อาจารย์วิเชียร ถือว่าเป็นปราชญ์พื้นบ้านที่ลองผิดลองถูก

ด้วยประสบการณ์ตรงที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่ผู้ที่สนใจปลูกไม้ผลทุกชนิด โดยเฉพาะเรื่องของสวนไม้ผลผสมผสานเพื่อให้เกิดรายได้ทั้งปี ที่เลี้ยงตนเองและแรงงานโดยไม่ลำบาก ทั้งยังมีเงินเหลือเก็บอีกด้วย จึงได้สรรหาสายพันธุ์ไม้ผลที่พันธุ์ดี ปลูกง่าย ทนแล้ง นำมาต่อยอดที่สวน และปลูกเป็นตัวอย่างจนประสบความสำเร็จถึงจะมาแนะนำต่อหรือบอกต่อ

การพัฒนาเรื่องของชมพู่ที่ไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะนักวิจัยจากประเทศไต้หวัน ชมพู่อี้เหวินดำและแดง มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติ ความใหญ่โตของผล หวาน กรอบ อร่อย ถือว่าเป็นชมพู่ยักษ์และสุดยอดของชมพู่ในช่วงนี้ก็ว่าได้ ยิ่งช่วงเดือนเมษายนนี้จะเป็นช่วงของหน้าร้อนที่มีผลไม้ดับร้อนมาให้รับประทาน ด้วยรสชาติที่หวาน กรอบ เปราะ กัดกินง่าย เป็นที่ถูกใจของผู้มาชิม ชมพู่อี้เหวินดำและแดง คำว่าสีดำหมายถึงแดงเข้มคล้ายเปลือกมังคุด หรือองุ่นดำก็ได้ ส่วนสีแดงก็สดใสออกแดงอมชมพู แต่รสชาติเหมือนกัน แตกต่างกันที่สีสันเพื่อความแปลกใหม่ของสายพันธุ์

สายพันธุ์ชมพู่อี้เหวินดำและอี้เหวินแดงนั้น ค่อนข้างจะใหม่ในบ้านเรา จึงยังมีผู้ปลูกไม่มาก แต่คาดว่าน่าจะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีการพัฒนาพันธุ์ คือให้ใหญ่กว่าเดิมและมีความหวาน กรอบ ชื่นใจ เป็นผลไม้ที่เหมาะเป็นทั้งรับประทานและเป็นของฝาก ปัจจุบัน ชมพู่บ้านเราก็มีการพัฒนาพันธุ์เยอะมาก เพื่อให้มีลักษณะที่เด่นขึ้นทั้งด้านสีสันและรสชาติ แม้กระทั่งขนาดของผลและลำต้นเตี้ย ปลูกได้แม้กระทั่งในท่อซีเมนต์ก็ให้ผลผลิตดกเช่นกัน

ด้วยผลชมพู่มีเปลือกบาง ทำให้ชมพู่ช้ำง่าย บวกกับอายุการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น ผลผลิตส่วนใหญ่จึงจำหน่ายภายในประเทศ ไม่เหมาะกับการส่งออก แต่ก็มีการส่งไปยังประเทศใกล้ๆ อย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ อยู่บ้าง ตามตำรายาโบราณใช้เนื้อชมพู่มาทำแห้งแล้วบดเก็บไว้กินเป็นยาบำรุงร่างกาย เมล็ดที่เราทิ้งไปไม่เห็นค่า ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้โรคเบาหวาน แม้แต่ใบก็ใช้เป็นยาลดไข้ แก้ตาเจ็บได้

ท่านผู้อ่านสนใจที่จะสอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ สวนสุวรรณีปรางทอง โดย อาจารย์วิเชียร บุญเกิด เลขที่ 161/2 หมู่ที่ 1 ตำบลอ่างทอง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร 62000 โทร. 085-244-1699

