ห่อแล้วตัดแต่ง ยิ่งตัด ยิ่งดกเมื่ออายุต้นประมาณ 7-8 เดือนมีดอก

จะตัดทิ้งก่อน เพราะหากปล่อยไว้เป็นผลอาจทำให้ต้นฝรั่งที่ยังมีขนาดเล็กอยู่ต้องแบกรับน้ำหนัก แล้วทำให้กิ่ง ก้าน ฉีกขาด อีกทั้งยังอาจทำให้ต้นโทรมเร็ว ควรรอให้ต้นมีอายุประมาณ 1 ปี จึงเริ่มเก็บดอก เพราะเป็นช่วงที่ต้นและกิ่ง ก้าน อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งจำนวนที่เหมาะคือ 3-7 ผล แต่หากเจอผลที่สวยสมบูรณ์มาก จะต้องรีบห่อแล้วนำไม้มาค้ำยันไว้

ฝรั่งเริ่มห่อผลเมื่อมีขนาดเท่ามะนาว ใช้กระดาษที่ห่อผลไม้โดยเฉพาะเท่านั้น เพื่อให้ผลมีความสวยและปลอดภัย หลังจากห่อผลแล้วต้องหมั่นรดน้ำทุกสัปดาห์ ไปพร้อมกับการฉีดพ่นยา ใส่สารชีวภาพ ปุ๋ยน้ำหมัก ไม่ควรปล่อยให้ขาดน้ำ ขณะเดียวกันทุกเดือนต้องใส่ปุ๋ยคอกที่หมักไว้ ต้นละ 20 ลิตร ควรใส่ระหว่างรดน้ำเพื่อคลุกเคล้าปุ๋ยคอกไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การให้ปุ๋ยคอกหมักอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ต้นฝรั่งสะสมอาหาร ทำให้เพิ่มคุณภาพ มีความหวาน กรอบ

“ระหว่างห่อต้องตัดแต่งกิ่งใบไปพร้อมกัน แล้วควรทำไปตลอดจนเก็บผลผลิต ทั้งนี้ยิ่งตัดแต่งกิ่งบ่อยเท่าไร จะทำให้ได้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง คือห่อแล้วตัดแต่งหรือเก็บแล้วตัดแต่ง แต่การตัดแต่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์มาก มิใช่จะตัดตามใจ เพราะอาจเกิดผลเสียตามมา”

อีกทั้งต้องสังเกตดูความสมบูรณ์แต่ละผล หากพบผลใดไม่สมบูรณ์ เช่น ผิวไม่สวย เป็นสีแดงเพราะโดนแดดมากจะตัดออก แยกไว้นำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่ง ส่วนเนื้อและเปลือกที่บีบน้ำออกแล้ว นำไปทำปุ๋ยหมักต่อไป ส่วนการเกิดจุดดำบนผิวเปลือก คุณสมบัติ บอกว่า ไม่ใช่เกิดจากปัญหาโรค แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่เป็นไปตามธรรมชาติปกติของการปลูกผลไม้แบบอินทรีย์ แต่ถ้าผิวเกลี้ยงและขาวมากอาจน่ากลัวกว่า

หลังจากห่อแล้ว ประมาณ 60-70 วัน จึงเก็บผลผลิต ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาด คุณสมบัติใช้วิธีจดวันที่ไว้ในถุงห่อ ทำให้มีความแม่นยำ ผลผลิตได้เวลาเก็บที่เหมาะสม มีมาตรฐานเดียวกันทุกผล

สวนฝรั่งของครอบครัวแจ่มไทยปลูกไว้ 2 แห่ง แปลงหนึ่งปลูกเฉพาะพันธุ์แป้นอย่างเดียว จำนวน 3 ไร่ ถือเป็นสวนแรกที่สร้างเม็ดเงิน ครั้นเมื่อเห็นว่ามาถูกทาง จึงเพิ่มพื้นที่ปลูกอีกแปลง แต่คราวนี้ต้องการสร้างมูลค่าฝรั่งด้วยการทดลองปลูกแบบพันธุ์ผสม ทั้งแป้น กิมจู และสาลี่ แบบแถวเว้นแถว แล้วผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่างกิมจูกับแป้น จนทำให้ได้ผลฝรั่งลูกผสมที่ตั้งชื่อว่า แจ่มไทย ซึ่งมีผลขนาดใหญ่ มีน้ำหนักเฉลี่ย 1.8 กิโลกรัม ต่อผล แบบจัมโบ้ เนื้อฟูคล้ายแอปเปิ้ล รสหวาน กรอบ แล้วเคยเจอบางผลไม่มีเมล็ด ได้ผลผลิตมาเป็น รุ่นที่ 3 ยังไม่มั่นใจว่าจะได้มาตรฐานเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร แต่พยายามดูแลเรื่องปุ๋ยอย่างเต็มที่ จึงตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเกิดจากการปลูกด้วยปุ๋ยอินทรีย์

