อยากจะแนะนำผู้ที่พอมีที่ดิน หรือเช่าที่ดินอย่างคุณแม่หนู

ก็ทำงานได้ ก็ได้ผลผลิตเช่นกัน หน่อไม้จากธรรมชาติเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ที่ป่าละเมาะหรือตามป่าเขาก็หดหายไปเยอะ จากการบุกรุกป่าเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยว หน่อไม้ไผ่หวานช่อแฮเป็นหน่อไม้ที่ขึ้นง่าย ปลูกได้ทุกที่ ปลูกตามป่าตามเชิงเขาก็ทดแทนหน่อไม้ธรรมชาติได้โดยรสชาติก็ดี ในการนำไปปรุงอาหาร เวลาต้มก็คืนความหวานเร็ว คุณแพรว ให้แง่คิด

ในปัจจุบันนี้ การงานหายาก ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก คนตกงาน บริษัทต่างปิดกิจการลง ไม่เพียงแต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่มีผลกระทบจากปัญหานี้ ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด แต่หลักความจริงก็คือ คนเราต้องกินต้องใช้ และต้องการมีชีวิตที่ดี อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว อาชีพที่ยั่งยืนคือ อาชีพเกษตรกรรม เชื่อได้ว่าตราบใดที่คนเราต้องกินต้องใช้ เพราะฉะนั้นอาชีพเป็นเกษตรกรจึงเป็นอาชีพที่รองรับปัญหาเรื่องการว่างงานได้ดีทีเดียว

โดยเฉพาะท่านที่ตกงานหรือกำลังเจอสภาวะปัญหาการว่างงานนั้น จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มีปัญหา ลองมาปลูกพืชชนิดนี้เสริมดู หรือทดลองปลูกดู สร้างรายได้เสริมหรืออาจจะเป็นรายได้หลักเลยก็ว่าได้ ทุกวันนี้ผลิตกิ่งพันธุ์ขายส่งก็แทบจะผลิตไม่ทัน เพราะการปลูกไผ่นั้นไม่ยุ่งยาก มีที่ดินก็กั้นรั้วแบบง่ายๆ แล้วก็ขุดหลุมปลูกห่างกันเพียง 2×2 เมตร ก็เพียงพอแล้ว 1 ไร่ จะปลูกได้ 200 ต้น คุณแพรว บอกว่าที่สวนที่ปลูกอยู่แล้ว 10 กว่าปีนั้น ปัจจุบันเริ่มชิดกันจากการขยายของต้นไผ่ ส่วนที่สวนใหม่ที่ลำปางกำลังจะเริ่มปลูกนั้น 3 ไร่ครึ่ง

“ตอนนี้เริ่มที่จะเตรียมพื้นที่ปลูกเพิ่ม 3 ไร่กว่าๆ คาดว่าสัก 2 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิตแล้ว มีที่อยู่ 3 ไร่ เป็นที่นา แต่ปีนี้เกิดภาวะแล้ง ทำนาไม่ได้ ก็เลยคิดว่าจะไถยกแปลงปลูกไผ่หวานช่อแฮระบบน้ำหยด เพราะไผ่หวานใช้น้ำหยดก็ให้ผลดี เท่าที่ศึกษามาจากหลายสวน และจากคลิปของต่างประเทศ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งอากาศเหมือนบ้านเรา …ที่มีการตัดสินใจปลูกไผ่ ก็เพราะว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านเราอยู่แล้ว ทุกคนรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนูอาหารที่เกี่ยวกับไผ่นั้น มีตั้งแต่เมนูพื้นบ้านจนถึงภัตตาคารหรู

โดยเฉพาะไผ่หวานช่อแฮนั้น บังคับให้ออกในหน้าแล้งได้ดี จึงคิดว่าคุ้มค่ากับการลงทุน ในหน้าแล้ง หน่อไม้สดมีราคาถึงกิโลกรัมละ 50 บาท หน่อไม้พันธุ์นี้ให้หน่อที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่ลำต้นเล็กนิดเดียว จึงเน้นความสมบูรณ์ไปบำรุงที่หน่ออ่อน แต่ถ้าปล่อยให้เป็นลำต้นแล้วก็จะมีลำต้นขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 7 เซนติเมตรเท่านั้น อีกอย่างลักษณะของใบนั้นกว้าง เป็นร่มเงาให้กับโคนต้นได้ดี ทำให้โคนต้นสามารถเก็บความชุ่มชื้นของดินไว้เป็นอย่างดี” คุณแพรว บอก