ผู้บริโภคในปัจจุบัน เริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ทั้งการเริ่มออกกำลังกายจนเกิดเป็นแฟชั่น หรือหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ หรือแม้แต่อาหารคลีน ซึ่งในแต่ละผลิตภัณฑ์ก็อาจจะต้องใช้ต้นทุนที่สูงพอสมควร แต่สำหรับการดูแลสุขภาพแบบไม่ต้องใช้ต้นทุนมากมาย ก็คือการบริโภคผักผลไม้ที่มีอยู่แล้วในบ้านเรา เช่น เสาวรส ด้วยสีสันที่สดใสและรสชาติที่ทำให้สดชื่น จึงเหมาะกับอากาศร้อนอย่างบ้านเรา

เสาวรส ผลไม้รสเปรี้ยวที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มีชื่อเรียกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กะทกรกฝรั่ง กะทกรกสีดา หรือกะทกรกยักษ์ จัดว่าเป็นไม้เถาเลื้อย ถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย อาร์เจนตินา

ผลเป็นรูปกลม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีหลายสีแล้วแต่พันธุ์ ทั้งสีม่วง เหลือง ส้ม ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาว ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง กลิ่นคล้ายฝรั่งสุก มีรสเปรี้ยวจัด บางพันธุ์ก็มีรสอมหวาน นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสุขภาพโดยเฉพาะหน้าร้อน เพราะให้ความสดชื่น ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้

โดยปกติแล้ว มักจะนำเสาวรสสุกมาทำน้ำผลไม้หรือใช้กินสดๆ จะช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต และช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ได้ นอกจากนี้ รากของเสาวรสยังเป็นสมุนไพรได้อีกด้วย โดยการนำรากเสาวรสมาต้มแล้วใช้ดื่ม ช่วยแก้โรคผื่นคัน หรือนำใบมาต้มกับน้ำดื่มก็ช่วยเป็นยาถ่ายพยาธิได้ดี

เสาวรสเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเขตอากาศเย็นทางภาคเหนือ หรือเขตอากาศร้อนชื้นทางภาคกลาง และภาคตะวันออก ถือว่าเป็นพืชที่ปลูกง่าย ดูแลไม่ยุ่งยาก แต่ให้ผลผลิตสูง

คุณจิระรักษ์ เจริญดิสรณ์ หรือ คุณนัท อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 107/9 หมู่ที่ 5 ตำบลเกาะขนุน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเกษตร สาขาเกษตรเขตร้อน (หลักสูตรนานาชาติ) และได้มีประสบการณ์เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ มหาวิทยาลัย Hue University of Agriculture and Forestry ประเทศเวียดนาม, มหาวิทยาลัย Tsukuba University ประเทศญี่ปุ่น, มหาวิทยาลัย Hiroshima University ประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันคุณจิระรักษ์ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรปลูกพืชผัก ผลไม้แปลก และธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัว ชื่อ Raipapa ไร่ป๊ะป๋า คุณจิระรักษ์ เล่าว่า ตนเองเป็นคนที่ชื่นชอบการทำเกษตรตั้งแต่เด็กๆ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกเรียนต่อคณะเกษตร พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้หลงใหลในการเกษตรมากขึ้น ครอบครัวจึงช่วยสานฝันให้คุณจิระรักษ์ โดยการซื้อที่ดิน 19 ไร่ เพื่อทำการเกษตร ควบคู่เรียนไปด้วย

คุณจิระรักษ์จึงเริ่มจากการทดลองปลูกดอกดาวเรือง ดอกมะลิ ข้าวโพดทับทิมสยาม และอื่นๆ ช่วยกันดูแลกับครอบครัว ด้วยวิธีการดูแลแบบเกษตรยุคใหม่ และเกษตรดั้งเดิมตามประสบการณ์ของครอบครัวนำมาปรับใช้ร่วมกัน การทดลองปลูกเป็นไปได้ด้วยดี ทำให้มีผลผลิตไปขายในท้องตลาด ถือเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว

