่ตก ไม่แกว่ง พอมาดูเรื่องผลิตก็ไม่มีความสลับซับซ้อน วัตถุดิบเครื่องมือหรือแรงงานก็สามารถหาได้ง่าย

“ที่สนใจทำเห็ดโดยเฉพาะเห็ดโคนญี่ปุ่นเพราะเป็นเห็ดที่มีราคาขายที่น่าสนใจ เพราะเป็นราคายืนแน่นอนไม่แกว่งที่ 120 บาท แบบไม่ตัดแต่ง คือเก็บหน้าฟาร์มให้ลูกค้าใส่เป็นถุงๆละหนึ่งกิโลกรัม แต่หากมีการตัดแต่งให้ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 140 บาท จะเห็นว่าราคาของเห็ดชนิดนี้โดนใจคนทำมาก และเป็นราคาที่ดีกว่าเห็ดชนิดอื่นที่มีราคาแกว่งไปมาไม่แน่นอน และอายุการเก็บสั้น อีกเหตุผลที่ลงมือทำแล้วน่าสนใจคือใช้แรงงานน้อย ไม่พึ่งพาสารเคมี รวมไปถึงกระแสการบริโภคเห็ดมาแรง คนใส่ใจเรื่องสุขภาพ ดังนั้นจึงปรึกษากับพี่ชายแล้วเริ่มลุยกันเลย”

ตั้งใจทำแค่เห็ดก้อน

ภายหลังอบรม ตัดสินใจทำครบวงจร

ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้ไปเรียนการเพาะเห็ดมาจากอาจารย์ชัยชาญ ที่นครชัยศรี ซึ่งท่านผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเห็ดโคนญี่ปุ่น 1 ใน 9 ของเซียนเห็ด และมีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปี

“ครั้งแรกตั้งใจว่าจะซื้อแค่ก้อนเชื้อมาอย่างเดียว แต่ภายหลังที่มีการศึกษาอย่างละเอียดในเชิงลึกรวมถึงไปอบรมมาด้วย จึงพบว่าเป็นอะไรที่ไม่ยุ่งยากส่วนหนึ่งเป็นความรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้านตั้งแต่ดั้งเดิม จึงตัดสินใจทำทั้งระบบทุกกระบวนการจนถึงการขายดอกเห็ดเลยดีกว่า แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ลงทุนทำให้เป็นระบบ”

ตอนแรกที่ทำมีเพียงกองขี้เลื่อยอย่างเดียว ความที่เป็นมือใหม่อ่อนประสบการณ์จึงไม่รู้ว่าควรจะพักขี้เลื่อยไว้ก่อนสัก 20 วัน

วัตถุดิบที่ใช้เป็นขี้เลื่อยยางพารา ภูไมท์ ปูนขาว ดีเกลือ กากน้ำตาล เป็นต้น สำหรับขี้เลื่อยสั่งโดยตรงมาจากที่ยะลา ส่วนอุปกรณ์ตัวอื่นสามารถหาได้ไม่ยากในตลาดขายอุปกรณ์เห็ด

คุณวิวัฒน์ บอกว่าในอนาคตหากธุรกิจมีความก้าวหน้าไปอีกระดับ คงมีการสั่งวัตถุดิบมาเก็บไว้เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าขนส่ง อีกทั้งยังสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เป็นสมาชิกทั้งเก่าและใหม่

ยิ่งผลิต ลูกค้ายิ่งเพิ่ม

เน้นผลิตตามจำนวนสั่งซื้อเท่านั้น

คุณพนมกรเผยว่า ขณะนี้กำลังการผลิตเห็ดโคนญี่ปุ่นเต็มที่ตกวันละ 3 พันก้อน และเคยผลิตได้แบบจัดหนักถึงวันละ 5 พันก้อนในช่วงฤดูฝนต่อหนาว เนื่องจากเกี่ยวกับอากาศ เพราะถ้าเป็นช่วงร้อนจะเสี่ยงต่อการเสียหายสูง