ที่มาของ ไผ่เป๊าะ หรือ ไผ่หวานช่อแฮ

พบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในประเทศพม่า อินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย และไทย มีการปลูกกันหลายแห่ง ส่วนใหญ่จะพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไผ่เป๊าะ ต้องการความชื้นและดินดี ถูกนำมาเผยแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เริ่มต้นปลูกที่ตำบลช่อแฮ จังหวัดแพร่ จึงได้ฉายาว่า ไผ่พันธุ์ช่อแฮ การที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะว่าสายพันธุ์นี้ปลูกได้ดีในเมืองไทย และให้ผลผลิตดี สามารถบังคับให้ออกในฤดูแล้งได้โดยเฉพาะในเดือนมกราคมจนถึงเดือนเมษายน ทำให้เกษตรกรได้ราคาดี ทำเงินได้

ถ้าหากท่านสนใจที่จะสอบถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับต้นไผ่เป๊าะ หรือไผ่หวานช่อแฮ เชิญปรึกษาได้ที่ คุณแพรว วิวัฒน์ชรางกูร เลขที่ 90/4 หมู่ที่ 2 บ้านใหม่ ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โทรศัพท์ 092-579-0627

อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นอำเภอน้องใหม่ที่แยกตัวมาจากอำเภอเชียงคำ เกษตรกรมีความขยันขันแข็ง มีการริเริ่มและสรรหากิจกรรมทางการเกษตรใหม่ๆ มาดำเนินการเพื่อแสวงหาแนวทางที่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ดังเช่น คุณทวี คิดหา เกษตรกรหัวไวใจสู้ ซึ่งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 7 บ้านธาตุภูซาง หมู่ที่ 10 ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ปลูกเงาะพันธุ์โรงเรียน เคยขายได้ถึง 500,000 บาท

คุณทวี คิดหา เล่าให้ฟังว่า เริ่มปลูกเงาะเมื่อปี 2542 เป็นพันธุ์โรงเรียน ในพื้นที่ 7 ไร่ โดยใช้ระยะปลูก ระหว่างต้น 8 เมตร ระหว่างแถว 8 เมตร ปลูกได้ 3 ปี เงาะก็ให้ผลผลิต โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดประมาณปลายเดือนสิงหาคม ตลาดที่รับซื้อนอกจากในพื้นที่แล้ว จะมีพ่อค้าจากตลาดค้าส่งแถวตลาดไท ขึ้นมาซื้อ เพราะเงาะโรงเรียนของภูซางพะเยามีคุณภาพที่ออกจะแตกต่างจากถิ่นที่ปลูกเดิม คือเนื้อจะล่อน กรอบ หวาน เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค ทำให้ขายได้ราคาดีกว่าผลผลิตจากแหล่งอื่น ในปี 2561 ผลผลิตในสวน 7 ไร่นี้ ขายได้ถึง 500,000 บาท ปี 2562 ขายได้ 300,000 บาท

แต่เงาะในพื้นที่อำเภอภูซาง ก็จะประสบปัญหาในเรื่องผลร่วง หากปีใดมีฝนตกชุกเกิน และปัญหาเรื่องราแป้ง เพราะต้นเงาะโรงเรียนทรงพุ่มใหญ่และทึบมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้จะเริ่มทำสาวต้นเงาะโรงเรียน โดยการตัดแต่งทรงต้นให้โปร่ง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะได้ทดลองทำแล้วปรากฏว่าได้ผลดี