แต่ด้วยพื้นที่ดินนี้มักจะถูกน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ ทำให้การปลูกดอกดาวเรือง ดอกมะลิ ข้าวโพดทับทิมสยาม และอื่นๆ ถูกน้ำท่วมเสียหายหมด จุดนี้จึงทำให้คุณจิระรักษ์กลับมาคิดทบทวนอีกครั้งว่าจะปลูกอะไรดี โดยการหาข้อมูลและแลกเปลี่ยนมุมมองกับคนรอบข้าง จนได้ข้อสรุปว่า ต้องปลูกผลไม้แปลก เพราะผลไม้แปลกมีราคาขายที่สูงมากในท้องตลาด และมีความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

ผลไม้แปลกชนิดแรกที่นำมาปลูกและได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปัจจุบันคือ เสาวรสฮาวาย เนื่องจากมีคนนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยได้ไม่นานนัก และเป็นที่สนใจอย่างมากของกลุ่มผู้บริโภค ด้วยกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ กินแล้วสดชื่น เหมาะกับเมืองร้อนอย่างประเทศไทย และเสาวรสยังเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน การปลูกในประเทศไทยจึงไม่เป็นสิ่งที่ยาก

โดยเริ่มต้นทดลองปลูก เสาวรสฮาวาย 1 แปลง มีต้นกล้าทั้งหมด 30 ต้น ปลูกแบบคู่ เนื่องจากเสาวรสเป็นพืชชนิดเถาเลื้อย จึงจำเป็นต้องทำค้างไว้ตรงกลางแปลง เพื่อให้เถาของเสาวรสเลื้อยได้ ค้างจะรองรับต้นและผลผลิตเสาวรส

คุณจิระรักษ์ กล่าวว่า เนื่องจากเสาวรสฮาวายเป็นผลไม้แปลกจึงไม่มีการระบุวิธีการดูแลอย่างชัดเจน คุณจิระรักษ์จึงใช้วิธีการปลูกโดยอิงจากเสาวรสพื้นบ้าน แต่การทดลองปลูกเริ่มแรกนั้นไม่ง่ายเลย ต้นกล้าทุกต้นที่ปลูกเติบโตมาอย่างดี แต่ก็มีบ้างต้นที่ไม่ออกผลผลิต คุณจิระรักษ์จึงใช้การสังเกตและทดลองนำกิ่งพันธุ์ต้นแม่ที่ติดผลมาเสียบยอดของอีกต้นหนึ่ง

การปลูกเสาวรสฮาวายด้วยการเสียบยอด นำกิ่งพันธุ์ของต้นแม่สายพันธุ์แท้ที่ติดผลแล้ว มาเสียบยอดกับตอเสาวรสพื้นบ้านไทย เพราะตอพื้นบ้านหากินเองเก่ง ทำให้ต้นโตไว การเตรียมหลุมปลูก ควรเตรียมหลุมก่อนล่วงหน้าระยะหนึ่งเพื่อให้อินทรียวัตถุที่ใส่ลงไปย่อยสลายก่อน ขุดหลุมปลูกโดยใช้ระยะปลูก 3×3 เมตร หลุมปลูกควรมีขนาด 30x30x30 เซนติเมตร อยู่บริเวณโคนเสาค้าง ก้นหลุมปลูกรองด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือเศษวัชพืช และปุ๋ยสูตร 15-15-15 ปริมาณ 100 กรัม จากนั้นผสมดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์อีกครั้งลงในหลุม

หลังปลูกเตรียมไม้ไผ่ขนาดเล็ก ความสูงถึงระกับค้างเพื่อเป็นหลักยึดต้นเสาวรสในช่วงแรก ทำค้างรองรับต้นและผลผลิต ค้างเสาวรสต้องมีความแข็งแรง ใช้ได้อย่างน้อย 3 ปี ขั้นตอนการปลูกแบบเสียบยอด ปลูกให้รอยต่อของยอดพันธุ์กับต้นตออยู่สูงกว่าระดับดิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทางรอยต่อ เมื่อปลูกต้นกล้าลงดินแล้วใช้หลักไม้ไผ่ปักและผูกเถาเสาวรสติดกับหลักหรือเสาค้างก็ได้ เพื่อให้ยอดของต้นตั้งตลอดเวลา