คุณโน้ต ลูกสาวเติบโตและคลุกคลีมากับการปลูกพืชแบบอินทรีย์ ถือเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว โดยมีหน้าที่ดูแลทางการตลาดเป็นหลัก ได้เผยถึงขั้นตอนการเก็บผลผลิตและจำหน่ายว่า ฝรั่ง เก็บทุกสัปดาห์ได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อครั้ง ประมาณ 800-1,000 กิโลกรัม ในจำนวนนี้มีผลผลิตที่ไม่สมบูรณ์ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แยกนำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่งขายต่อไป

ฝรั่งสด ขายกิโลกรัมละ 30-50 บาท หากนำไปขายเอง กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่หากนำไปขายที่กรุงเทพฯกำหนดราคากิโลกรัม 40-50 บาท ตลาดในจังหวัดมีออเดอร์เฉลี่ย รายละ 5-10 กิโลกรัม ส่วนกรุงเทพฯ มียอดส่งขายเฉลี่ย 100 กิโลกรัม ต่อเดือน ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ดูแลสุขภาพ ส่วนน้ำฝรั่งบรรจุใส่ขวด ขนาด 250 ซีซี ใช้แบรนด์ว่า “แจ่มไทย” แล้วมีแผนเร็วๆ นี้ จะปลูกฝรั่งไส้แดงเพื่อเน้นแปรรูปเป็นน้ำบรรจุขวดขาย

พร้อมเผยตัวเลขรายได้จากการขายฝรั่งต่อเดือนแบบธรรมดา ประมาณ 30,000 บาท (สามหมื่น) ทั้งนี้เคยขายมีรายได้สูงถึงเดือนละเกือบ 60,000 บาท (หกหมื่น) ในช่วงที่ขายกิโลกรัมละ 20 บาท นานถึง 4 ปี ทำให้มีรายได้ถึงปีละ 600,000 บาท (หกแสน) ปัจจุบัน มีรายได้จากการขายสัปดาห์ละกว่า 10,000 บาท (หนึ่งหมื่น)

“การปลูกฝรั่งอินทรีย์เชิงพาณิชย์ จะต้องตั้งใจทำอย่างจริงจัง ดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตปุ๋ยหมัก น้ำหมัก ตลอดจนสารป้องกันแมลง เพราะต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใส่ต้นฝรั่งตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมถึงยังต้องหมั่นตัดแต่งกิ่ง ใบ และกำจัดวัชพืชต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จึงจะช่วยทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และรวดเร็ว เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงเป้าหมายการทำอินทรีย์จะช่วยทำให้มีความประหยัดได้มาก มีความปลอดภัยต่อสุขภาพคนปลูก สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค” คุณสมบัติ กล่าว

สอบถามรายละเอียดสั่งซื้อฝรั่งอินทรีย์คุณภาพที่รับรองความปลอดภัยจากในสวนได้ที่ โทรศัพท์ 081-280-1278 098-749-3058

ขอบคุณ : สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ ที่อำนวยความสะดวกการทำรายงานครั้งนี้ ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว…ทีมงานศรแดง ได้พาไปดูแปลงปลูกข้าวโพดสวีทไวโอเล็ทของเกษตรกร รวมทั้งพูดคุยกับผู้ซื้อ ทำให้ทราบว่า งานปลูกข้าวโพด ขายผลผลิตได้เร็ว มีรายได้แน่นอน เพราะซื้อในราคาประกัน

วันต่อมา คือ วันที่ 29 มิถุนายน 2562 ณ ศูนย์การเรียนรู้ KC FARM อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีซันสวีท ครั้งที่ 4 และพิธีร่วมลงนาม (MOU) ระหว่าง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักคุณภาพ อันดับ 1 ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ดัง ตราศรแดง และ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ ดร. องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน)

ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นำนวัตกรรมระดับสากลของรถเกี่ยวข้าวโพดสู่เกษตรกรไทย และร่วมผนึกกำลังในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวและพืชผักอื่นๆ สำหรับตลาดแปรรูปพร้อมรับประทานเข้าสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยมี คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ คุณอัมพนธ์ สุริยัง ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) เป็นสักขีพยานการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างทั้ง 2 บริษัท

คุณวิชัย กล่าวว่า “อีสท์ เวสท์ ซีด เรามีวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เข้าใจความต้องการของเกษตรกรว่าต้องการอะไร เราพยายามที่จะหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และนำเสนอเทคโนโลยีเหล่านั้นสู่เกษตรกรไทย โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งนั่นก็นำไปสู่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืนนั่นเอง”

การเซ็น MOU ในครั้งนี้ มี 2 โครงการ สำคัญๆ คือ

โครงการที่ 1 โครงการร่วมมือในการนำนวัตกรรมของรถเกี่ยวข้าวโพดระดับสากลสู่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของไทย ซึ่งเราศึกษาแล้วพบว่า รถเกี่ยวข้าวโพดนี้มีประโยชน์ต่อเกษตรกรในแง่ของการประหยัดต้นทุนในการเก็บเกี่ยวทั้งทางด้านแรงงานและเวลา และที่สำคัญรถรุ่นนี้มีการพัฒนามาเพื่อใช้ในพื้นที่การเพาะปลูกขนาดเล็ก ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเพาะปลูกในประเทศไทย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า รถเกี่ยวสามารถลดต้นทุนในด้านแรงงานลงไปอย่างน้อย 50% ของต้นทุนที่ใช้ในปัจจุบัน

โครงการที่ 2 อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เราจับมือ กับ ซันสวีท นำข้าวโพดข้าวเหนียวคุณภาพสูงพร้อมรับประทานสู่ตลาดสะดวกซื้อเป็นรายแรกของไทย อย่างที่ทุกท่านคงทราบกันดีว่า ข้าวโพดพร้อมรับประทานสำเร็จรูปที่เราพบเห็นในตลาดนั้นเป็นข้าวโพดหวาน ไม่พบข้าวโพดข้าวเหนียวเลย ซึ่งทาง อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เราเป็นผู้นำอันดับ 1 ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม

โดยสายพันธุ์ที่เป็น เบอร์ 1 ในตลาดตอนนี้คือ พันธุ์สวีทไวโอเล็ท ของศรแดง ซึ่งในปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์สวีทไวโอเล็ทคิดเป็นจำนวนมากกว่า 150,000 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณฝักสดที่อยู่ในท้องตลาด จำนวน 615,000,000 ฝัก (หกร้อยสิบห้าล้านฝัก) ซึ่งตลาดปลายทางของฝักสดสายพันธุ์นี้ถูกกระจายไปตามตลาดสินค้าเกษตร และตลาดสด จนถึงตลาดนัด แผงต้มข้างทางทั่วประเทศ

แต่ในปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคมักจะเข้าไปจับจ่ายซื้อของในร้านสะดวกซื้อ บวกกับเทรนด์รักสุขภาพมาแรง คนส่วนใหญ่สนใจในเรื่องของสารอาหารที่จะได้รับ ซึ่งสวีทไวโอเล็ทข้าวโพดข้าวเหนียวหวานที่มี 2 สี ในฝักเดียวคือ สีขาวและสีม่วง ด้วยคุณประโยชน์ของข้าวโพดที่เรารู้จักกันอยู่แล้วว่ามีมากมาย บวกกับแอนโทไซยานินที่พบมากในผักสีม่วง ข้าวโพดข้าวเหนียวสวีทไวโอเล็ทจึงน่าจะตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีพืชผักอื่นๆ อีกหลายตัว เช่น ฟักทอง เป็นต้น ที่วางแผนจะนำเข้าสู่ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน เราจึงหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูป ซึ่งซันสวีทถือเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้าวโพดและพืชผักแปรรูปพร้อมรับประทานเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

