อาการหวัดลงคอยังไม่ทุเลา เข้าใจว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

ต้องกินยาปฏิชีวนะถึงจะหายได้ แต่ที่นี่ ไม่อยากไปหาหมอเพราะไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพมา จะรอให้หายเอง คงจะทุเลาสักวันหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเพราะเป็นคนอ่อนแอในเรื่องอากาศเย็นอยู่แล้ว จึงประมาทตัวเองมาก เพราะอากาศที่นี่ถึงจะเป็นฤดูร้อน แต่ตอนกลางคืน อุณหภูมิก็ลดต่ำลงขนาดฤดูหนาวที่เมืองไทย น่าจะใส่เสื้อคลุมให้เพียงพอ แต่ไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่ได้คิดว่าการเจ็บป่วยจะเกิดกับตัวเองได้

เมื่อวานนี้ ได้ไป Mall ที่ใหญ่กว่าที่เคยไป ระยะทางไกลจาก Mall เดิมอีก แต่ที่นี่จัดแต่งสถานที่ได้บรรยากาศสวยงามมาก ก็เหมือนกัน ทุกๆ Mall แต่ไม่เห็นคนมาเดินเที่ยว Mall มากเหมือนประเทศไทย เพราะมีแต่ร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านอาหาร และ play ground สำหรับเด็กหลายวัย เช่น ม้าหมุน พื้นที่ที่สร้างภูเขาเล็กๆ ให้ปีนป่าย ฯลฯ ที่นี่มีร้าน Northstorm ซึ่งไม่ได้เข้าไปเดิน เพราะเลยวัยที่จะแต่งตัวให้สวยๆ แล้ว แต่ไปเดิน Target ซึ่งคิดว่าเป็นร้านของถูก ในอดีต เคยซื้อกางเกงใน ถุงเท้าในร้านเหล่านี้ไปใช้ พบว่าเนื้อนิ่ม เบา ยืดหยุ่นดี แต่ไม่ทนทานมากนัก

เมื่อวานนี้ได้พบเหตุการณ์พิเศษ ที่ไม่เกี่ยวกับวันประกาศอิสรภาพ คือมีหญิงวัยเกือบกลางคน สติคงไม่ดี เดินสาดน้ำเป็นฝอยๆ เข้าไปในร้านที่สวยหรูร้านหนี่ง พนักงานของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยเดียวกัน ผิวสีเดียวกัน มาห้าม ปรากฏว่าเกิดการต่อสู้ปล้ำกัน ทึ้งผมกันอยู่หน้าร้าน ลูกค้าผู้ชายที่เดินๆ แถวนั้น ก็รีบมาแยกแต่ไม่สำเร็จ ไม่นาน รปภ.ก็มาถึงและแยกได้สำเร็จ ตอนนี้เขาไม่ให้เข้าไปดู แต่ทราบว่า รปภ. ใส่กุญแจมือหญิงที่เป็นต้นเหตุ และรอตำรวจมารับตัวและทำคดีต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ก็พบเห็นในประเทศเราเหมือนกัน แต่ของเราไม่ถึงกับทำร้ายกัน แค่พูดจาดุด่าท้าทาย หรือถ้าทำร้ายมักจะหนักไปเลย อาจถึงชีวิต หลักพุทธศาสนาเขียนไว้ชัดเจนมาก ที่ให้ละความโกรธ ความโลภ และความหลง มีอะไรไม่สบอารมณ์ ก็อย่าไปโกรธแค้นลงมือทำร้ายกัน ลองคิดให้อภัย แล้วพอถึงเวลาพักผ่อน ก็กลับไปนอนบ้าน หลับสบาย ที่นอนอยู่ในคุก หลายๆ คนไม่ได้เป็นคนร้ายโดยสันดาน แค่มีความโกรธแค้น หรือทำอะไรที่ประมาท เท่านั้น