หลังจากนั้นเมื่อต้นเจริญเติบโตถึงค้างแล้ว ทำการตัดยอดเพื่อบังคับให้แตกเถาใหม่ 4 กิ่ง และจัดเถาให้กระจัดกระจายออกไปโดยรอบต้น ทั่วพื้นที่ของค้าง และควรตัดยอดรองเถาอีกครั้งเมื่อยาวพอสมควรแล้วเพื่อช่วยให้แตกยอดมากขึ้น

อัตราส่วนในการรดน้ำใส่ปุ๋ย รดในช่วงเช้า-บ่ายแก่ๆ และใส่ปุ๋ยสูตร 24-7-7 เพื่อบำรุงใบใส่ในช่วง 8 เดือน จนกระทั่งออกดอก จากนั้นใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-13 เพื่อบำรุงดอกและผล เมื่อต้นเสาวรสออกดอกแล้ว ผู้ดูแลจำเป็นต้องทำการผสมเกสรข้ามต้น เพื่อการติดผลที่ดี โดยนำเกสรตัวผู้ของอีกต้นมาป้ายที่ตัวเมียของอีกต้น ในช่วงเวลาประมาณ 09.00-12.00 น. ตอนดอกบานเต็มที่

“ตลาดผลไม้แปลกยังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ใช้พื้นที่น้อยในการปลูกแต่กลับได้ผลตอบแทนมากกว่าการปลูกผลไม้ทั่วไป สามารถตีตลาดพรีเมี่ยมได้ ลูกค้ามีกำลังซื้อมาก เสาวรสฮาวายสามารถขายได้ในราคา 1,000 บาทต่อกิโลกรัม แต่การปลูกผลไม้แปลกก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก ต้องมีความรู้ทั้งการดูแล และการปลูกร่วมกับพืชท้องถิ่น เพราะผลไม้แปลกบางชนิดก็อาจทำลายพืชท้องถิ่นได้”

สำหรับท่านใดที่สนใจเสาวรสฮาวาย ผลไม้แปลกชนิดอื่นๆ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณจิระรักษ์ เจริญดิสรณ์ ตำบลเกาะขนุน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ 064-696-5392 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเฟซบุ๊ก Raipapa ไร่ป๊ะป๋า

“สวนมะปรางบ้านพาฝันเป็นสวนที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่สวนทั้งหมด 2 ไร่ เราตั้งใจจะนำผลผลิตจากสวนของเราออกมาจำหน่ายให้ทุกท่านได้ลองเปิดใจชิม สวนเราเป็นสวนแบบออร์แกนิกแท้ 100% ใส่ใจทุกรายละเอียดค่ะ”

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการลงมือทำสวนมะปรางของ คุณฟ้า หรือ คุณโชติกา พุฒฤทธิ์ สาวน้อยวัย 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม คณะครุศาสตร์ สาขาคณิตศาสตร์ และเกษตรกรวัยใสแห่งสวนมะปราง ณ บ้านสวนพาฝัน ตำบลเมืองบางขลัง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ที่หันกลับมาต่อยอดอาชีพการทำสวนมะปรางของคุณยาย ในเนื้อที่เพียง 2 ไร่ พร้อมลุยตลาดออนไลน์ จนสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างสบายๆ

จุดเริ่มต้นของการปลูก คุณฟ้า เล่าว่า เดิมทีเพียงแค่ปลูกไว้รับประทานภายในครอบครัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปผลผลิตที่ได้ภายในสวนนั้นมีปริมาณที่เยอะขึ้น จึงทำการกระจายผลผลิตของมะปรางที่ปลูกไว้ ด้วยการขายให้คนในชุมชน ก่อนจะมองเห็นโอกาสการสร้างรายได้ในช่องทางดังกล่าว อีกทั้งเธอยังมีประสบการณ์จากการขายของออนไลน์ จึงอยากจะเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าทางออนไลน์ ด้วยการเรียนรู้ ศึกษาและลงมือทำมาจนถึงปัจจุบัน