ยอดที่ลูกค้าสั่งซื้อหากเป็นเห็ดก้อนมีครั้งละไม่ต่ำกว่า 5 พันก้อน และเคยมียอดสั่งสูงสุดเป็นหลายหมื่น กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ละแวกแถวนี้ ส่วนที่ไกลก็มีเช่นที่เพชรบุรีหรือที่หัวหิน

เอาใจใส่เรื่องอุณหภูมิ

อย่าละเลย มิฉะนั้นจะเสียหาย

ปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นตัวแปรต่อการผลิตเห็ดเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องอุณหภูมิและความชื้น คุณคุณพนมกร กล่าวว่ามีการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อเป็นการตรวจวัดให้เหมาะสมกับสภาพอยู่ตลอดเวลา เขาอธิบายว่าถ้ามีความชื้นน้อยจะต้องปล่อยน้ำช่วยด้วยระบบสปริงเกอร์ หากวันใดมีฝนตกมากและเผอิญอยู่ช่วงเปิดดอกก็จะต้องงดน้ำทันที

“ก่อนที่จะเปิดดอกเพื่อให้ลูกค้า ทางเราจะจัดการเขี่ยหน้าออกก่อน จากนั้นมีการให้น้ำทั้งเช้า-เย็น แล้วจะใช้ระบบสปริงเกอร์เพื่อควบคุมอุณหภูมิเป็นเวลา 4 วัน ระหว่างนั้นต้องคอยหมั่นดูอุณหภูมิภายนอกด้วยว่ามีสภาพเป็นอย่างไร หากมีฝนมาก มีความชื้นสูงจะหยุดให้น้ำ จากนั้นไม่เกิน 10 วัน ที่ก้อนจะออกลักษณะเป็นฝ้าขาวรอบๆ”

คุณวิวัฒน์แนะว่า สำหรับผู้ที่เริ่มทำใหม่ควรซื้อก้อนไปทดลองเปิดดูก่อนสัก 5 พันก้อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการทดสอบความพร้อมของตัวเองว่าหากทำจริงจะไหวหรือไม่ แล้วจะสู้ต่อไปหรือไม่ แล้วยังบอกต่ออีกว่าความจริงการทำเห็ดสมัยใหม่มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากพอมีทุนรอนก็อาจใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อเป็นการลดการใช้แรงงานให้น้อยที่สุด เขาบอกว่าธุรกิจแบบนี้อาจทำขนาดไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ ขณะเดียวกันอาจทำงานอย่างอื่นที่หารายได้ควบคู่ไปด้วย

จำหน่ายทั้งแบบก้อนและดอกเห็ด

เห็ดโคนญี่ปุ่นมีจำหน่ายทั้งแบบเป็นก้อนและดอกเห็ด การผลิตแบบเป็นก้อนจะขายดีกว่าแบบเป็นดอก ราคาจำหน่ายดอกเห็ดหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 120 บาท และหากขายปลีกคิดกิโลกรัมละ 180 บาทส่วนรายได้ที่ขายดอกจะมีถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน ด้านราคาจำหน่ายก้อนเห็ดกำหนดราคาก้อนละ 8-9บาท เห็ดหูหนูก้อนละ 7 บาท เห็ดนางฟ้าก้อนละ 6 บาท

การขยับตัวของราคาเห็ดโคนญี่ปุ่นนั้นคุณพนมกรเผยว่าเป็นราคาที่มีการกำหนดไว้ทั้งปี ส่วนมากเป็นราคาคงที่ นอกจากเกิดเหตุการณ์สำคัญบางอย่างขึ้นเท่านั้น การคงที่ของราคาเห็ดโคนญี่ปุ่นถือเป็นข้อดีในการควบคุมต้นทุน ซึ่งต่างกับเห็ดชนิดอื่นที่ราคาแกว่งไป-มา จนทำให้ยากแก่การควบคุมค่าใช้จ่าย

การจำหน่ายเห็ดโคนญี่ปุ่นถือเป็นตัวหลักของรายได้ ส่วนเห็ดชนิดอื่นอาจเป็นตัวเสริมเข้ามาในบางจังหวะเท่านั้น