การฉลองวันประกาศอิสรภาพ ซึ่งสำคัญสำหรับคนอเมริกัน แต่ที่ขับรถผ่านจากบ้านไป Mall ก็เห็นเงียบๆ ที่นี่คงไม่มีอะไร ถือว่าเป็นวันหยุดที่สงบ แต่พอมืดแล้ว ลูกและครอบครัวได้พาไปบนที่จอดรถสูงๆ ชั้น 6 ที่อยู่ใกล้บ้าน ไปดูการจุดดอกไม้ไฟ ซึ่งมีการจุดดอกไม้ไฟหลายๆ แห่ง เห็นไกลๆ รอบๆ อาคารจอดรถ มีคนขึ้นไปดูเป็นคู่ หรือครอบครัว หรือที่ไปเดี่ยวก็มีประปราย อาจจะเป็น 20 คัน และจักรยาน 4-5 คัน ประมาณนั้น กลับมาที่บ้าน ดูทีวีถ่ายทอดในแหล่งอื่นๆ เห็นมีการฉลองกันคึกคัก น่าจะเหมือนกับวันปีใหม่ของเรา ที่มีกิจกรรมเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วประเทศ

กล่าวถึง อาหารการกินที่นี่ ที่ได้ทำมื้อเย็นที่บ้านรู้สึกว่าผักสดและอ่อน มีคุณภาพน่ากินมากๆ อาหารทุกชนิดคงได้รับความคุ้มครองจากทางการ ให้มีแต่อาหารที่มีคุณภาพ แม้แต่ร้านอาหารก็ต้องสะอาด รวมถึงห้องน้ำด้วย ที่เดินทางมานี้ ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย เพราะอายุมาก เมื่อมาเปรียบเทียบ เห็นว่าร้านอาหารไทยที่ไปกิน เมื่อ 2 วันก่อนนั้น ไม่ค่อยสบอารมณ์กับห้องน้ำ เพราะใส่ลูกเหม็นเข้าไป กลิ่นฉุนมาก ร้านอาหารใดที่ห้องน้ำไม่ดี ก็ไม่อยากไปกินอีกเป็นครั้งที่ 2

ขอเขียนไปวันๆ นะครับ ไม่มีแผน ไม่มีพล็อตเรื่อง นึกอะไรได้ก็ใส่ๆ เข้าไปให้ได้อ่าน ถ้ามีธุระไม่ว่าง ก็คงกดผ่านไป ไม่มีเนื้อหาอะไรที่ชวนจดจำ ไว้พบกันฉบับต่อไป “ฉัตรชัย” เชื่อมีคนทุบราคายางหลังเรียก “ธีธัช” แจงพบบริษัทร่วมทุนขาดทุนในตลาดล่วงหน้า ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วแต่นายก

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้เรียก นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เข้าพบเพื่อชี้แจงราคายางที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้มีความผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร ทราบว่า ราคายางที่ปรับลดลงเนื่องจากปัจจัยในต่างประเทศ แต่ก็ถือว่าราคายางปรับตัวลดลงผิดปกติเพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝน ยางกรีดไม่ได้ซึ่งราคายางต้องสูงขึ้น แต่ราคากลับปรับตัวลดลง ตนไม่อยากพูดมากเรื่องของราคายาง แต่เชื่อว่ามีคนทำให้ราคาตกต่ำลง เพราะมีพ่อค้ารายหนึ่งไปขายยางในต่างประเทศไว้ในราคาต่ำ เมื่อถึงเวลาส่งมอบก็มากดราคายางในประเทศให้ต่ำลงเพื่อจะได้ไม่ขาดทุนจากการขายล่วงหน้าไว้

“เรื่องราคายางไม่อยากพูดมาก เพราะเดี๋ยวนักข่าวก็เอาไปเขียนเองอีก ราคายางที่ตกต่ำเพราะมีเอกชนบางรายตั้งใจกดราคายางในประเทศ”

ผู้สื่อข่าวรายงานผลสรุปการลงทุนของบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด ว่า บริษัทมีการซื้อยางทั้งในตลาดจริงซื้อขายยางจริง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ซื้อไปเท่าไหร่ ในวงเงินที่ร่วมทุนระหว่างการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กับ 5 เสือส่งออก รวมมูลค่า 1,200 ล้านบาท และมีการลงทุนในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งลงทุนไป 2 เดือนขาดทุนไปแล้ว เกือบ 7 ล้านบาท โดยการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เพื่อการส่งมอบสินค้า (RSS3D Futures) ในเดือน ก.ย.2560 จำนวน 112 สัญญา โดยปิดสถานะ RSS3DG18 (Fed) ราคาเฉลี่ย 64.65 บาท และปิดสถานะ RSS3DG18 (Mar) ราคาเฉลี่ย 65.62 บาท มีกำไรสุทธิในรอบเดือนก.ย. จำนวน 507,547 บาท