“หลังจากที่บ้านปลูกบ้านแล้ว มีที่เหลือประมาณ 2 ไร่ คุณยายก็เลยลงสวนมะปรางไว้เยอะประมาณหนึ่ง ประมาณ 7-8 ปี จากนั้นผลผลิตมันเยอะมาก ขายแล้วก็ยังเหลือ ตัวของฟ้าเองก็เลยอยากจะมาลองเปิดโลกออนไลน์ดูค่ะ ก็เลยสร้างเพจเฟซบุ๊กขึ้นมา เพื่อขายมะปรางค่ะ เพราะว่าปลูกแล้วขายแถวบ้านนั้นนานแล้ว ก็เลยอยากลงมือทำค่ะ อีกอย่างเห็นหลายๆ คนเขาก็ทำกันค่ะ”

สำหรับวิธีการปลูกมะปราง ที่สวนมะปราง ณ บ้านสวนพาฝัน นั้น น้องฟ้า เล่าว่า ควรลงปลูกในช่วงของฤดูฝน เพราะต้นมะปรางจะได้รับปริมาณน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ และเป็นช่วงที่ต้นมะปรางมีการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งใบ ไม่ควรปลูกช่วงแดดจัดและอากาศไม่ควรร้อนจนเกินไป ควรเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นเท่านั้น เพราะช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้ต้นมะปรางจะสามารถตั้งต้นได้เร็วขึ้น

“สวนของเรา มะปรางที่ลงปลูกจะอยู่ในช่วงหน้าฝน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งใบ ต้นมะปรางจะได้รับน้ำฝนในปริมาณที่สม่ำเสมอและก็จะทำให้ต้นมะปรางสามารถตั้งต้นได้เร็วขึ้น ควรจะปลูกในช่วงเช้าหรือเย็นค่ะ เพราะอากาศจะไม่ร้อนจนเกินไป”

คุณฟ้า ยังบอกต่ออีกว่า แม้ต้นมะปรางจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแล้งได้ดี แต่ก็ยังคงเป็นพืชที่ชอบน้ำ สิ่งที่สำคัญที่ผู้ปลูกมะปรางควรทำความเข้าใจคือ แม้จะเป็นพืชที่ชอบน้ำ เมื่อถึงเวลารดน้ำอย่าให้เกิดการขังของน้ำบริเวณโคนต้น เพราะจะให้รากเน่าและตายได้ในที่สุด

“โดยปกติมะปรางจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแล้งได้ดี แต่ก็เป็นพืชที่ชอบน้ำ ตอนที่ปลูกช่วงแรกๆ ควรรดน้ำในช่วง 2-3 วันแรก เป็นระยะเวลา 3 เดือนแรก หลังจากที่ต้นโตแล้ว ก็อาจจะยืดระยะเวลาการรดน้ำออกไป อาจจะเป็น 7-10 วัน รดน้ำ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเราค่ะ รวมถึงขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ที่เราปลูกด้วยว่าเป็นอย่างไรค่ะ รวมถึงเวลารดน้ำอย่าให้น้ำขังบริเวณรากโคน เพราะอาจจะทำให้รากเน่าได้ และอย่าให้น้ำในช่วงที่มะปรางกำลังติดช่อ ถ้าเราให้น้ำไป ช่อมะปรางอาจจะร่วง ซึ่งจะส่งผลต่อมะปรางรุ่นถัดไป แล้วเราจะกลับมาให้น้ำอีกครั้งคือช่วงมะปรางติดลูกเล็กๆ ประมาณเท่าหัวนิ้วโป้งมือ”

ช่วงที่มะปรางจะเริ่มออกผลผลิตจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนมีนาคม ใครที่เป็นสายชอบรับประทาน ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้มะปรางมีผลผลิตที่น้อยลง ประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น หากพื้นที่ดังกล่าวน้ำท่วม ก็จะทำให้มะปรางมีผลผลิตที่น้อยลง ลูกไม่ดกเท่าที่ควร

สำหรับผลผลิตภายในสวนของคุณฟ้านั้น จะเป็นผลผลิตแบบออร์แกนิกแท้ 100% โดยคุณฟ้าให้เหตุผลว่าเมื่อลงมือทำแล้วนั้น ต้องเจอกับปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น เมื่อหันมาใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือต้นทุนที่ลดลงนั่นเอง ซึ่งการใส่ปุ๋ยจะแบ่งออกเป็น 3 รอบ ดังนี้