ข้อมูลทางวิชาการ เงาะ เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ เป็นไม้ผลเมืองร้อน เจริญเติบโตได้ดี ในที่ที่มีความชื้นค่อนข้างสูง แต่ไม่มีน้ำท่วมขัง ควรเลือกแหล่งปลูกที่มีน้ำพอเพียงตลอดปี มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 25 ถึง 30 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร ต่อปี มีความชื้นในอากาศสูง เงาะมีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ในประเทศไทยมักนิยมปลูกเงาะกันมากทางภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีชมพู พันธุ์สีทอง พันธุ์น้ำตาลกรวด พันธุ์โรงเรียน และพันธุ์เจ๊ะมง แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้า ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน พันธุ์สีทอง และพันธุ์สีชมพู ส่วนพันธุ์อื่นๆ อาจมีปลูกบ้างประปรายเพื่อการบริโภคในครัวเรือน หรือเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาทางวิชาการ ลักษณะดินที่ปลูกต้องเป็นดินร่วนปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี มีค่าความเป็นกรด-ด่าง ประมาณ 5.0-5.7

การปลูก… ควรเตรียมดินโดยการไถพรวน และปรับพื้นที่ให้เรียบ และขุดร่องระบายน้ำในแปลง ต้นพันธุ์ที่นำมาปลูกควรมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ระบบรากสมบูรณ์ ไม่ขดหรืองอ ซึ่งต้นพันธุ์นี้อาจได้มาจากการเพาะเมล็ด การตอน การทาบกิ่ง หรือการติดตา

การเตรียมหลุมปลูก… ควรขุดหลุมให้มีลักษณะกว้างxยาวxลึก ประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์น้อย ควรให้หลุมมีขนาด 1x1x1 เมตร ควรผสมดินปลูกด้วยปุ๋ยคอกแห้ง ประมาณ 1 บุ้งกี๋ และหินฟอสเฟต 2 กระป๋องนม แล้วกลบลงในหลุมให้สูงกว่าระดับเดิม ประมาณ 20-25 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างการปลูกของแต่ละต้น ประมาณ 8-10 เมตร ระหว่างแถว ห่างประมาณ 8-10 เมตร แล้วนำกิ่งพันธุ์ดีมาวางตรงกลางหลุมเล็กๆ ที่เตรียมไว้ แล้วจึงกลบดินให้สูงกว่าระดับเดิม ประมาณไม่เกิน 1 นิ้ว ระวังอย่าให้สูงกว่ารอยแผลที่ติดตา และเพื่อป้องกันการล้มของต้น ควรใช้ไม้เป็นหลักผูกยึดกิ่งเอาไว้ด้วย

ระยะเริ่มปลูก ควรให้น้ำ 7-10 วัน ต่อครั้ง อย่างสม่ำเสมอจนกว่าต้นจะตั้งตัวได้ และควรหาวัสดุคลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นในดินให้คงอยู่ในช่วงฤดูแล้งด้วย ควรให้น้ำในปริมาณที่น้อยมากในช่วงที่ใกล้ออกดอก เพื่อป้องกันการแตกใบอ่อนขึ้น และควรงดให้น้ำสักระยะหนึ่งถ้ามีใบอ่อนขึ้นแซมช่อดอกมากๆ และเริ่มให้น้ำใหม่เมื่อใบอ่อนที่แซมขึ้นมานั้นร่วงไปแล้ว และควรให้น้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ตาดอกมีการเจริญเติบโตต่อไป เมื่อดอกเริ่มบานและติดผลควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเจริญเติบโตของผลเป็นไปอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าได้รับน้ำไม่เพียงพออาจทำให้ผลมีขนาดเล็ก ลีบ และมีเปลือกหนาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้การเก็บเกี่ยว ถ้าได้รับน้ำไม่เพียงพอและเกิดมีฝนตกลงมาก็อาจจะทำให้ผลเงาะแตกเกิดความเสียหายขึ้นได้

การใส่ปุ๋ย… ในระยะแรกของการปลูก ควรใส่ปุ๋ยในอัตรา 1:1:1 โดยใส่ประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อปี สำหรับต้นเงาะอายุ 1-2 ปี ให้ใส่ครั้งแรกตอนต้นฤดูฝน และครั้งที่ 2 ใส่ในช่วงปลายฤดูฝน และใส่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์

ระยะก่อนออกดอก ควรให้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือสูตร 9-24-24 ประมาณ 2-3 กิโลกรัม ต่อต้น ระยะติดผล ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือสูตร 16-16-16 ประมาณ 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น และก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน ควรใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 หรือ 13-13-21 หรือ 14-14-25 ในอัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น โดยใช้วิธีการหว่านลงบริเวณทรงพุ่ม แล้วจึงรดน้ำและกลบบางๆ