ส่วน เดือนต.ค. ลงทุน 184 สัญญา ทำโรลโอเวอร์(Roll Over) ปิดสถานะ RSS3DH18 (Mar) ราคาเฉลี่ย 58.61 บาท และปิดสถานะ RSS3DH18 (Apr) ราคาเฉลี่ย 60.36 บาท มีผลขาดทุน 6,978,630 บาท หรือปิดสถานะ 2 ครั้งขาดทุน 6,471,083 บาท ทั้งนี้สรุปการลงทุน 1 พ.ย. มูลค่าพอร์ต 21,560,196.67 บาท เงินคงเหลือในการเปิดสถานะ 14,461,896.67 บาท มาสถานะซื้อ 239 สัญญา ยางจำนวน 1,195 ตัน และอยู่ระหว่างทะยอยซื้อเพิ่มอีก 161 สัญญาให้ครบ 400 สัญญา หรือ 2,000 ตัน

ทั้งนี้ พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะมีการปรับ ครม.นั้น ส่วนตัวไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ไหน หรือจะอยู่ที่เดิม เป็นเรื่องของนายกฯที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมานายกฯไม่เคยถามความคิดเห็นส่วนตัวแต่อย่างใด ส่วนที่มีการระบุว่า ผมจะไป แล้วเอาทหารมาแทน ไม่เข้าใจว่าทำไมรังเกียจทหารกัน ทำไมทหารทำการไม่ได้หรือไร ผมก็ทหารผมมาอยู่กระทรวงเกษตรผมก็ทำงานได้ พล.อ.ฉัตรชัยกล่าว

รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2560 ที่ผ่านมานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำนายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรฯ เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าน่าจะเข้าหารือในเรื่องของตำแหน่ง ครม.ใหม่ เชื่อว่าน่าจะมีนายยุคลเป็นหนึ่งในตัวแทนรัฐมนตรีจากฝ่ายพลเรือน

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้พัฒนาคุณภาพผลปาล์มน้ำมันเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันในการตัดปาล์มสุก โดยการสร้างเครือข่ายในวงจรการค้าปาล์มน้ำมัน จัดอบรมเกษตรกร ผู้ตัดปาล์ม จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างเกษตรกร ลานเท และโรงงานสกัด ทำการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทางสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย และป้ายประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรตัดปาล์มสุกเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันเป็นการเพิ่มรายได้เกษตรกร รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดแหล่งผลิตปาล์มน้ำมัน ตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลตรวจสอบการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันคุณภาพตามเปอร์เซ็นต์น้ำมันอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้นำผลปาล์มน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพ กลับเข้าสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มได้อีก และขอให้สภาเกษตรกรจังหวัดชี้แจงทำความเข้าใจเกษตรกรในพื้นที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมัน

จากการสร้างเครือข่ายดังกล่าว ส่งผลให้เกษตรกรสามารถเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์ม โดยมีการทดสอบเปอร์เซ็นต์น้ำมันเพื่อหาค่าเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มที่สกัดได้ ณ บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) จ.กระบี่ โดยการรวบรวมผลปาล์มน้ำมันคุณภาพจากเกษตรกร 129 คน ใน 7 จังหวัดแหล่งผลิต ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ตรัง และสระบุรี มาทดสอบจำนวน 696.46 ตัน ในวันที่ 7 ตุลาคม 2560 ได้น้ำมันปาล์มดิบจำนวน 140.565 ตัน เปอร์เซ็นต์น้ำมันที่สกัดได้อยู่ที่ 20.18% เพิ่มขึ้นจากครั้งแรกที่ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 19.77%

ปัจจุบัน สามารถสกัดน้ำมันปาล์มดิบได้ที่ 17-18% อยู่แล้ว หากเกษตรกรจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันให้สูงขึ้นถึง 20% ก็สามารถกระทำได้ โดยการดูแลบริหารจัดการสวนปาล์ม ตั้งแต่การใช้พันธุ์ ดิน น้ำ และปุ๋ย รวมทั้งเก็บเกี่ยวผลปาล์มทะลายสุก

