อาเซอร์ไบจานอีกหนึ่งโอกาสของการเกษตรไทยได้มีโอกาสไป

เยือน“อาเซอร์ไบจาน” ชื่อนี้หลายคนอาจจะงุนงงสงสัยว่าคืออะไร? อาเซอร์ไบจาน คือประเทศหนึ่งซึ่งอยู่แถวเทือกเขาคอเคซัส เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปตะวันออกกับเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย ทิศใต้ติดกับอิหร่าน ทิศตะวันตกติดกับอาร์มีเนีย ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับจอร์เจีย ด้านทิศตะวันออกก็ประชิดติดกับทะเลสาบแคสเปียน

ในอดีตอาเซอร์ไบจานเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ระยะเวลาการเดินทางโดยรวมก็ใช้ประมาณ 12 ชั่วโมง โดยจะต้องไปแวะต่อเครื่องที่ประเทศดูไบประมาณ 2-3 ชั่วโมง ประชากรที่นี่ก็มิได้หนาแน่นมากนักประมาณ 9 ล้านกว่าคน อยู่กันแบบสบายๆ ไม่แออัด พืชผักผลไม้ก็จะนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งดูโดยรวมแล้วก็ยังไม่มีความหลากหลาย อาหารการกินของที่นี่ก็จะเป็นพวกโยเกิร์ต เนื้อแกะ ปลา ข้าว และอื่นๆ ถึงแม้ว่าในทุกมื้อชาวอาเซอร์ไบจานจะให้ความสำคัญกับขนมปัง แต่เมื่อไปทานข้าวนอกบ้านก็จะเห็นว่ามีการสั่งข้าวมาด้วยเกือบทุกมื้อ นั่นแสดงว่าที่นี่ก็ยังให้ความนิยมในเรื่องของการบริโภคข้าวอยู่ด้วยเช่นเดียวกับคนไทย เท่าที่ทราบผักผลไม้ส่วนใหญ่จะนำเข้าผ่านทางประเทศอิหร่านที่อยู่ทางตอนใต้ และพวกหัวหอม มะเขือเทศก็จะมีนำเข้าจากทางประเทศตุรกีบ้างเล็กน้อย

จากการได้ไปเยือนและท่องเที่ยวประเทศอาเซอร์ไบจาน ทำให้มองหาช่องทางและโอกาสในตลาดค้าส่งผักและผลไม้จากประเทศไทย เนื่องด้วยความหลากหลายในเรื่องอาหารการกินของเขายังแพ้บ้านเราอยู่มาก อาจจะเนื่องด้วยผืนดินของเขาเต็มไปด้วยน้ำมันชั้นดี จึงทำให้การเพาะปลูกพืชผักผลไม้ของที่นี่ค่อนข้างแย่มากๆ จะต้องมีการนำดินจากต่างประเทศเข้ามาเพาะปลูก หรือถ้าจะปลูกให้ได้ก็ต้องปรับปรุงบำรุงดินขนานใหญ่กันเลยทีเดียว เนื่องด้วยด้านล่างลึกลงไปนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน ไม่ว่าจะเดินทางไปทั่วทุกแห่งหน ก็สามารถจะประสบพบเจอแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ทุกทีเต็มไปหมด และก็มีแท่นขุดเจาะน้ำมันโบราณแห่งแรกของโลกเราอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทริปนี้ก็ต้องขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ที่มองเห็นการณ์ไกลในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในอนาคต เพื่อสร้างโอกาสเปิดตลาดสินค้าภาคการเกษตร และรวมถึงสินค้าอื่นๆ ในประเทศเข้าไปยังประเทศแถบยุโรปและเอเชียตะวันออกเหล่านี้ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝั่งอาเซอร์ไบจาน ก็ให้การต้อนรับทีมงานเราอย่างดีเยี่ยมแบบวีไอพี และยังมีความสนใจให้นำสินค้าจากประเทศไทยของเราไปยังบ้านเมืองเขา โดยยินดีเปิดสถานที่ให้เรานำสินค้าไปจัดจำหน่ายได้ฟรี โดยไม่คิดค่าเช่า ซึ่งได้แต่หวังว่าเมื่อรัฐบาลของไทยมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ประเทศไทยเราก็สามารถที่จะเจรจาค้าขาย ระบายสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะภาคการเกษตรไปยังประเทศเหล่านี้ได้อีกมากมาย โดยที่จะเรียกได้ว่าประเทศเล็กๆ อย่างเราอาจจะมีไม่พอขายกันเลยทีเดียวเชียวละครับ