ระยะหลังการเก็บเกี่ยว ควรมีการตัดแต่งกิ่งโดยเร็ว ด้วยการตัดกิ่งที่ต่ำในระดับดิน กิ่งเป็นโรค กิ่งแห้งตาย กิ่งใบทรงพุ่มที่ไม่ได้รับแสงแดด และก้านผลที่เหลือค้างออกให้หมด เพื่อให้มีการแตกยอดใหม่ที่ดีควรตัดให้ลึกเข้าไปประมาณ 1 คืบ แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ในอัตรา 1:1:1 ต้นละ 2-3 กิโลกรัม และปุ๋ยอินทรีย์ 2-3 ปี๊บ และเพื่อป้องกันการชะล้างปุ๋ยจากน้ำฝน ควรใส่ปุ๋ยเป็นหลุมๆ รอบทรงพุ่มของต้น และก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรมีการกำจัดวัชพืชออกด้วยวิธีการใช้รถตัดหญ้าหรือใช้สารเคมีควบคุมก็ได้

โรคราแป้ง… ช่วงติดดอกออกผล ในช่วงเช้าหรือเย็นให้ฉีดพ่นด้วยผงกำมะถัน หรือใช้สารเคมีชนิดอื่น เช่น เบนโนมิล ไดโนแคป พาราโซฟอส เป็นต้น หรือเก็บผลเงาะที่แห้งดำบนต้น รวมทั้งกิ่งที่แห้งร่วงหล่นนำมาเผาทำลายเพื่อเป็นการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง

โรคจุดสนิม…ให้ฉีดพ่นด้วยคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ คูปราวิท หรือซีแนบ หรืออาจต้องตัดเผาทำลายแล้วทาบริเวณรอยแผลด้วยสารเคมีดังกล่าวในกรณีที่เป็นโรคที่กิ่งแบบรุนแรง

โรคราสีชมพู… ให้ฉีดพ่นด้วยคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ หรือแคปแทน และควรตัดเผาทำลายเสียในส่วนของกิ่งที่เป็นโรครุนแรง

โรคราดำ… ในขณะที่เงาะกำลังผลิใบและช่อดอก ควรฉีดพ่นด้วยไดเมทโธเอท หรือคาร์บาริล เพื่อป้องกันแมลงและกำจัดเชื้อราควบคู่กันไปด้วย

โรคผลเน่า… ฉีดพ่นด้วยแคปตาโฟล แมนโคแซบ และก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 15 วัน ควรหยุดการฉีดพ่นด้วยสารเคมีเหล่านี้

การเก็บเกี่ยว… เมื่อเงาะมีอายุได้ 3-4 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิต หลังจากดอกบานหมดแล้วอาจใช้เวลา ประมาณ 130-160 วัน เงาะก็จะมีผลแก่ พร้อมที่จะให้เก็บเกี่ยวได้ เงาะโรงเรียนอายุ 10 ปี จะให้ผลผลิตประมาณ 2,000 กิโลกรัม ต่อไร่ เงาะพันธุ์สีชมพู อายุ 10 ปี จะให้ผลผลิตประมาณ 3,500 กิโลกรัม ต่อไร่ ผลที่พร้อมจะเก็บเกี่ยวลักษณะของขนและสีของผลเงาะจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีแดงล้วน

ซึ่งขึ้นอยู่กับพันธุ์ของเงาะนั้น ควรเก็บเกี่ยวด้วยความระมัดระวัง โดยใช้กรรไกรที่คมและสะอาดตัดช่อผลจากต้น และรวบรวมช่อผลเงาะในตะกร้าพลาสติกหรือเข่ง ทันทีที่เก็บผลผลิตเสร็จควรมีการขนย้ายเข้าสู่ที่ร่มโดยเร็ว และตัดแต่งให้เหลือเป็นผลเดี่ยวในกรณีต้องการจำหน่ายเป็นผลเดียว โดยตัดขั้วผลให้มีก้านติดอยู่ไม่เกิน 5 มิลลิเมตร แล้วจึงบรรจุลงตะกร้าพลาสติก หรือในกรณีต้องการจำหน่ายเป็นช่อให้ตัดก้านช่อผลยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร เงาะแต่ละช่อควรมีผลติดอยู่ไม่ต่ำกว่า 3 ผล แล้วนำมามัดรวมกัน ชั่งน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม

สนใจอยากทราบรายละเอียดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ติดต่อ คุณทวี คิดหา ตามที่อยู่ข้างต้น หรือทางโทรศัพท์ 082-831-6514 ยินดีแลกเปลี่ยน ไม้นี้ชื่อมีมงคล และน่าจะมีอิทธิฤทธิ์พิเศษ “เล็บครุฑ” กรงเล็บเป็นอาวุธสำคัญของพญาครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ครุฑเป็นสัตว์ในเทพนิยาย เป็นสัตว์กึ่งเทพกายสิทธิ์ อมตะ มีความน่าเกรงขาม แม้แต่พระอินทร์ยังกำราบไม่ลง เป็นสัญลักษณ์ประจำราชการแผ่นดินไทยคือ “ครุฑพ่าห์” ข้าราชการคือผู้รับใช้ราชการแผ่นดิน นั่นคืองานพระราชา ซึ่งเป็นองค์สมมุติเทพ ข้าราชการผู้ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ ซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดี พญาครุฑจะแผ่บารมีปกป้องคุ้มครองภัย ก่อให้เกิดแต่ความสุขความเจริญ ไม้ที่ชื่อ “เล็บครุฑ” จึงเป็นไม้ที่เป็นมงคล และมีอิทธิฤทธิ์ ด้วยเหตุผลเช่นนี้แล

“เล็บครุฑ” มีมากมายหลายชนิด มีความแตกต่างกันในรูปทรง เป็นพืชในสกุล Polyscias ซึ่งไม้สกุลนี้มีมากถึง 114 ชนิด วงศ์ ARALIACEAE มีชนิดหนึ่งที่หลายคนถามถึงกันมาก เพราะใช้กินเป็นผักสดได้ หรือจัดปรุงเป็นอาหารได้ นั่นคือ “เล็บครุฑทอดมัน” เห็นว่าบางแหล่งหายากมาก สวนต้นไม้หลายแห่งไม่มีขาย เพราะหาต้นพันธุ์ไม่ได้ แต่ก็พบเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งคล้ายกับว่าเป็นชนิดที่ ราคาน้อยกว่าชนิดอื่น ที่เขานิยมนำไปเป็นไม้ประดับจัดตกแต่งสวนหย่อม แต่ที่พบทั่วไป มักพบตามบ้านชาวบ้าน เขาปลูกไว้ เก็บยอดใบอ่อน กินเป็นผัก แกล้มลาบ พร่า ยำ น้ำพริกกุ้ง ส้มตำ ขนมจีนน้ำยา และเมนูที่ยอดเยี่ยม คือ ชุบแป้งทอด แกล้มน้ำพริกกะปิ และปรุงแต่งอาหารอีกหลายอย่าง เช่น แกงคั่วปลาดุก โดยเฉพาะ ทอดมันปลากราย ทอดมันกุ้ง เป็นได้อร่อยกับรสอาหารมื้อนั้น

เล็บครุฑทอดมัน หรือเล็บครุฑตรี หรือเล็บครุฑใบฝอย หรือเล็บครุฑผักชี หรือเล็บครุฑเทศ หรือเล็บครุฑเต่าก็เรียก เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นสีเขียวอ่อน ต้นแก่สีเทา ผิวต้นสากมือ แตกกิ่งตั้งขึ้นรวมกันเป็นพุ่ม มีปุ่มนูนบริเวณที่ก้านใบร่วงหล่นไปแล้ว ใบเล็บครุฑเป็นใบประกอบ มีก้านใบหลักยาว แตกออกจากกิ่งและต้น เรียงสลับเป็นชั้นๆ ก้านใบหลักมีตุ่มหนามเล็กๆ และขึ้นเป็นจุดประสีขาวสลับเขียวเข้ม ก้านใบหลัก มักจะแตกก้านใบย่อยออกเรียงกันเป็นคู่ตรงข้าม 5-9 ใบ โดยใบสุดท้ายเป็นใบเดี่ยว ใบย่อยแต่ละใบมีลักษณะเรียวยาว ขอบใบหยักหลายชั้น คล้ายกรงเล็บสัตว์ ส่วนปลายใบแหลม ดอกเล็บครุฑ มี 5 กลีบ แทงออกปลายยอดกิ่ง เป็นช่อขนาดใหญ่ แต่ละช่อมีดอกรวมกันเป็นกระจุก 20-30 ดอก ให้ผลหรือลูก มีลักษณะปลายผลแหลมงุ้ม คล้ายกรงเล็บ หลายส่วนของไม้ชนิดนี้ กิ่ง ก้าน เปลือก ใบ ดอก ผล มีลักษณะคล้ายส่วนต่างๆ ของครุฑ ถึงเรียก เล็บครุฑ