อีกทั้งซันสวีทยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ อีสท์ เวสท์ ซีดฯ จึงผนึกกำลังกับซันสวีทโดยการนำร่อง ข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์สวีทไวโอเล็ทของเราที่มีความโดดเด่นในเรื่องคุณภาพฝัก เมื่อนำไปแปรรูปแล้วพบว่า คุณภาพเหมือนฝักที่พึ่งต้มมาใหม่ รสชาติยังดี หวาน เหนียว นุ่ม เข้าสู่ตลาดข้าวโพดข้าวเหนียวพร้อมรับประทาน สู่ตลาดสะดวกซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นรายแรกในไทย

ดร. องอาจ กิตติคุณชัย
ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
“ปัจจุบัน ข้าวโพดข้าวเหนียวหวานเป็นที่ต้องการด้านอาหารของตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ ซันสวีท จึงเร่งเดินหน้ารุกตลาดข้าวโพดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขาย โดยมี 3 กลยุทธ์หลัก คือ

เพิ่มช่องทางการค้าปลีก เน้นอาหารพร้อมรับประทาน
ขยายไลน์สินค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารแช่แข็ง
สร้างนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ

โดยเพิ่มกำลังผลิตและมุ่งยกระดับคุณภาพของวัตถุดิบให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า เพื่อความสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและรองรับลูกค้าใหม่ได้อย่างทั่วถึง

เนื่องจากทางบริษัทมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านคุณภาพ การบริโภคเหมาะสำหรับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จึงได้ร่วมมือกับ “อีสท์ เวสท์ ซีดฯ” ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวโพดหวานให้สูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของทั้งสองฝ่าย และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านเมล็ดพันธุ์ต่อไป”

ทำไม ซันสวีท ถึงเลือกพันธุ์ สวีทไวโอเล็ท ของ ศรแดง
เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูปรายแรกในไทย
“เริ่มจากผมไปประเทศเกาหลีมา แล้วพบว่า ตลาดเกาหลีมีความต้องการข้าวโพดข้าวเหนียว 2 สี ทีนี้ผมมาดูสายพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวในไทย พบว่า พันธุ์สวีทไวโอเล็ทของศรแดงเป็นสายพันธุ์ อันดับ 1 ในตลาดอยู่แล้ว ทางศรแดงทำมานานมาก ผมได้เคยทำการทดลองข้าวโพดข้าวเหนียวหลายๆ สายพันธุ์มาแล้ว พบว่า พันธุ์สวีทไวโอเล็ท เมื่อนำมาแปรรูปแล้วคุณภาพการกินดี เหมือนฝักที่ต้มมาใหม่ๆ

และเนื่องจาก อีสท์ เวสท์ ซีดฯ เป็นบริษัทเมล็ดพันธุ์ อันดับ 1 ที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการผลิตสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ และเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับสูงแล้ว และผนวกมากับซันสวีทที่มีเทคโนโลยีการแปรรูปที่ทันสมัยอยู่แล้ว จึงมาผสานกันได้ง่ายๆ ผมไม่ต้องใช้เวลา 3-5 ปี มาพัฒนาสายพันธุ์ ผมจึงเลือกสวีทไวเล็ทของศรแดงมาเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวแปรรูปรายแรกในประเทศไทยครับ” ดร. องอาจ บอก

คุณอิสระ พาเยี่ยมชมซุ้ม พร้อมแนะนำ
ข้าวโพดสายพันธุ์ต่างๆ ภายในซุ้มศรแดง
คุณอิสระ กล่าวว่า “ข้าวโพดพันธุ์สวีทไวโอเล็ท ที่ผมบอกพันธุ์นี้เป็นพันธุ์พระเอก เนื่องจาก ณ วันนี้ รสชาติก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคด้วย 2 เหตุผล ข้อแรก เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ดหวานปนอยู่ 25 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ข้อที่สอง คือมีเมล็ด 2 สี คือสีม่วงและสีขาว ซึ่งสีม่วงเองก็มีประโยชน์ทางด้านแอนโทไซยานินที่เป็นสารที่ต่อต้านพวกสารอนุมูลอิสระ