พื้นที่จะไม่ใหญ่

แต่โรงเรือนได้ตามมาตรฐาน

สำหรับโรงเรือนที่ทำมีสองแบบ ตอนแรกที่เริ่มทำจะเป็นโรงเรือนแบที่เรียกว่าตัวเอ แล้วต่อมาพบว่าโรงเรือนแบบตัวเอ.นี้เก็บก้อนเห็ดลำบาก ถ้าหากเก็บไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดความเสียหายตามมา จึงปรับแก้ไขโรงเอนรุ่นใหม่ให้เป็นแบบแนวตั้งหรือแบบคอนโด

ขนาดโรงเรือนตามแบบมาตรฐานนั้นคุณพนมกรบอกว่าอยู่ที่ 5คูณ 8 เมตร แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่ในปัจจุบันมีขนาดเล็ก และต้องการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เลยมีการปรับขนาดโรงเรือนให้มีความเหมาะสมเหลือประมาณ 4.5 คูณ 8 เมตร

เล็กหรือใหญ่ อยู่ที่การเอาใจใส่

สร้างรายได้ดี ไม่นานคืนทุน

ถ้าถามถึงการลงทุนคุณพนมกรบอกว่าเรื่องนี้อยู่ที่ตัวเรา เพราะสามารถทำได้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ซึ่งขนาดเล็กจะทำให้อยู่บนระบบที่ได้มาตรฐาน เพียงแต่กำลังการผลิตอาจต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทำได้ทั้งผู้มีทุนน้อยและทุนมาก

“หากคุณซื้อจากหน้าฟาร์มไปสัก 8 บาท ใช้เวลา 5 เดือนก็ได้ทุนคืนแล้ว จากนั้นเป็นเรื่องของกำไร ทั้งหมดฟังดูง่าย แต่ความจริงเจ้าของต้องเอาใจใส่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย มิเช่นนั้นคงไม่เกิดรายได้อย่างที่บอกไปแน่”

พ่อค้าที่มารับซื้อเห็ดทุกวันคือคำตอบที่บอกถึงคุณภาพเห็ด คุณวิวัฒน์กล่าวว่าถ้าสินค้าไม่ดีจริง พ่อค้าคนเดิมคงไม่กลับมาหาเราอีก ดังนั้นการการันตีของคนมารับซื้อคือเครื่องยืนยันถึงคุณภาพของเห็ดที่ทำอยู่ และทุกวันนี้มีแต่คนรับซื้อโทรศัพท์มาทวงสินค้าตลอด

ถือแม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 2 ปี แต่ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นที่พี่น้องคู่นี้ต้องเรียนรู้ ศึกษาปรับปรุงแก้ไข ให้มีความเหมาะสมและดีตามหลักวิธีที่ถูกต้อง แต่ทุกวันนี้เขาทั้งสองทำไปทีละขั้นตอนก่อน แต่ว่าทุกขั้นตอนที่ดำเนินไปจะอยู่บนรากฐานของความถูกต้องตามหลักวิชาการ

เล็งอนาคต

ส่งขายต่างประเทศ

“คิดว่าอีกไม่นานคงจะเริ่มปรับหลายอย่างได้ตามมาตรฐาน เพราะต้องรองรับกับอัตราการขยายตัวของยอดการสั่งซื้อ ปัจจุบันมีโรงเปิดดอกอยู่จำนวน 4 หลังและมีโครงการจะขยายเพิ่มอีก เพราะขณะนี้มีลูกค้าที่สั่งยอดเข้ามามาก ผลิตไม่ทัน”

ส่วนแผนอนาคตทั้งคู่มีการวางไว้ว่าอาจจะส่งไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัมพูชา และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังมองว่าอาจจะไปปักหลักทำเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายที่อินโดนีเซียเพราะที่นั่นมีวัตถุดิบที่ใช้เหมือนในบ้านเราทุกอย่าง ส่วนตลาดเห็ดที่อินโดนีเซียมีเพียงเห็ดบางประเทศที่สั่งนำเข้า ดังนั้นเมื่อมองดูช่องทางแล้วน่าจะเจาะตลาดได้ไม่ยาก