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็อยากให้พี่น้องเกษตรกรไทยตื่นตัว และให้ความสำคัญกับอาชีพ สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าภาคการเกษตรของเรา โดยการตั้งใจทำเกษตรกรรมในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ ให้มีความชำนาญยิ่งๆ ขึ้นไป ให้พร้อมรองรับความต้องการของตลาดโลกที่กำลังขยายตัวในทุกๆ วัน

ไอคอนสยาม อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต จัดกิจกรรมส่งมอบความสุขรับต้นปีใหม่ที่สดใสให้เด็กและเยาวชนในชุมชนเขตคลองสานและเขตธนบุรี ผ่านโครงการ “Citizen of Love” ชวนคนไทยมอบของขวัญแบ่งปันความสุข สร้างฝันเติมรอยยิ้มให้เด็กและเยาวชน จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชุมชนวัฒนา, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดพิชัยญาติ, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมัสยิดสุวรรณภูมิ และชุมชนมัสยิดบ้านสมเด็จ จำนวนกว่า 150 คน พร้อมจัดเลี้ยงอาหารกลางวันและกิจกรรมสนุกสนานต้อนรับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562

สำหรับโครงการ Citizen of Love เป็นกิจกรรมเพื่อสังคม เชิญชวนคนไทยร่วมกันส่งมอบความสุขด้วยการมอบของขวัญให้เด็กๆ และเยาวชนที่ขาดแคลนในชุมชนเขตคลองสานและเขตธนบุรี ซึ่งเด็กทั้งหมดได้บอกเล่าถึงความรู้สึกและของขวัญในฝันไว้แล้ว เพียงผู้ใจบุญเลือกซื้อของขวัญให้เด็กที่ตนต้องการสานฝันให้เป็นจริง โดยร่วมบริจาคเงิน จำนวน 250 บาท และทางไอคอนสยามจะร่วมสมทบทุนอีก 250 บาท เป็นจำนวนเงินรวม 500 บาท เพื่อซื้อสิ่งของและมอบให้กับเด็กๆ ตามที่เขาต้องการ

ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจและร่วมบริจาคเพื่อสานฝันให้เด็กๆ จำนวนมาก ไอคอนสยามจึงได้จัดกิจกรรมเพื่อเลี้ยงอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร Falabella River Front โดยมี นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด มาร่วมส่งมอบของขวัญให้กับเด็กๆ จำนวนกว่า 150 คน จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชุมชนวัฒนา, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดพิชัยญาติ, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมัสยิดสุวรรณภูมิ และชุมชนมัสยิดบ้านสมเด็จ ในพื้นที่เขตคลองสานและเขตธนบุรี เพื่อเป็นของขวัญพิเศษเนื่องโอกาสในวันเด็กแห่งชาติในปี 2562 นี้

อาจารย์วรรณี ไวยศิลป์ หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนมัสยิดบ้านสมเด็จ กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Citizen of Love ของไอคอนสยามในครั้งนี้ วันนี้เด็กๆ ดีใจและตื่นเต้นกันมาก เพราะจะได้มาเที่ยวที่ไอคอนสยาม และมารับของขวัญที่พวกเขาอยากได้และเขาเฝ้ารอ ต้องขอขอบคุณไอคอนสยามและขอบคุณผู้ใหญ่ใจบุญทุกๆ ท่านที่ส่งต่อความสุข ช่วยกันซื้อของขวัญให้กับเด็กๆ อยากให้จัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ต่อไปค่ะ”

ฟู้ดอินโนโพลิสเปิดอบรมโครงการ PADTHAI ครั้งที่สอง ซีอีโอเผยเสียงตอบรับดีการันตีด้วยผลงาน “พริกค่ะ สไปซี่” อันลือลั่น หนึ่งในความสำเร็จของผู้เข้าร่วมอบรมที่เปิดตลาดในจีนและไต้หวัน รวมทั้งบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจ

ดร. อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ในฐานะ ซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ ฟู้ดอินโนโพลิส กล่าวว่า หลังจากที่ฟู้ดอินโนโพลิสได้เปิดอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประกอบธุรกิจอาหารและต้องการพัฒนา รูปแบบธุรกิจเติมโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้ PADTHAI 2018 by Food Innopolis

เมื่อปีที่ผ่านมาปรากฏว่าเสียงตอบรับดีมาก และมีเสียงเรียกร้องให้เปิดอีก ทางโครงการฯ จึงได้จัดขึ้นมาอีกครั้ง โดยระดมวิทยากรระดับหัวกะทิมาให้ความรู้อย่างเข้มข้นกว่า 10 ท่าน และการโค้ชอย่างใกล้ชิดจากทีมงาน ตลอด 6 วันเต็ม คือระหว่างวันที่ 4-9 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์และเรือนเครือวัลย์รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 สัมภาษณ์และประกาศผลผู้ได้เข้าร่วมโครงการ 7-8 กุมภาพันธ์ 2562

“ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับโอกาสเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทางธุรกิจ ทุน และบริการ One Stop Service จากเมืองนวัตกรรมรวมถึงเครือข่าย นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิเข้าเป็นผู้ประกอบการในเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหารและโอกาสในการเข้าโครงการอื่นของเมืองนวัตกรรมอาหารด้วย โดยตัวอย่างของผู้เข้าร่วมอบรมที่ประสบความสำเร็จคือ กาแฟพริกภายใต้แบรนด์ “พริกค่ะ สไปซี่ คอฟฟี่” จนสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองจากการประกวดนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของโลก อย่างงาน Invention Geneva สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตลาดกาแฟโลก และได้รับอนุสิทธิบัตรคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 10 ปี ทั้งในและต่างประเทศ และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยเป็นเวลา 8 ปี ชูความเป็นนวัตกรรมของไทยอวดสายตาชาวโลก ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ” ซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร กล่าว

ซีอีโอเมืองนวัตกรรมอาหาร กล่าวต่อว่า โครงการ PADTHAI เปรียบเสมือนโปรแกรมเร่งรัดที่จะพัฒนาศักยภาพของธุรกิจเอสเอ็มอีด้านอาหารโดยอาศัยแนวคิดการสร้างผลิตภัณฑ์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าและบริการกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดสากล เพื่อเตรียมความพร้อมการนำเสนอธุรกิจต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นแนวทางแสวงหาการลงทุนสำหรับต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกิจนวัตกรรมอาหารต่อไป สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทาง https://goo.gl/forms/YbicWxDVraywlqaU2 หรือ Facebook Fanpage: Padthai by Food Innopolis

สายพันธุ์สุนัขแต่ละสายพันธุ์ ต่างมีประวัติความเป็นมาของแต่ละสายพันธุ์ที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อเป็นเพื่อนกับมนุษย์ เฝ้าบ้าน เลี้ยงสัตว์ หรือเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ตามสถานการณ์

บลูด็อก (Bulldog)เป็นสุนัขอีกสายพันธุ์ ที่ได้รับการพัฒนาจากสายพันธุ์มาสทีฟฟ์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์เก่าแก่ เพื่อใช้ในกีฬาล่าหมีและตัวแบดเจอร์ (สัตว์ขนาดเท่าสุนัขจิ้งจอก เท้ามีเล็บอย่างหมี) บลูด็อกถูกพัฒนาให้สามารถหายใจได้ ขณะที่ตัวสุนัขกำลงกัดและห้อยตัวแขวนอยู่บนคอของคู่ต่อสู้ที่โชคร้าย การเพาะพันธุ์ในระยะแรกก็เพื่อเกม กีฬาสู้วัว ซึ่งเป็นเกมกีฬาที่เป็นที่ชื่นชอบในอังกฤษมากว่า 700 ปี

หน้าตาของเจ้าบลูด็อก อาจดูไม่งดงามสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับผู้ที่ชื่นชอบสุนัขสวยงาม ขนฟูฟ่อง แนวน่ารัก อาจไม่ปลื้มกับเจ้าบลูด็อกมากนัก เพราะดูเผินๆ แล้วคล้ายสุนัขยิ้มยาก หน้าตาค่อนไปทางดุเสียมากกว่า