รอบแรกจะเป็นช่วงที่ต้นมะปรางยังเล็ก
รอบสองเป็นช่วงที่ต้นมะปรางเริ่มติดดอก
รอบสามจะใส่ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของต้นมะปราง

“ที่สวนจะใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ 100% อย่างเดียว ล้วนๆ เลยค่ะ ซึ่งเราจะรับซื้อแถวบ้านค่ะ เพราะว่าแถวบ้านเขาจะมีการเลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ อะไรแบบนี้กันอยู่แล้วค่ะ จะใช้เป็นมูลวัวและมูลไก่ค่ะ ซึ่งเหตุผลที่เราใช้ปุ๋ยคอก เพราะเริ่มแรกเราต้องการที่จะทำรับประทานเอง เราไม่อยากรับสารเคมี ก็เลยเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์และที่สำคัญลดต้นทุน เพราะมีบางช่วงที่ต้นทุนสูงมากค่ะ ซึ่งมูลสัตว์ที่เราใช้ต้องผ่านการย่อยสลายมาแล้วจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ เพราะจะมีธาตุอาหารจำพวกไนโตรเจน ฟอสฟอรัสแบบนี้เยอะ ตามที่เราต้องการ เพื่อที่จะให้ความหวานแก่มะปรางที่เราปลูกได้ค่ะ”

ในด้านโรคที่เกิดขึ้นและการป้องกันในการปลูกต้นมะปรางนั้น คือโรคราดำ เพลี้ยไฟ และโรคผลเน่า สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดสารชีวภาพ

เมื่อสอบถามถึงผลตอบรับของลูกค้า คุณฟ้า บอกว่า อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ ได้รับความสนใจทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

ราคาในการขายมะปราง ที่สวนมะปราง ณ บ้านสวนพาฝัน นั้นจะแบ่งออกเป็น 4 เกรด ดังนี้

1. ขนาด XL 12-14 ลูก ราคา 200 บาท

2. ขนาด L 15-18 ลูก ราคา 180 บาท

3. ขนาด M 19-20 ลูกราคา 160 บาท

4. ขนาดคละลูก คละไซซ์ คละลาย ราคา 120 บาท

สำหรับท่านใดที่สนใจจะสั่งซื้อหรือสอบถามเกี่ยวกับมะปราง สามารถติดต่อคุณฟ้า หรือ คุณโชติกา พุฒฤทธิ์ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก “สวนมะปราง ณ บ้านสวนพาฝัน” หรือทางเบอร์โทรศัพท์ 064-416-0597 และ 097-934-5464

“มะม่วงพันธุ์เขียวเสวย”หนึ่งในไม้ผลรอบบ้าน ที่คนไทยนิยมปลูกเพื่อรับประทานผลสด เพราะเป็นมะม่วงที่มีรสอร่อย เนื้อกรอบ รสชาติหวาน กลมกล่อม แต่บางรายปลูกมะม่วงเขียวเสวยมา 5-6 ปีแล้ว ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำก็แล้ว แต่กลับติดผลน้อยมากหรือแทบไม่ติดผลเลย เนื่องจากการพัฒนาของดอกเพศเมียไม่มากพอ หากต้องการให้มะม่วงติดผลดี จำเป็นต้องช่วยผสมเกสรให้ด้วย

ก่อนอื่น ต้องเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของ “มะม่วงพันธุ์เขียวเสวย” กันสักหน่อย ต้นมะม่วงเขียวเสวยที่ให้ผลแล้วจะมีทรงพุ่มโปร่ง ใบเรียวยาวปลายแหลม ผิวใบเรียบ สีเขียวเข้ม ชอบที่โล่งแจ้ง มักติดผลปีเว้นปี ผลกลม ยาวเรียว ปลายก้นงอน มีน้ำหนักผล เฉลี่ย 335 กรัม ความหวาน ประมาณ 19 องศาบริกซ์ มะม่วงเขียวเสวยมีการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านช้ากว่ามะม่วงพันธุ์อื่นๆ และเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคยางไหล เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อมีอายุ 105 วัน หลังจากดอกบาน