ถึงแม้ทั้งสองคนพี่น้องจะเป็นลูกชาวสวนผลไม้ และมีทำเลที่เอื้อในการทำเกี่ยวกับเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในเชิงต้นทุน แต่การนำประสบการณ์จากที่เคยทำงานแบบต้องผจญกับความเสี่ยงหลายอย่างในอดีตจะเป็นครูสอนชั้นเชิงกลยุทธ์ให้คอยระมัดระวัง และเพิ่มความรอบคอบมากยิ่งขึ้น

สำหรับท่านที่สนใจต้องการสั่งซื้อก้อนเห็ดหรือเห็ดสด สด จากฟาร์มสองพี่น้องตระกูลวัฒนะอนุรักษ์ เชิญโทรศัพท์ติดต่อได้ตามหมายเลขด้านบน แล้วพี่น้องคู่นี้ยังบอกอีกว่าถ้าหากสนใจเรื่องการเพาะเห็ดเป็นอาชีพ ยินดีให้คำแนะนำเต็มที่เพราะต้องการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ อนึ่งหากมีท่านใดสนใจกิ่งพันธุ์ไม้ผลของคุณนรินทร์สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขเดียวกัน

จำได้ว่าเมื่อประมาณ ปี 2508 ที่เป็นระยะหยุดเทอมกลาง ปี 2 ของผม ได้ร่วมกลุ่มทัวร์เชียงใหม่ ที่กรรมการของคณะเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ในสมัยนั้น เป็นคนจัด จำได้ว่าคนละ 300 บาท ไปกลับโดยรถไฟ เป็นการไปเชียงใหม่ครั้งแรกและเดินทางไกลที่ไม่มีพ่อแม่ ครั้งแรกที่ขอทางบ้านไป และเป็นการที่เมาเป็นครั้งแรก บนรถไฟด้วย เนื่องจากไปดื่มที่ตู้เสบียง ซึ่งต่อมา เวลาขึ้นรถไฟครั้งใด ก็จะต้องไปนั่งตู้เสบียงเสมอๆ

ขณะที่นอนเตียงบนของตู้นอน ปวดหัวมากเพราะแฮ้งโอเวอร์ ได้แต่นอนซึมไปเรื่อยๆ คงจะเข้าเวลาย่ำรุ่ง หรือเลยเที่ยงคืนมาแล้ว กลุ่มนิสิตที่ไปด้วยกันที่ยังไม่นอน ร้องเพลง นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำนี้จะนอนไหนเอย ซึ่งเข้ากับบรรยากาศประทับใจจนทุกวันนี้

เมื่อถึงเชียงใหม่แล้ว จำได้ว่าไปพักโรงแรมแถวถนนท่าแพ เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้นบน มีเตียง กางมุ้งนอน และห้องน้ำเป็นแบบรวมใช้ด้วยกัน อยู่ข้างนอก มีระเบียงโปร่งด้านหน้าโรงแรมให้นั่งเล่น มองออกไปที่ถนนได้ชัดเจน

วันแรกที่ถึงเชียงใหม่ คณะได้พาไปร่วมชมและเตะฟุตบอลสามัคคีกับคณะแพทย์ เชียงใหม่ ซึ่งคณะของเราที่เดินทางไป แพ้หลุดลุ่ย เหมือนต้อนหมู เพราะคณะที่เดินทางไป ไม่ได้เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย เพียงแค่เล่นกันได้ ไม่เคยซ้อมทีม และสะบักสะบอมกับการเดินทาง ทั้งเมา ทั้งเพลียกันถ้วนหน้า ไม่มีใครคิดถึงการเตะฟุตบอลมากนัก เพียงแต่อยากมาเที่ยวเชียงใหม่เท่านั้น ผมก็ร่วมเตะกับเขาด้วย