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรร่วมกันพัฒนาคุณภาพผลปาล์ม โดยการ ตัดปาล์มสุก ซึ่งจะได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันเพิ่มขึ้นและรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 1%น้ำมัน เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 0.30 บาท/กก. หากเพิ่มขึ้น 2% จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 1,800 บาทต่อไร่ ถ้ารวมกันทั้งประเทศเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 2.95 ล้านบาท และปริมาณน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 230,000 ตัน ดังนั้น เกษตรกรควรพัฒนาการปลูกปาล์มให้มีคุณภาพและการตัดปาล์มสุกก่อนนำไปขาย จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ผลงานปีแรก! สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม (APi) โชว์ผลงานปีแรก นำผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมข้าวในเครือข่าย 18 ราย เจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อทั่วโลก มียอดสั่งซื้อ 100 ล้านบาท เตรียมรุกจัดกิจกรรมขยายตลาดสินค้านวัตกรรมจากข้าวทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ นำผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวที่อยู่ในเครือข่ายของสถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม หรือ APi ซึ่งเป็นสถาบันในสังกัดกรมการค้าต่างประเทศ จำนวน ๑๘ ราย เข้าร่วมกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ในงาน International Rice & Rice Products Business Matching ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ โดยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าภายใน 1 ปี จะมียอดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวกว่า 100 ล้านบาท

สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารเสริมจากการสกัดน้ำมันรำข้าว วาฟเฟิลจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เยลลี่ข้าวจากเส้นใยใบโอเซลลูโลส วัสดุปิดแผลจากเส้นใยใบโอเซลลูโลสชีวภาพ ผงล้างหน้าจากข้าวลืมผัวและข้าวหอมมะลิ และแชมพูข้าวหอมนิล

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่การจำหน่ายภายในประเทศ แต่ยังสามารถส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งกระทรวงฯ มีแผนที่จะส่งเสริมและผลักดันสินค้านวัตกรรมจากข้าวอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการจัดงานต่อยอดงานวิจัยสินค้าเกษตรไทย กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับประเทศกลุ่ม CLMV และการจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรนวัตกรรมที่หลากหลายให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นางอภิรดีกล่าว

นอกจากนั้น ยังได้นำสินค้านวัตกรรมข้าวเข้าร่วมจัดนิทรรศการภายในงาน เพื่อแสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการนำนวัตกรรมมาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับข้าว ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรหลักของประเทศ และเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวหลากหลายชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวลืมผัว ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสังข์หยด ข้าวหอมนิล เป็นต้น เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในชาวไทยและชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยภายในงานผู้นำเข้าต่างชื่นชมและสนใจในสินค้านวัตกรรมข้าวของไทยเป็นอย่างมาก

ในส่วนของการจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ เป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และกรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทยได้เจรจาธุรกิจการค้ากับผู้นำเข้ากว่า 200 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลก เช่น จีน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เป็นต้น

ไทยครองแชมป์ตลาดผัก-ผลไม้ในเวียดนาม ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 61.8% หลังปลดล็อกการระงับนำเข้าผลไม้ไทย 4 ชนิด มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ และเงาะ แนะผู้ส่งออกต้องคุมเข้มเรื่องคุณภาพรักษาตลาด

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้การส่งออกผักและผลไม้ของไทยไปยังตลาดเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามได้รายงานตัวเลขการนำเข้า 7 เดือนของปี 2560 พบว่า การนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นถึง 3.2% และผักผลไม้ไทยมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุดถึง 61.8% ของการนำเข้าผักและผลไม้ทั้งหมดจากต่างประเทศของเวียดนาม โดยรองลงมา คือ จีน มีสัดส่วน 16% และยังพบว่ามีการนำเข้าจากอินเดียและนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้นด้วย

ผลจากการที่ไทยส่งออกผักผลไม้ไปเวียดนามได้เพิ่มขึ้น มาจากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้เวียดนามยกเลิกการระงับการนำเข้าผลไม้จากไทย 4 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ และเงาะ จนทำให้ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกผักและผลไม้ทุกชนิดไปยังเวียดนามได้ เลยส่งผลให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การส่งออกจะต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชที่ออกโดยหน่วยงานของไทยและส่งตัวอย่างผลไม้ให้กรมคุ้มครองพันธุ์พืช ภายใต้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามดำเนินการวิเคราะห์ เพื่อขอใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนที่จะดำเนินการส่งออกไปเวียดนาม