แต่สำหรับผู้ที่รักฝังใจ ชื่นชอบสายพันธุ์นี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร บลูด็อก ก็ยังเป็นสุนัขที่น่ารักเสมอเช่นเดียวกับคุณอุดมศักดิ์ โล้เจริญรัตน์ ผู้ชื่นชอบสัตว์ประเภทสวยงามมาตั้งแต่เด็ก ถึงกับแสดงความรับผิดชอบในการเลี้ยงและดูแลสุนัขด้วยตนเองทุกอย่าง เมื่อคุณพ่อซื้อให้เมื่ออายุ 7 ปี และหลังจากนั้นก็รับผิดชอบทำฟาร์มวัวสวยงาม สายพันธุ์บราห์มัน ในวัยเพียง 12 ปี ซึ่งไม่เฉพาะการดูแลฟาร์มเท่านั้น คุณอุดมศักดิ์ ยังเริ่มเข้าสู่วงการประกวดวัวสวยงามด้วย

ตลอดการสะสมประสบการณ์การเลี้ยงสัตว์สวยงามในวัยเด็กสู่วัยรุ่น ของคุณอุดมศักดิ์ เป็นรากฐานอันดี ที่คุณอุดมศักดิ์รับรู้อยู่เสมอและประเมินตนเองแล้วว่า รักและชื่นชอบสัตว์สวยงาม เป็นพิเศษ จึงตัดสินใจเรียนสัตวบาล ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

คุณอุดมศักดิ์ ตั้งใจว่า หากมีความพร้อมเพียงพอจะนำสายพันธุ์บลูด็อกมาเลี้ยง

“บลูด็อก เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในใจผมมาตั้งแต่เด็ก ในอดีตสุนัขสายพันธุ์นี้ราคาแพงมาก เพราะบุคลิกของสุนัขสายพันธุ์นี้ไม่เหมือนสุนัขสายพันธุ์อื่น มีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่แตกต่าง เมื่อผมเรียนจบ มีความพร้อม จึงเริ่มหาสุนัขสายพันธุ์บลูด็อกมาเลี้ยง”

ในครั้งแรกบลูด็อกของคุณอุดมศักดิ์ ถูกซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อเวลาผ่านไป คุณอุดมศักดิ์รู้ทันทีว่า บลูด็อกที่มีอยู่ยังไม่ใช่สุนัขที่ดีพอ เขาจึงเริ่มมองหาสุนัขที่สมบูรณ์มากพอจะเป็นแม่พันธุ์หรือพ่อพันธุ์ได้ ซึ่งการเกาะขอบรั้วสนามประกวดสุนัขบลูด็อก ช่วยคุณอุดมศักดิ์ได้มาก เขาเริ่มศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุนัขสายพันธุ์นี้อย่างละเอียด และในที่สุดก็ได้พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ที่ได้รับการผสมพันธุ์ หรือ การบรีด (Breed) ในเมืองไทยสร้าง มันตา บลูด็อกตั้งเป้า นักปรับปรุงพันธุ์

คุณอุดมศักดิ์ เล่าว่า เขารักที่จะเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ หรือ บรีดเดอร์ (Breeders) จึงมุ่งหวังปรับปรุงสายพันธุ์บลูด็อกที่ผสมและเกิดในเมืองไทยด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้น การปรับปรุงพันธุ์บลูด็อก เพื่อก้าวสู่เวทีประกวด จึงเป็นเป้าหมายหลัก ส่วนการเพาะพันธุ์เพื่อจำหน่ายนั้นไม่ถือว่าเป็นเป้าหมาย หากบลูด็อกที่ได้รับการผสมออกมาเป็นสายพันธุ์ที่ดี ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

“ผมตั้งชื่อฟาร์มว่า มันตา บลูด็อก คำว่า มันตา เป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า ปัญญา”

คุณอุดมศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า การเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป คุณอุดมศักดิ์ จึงต้องศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบรีด เพื่อให้ได้สุนัขสายพันธุ์บลูด็อกที่ดีและได้มาตรฐาน รวมทั้งมีความมุ่งมั่นพัฒนาบลูด็อกขึ้นมาให้เป็นสายพันธุ์ที่เขาบรีดเอง ก้าวเข้าสู่สนามประกวด