เหตุที่ว่า ทำไมพันธุ์นี้จึงกลับมาเป็นพระเอก เนื่องจากว่าเมื่อก่อนนี้ พันธุ์นี้ปลูกแล้วก็ขายในตลาดทั่วๆ ไป แต่ทุกวันนี้ยกระดับขึ้นมาเป็นสายพันธุ์ที่ทางซันสวีทเลือกเข้าไปแปรรูปเพื่อจัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อนะครับ เป็นข้าวโพดพร้อมรับประทานครับ พันธุ์นี้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค และที่สำคัญตอบโจทย์กลุ่มเกษตรกร เพราะว่าปลูกไปแล้วเนี่ยเกษตรกรได้ผลผลิตเฉลี่ย 1.8 ถึง 2 ตัน ซึ่งคิดเป็นรายได้ที่หักต้นทุนแล้วเขาก็จะได้อยู่ที่ 5,000 ถึง 6,000 บาท ต่อไร่ ต่อการปลูก 1 รอบ ใช้เวลา 65 วัน ถึง 70 วัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล

โดยทั่วไปเปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์ตราศรแดงจะอยู่มาตรฐานที่ 98 เปอร์เซ็นต์ นะครับ แล้วเราก็เป็นบริษัทเดียวที่มีการเคลือบเมล็ดด้วยสารเคมีที่จะช่วยลดในเรื่องของความเสียหายในระยะของการเพาะปลูก ทำให้ต้นแข็งแรงขึ้น สารที่เคลือบเข้าไปจะทำให้ระบบรากแข็งแรงขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาปลูกช่วงฤดูแล้งระบบรากของเขาก็จะหาน้ำหาอะไรได้มากขึ้น ก็จะทำให้อัตราการรอดของต้นมากขึ้นไปด้วยนะครับ”

คุณอิสระ เผย “จุดเด่นของสวีทไวโอเล็ท หนึ่ง ก็คือ เรื่องของรสชาตินะครับ สอง คือความแปลกใหม่ที่มี 2 สี สามคือเรื่องของผลผลิตที่สูง ที่สำคัญเลยที่ผมอยากจะเน้นย้ำ ข้าวโพดตัวนี้หลังจากที่ปลูกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะอยู่ในท้องตลาดที่เราเรียกกันว่า เชลไลฟ์ 3 วัน โดยที่รสชาติยังเหมือนเดิม ข้าวโพดบางพันธุ์เวลาเก็บเกี่ยวไปแล้วเขาจะเปลื่ยนเป็นแป้งแล้วมันจะแข็ง แต่ตัวนี้เขาคงสภาพ เหนียว นุ่ม หวาน ประมาณสามถึงสี่วัน ทุกวันนี้สายพันธุ์นี้ปลูกได้ทั่วภูมิภาคของประเทศไทย การันตีได้ว่าเป็นที่นิยมของตลาดด้วยยอดขายที่มากกว่า 140 ตัน ต่อปี”

คุณอิสระ กล่าวว่า “นอกจากพันธุ์ข้าวโพดที่เป็นพันธุ์สวีทไวโอเล็ทที่ออกสู่ตลาดแล้ว ก็ยังคงมีพันธุ์ใหม่ๆ ที่ออกสู่ตลาดอีก อันนี้เป็นพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวม่วง เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงล้วนเลย คุณประโยชน์ของเขาเราเน้นเรื่องของคุณค่าทางอาหาร แอนโทไซยานินที่มากกว่าในสวีทไวโอเล็ท เพราะว่าทุกเมล็ดนั้นเป็นสีม่วง

และอีกตัวที่อยากจะแนะนำ เมื่อก่อนนี้เราจะรู้จัก ข้าวโพดเทียน คือข้าวโพดที่เป็นพันธุ์ผสมเปิด มีปัญหาในเรื่องของผลผลิต แต่ว่าความเด่นของเขาเป็นเรื่องของรสชาติ ณ วันนี้เอง อีสท์ เวสท์ ซีดฯ ก็เข้ามาทำการพัฒนา ปรับปรุงให้ข้าวโพดเทียนมีความสม่ำเสมอ มีเปอร์เซ็นต์การงอกที่ดี และคงรสชาติของการเป็นข้าวโพดเทียนอยู่นะครับ ตัวนี้กำลังจะออกสู่ตลาดเป็นตัวใหม่เลย ชื่อว่า เทียนหมื่นฝัก