การปลูกเล็บครุฑ เป็นพืชที่ติดง่ายขยายพันธุ์เร็ว วิธีตัดกิ่งแก่ปักชำ ติดรากง่าย หลังจากชำในกระบะทราย รากออกดีแล้ว ย้ายลงชำเลี้ยงต่อในถุง จนแตกยอด จะนำไปจำหน่ายหรือย้ายลงปลูกในพื้นที่ที่ต้องการ หรือถ้ามีจังหวะหาเจอเมล็ดพันธุ์เล็บครุฑทอดมัน ซึ่งต้องคอยหาเก็บเอา นำมาเพาะก็แตกต้นง่าย ได้มากก็เพาะไว้แจกเพื่อนฝูงบ้าง แต่เชื่อว่าขยายพันธุ์โดยวิธีปักชำจะสะดวกกว่ามาก พบเจอต้นที่ไหน ขอตัดกิ่งมาสักคืบ มาตัดได้ 2 ท่อน ปักชำได้ หรือถ้าหากได้กิ่งที่ยอดติด ลิดใบออกเหลือแต่ยอดอ่อนเล็กน้อย ปักชำ จะชำลงถุงดินเลยก็ได้ หรือจะใช้วิธีชำแบบควบแน่นก็รวดเร็วขึ้น การปลูกให้น้ำตามปกติ ขอให้มีแสงแดดหน่อย กำลังพอเหมาะ

สรรพคุณทางยาที่ได้จากไม้ที่ชื่อเล็บครุฑ ใบ นำมาต้มน้ำดื่มแก้ปวดหัว ปวดไมเกรน ปวดหัวข้างเดียว ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย แก้ปวดตามข้อ หรือใบบดตำ พอกรักษาแผลอักเสบ แก้ผดผื่นคัน โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ขยำใบอุดจมูกรักษาเลือดกำเดาไหล ลำต้น ต้มน้ำดื่มช่วยดับพิษร้อน ลดไข้ แก้ท้องร่วง แก้ปวดหัว แก่นลำต้น นำมาฝนทาสมานแผล รากซึ่งมีรสร้อน ต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ผ่อนคลาย แก้ปวดข้อได้

มีอะไรมากมายเกี่ยวกับ “เล็บครุฑ” แต่ละชนิด ที่ต้นเล็บครุฑมีมากมายหลายอย่าง ที่นำมาเป็นไม้ประดับจัดสวนหย่อม มีความโดดเด่นทั้งทรงพุ่ม ทรงใบ สีสัน ลวดลาย มียังกินได้ กินไม่ได้ หรือไม่นิยมกิน ไม่กล้ากิน ต้องลองดูกันสักหน่อย ชนิดไหนกินอร่อย ก็บอกต่อๆ กันไป ชนิดไหนเป็นยาดีก็บอกต่อกันด้วย เล็บครุฑนอกจากจะปลูกง่าย แล้วยังคงทน อายุนานหลายปี มีเรื่องของความเชื่อที่ว่า เหรียญบาทไทย พ.ศ. 2517 เป็นเหรียญที่คนรู้จัก และเก็บไว้บูชา เป็นของขลัง ว่ามีฤทธิ์ในการต่อต้าน ขับไล่ภูตผีปิศาจ เป็นที่นิยมของนักผจญภัย เพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ ขาพญาครุฑเหยียดตรง พร้อมที่จะทำลายศัตรูและโฉบเหยื่อได้ และเป็นเหรียญทรงกลม ที่เป็นธาตุลมในการส่งพลังทำลายศัตรู ใครมีก็เก็บไว้บูชา แต่ถ้าหาไม่ได้ ก็ปลูกต้นเล็บครุฑลงกระถาง หรือลงดินไว้หน้าบ้านสักต้น จะเป็นการดีไม่น้อย