หากต้องการให้มะม่วงพันธุ์เขียวเสวยติดผลดก ต้องเริ่มจากบำรุงรักษาต้นให้เติบโตสมบูรณ์เสียก่อน ตัดแต่งกิ่งด้วยวิธีตัดแต่งรอบทรงพุ่ม จากปลายยอดลึกเข้าไปในทรงพุ่ม 50-100 เซนติเมตร ตัดกิ่งกระโดง และกิ่งแก่หรือมีโรคแมลงทำลายทิ้งไป ให้ทรงพุ่มโปร่ง ลมพัดผ่านและแสงส่องเข้าในทรงพุ่มได้

และบำรุงต้นให้สมบูรณ์โดยการให้น้ำและใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 30-10-10 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 10-20 กิโลกรัม ต่อต้น หว่านให้ทั่วทรงพุ่มและรดน้ำตาม ให้ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อมะม่วงแตกใบชุดที่ 2 ในอัตราเดียวกัน ก่อนมะม่วงออกดอก 2-3 เดือน เป็นระยะสร้างตาดอก ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อต้น และเพิ่มปริมาณปุ๋ยขึ้นเมื่อต้นมะม่วงมีอายุมากขึ้น ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 เดือน ใส่ปุ๋ย สูตร 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อไร่ หว่านรอบทรงพุ่มและรดน้ำตาม ทั้งนี้ ก่อนใส่ปุ๋ยควรกำจัดวัชพืชรอบโคนต้นให้สะอาด ป้องกันการแย่งปุ๋ยที่ใส่ลงดิน ระยะก่อนออกดอกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางทรงพุ่ม 3 เมตร ควรให้น้ำ 22 ลิตร ต่อต้น ต่อวัน หากมีฝนตกก็ให้เว้นไป และต้องงดการให้น้ำก่อนออกดอก 2 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ต้นมะม่วงสร้างตาดอก มะม่วงเริ่มแทงช่อแล้วจึงเพิ่มการให้น้ำมากขึ้น หมั่นกำจัดวัชพืช และโรคแมลงศัตรูอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับ “การช่วยผสมเกสร” ของเกษตรกรชาวสวนจังหวัดนครปฐมที่ใช้แล้วได้ผลดี ที่อยากนำมาบอกต่อ คือ เมื่อต้นมะม่วงออกดอก ในเวลายามเช้า เกษตรกรจะปีนขึ้นบนต้นมะม่วงไปเขย่าต้นและกิ่งเบาๆ เพื่อให้ละอองเกสรตัวผู้ปลิวฟุ้งกระจายจากส่วนยอดไปทั่วทรงพุ่ม เปิดโอกาสให้มีการผสมเกสรมากขึ้น ช่วงนี้ควรลดการใช้สารเคมีในสวนลง เพื่อเพิ่มจำนวนแมลงภู่ ผึ้ง มิ้ม ชันโรง ให้บินมากินน้ำหวานและช่วยผสมเกสรไปพร้อมกัน

“แมลงวันหัวเขียว” เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยผสมเกสรได้ อาศัยเทคนิคเพิ่มปริมาณแมลงวันหัวเขียว โดยนำเศษเนื้อหรือเศษปลาที่มีกลิ่นคาวจัดมาแขวนไว้ใต้ทรงพุ่มของต้นมะม่วง ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแมลงวันหัวเขียวจะยกขบวนมาตอมเศษเนื้อและเศษปลาดังกล่าว แมลงวันตอมจนพอใจแล้วจะบินไปกินน้ำหวานที่เกสรเพศเมีย จากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง เป็นการช่วยผสมเกสรให้ดอกมะม่วงเป็นอย่างดี น้ำหวานจากดอกมะม่วง หรือไม้ดอกชนิดต่างๆ จะทำหน้าที่ช่วยพัฒนารังไข่ของแมลงทุกชนิดให้แข็งแรงสมบูรณ์ ทำให้การผสมพันธุ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ช่วงที่ต้นมะม่วงติดดอก ต้องระวัง a href=”https://www.queermuseum.com/”>queermuseum.com “โรคแอนแทรกโนส ”เป็นกรณีพิเศษ โรคแอนแทรกโนส เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อราชนิดหนึ่ง หากเข้าทำลายในระยะออกดอก จะมีจุดสีแดงเกิดขึ้นที่ก้านดอกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ทำให้ดอกหรือผลอ่อนฝ่อและร่วง ช่วงการระบาดมักเกิดขึ้นในฤดูฝนที่มีความชื้นสูง