“กระทรวงพาณิชย์คาดว่าเวียดนามจะมีการนำเข้าผักและผลไม้เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เพื่อป้อนความต้องการของตลาดภายในประเทศและส่งออกต่อไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยจะต้องปรับตัว เพื่อแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานสุขอนามัยพืชต่างๆ ที่จะต้องรักษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการของตลาดให้มากขึ้น”นางอภิรดีกล่าว

นางอภิรดีได้กล่าวเสริมว่า ในด้านการลงทุน กระทรวงฯ มีแผนที่จะผลักดันให้ไทยขยายการลงทุนเข้าไปยังเวียดนามให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเวียดนามมีนโยบายในการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งไทยมี ข้อได้เปรียบในฐานะสมาชิกอาเซียน และเวียดนามเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่กระทรวงฯ ต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุน โดยเวียดนามมีนโยบายที่ชัดเจนในการเปิดรับนักลงทุน ปัจจุบัน ไทยได้มีการลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโครงการลงทุน 470 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่เวียดนามมีโครงการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งธุรกิจที่มีโอกาสมีทั้งด้านพลังงาน การเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การกระจายสินค้า ผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม และสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ กระทรวงกระทรวงพาณิชย์ ยังจะเดินหน้าผลักดันในการขยายการค้าและการลงทุนกับเวียดนามต่อไป และจะใช้เวทีต่างๆ ในการสร้างโอกาสทางการค้า การลงทุนให้กับผู้ประกอบการของไทย โดยในระหว่างการร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปค และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ 8-11 พ.ย.2560 ที่นครดานัง ประเทศเวียดนาม ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการพบปะเจรจาเพื่อขยายการค้าและการลงทุนกับเวียดนามประเทศกลุ่มอาเซียน และประเทศพันธมิตรที่เข้าร่วมประชุมด้วย

นางวนิดา ทิพย์ศักดิ์ พาณิชย์ จ.พะเยา เปิดเผยว่าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้นำเกษตรกร- กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน –สหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสัมมนาโครงการนำร่อง “การบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าวโดยใช้ Application” ทั้งนี้ให้เป็นไปตามการผลิตข้าวนาปี 2560/61 และนอกจากนี้แล้วการจัดสัมมนานำร่องในภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด เกี่ยวกับการบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าวโดยใช้เครื่องมือในด้านเทคโนโลยี่โดยมีนายวุฒิชัย เสาวโกมุท รองผู้ว่าราชการฯล พะเยา เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาโครงการฯ

นางวนิดากล่าวอีกว่า แต่ละปีที่ผ่านมาในพื้นที่พะเยา 68 ตำบล 9 อำเภอ ประสบปัญหาการขาดแคลนรถเกี่ยวข้าวแต่ละพื้นที่ ล่าสุดได้มีการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น ”จองรถเกี่ยว” จองผ่านพาณิชย์จังหวัด และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าว ยังเป็นการแก้ไขปัญหาค่าแรงแพงวันละกว่า 300 บาท เพราะไม่สอดคล้องกับราคาข้าวเปลือก กก.ละกว่า 10 บาท การนำเครื่องมือทางเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้าวแทนการใช้แรงงาน ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับชาวนาได้นับ 50% แล้วยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล คสช. กรณีเกี่ยวกับโครงการ 4.0

เช้าวันนี้ 12 พ.ย. เวลา 06.00 น. bing-vs-google.com ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดบึงกาฬ ว่าเช้าวันนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น สูดอากาศธรรมชาติยามเช้า ที่บริเวณ“หินสามวาฬ”เป็นจุดชมวิวที่สวยงามโดดเด่น อยู่ด้านตะวันออกของภายในศูนย์จัดการกลุ่มป่าสงวนที่ 154 ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู บ้านโนนทรายทอง หมู่ 8 ตำบลโคกก่อง อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ภูสิงห์ ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดบึงกาฬ

โดยเช้าวันนี้อุณหภูมิที่ยอดภูสิงห์อยู่ที่ 23 องศาประกอบกับมีลมพัดเข้ามาเบาๆ สามารถยืนชมทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก แม่น้ำโขงและภูเขาเมืองปากกระดิ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ชมความงดงามของธรรมชาติ ผ่านทิวทัศน์สองฝั่งโขงที่สวยงามของจังหวัดบึงกาฬ ที่ตั้งอยู่เหนือสุดแดนอีสาน ของประเทศไทย หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ ถ่ายเซลฟี่กับดวงพระอาทิตย์ เก็บไว้เป็นที่ระลึกและแชร์ภาพความสวยงามผ่านโซเซียลมีเดีย

ภาพจำเกี่ยวกับเมืองหลวงชื่อว่ากรุงเทพมหานครอาจเป็นสีสัน ความทันสมัย ผู้คนและรถราขวักไขว่ ราวกับทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไปช่างรวดเร็วเกินกว่าจะไขว่คว้าความหมายของชีวิต
สังคม วัฒนธรรม และวิถีของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วไม่อาจหยุดยั้ง เช่นเดียวกับเรือกสวนย่านบางขุนเทียน ฝั่งธนบุรีที่ในอดีตเคยเป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้หลากหลายชนิด หนึ่งในนั้น คือ ‘ลิ้นจี่’ ซึ่งในทุกวันนี้แทบไม่หลงเหลือ มีเพียงชื่อ ‘คุ้งลิ้นจี่’ ริมคลอง ภาพถ่ายเก่าสีขาวดำซีดจาง และคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่เป็นสักขีพยานการ (เคย) มีอยู่ของสวนลิ้นจี่ที่ครั้งหนึ่งนับเป็นผลผลิตขึ้นชื่อของชุมชนเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว

ทว่า ลูกหลานชาวสวนตัวจริงอย่าง พรทิพย์ เทียนทรัพย์ ไม่เคยหลงลืม ในทางกลับกัน ยังเป็นความทรงจำอันแจ่มชัด พร้อมถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์อย่างเข้าใจโลกยุคใหม่

‘ภูมิใจ การ์เด้น’ จึงถือกำเนิดขึ้นบนที่ดินของครอบครัวซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ของบางขุนเทียน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชาวสวนที่อบอวลด้วยบรรยากาศอบอุ่น ร่มรื่นเขียวขจีด้วยไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา น้ำคลองใสสะอาดที่เอ่อล้นริมฝั่ง อากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย

ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแบบฉาบฉวย หากแต่เป็นขุมทรัพย์ยากประเมินค่าที่น่าเดินทางมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง

เปิดตำนาน ‘ลิ้นจี่ บางขุนเทียน’ ขึ้นทะเบียน ‘จีไอ’
ย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 50 ปีก่อน พื้นที่แถบบางขุนเทียนก่อนแบ่งเป็นเขตจอมทองและเขตบางบอน ถือเป็นอำเภอที่ปลูกลิ้นจี่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมากที่สุด สองฝั่งของคุ้งน้ำที่อยู่เลยเข้าไปจากวัดบางขุนเทียนนอก บางขุนเทียนกลาง และบางขุนเทียนใน มากมายไปด้วยสวนลิ้นจี่ รศ. สมใจ นิ่มเล็ก ราชบัณฑิตชาวบางขุนเทียน เคยเขียนบทความเล่าบรรยากาศในยุคนั้นไว้ว่า มีเสียงการ ‘ชักตะขาบ’ เครื่องมือไล่สัตว์ทำจากไม้ ดังระงมทั้งกลางวันและกลางคืน

จุดเด่นของลิ้นจี่บางขุนเทียน คือ รสชาติซึ่งแตกต่างจากที่อื่น ผิวสีแดงคล้ำออกไหม้ รสหวานเม็ดเล็ก เรียกว่า ‘เม็ดตาย’ เมื่อแกะเปลือกออกจะเผยให้เห็นเยื่อบางๆสีชมพูห่อหุ้มเนื้อที่ไม่ฉ่ำน้ำไว้อีกชั้นหนึ่ง ลิ้นจี่ที่นี่มีหลายพันธุ์ ที่ขายดีที่สุดคือพันธุ์ ‘ใบยาว’ เพราะอร่อยกว่าพันธุ์อื่นๆ เช่น พันธุ์ใบอ้อ, ใบเขียวหวาน, กะโหลกยักษ์, กะโหลกในเตา, กะโหลกใบขิง, กะโหลกไฟไหม้, กระโถนท้องพระโรง, แห้ว, ตลับนาก เป็นต้น