สงสัยไหมครับว่า ทำไม ถึงชื่อ เทียนหมื่นฝัก เพราะว่าหนึ่งเลย รสชาติ คุณภาพเหมือนข้าวโพดเทียน สองเราเป็นบริษัทแรกที่ทำขึ้นมา ใน 1 ต้น เราจะมี 2 ฝัก นะครับ โดยปกติข้าวโพดทั่วไป 1 ต้น จะมีเพียง 1 ฝัก แต่ตัวนี้ได้รับการพัฒนามา ในการปลูก 100 ต้น 80 เปอร์เซ็นต์ หรือ 80 ต้น จะได้ต้นละ 2 ฝัก ถามว่า พอได้ 2 ฝัก อะไรที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร ก็คือว่า จำนวนฝัก ผลผลิตที่มากขึ้น คูณ 2 เข้าไปเลย ปัจจุบันนี้พันธุ์นี้ยังถือได้ว่าเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวอยู่ อันดับต่อไปเราก็จะปรับปรุงให้เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวปนหวาน 25 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกับสวีทไวโอเล็ท”

คุณวิชัย กล่าว “ที่ถืออยู่นี้คือ สวีทไวโอเล็ท ซึ่งสวีทไวโอเล็ทเป็นตัวแชมเปียนของ บริษัท ศรแดง มาเป็น 10 ปีแล้วนะครับ สวีทไวโอเล็ทเป็นข้าวโพดเหนียวหวาน 2 สี สีขาว คือส่วนของข้าวโพดข้าวเหนียว ส่วนสีม่วง เป็นตัวแอนโทไซยานิน เป็นตัวเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับสินค้าตัวนี้ จุดเด่นของตัวสวีทไวโอเล็ท นั่นคือ รสชาติที่ตอบโจทย์เกษตรกร เหนียวนุ่มแล้วก็หวาน อีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลากัดกินเราจะรู้สึกว่ามันหลุดล่อนง่าย ไม่ติดฟัน ไซซ์ก็พอเหมาะ

จากซ้ายไปขวา คุณวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ดร. ดาเรศร์ กิตติโยภาส รองอธิบดีกรมส่งสริมการเกษตร ดร. องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) คุณไซมอน แนนน์ กรู๊ท ผู้ก่อตั้ง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด
การเซ็น MOU ในวันนี้ ก็เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทุกวันนี้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยผ่านทางร้านสะดวกซื้อมากขึ้น ในขณะที่สินค้าตัวนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หาได้ตามตลาดสด ตลาดข้างทางหรือว่าตลาดนัด เราพยายามสร้างโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าของทางบริษัท เราก็เลยมีการเซ็น MOU กับทาง บริษัท ซันสวีท ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านแปรรูปสินค้าทางการเกษตร เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้กับสินค้าของทาง อีสท์ เวสท์ ได้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ผ่านทางช่องทางร้านสะดวกซื้อครับ”

หลังจากพิธีลงนาม (MOU) ระหว่าง บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการนำข้าวโพดข้าวเหนียว สายพันธุ์ “สวีทไวโอเล็ท” มาแปรรูปพร้อมรับประทานบรรจุในถุงสุญญากาศได้เสร็จสิ้นลง เหล่าสื่อมวลชนได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของทาง บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่

เกษตรกรรม เป็นกิจกรรมการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมง แต่การเลือกทำเพียงกิจกรรมเดียว จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่จะไม่ได้รับผลผลิตเมื่อต้องประสบกับภัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ แต่ถ้าเลือกทำ “เกษตรผสมผสาน” คือมีตั้งแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไป มีการวางแผนการผลิต ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ความเสี่ยงก็ลดลง

ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแปรปรวนเกษตรผสมผสานจึงเป็นทางเลือกในการยกระดับรายได้เพื่อนำไปสู่การดำรงชีพที่มั่นคง วันนี้จึงนำเรื่อง เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี มาบอกเล่าสู่กัน

คุณยศพนธ์ ทัพพระจันทร์ สมัคร BETFLIX เกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เล่าให้ฟังว่า จังหวัดสิงห์บุรีมีพื้นที่การเกษตร 418,781 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำนา 377,826 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 11,002 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชสวน เช่น ปลูกไม้ผล พืชผัก 26,895 ไร่ พื้นที่เลี้ยงสัตว์ 1,189 ไร่ และพื้นที่ประมง 1,869 ไร่ ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ทำไร่นาสวนผสม หรือเกษตรผสมผสาน