ในสมัยนั้น ได้ไปเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นจุดท่องเที่ยวอยู่ เช่น น้ำตกห้วยแก้ว น้ำตกแม่กลาง ถ้ำเชียงดาว ดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และดอยปุย เมื่อเที่ยวตามรายการแล้ว ยังได้ไปเดินซื้อของที่ร้านมิ่งฟ้า และร้านกรุงเทพ ซึ่งเขาได้จัดให้มีคนสวยๆ อ่อนหวาน คอยต้อนรับ ทำให้หัวใจหนุ่มๆ อ่อนระทวย ต่างก็ซื้อกันเต็มพิกัด ซึ่งนอกจากที่เชียงใหม่แล้ว ยังมีโอกาสได้ไปป่าซาง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องสาวงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไปซื้อของตามที่ต่างๆ แล้ว สิ่งที่หนุ่มๆ ต้องการ เพราะเห็นความสวย ความอ่อนหวานของสาวเชียงใหม่แล้ว ก็อยากจะไปเยือนกำแพงดิน ถิ่นของคนหนุ่ม ที่นั่น ก็ได้โกยเงินของพวกเราไปได้มากพอสมควร

พวกเราจากเชียงใหม่ด้วยความประทับใจ และมีความใฝ่ฝันอยากจะไปอยู่ที่นั่น เพราะชอบผู้คนโดยเฉพาะสาวๆ และภาษาที่ไพเราะยิ่งนัก

เมื่อจบการศึกษา ผมตั้งใจอยากจะเป็นข้าราชการ และเป็นนักเกษตร เหมือนกับที่ได้เรียนมา แต่ต้องมาเป็นลูกจ้างในปีแรก ไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ เพราะผมจบช้ากว่าเพื่อน เรียนภาคฤดูร้อนต่ออีก 1 ภาค จึงจะสมบูรณ์ แล้วมีวันที่เปิดสอบในช่วงนั้น อยู่ครั้งเดียวที่ตรงกับวันที่นัดปลดทหาร ผมตัดสินใจไปปลดทหารก่อน เพราะอุตส่าห์เรียนรักษาดินแดนมา อย่างลุ่มๆ ดอนๆ และเนื่องจากคิดว่า ราชการคงจะเปิดสอบบ่อยๆ แต่ปลดทหารเปิดปีละครั้ง อยากให้หมดภาระไปก่อน ปรากฏว่าตัดสินใจผิด ไม่มีการเปิดสอบบรรจุอีกเลย แต่ในช่วงที่เป็นลูกจ้างนั้น ได้มีโอกาสมาทำงานประจำที่ศูนย์กลุ่มเกษตรกร ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 20 วัน ซึ่งดีใจมากๆ ที่ผู้ใหญ่ให้มา

เพื่อนร่วมงานอีกคนที่มาด้วยกันคือ จรัส โสภารินทร์ ซึ่งจากพวกเราไปแล้ว เหตุเกิดในขณะที่เป็นเกษตรอำเภออยู่แม่ฮ่องสอน ที่มีอยู่วันหนึ่ง ขับรถกลับบ้านที่เชียงใหม่ ถูกโจรปล้น และถูกยิงเสียชีวิต ราชการต้องเสียคนดีไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ทำงานที่ดอยสะเก็ดนั้น ได้ตั้งใจทำงาน ตามโอกาส แต่ไม่ค่อยเป็นงานในชนบทมากนัก เพราะทำงานเป็นปีแรกยังไม่มีประสบการณ์ แต่เมื่อถึงตอนเย็นแล้ว กินข้าวเย็น ดื่มทุกวัน บางวันติดลมก็เข้าเชียงใหม่มาเที่ยวต่ออีก ถนนในสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรังแคบๆ แต่สุราก็พาไปและกลับ อย่างเชี่ยวชาญ และเช่นเคย ที่ได้พบคนที่อ่อนหวาน สวยงาม ที่เชียงใหม่ ถึงแม้จะไม่สามารถจีบได้เลย แต่ก็ชอบคนเชียงใหม่มากๆ