“ส้มโอ” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการส่งออกทะลุ 500 ล้านบาท ติดต่อกันมาถึง 3 ปีแล้ว โดยมีตลาดหลักคือ จีน, ฮ่องกง และเวียดนาม (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างปี 2560 – 2562) ส่วนตลาดในประเทศก็ยังไปได้ เรียกว่ายังไม่มีการล้นตลาด

ส้มโอเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง สมัคร Royal Online V2 มีจุดเด่น คือ อายุยืน หากดูแลต้นให้สมบูรณ์จะสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องนาน 20-30 ปี แถมระยะเก็บเกี่ยวสำหรับบางสายพันธุ์นั้นอยู่ที่ราว 6 เดือนเท่านั้น เห็นแบบนี้แล้วหลายคนอยากจะลองปลูกส้มโอติดบ้านกันไว้สักต้น

พาไปคุยกับ คุณวิฑูรย์ ภู่บุตร อายุ 48 ปี ชาวบ้านบึงถัง ต.โพธิ์ประทับช้าง อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร เกษตรกรปลูกส้มโอประสบการณ์กว่า 20 ปี ที่เริ่มต้นจากสวนส้มโอหลักสิบไร่ จนปัจจุบันสามารถขยายออกเป็น 100 ไร่ ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีเท่านั้น

“ส้มโอ” สำหรับส่งออกนั้นต้องได้มาตรฐานทั้งในเรื่องของขนาด ที่ต้องได้น้ำหนักอยู่ในช่วงประมาณ 0.8-1.8 กิโลกรัม หากมีขนาดใหญ่เกินไปก็อาจจะตกเกรดเอได้ นอกจากนี้ต้องดูแลให้ผิวและทรงสวย เปลือกบาง รสชาติหวาน และปลอดสารตกค้างตามมาตรฐานระบบ GAP โดยที่สวนของคุณวิฑูรย์นั้น สามารถผลิตส้มโอได้คุณภาพส่งออกเป็นสัดส่วนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ จนสามารถสร้างรายได้หลักล้านบาท

กว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ ผ่านการลองผิดลองถูกมาไม่น้อย หลักการสำคัญของคุณวิฑูรย์ คือต้องเริ่มตั้งแต่การดูแลเรื่องความสมบูรณ์ของต้น คอยบำรุงไม่ให้ต้นโทรม เพราะหากต้นไม่สมบูรณ์จะกระทบต่อคุณภาพของผลผลิตโดยตรง ตามไปดูกันว่า คุณวิฑูรย์ มีเคล็คลับการดูแลส้มโอให้มีคุณภาพอย่างไรบ้าง

“โพธิ์ประทับช้าง”
แหล่งปลูกสำคัญของประเทศ
ปัจจุบัน จ.พิจิตร มีพื้นที่ปลูกส้มโอ ประมาณ 15,000 ไร่ โดยเฉพาะที่ อ.โพธิ์ประทับช้าง มีพื้นที่ในการปลูกมากที่สุด คือ รวมประมาณ 10,000 ไร่ ถือว่าเป็นแหล่งปลูกส้มโอสำคัญ และมีศักยภาพส่งออกอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศไทย

โดยส้มโอพันธุ์ขึ้นชื่อของที่นี่คือ “ท่าข่อย” ซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมือง และพันธุ์อื่นๆ อย่างขาวแตงกวา, ขาวน้ำผึ้ง และทองดี ก็มีการปลูกอย่างแพร่หลายเช่นกัน

ครอบครัวของคุณวิฑูรย์ เป็นหนึ่งในชาวสวนส้มโอที่เริ่มต้นด้วยการปลูกส้มโอ “พันธุ์ท่าข่อย” จำนวน 15 ไร่ แต่ปลูกอยู่ประมาณ 7-8 ปี ระยะหลังส้มโอพันธุ์นี้เริ่มได้รับความนิยมน้อยลง จึงหันมาปลูกพันธุ์ “ขาวแตงกวา” ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาดและมีตลาดส่งออกรองรับ