เกือบ 10 ปีแล้ว สำหรับการทำฟาร์มบลูด็อก คุณอุดมศักดิ์ ยอมรับว่า บลูด็อก เป็นสุนัขที่ยากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในการบรีด โดยเฉพาะขั้นตอนการอนุบาลยิ่งยากกว่า ซึ่งการบรีด จำเป็นต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เช่น แม่พันธุ์ จำเป็นต้องเจาะเลือดตรวจหาฮอร์โมน วันตกไข่ เพื่อเก็บน้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์นำมาผสมเทียม จากนั้นกำหนดวันผ่าคลอด ซึ่งการผ่าคลอดจะนับจากวันผสมครั้งที่ 2 ไปอีก 60 วัน

“ที่นี่ใช้การผสมเทียม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเก็บน้ำเชื้อสดผสมทันที เหตุผลหนึ่งที่ไม่ให้สุนัขทับกันเอง เพราะบลูด็อกเป็นสุนัขหน้าสั้น เหนื่อยง่าย หากปล่อยผสมเอง พ่อพันธุ์จะเหนื่อยก่อนได้รับการผสมพันธุ์ นอกจากนี้ก่อนที่จะนำแม่พันธุ์เข้าสู่การบรีด ผู้เลี้ยงควรให้อาหารเพียงวันละครั้ง เพื่อให้สุนัขผอม เพราะหากน้ำหนักมากขณะตั้งท้องอัตราการผสมติดจะน้อย”

มันตา บลูด็อก ใช้แม่พันธุ์สำหรับอุ้มท้องเมื่อผสมติดได้ลูกสุนัข เมื่อสุขภาพสุนัขท้องพร้อมคลอด จะใช้วิธีผ่าคลอดทั้งหมด หลีกเลี่ยงการคลอดธรรมชาติ โดยคุณอุดมศักดิ์ ระบุว่า การให้สุนัขคลอดธรรมชาติมีโอกาสเสี่ยงสูญเสียลูกสุนัขสูง จึงต้องสังเกตพฤติกรรมของสุนัขใกล้คลอด เมื่อใกล้วันกำหนดคลอด และมีพฤติกรรมไม่กินอาหาร ขุด นอนไม่ได้ กระสับกระส่าย และอุณหภูมิร่างกายลดเหลือต่ำกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ ก็เตรียมผ่าคลอดได้ทันที

ผสมเทียม ผ่าคลอด เหมาะที่สุดอนุบาลลูกสุนัข ไม่ใช่เรื่องง่าย

10 วันสุดท้ายก่อนคลอด มันตา บลูด็อก จะแบ่งมื้ออาหารให้กับแม่สุนัขเป็น 4 มื้อ เพื่อให้กินเต็มที่ หากถ่ายเหลวบ้าง ผู้เลี้ยงก็ไม่ควรกังวล และควรให้อาหารลูกสุนัขกับแม่สุนัขที่ตั้งท้อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกสุนัขภายในท้อง หากไม่ให้อาหารลูกสุนัข อาจเกิดปัญหาแม่สุนัขเลี้ยงลูกได้ไม่นานพอ ไม่มีนมให้ลูกสุนัข แม่สุนัขสมบูรณ์ไม่เพียง ไม่มีแรงเลี้ยงลูก เป็นต้น

“หากให้แม่สุนัขคลอดเอง อันตรายทั้งแม่สุนัขและลูกสุนัข จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ลูกสุนัขที่ปล่อยให้คลอดเองจะตายเกือบทั้งครอก เพราะแม่สุนัขไม่สามารถกัดรกได้ดีพอ อีกทั้งโครงสร้างของสายพันธุ์บลูด็อกมีสัดส่วนหัวที่โตกว่าสุนัขพันธุ์อื่น 1 ½-2 เท่า”

หลังลูกสุนัขคลอดออกมาแล้ว คุณอุดมศักดิ์ จะแยกลูกสุนัขไว้ต่างหาก เมื่อถึงเวลากินนมจะนำไปให้ดูดนมกับแม่สุนัข จำนวน 12 ครั้งต่อวัน จากนั้นค่อยๆ ลดปริมาณลดเหลือ 8 ครั้งต่อวัน 6 ครั้งต่อวัน และ 4 ครั้งต่อวันเมื่อลูกสุนัขอายุ 3 เดือน และเมื่อลูกสุนัข 6 เดือน เหลือเพียง 2 มื้อต่อวัน