เมื่อสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้แล้วใน ปี 2512 หลังจากทำงานเป็นลูกจ้างมาประมาณ 1 ปี ตอนนั้น ที่เชียงใหม่มีตำแหน่งว่างที่จะไปประจำอยู่ได้ แต่ท่านอธิบดีท่านจับผมไปอยู่ฉะเชิงเทรา เพราะผมมีภูมิลำเนาใกล้เคียงแถวนั้น เลยต้องวนเวียนอยู่ทั่วทางแถบภาคตะวันออก ไม่มีวาสนาได้มาอยู่เชียงใหม่ เหมือนที่ใฝ่ฝัน คงเป็นดวงชะตาที่ในชีวิตไม่ค่อยมีอะไรสมหวัง ฉะนั้น เชียงใหม่ถือเป็นความประทับใจที่มีโอกาสเมื่อไร ก็จะต้องไปที่นั่น เป็นประจำเสมอๆ

ต่อมา ดวงชะตาได้ลิขิตให้ได้ย้ายมาทำงานส่งเสริมพืชน้ำมัน ซึ่งได้มีโอกาสได้ไปเชียงใหม่เสมอๆ เพราะเป็นแหล่งปลูกถั่วเหลือง และเป็นศูนย์กลางของพืชน้ำมันที่รับผิดชอบ จนคุ้นเคยกับแหล่ง ถนนหนทางมากๆ เป็นเวลาหลายๆ ปี แต่ก็ไม่ได้คนเชียงใหม่เป็นคู่ชีวิต เพราะดวงชะตาเป็นเนื้อคู่กับสาวภาคอื่น

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ กลุ่มเพื่อนๆ ที่เชียงใหม่มีการพบปะ กินข้าวเที่ยงกัน ซึ่งกลุ่มเขาจะพบกันเป็นประจำทุกเดือน โดยพบกัน วันที่ 24 ของทุกเดือน ตรงกับรุ่นที่เราจบจากเกษตรมา คือรุ่นที่ 24 พอดี เดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ พอจะเดินทางมาได้ เป็นการสร้างความแปลกใจให้กับเพื่อนๆ ผม เดินทางวันที่ 23 และกลับวันที่ 25 พฤษภาคม ได้อยู่เชียงใหม่เพียง 2 คืนเท่านั้น

เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ว่าจะออกจากบ้านตอนตี 4 เพื่อที่จะขับรถแบบสบายๆ ยังไม่ร้อน แต่ได้ออกจริงๆ ตอนตี 5 ครึ่ง ซึ่งก็ยังดี มีอยู่ 2 ครั้งที่คิดว่าจะออกตี 4 แต่ออกจริงๆ บ่าย 2 โมง จากบ้านที่อยู่แถวเกษตร บางเขน ครั้งแรก ออกบ่าย 2 ไปทางพหลโยธิน พอถึง 4 โมงเย็น เพิ่งถึง สนามบินดอนเมือง รถติดค่อยๆ เลื่อน ครั้งต่อไปที่ออกบ่าย 2 ก็คิดว่าจะไปขึ้นทางด่วนที่งามวงศ์วาน พอถึงบ่าย 4 ยังอยู่ข้างเกษตร ซึ่งต้องเปลี่ยนใจหันกลับไปถนนรามอินทรา เพื่อจะไปกาญจนาภิเษกแทน ทั้ง 2 ครั้ง จำได้ว่าถึงเชียงใหม่ไม่ต่ำกว่า ตี 2 และเป็นอันตราย เพราะตอนดึกๆ แม้รถจะว่างก็ดี แต่เราขับไปหลับไป ไม่เคลื่อนเท่าไร อันตรายมาก และถนนที่รถว่างๆ นั้น เราเห็นไม่สุดถนน ขับเร็วๆ ไม่ทราบว่าข้างหน้ามีโค้งซ้ายหรือขวา เกรงว่าจะเลี้ยวไม่ทันโค้ง ฉะนั้น กลางคืนไปได้ประมาณ 80 หรือ 100 ถือว่าเร็วสุด