เกษตรผสมผสาน เป็นงานเกษตรที่ทำตั้งแต่ 2 กิจกรรม ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยง โดยได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ให้วางแผนการปลูกและผลิต ปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ให้ผลิตในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP (Good Agricultural Practice) ที่ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ หรือเป็นสินค้าโอท็อป (OTOP) ที่ตลาดต้องการ ทำให้เกษตรกรยกระดับรายได้ เพื่อการดำรงชีพที่มั่นคง

ร้อยตรีบัญชา เพ็ชรรักษ์ ผู้ทำเกษตรผสมผสาน เล่าให้ฟังว่า จากที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเกษียณก็ได้ผันตัวออกมาเป็นชาวบ้านเป็นเกษตรกร เบื้องต้นจึงต้องเรียนรู้เสริมสร้างประสบการณ์งานด้านเกษตรให้ชำนาญ สืบค้นข้อมูลด้านวิชาการเกษตรจากแหล่งวิชาการ ขอรับคำแนะนำจากสำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อได้ข้อมูลพอแล้ว ได้ตัดสินใจทำเกษตรผสมผสาน ทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยง ให้มีผลผลิตบริโภคหรือเหลือขาย

การดำเนินงาน ได้จัดการใช้ประโยชน์ พื้นที่ 2 ไร่ ที่มีพื้นที่ส่วนที่หนึ่งเป็นบ้านพัก ส่วนที่สองจัดเป็นพื้นที่ปลูกไม้ผลและพืชผัก ส่วนที่สามจัดเป็นคอกเลี้ยงหมู เป็ด และไก่ จัดให้มีแหล่งน้ำใช้ในการผลิตเกษตร

กิจกรรมหลัก คือ การเลี้ยงหมูแม่พันธุ์และเลี้ยงหมูขุน ได้สร้างโรงเรือนห่างจากบ้านพักและเป็นที่ดอน น้ำไม่ขัง เมื่อล้างทำความสะอาดพื้นคอกหมู มูลหมูที่เก็บได้ใส่น้ำหมักชีวภาพลงไปคลุกเคล้าเพื่อกำจัดกลิ่นและป้องกันแมลงวันเข้ามารบกวน ส่วนมูลหมูที่ตากแห้งได้นำไปใช้ในแปลงเกษตร อีกส่วนหนึ่งขาย การเลี้ยงหมูมี ดังนี้

การเลี้ยงแม่พันธุ์หมู ได้คัดเลือกแม่พันธุ์หมูมาเลี้ยง 3 วิธี คือ

1. ซื้อลูกหมูขุนจากฟาร์ม คัดเลือกตัวที่มีน้ำหนัก ประมาณ 90 กิโลกรัม หรืออายุ 4 เดือน นับจากวันอย่านม มีลักษณะดีเช่น มีเต้านม 13 เต้า ขึ้นไป หัวนมไม่บอด แผ่นหลังกว้าง ขาหลังใหญ่ตรง แข็งแรง
2. ซื้อแม่พันธุ์หมูที่แหล่งพันธุ์ดี คัดเลือกขนาด อายุ น้ำหนักและใกล้เป็นสัด มีข้อดีคือ โครงร่างใหญ่ ให้ลูกดก
3.เลือกซื้อลูกหมูที่เกิดจากแม่พันธุ์ดี ราคาถูก สุขภาพดี ไม่อ่อนแอ และต้านทานโรค
การเลี้ยงหมูขุน นำลูกหมูอย่านมเข้าคอก ติดป้ายระบุวันอย่านมไว้ที่คอก เพื่อการดูแลและกำหนดวันจับขาย ช่วงแรกที่เลี้ยงได้ให้อาหารหมูเล็กหรือให้กินกล้วยน้ำว้าสุกบ้าง เพราะลูกหมูยังหากินไม่เก่ง ช่วงอดนม 2-3 วัน ต้องปอกเปลือกกล้วยสุกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้กิน ถ้าลูกหมูท้องเสียให้ลดอาหาร เมื่อดีขึ้นก็ให้กินอาหารเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องใช้ยาฉีด หมูที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ขึ้นไป ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 2 มาผสมให้กิน เมื่อได้น้ำหนัก 30 กิโลกรัม ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 3 มาผสมให้กิน และเมื่อหมูน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เปลี่ยนมาผสมอาหารปกติให้กิน