ลูกสุนัขแรกเกิด คุณอุดมศักดิ์ บอกว่า จำเป็นต้องกกไฟ เพราะลูกสุนัขต้องการความอบอุ่น โดยมันตา บลูด็อก ใช้ไฟอินฟราเรดนำเข้าจากเยอรมัน เป็นการช่วยให้ลูกสุนัขมีอัตราการหายใจต่ำ ไม่หอบ แต่ขณะเดียวกันลูกสุนัขยังคงต้องการความอบอุ่น ฉะนั้น การอนุบาลลูกสุนัขที่ควรทำ คือ เปิดแอร์ และให้ไฟกก ซึ่งไฟกกที่ดีต้องไม่ทำให้อุณหภูมิภายนอกร้อน แต่ควรส่งรังสีที่ทำให้ลูกสุนัขอบอุ่น และช่วยให้อัตราการสะสมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระดูกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุนัขทุกสายพันธุ์ และให้นำไฟกกออกเมื่อสุนัขปฏิเสธ โดยดูจากการเดินหนีออกจากบริเวณไฟกก

พัฒนาอาหารสุนัขวัยอ่อนสร้างพัฒนาการลุกสุนัข

“ผมให้อาหารลูกสุนัขที่ผู้เชี่ยวชาญลูกสุนัขวัยอ่อนพัฒนาสูตรขึ้น ภายในแบรนด์ มันตา ชื่อ มันตา โกลด์ ลูกสุนัขจะกินมันตา โกลด์ ไปพร้อมๆ กับนมแม่สุนัข อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อสร้างพัฒนาการที่ดี อาหารลูกสุนัขชนิดนี้เป็นอาหารกระป๋อง เนื้อนุ่มคล้ายมูส (Moose) มีความหนืดที่เหมาะสม และเมื่อความต้องการนมแม่น้อยลง ลูกสุนัขจะเข้าสู่อายุหย่านม เขาก็จะพร้อมกินอาหารเม็ด ซึ่งมันตา บลูด็อก เริ่มให้อาหารเม็ดกับลูกสุนัขหลังจากลูกสุนัขมีอายุ 28 วันขึ้นไป”

คุณอุดมศักดิ์ อธิบายว่า การบรีดสุนัข จำเป็นต้องคัดเลือกแม่สุนัขที่มีคุณลักษณะดี สุขภาพแข็งแรง ซึ่งหากพบว่าสุนัขตัวใดมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จะงดการผสม หรือหากสุนัขตั้งท้องแล้วมีปัญหาผิวหนัง เมื่อลูกสุนัขคลอดแล้วต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวระหว่างลูกสุนัขและแม่สุนัข โดยอาจใช้ผ้าปิดตัวแม่สุนัขทั้งหมด ให้โผล่มาเฉพาะบริเวณหัวนมให้ลูกสุนัขดูดเท่านั้น หลังดูดนมเสร็จก็แยกลูกสุนัขออกทันที

ปัญหาด้านสุขภาพ ที่คุณอุดมศักดิ์ แนะให้เป็นข้อควรระวังในการเลี้ยงบลูด็อก คือ การเป็นลมแดด ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้กับสุนัขสายพันธุ์บลูด็อก คือ เมื่อเจอภาวะร้อน ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน อวัยวะภายในและระบบสั่งการจากประสาทจะล้มเหลว สุนัขก็จะตาย ดังนั้น ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรให้สุนัขอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนนานเกินไป เช่น การขังกรงตากแดด ทิ้งสุนัขให้อยู่ในรถนาน อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย จำเป็นสำหรับสุนัขสายพันธุ์นี้เช่นกัน แต่ควรให้ออกกำลังกายอย่างพอดี ไม่เหนื่อยมากเกินไป เช่น การเดินบริเวณบ้าน จากจุดแรกไปปลายทางและกลับมาจุดที่เริ่มต้น ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น จึงไม่ถือว่าเหนื่อยมาก