ครั้งนี้ ออกตี 5 ครึ่ง จึงแน่ใจว่ารถไม่ติด จึงวิ่งทางตรง ไปพหลโยธิน ไปเรื่อยๆ อากาศเป็นแบบสบายๆ วางแผนจะไปกินแมคโดนัลด์ ที่ปั๊มการปิโตรเลียม เคยเห็นว่าอยู่แถวบางปะอิน ข้ามสะพานแยกไปอยุธยาก็คงจะถึงแล้ว เมื่อไปถึงจริงๆ ผ่านปั๊มไป 3 ปั๊มแล้ว ยังไม่เห็นร้านแมคโดนัลด์ แต่ต้องแวะปั๊มไปก่อน เพื่อเข้าห้องน้ำ ทนไม่ไหว จึงได้กินข้าวแกงจนเสร็จ แล้วเดินทางต่อ เห็นแมคโดนัลด์อยู่ปั๊มต่อไป เลยแวะที่แมคโดนัลด์ กินอีกครั้งจนอิ่มมากๆ จึงได้เดินทางต่อ

ความจริง เราไม่ค่อยได้แวะแมคโดนัลด์ เพราะมีร้านอาหารประจำ ที่ปั๊ม ปตท.สิงห์บุรี ชื่อทองพันชั่ง รู้สึกว่าเขามีมาตรฐานและมีปลาแดดเดียว เป็นแพ็กใส่ตู้เย็นไว้ขาย ซื้อเป็นของฝากบ้าง หรือไปทอดเองบ้าง กินกับข้าวเหนียว น้ำพริกหนุ่มอร่อยมากๆ เคยซื้อข้าวราดห่อหมกที่ร้านทองพันชั่งนี้ ใส่กล่องแล้วไปจอดรถที่ บิ๊กซี หรือโลตัส ที่จังหวัดตาก เพื่อกินในรถจนเสร็จ แล้วไปเข้าห้องน้ำข้างในห้าง เป็นการพักรถไปในตัว

วันนั้นไม่ได้มีรถติดหนาแน่นมากนัก วิ่งได้แบบสบายๆ ประมาณ 10 ชั่วโมงถึง เพราะขับไปแวะไป และพยายามรักษาความเร็วไว้ระหว่าง 100-120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เพราะไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ ที่ถูกเรียกบ่อยๆ เพราะบางครั้ง เผลอขับเร็วเกิน

ในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลที่รถมักจะติด เกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ ได้ 3 ประการ คือ ประการที่ 1 อุบัติเหตุ รถชนกัน หรือรถเสีย จอดบนไหล่ถนน ทำให้เกิดคอขวด รถที่วิ่งมาหลายๆ แถว ต้องลดแถวลง ประการที่ 2 คือ ไฟจราจร ที่มีอยู่หลายจุด ทำให้รถติดยาวและเมื่อไฟเขียวค่อยๆ เคลื่อนออก ตามกำลังของรถ และประการที่ 3 คือ รถรอคิวที่จะเข้าปั๊ม ปตท. เป็นแถวยาวออกมานอกถนน ซึ่งผมก็งง ว่ารอคิวขนาดนั้น เสียเวลามาก ทำไมไม่กระจายไปเข้าปั๊มอื่นๆ บ้าง เรื่องนี้สำคัญมาก ที่ทางการควรเน้นให้ปั๊มน้ำมันอื่นๆ จัดบริการให้รถเข้าพัก เหมือนกับ ปตท.บ้าง

สิ่งที่เกิดขึ้นประจำในขณะที่รถติดต่อแถวกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในเมือง นอกเมือง หรือที่ไหนของประเทศไทย จะต้องมีรถวิ่งออกนอกแถวมาแทรกเข้าข้างหน้าแถว และเมื่อมีรถออกมา 1 คัน ก็จะมีคันที่ 2, 3 และคันต่อๆ ตามมา เป็นการเพิ่มจำนวนแถว ทำให้ถนนที่เป็นทางผ่านทางตรง แคบเข้าไปอีก ถึงขนาด รถต้องติดทุกแถว ค่อยๆ เลื่อนผ่านไปทีละคัน ทีละคัน เรื่องนี้เป็นเอกลักษณ์ น่าจะเก็บไว้โชว์ชาวต่างประเทศ ว่าไม่มีที่ไหนละเมิดกฎ หรือละเมิดสิทธิ์คนอื่นได้เก่งเท่าการขับรถในเมืองไทยนี้