วิธีป้องกัน “โรคแอนแทรกโนส” คือ ต้องตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง ลมพัดผ่าน แสงแดดส่องเข้าไปในทรงพุ่มได้ การระบาดรุนแรงให้ใช้แมนโคเซบ 80 เปอร์เซ็นต์ ดับบลิวพี อัตรา 40-50 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่น 2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ และงดใช้สารเคมีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 7 วัน หรือใช้เบโนมิล 50 เปอร์เซ็นต์ ดับบลิวพี อัตรา 6-12 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่น 2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ และต้องงดการใช้สารเคมีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 14 วัน ส่วนแมลงที่ทำให้ผลมะม่วงร่วง ได้แก่ เพลี้ยจักจั่นมะม่วง แมลงชนิดนี้มีขนาดลำตัวยาว 1-2 มิลลิเมตร อาศัยอยู่บนต้นมะม่วงเป็นกลุ่ม ที่โคนก้านช่อดอกและก้านใบ ดูดกินน้ำเลี้ยงที่ก้านช่อดอก ทำให้ติดผลน้อย หรือไม่ติดผลเลยก็พบได้ ระบาดตั้งแต่ระยะแทงช่อจนกระทั่งติดผล มูลที่เพลี้ยขับถ่ายออกมามีรสหวาน กลายเป็นแหล่งอาหารของเชื้อราที่ปลิวอยู่ในอากาศ เกิดมีราสีดำขึ้นปกคลุมผิวใบ ทำให้ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงด้อยลง วิธีลดความรุนแรงของราดำให้ฉีดพ่นน้ำสะอาดล้างในยามเช้า นับว่าได้ผลดี

หากต้นมะม่วงโชคร้าย เจอ “เพลี้ยจักจั่นมะม่วง” ควรแก้ไขโดยใช้วิธีสุมไฟรมควันไล่ วิธีนี้ต้องทำบ่อยๆ หากเจอการระบาดรุนแรง ควรใช้แลมป์ดาไซฮาโลทริน 2.5 เปอร์เซ็นต์ อีซี อัตรา 10 ซีซี ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่นให้ทั่ว 1-2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ การระบาดของเพลี้ยจักจั่นจะหมดไปและให้งดใช้สารเคมีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างน้อยเป็นเวลา 8 วัน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

ดร. สุขุม อัศน์เวศ อดีตคณบดี คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แนะนำเคล็ดลับ การเก็บผลมะม่วงให้มีรสหวานแหลมและไม่เฝื่อน โดยใช้กรรไกร ตัดขั้วให้มีความยาว 5-10 เซนติเมตร ป้องกันยางไหลเปื้อนผลมะม่วง อย่าให้ผลมีรอยตำหนิ นำผลวางลงในตะกร้าที่มีวัสดุรองพื้น รีบนำเข้าโรงเรือนที่มีร่มเงา จากนั้นตัดขั้วผลให้เหลือความยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร นำไปวางคว่ำลงบนตระกร้าเพื่อให้ยางไหลออกจากผลจนหมดใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังยางแห้งแล้วให้นำผลมะม่วงไปล้างน้ำให้สะอาด นำขึ้นผึ่งลมจนแห้ง ผลมะม่วงที่ได้จะมีรสหวานแหลม ทั้งชนิดรับประทานผลสดและชนิดรับประทานผลสุก ใครชิมรสชาติแล้วต้องติดใจทุกราย