การแบ่งสัดส่วนพื้นที่เลี้ยงบลูด็อก ของมันตา บลูด็อก นั้น คุณอุดมศักดิ์ สร้างคอกสุนัขทำจากไม้ไว้ขนาด 60 เซนติเมตร คูณ 80 เซนติเมตร ต่อสุนัข 1 ตัว ขนาดพอดีตัวของสุนัข พื้นเป็นพื้นไม้ซี่ เพื่อให้สุนัขยืนได้อย่างมั่นคง และโรยขี้เลื่อยกับพื้นให้สุนัข ช่วยให้ข้อศอกไม่ด้าน ไม่มีแผลที่ข้อเท้า รวมถึงการโรยผงมันตา ดราย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูดกลิ่น ซึ่งเหตุผลที่คุณอุดมศักดิ์เลือกใช้ผลิตภัณฑ์มันตา ดราย เพราะเป็นตัวดูดซับกลิ่นได้ดี ทำให้ไม่ต้องล้างคอกสุนัขและดูดความชื้นได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงสุนัขบลูด็อก สำหรับมันตา บลูด็อก แล้ว จะใช้วิธีเปิดแอร์ให้กับสุนัขตลอดเวลา

บลูด็อก แข็งกร้าว แต่ไม่ก้าวร้าวฝึกแบบเดียวกับสุนัขประกวดเพราะคุณอุดมศักดิ์ วางเป้าหมายไว้ที่การบรีดสุนัขเพื่อการประกวด ทำให้มันตา บลูด็อก ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้ได้ลูกสุนัขสายพันธุ์และคุณภาพดี ดังนั้น บลูด็อก ทุกตัวที่นี่จะได้รับการฝึกเช่นเดียวกับสุนัขประกวด รู้จักเคารพคน ไม่เฉพาะผู้ฝึกหรือผู้เลี้ยงเท่านั้น แต่จะรวมถึงคนทุกคนด้วย นอกจากนี้การฝึกยังทำให้บลูด็อกไม่กลัวเสียงดัง ไม่กลัวสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้เลี้ยงหรือเจ้าของสุนัข

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณอุดมศักดิ์ เน้นย้ำ คือ บลูด็อก เป็นสุนัขที่แข็งกร้าว แต่ไม่ก้าวร้าว ดังนั้น การไม่ประมาทในการเลี้ยงสุนัขจึงเป็นสิ่งที่ผู้เลี้ยงควรใส่ใจ การใส่สายใจให้กับสุนัขเมื่ออยู่นอกคอกจึงไม่ควรละเลย แม้ปล่อยให้สุนัขเดินเล่นภายในบ้านก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ในพริบตาเดียว สุนัขเด็กที่ออกจากบ้านมันตา บลูด็อก ต้องมีอายุอย่างน้อย 10 อาทิตย์

ในทุกการประกวด จะมีสุนัขจากบ้านมันตา บลูด็อก อย่างน้อย 3 ตัว ที่เข้าประกวด และไม่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นบลูด็อกที่บรีดจากบ้านมันตา บลูด็อก ได้รางวัล

คุณอุดมศักดิ์ นำความรู้และประสบการณ์ มาพัฒนาสายพันธุ์บลูด็อก ตามความรักที่มีต่อสุนัขสายพันธุ์บลูด็อก ซึ่งเขาพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือเผยแพร่ความรู้การเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์บลูด็อกอย่างถูกต้อง ติดต่อคุณอุมศักดิ์ ได้ที่โทรศัพท์ 080 999 00 45 ยินดีตอบทุกคำถามที่จังหวัดสกลนคร อาหารที่เป็น “เมนูเด็ด” จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มของอาหารที่ใครๆ คิดว่าทำเป็นทำได้ แต่รสชาติจะเป็นแบบดั่งเดิมตามสูตรโบราณหรือไม่นั้น ต้องลองชิมดู ถึงจะรู้

คุณบังอร ไชยเสนา เกษตรกลุ่มเลี้ยงกบ บ้านน้อยจอมศรี ต.ฮางโฮง อ.เมือง จ.สกลนคร เล่าว่า จากการที่เลี้ยงกบไว้มากมาย ทั้งจำหน่ายเป็นตัว และจำหน่ายลูกอ๊อด ในแต่ละปีจำนวนนับล้านตัว ปัญหาที่พบส่วนหนึ่งของการเลี้ยงกบ คือ กบตาย จึงลองหาวิธีการเก็บกบที่ตายมาแปรรูป ทำอาหารจากกบเก็บไว้กินนานๆ หรือเพื่อสร้างรายได้