เมื่อขับรถเลยกำแพงเพชรไปสักพักใหญ่ๆ จะมีแผงลอยจำหน่ายมะม่วงอยู่ ได้แวะซื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะอกร่อง เพราะของเขาแก่จัด เลยทำให้หวาน กินกับข้าวเหนียวได้ดี เมื่อขับรถไปถึงอำเภอวังเจ้า เลยไปอีกเล็กน้อยจะเห็นแผงขายเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ ตู้ โต๊ะราคาถูก สามารถซื้อบรรทุกไปได้ ถ้ารถมีที่ว่างมากพอ แต่ถ้าไม่มีที่ว่าง ทางร้านมีบริการส่งถึงที่ด้วย สำหรับคุณภาพนั้นก็ต้องเป็นไปตามราคาด้วย ต้องเลือกให้ดีๆ หน่อย

เมื่อถึงเชียงใหม่แล้ว การที่ผู้ใดจะไปเที่ยวไหน แล้วแต่อัธยาศัย ตอนนี้มีที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ได้ยินมาไม่นาน เช่น ผาม่อนแจ่ม ซึ่งขึ้นเหนือไปทางแม่ริม หรืออุทยานผาช่อ ที่อยู่ทางใต้ ผ่านอำเภอแม่วางไป แต่ผมไม่ค่อยได้ไปที่ไหน อยู่ภายในเมืองตามประสาคนสูงอายุ

ปรารถนาที่อยากจะมาอยู่เชียงใหม่ให้สงบๆ กรุงเทพฯ คือบ้านเราที่อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ตอนนี้ ที่บ้านกรุงเทพฯ มียุง น้ำท่วม และรถติดอย่างมากๆ ไปไหนก็ไม่สะดวก จึงฝันไว้ว่าสักวันหนึ่ง คงได้มาอยู่เชียงใหม่ให้นานๆ

ในยุคสมัยของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี จึงไม่ค่อยมั่นใจว่าอุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษอย่าง “ไม้กวาด” จะยังคงมีเหลือใช้กันสักกี่ครัวเรือน แต่อย่างไรก็ตาม อาชีพผลิตไม้กวาดก็ยังพบเจอตามท้องถิ่นต่างๆ อยู่ เพียงแต่อาจต้องปรับวิธีและวัสดุให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงไปของยุคสมัย

เช่นเดียวกับชาวบ้านที่เขาค้อ อย่าง คุณประมวล อินทร์มูล บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 2 ตำบลริมสีม่วง อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดร้านขายของชำ และอาหารตามสั่ง พร้อมกับใช้เวลาว่างผลิตไม้กวาดและงานจักสานต่างๆ วางขายหน้าร้าน

คุณประมวล บอกว่า ก้านไม้กวาดที่นำมาใช้ผลิตซื้อมาจากชาวบ้านที่ไปบนเขาค้อเก็บมาขาย โดยจะสั่งว่าต้องการขนาดความยาวเท่าไร อย่างเช่น 20-30 ฟุต ซื้อมาราคาฟุตละ 50 บาท ทั้งนี้ เหตุผลที่ขนาดความยาวของก้านไม้กวาดต่างกัน เนื่องจากเวลานำมามัดรวมกันเป็นตัวไม้กวาดแล้วส่วนที่เป็นปลายมีลักษณะโค้งมนจึงไม่ต้องตัดให้เสียเปล่า อีกทั้งเพื่อให้สะดวกต่อการใช้กวาดสิ่งสกปรก แล้วไม้กวาดแต่ละอันใช้จำนวนดอกไม้กวาดที่มัดรวมกัน 6-7 ลูก ต่อมัด