“จากที่เคยทำอาหารช่วยพ่อแม่ ในรูปแบบของอาหารพื้นบ้าน ได้เรียนรู้เอาภูมิปัญญาในการเก็บถนอมอาหารมาจากคุณพ่อคุณแม่ เช่น เมื่อปลาได้มามาก ก็จะนำไป ทำปลาร้า หรือทำปลาย่างรมควันสูตรคนโบราณ เก็บไว้กินเองหรือนำออกไปจำหน่าย ดังนั้น เมื่อมาเลี้ยงกบ และกบตายจึงได้ใช้วิชาภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ ด้วยการนำกบมาทำยัดอั่ว ที่เรียกกันตามกรรมวิธีการทำ”

คุณบังอร บอกว่า วีธีทำกบยัดอั่ว ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องมีเทคนิคในการเก็บอาหารประเภทนี้ไว้นานๆ ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งสูตรนี้ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก หรือรู้แต่เก็บได้ไม่นาน ในสูตรของตัวเองก็คือ เครื่องปรุงส่วนผสม เริ่มจากวัตถุดิบหลักคือ กบ จะให้ดีต้องเป็น กบนา รสดีกว่ากบเลี้ยง ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก พริกไทย หอมแดง เกลือ

วิธีทำ ลอกหนังกบ โดยตัดหัว ขา ควักเอาเครื่องในออกแล้ว ล้างรูดคาวด้วยใบตะไคร้สัก 2-3 หน พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แบ่งกบส่วนหนึ่งมาทำไส้ โรยเกลือที่เนื้อ หนังและขากบนิดหน่อยแล้วสับให้ละเอียด โขลกข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก พริกไทย หอมแดง คลุกเคล้ากับเนื้อกบจนเข้าเนื้อ จากนั้นใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าไปในปากกบ (ยัดอั่ว) แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง โดยการนำออกไปตากแดด

“ตรงนี้เองเป็นเทคนิค ที่ทำให้กบเก็บไว้ได้นานหรือไม่ บางเจ้าจะตากแดดพอหมาดๆ แล้วนำไปทอดหรือย่าง ซึ่งหากกบไม่แห้งพอ จะทำให้มีกลิ่นคาว และเก็บไว้นานไม่ได้ ที่สำคัญสูตรของตนเองจะต้องตากแดดอย่างน้อย 2-3 วัน เมื่อเห็นว่าแห้งดีแล้วจึงนำออกมาทอดหรือย่างให้สุก เพราะหากจะนำไปย่างหรือทอดให้เหลืองกรอบก็จะได้ “กบยัดอั่ว” หอม อร่อย สังเกตว่าในสูตรของตนเองจะไม่มีการใส่กระเทียม เนื่องจากหากเก็บไว้นาน “ยัดอั่ว” กบสมัยโบราณจะไม่มีการใส่กระเทียม เพราะกระเทียมจะทำให้กบมีกลิ่นคาวจึงไม่ใส่”

อย่างไรก็ตาม กบที่นำมาทำกบยัดอั่วจะใช้ขนาดปานกลาง ประมาณ 8-9 ตัว ต่อกิโลกรัม เพราะหากใช้กบตัวโตเกินไป จะทำให้เหนียว และกระดูกแข็ง เนื้อไม่นุ่ม และราคาจะไม่แพง กบยัดอั่ว 1 ตัว ก็จะขายอยู่ที่ ตัวละ 15-20 บาท เมื่อทอดหรือย่างจะขายอยู่ที่จานละ 70-80 บาท ตกอยู่ที่จานละ 4-5 ตัว

กบยัดอั่ว เป็นอาหารเมนูพื้นบ้าน ที่หากินยาก เนื่องจากคนทำอาหารประเภทนี้จะต้องเข้าใจวิธีทำและใช้เวลาพอสมควร

ปัจจุบัน คุณบังอร จะรับทำเฉพาะลูกค้าที่สั่งเท่านั้น โดยจะไม่มีการทำไปวางจำหน่าย และกบยัดอั่ว สูตรของตนสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นเดือน รสชาติก็ไม่เปลี่ยนแปลง

หากใครมีโอกาสเดินทางไปสกลนคร หากต้องการกินกบยัดอั่ว ก็สามารถโทร.สั่งทำได้ กบยัดอั่วที่นี่จึงเป็นเมนูเด็ด ที่หากินได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่แพง ใครสนใจสามารถสอบถาม ได้ที่ คุณบังอร ไชยเสนา โทร. 08-5744-4430 ทุกวัน