อีกทั้งในแปลงเกษตรของลุงนิล มีการเลี้ยงปลา เลี้ยงหมู

และเลี้ยงไก่ ซึ่งมูลหมูสามารถนำมาใช้เป็นอาหารปลาได้ ส่วนมูลหมูและมูลไก่ใช้ทำเป็นปุ๋ยให้กับพืชผักสวนครัวต่างๆ ที่ลุงนิลได้ปลูกไว้ในสวน นอกเหนือจากนี้ ยังมีการขุดสระน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำไว้ใช้ในการเกษตร แต่ไม่มีการทำนาในพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากสภาพที่ดินและปัญหาทางแรงงานนั้นไม่มีความเอื้ออำนวย

‘ทุเรียน’
พืชหลักสร้างได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่ลุงนิล
ในสวนของลุงนิล ทุเรียนคือสินค้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุด สาเหตุที่ทุเรียนจากสวนลุงนิลต่างเป็นที่นิยมนั้นเป็นเพราะกรรมวิธีในการเพาะปลูก ที่ปลูกแบบวิธีธรรมชาติ โดยวิธีการปลูกของลุงนิลคือจะใช้ปุ๋ยที่ผ่านการหมักจากพืช รวมถึงมูลสุกรมาทดแทนเท่ากับเป็นการประหยัดต้นทุนได้ไปในตัว และจะไม่ให้น้ำบ่อยๆ นี่คือเอกลักษณ์จากสวนทุเรียนของลุงนิล

ทั้งนี้ นอกจากการนำทุเรียนไปขายสู่ตลาดแล้ว ลุงนิลยังได้เก็บเอาทุเรียนบางส่วนนำมาแปรรูปเป็นทุเรียนกวนที่มีรสชาติหอมหวาน ปราศจากการปรุงแต่งกลิ่นทุกอย่าง นอกจากทุเรียนที่แปรรูปแล้ว ลุงนิลยังนำพืชผลในสวนที่ปลูกไว้ มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อีกมากมาย เช่น น้ำผึ้งแท้ ยาสมุนไพรลดความดัน สบู่สมุนไพร และอีกมากมาย

“เป้าหมายในชีวิตคือ การอยู่แบบคนที่มีคุณค่า และมีความพอเพียงกับชีวิต” ลุงนิล ยืนยัน

นี่คือ นิยามความพอเพียงของลุงนิล เกษตรกรแบบผสมผสานแห่งบ้านทอน-อม ผู้มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าและดวงตามีแววแห่งความหวังอยู่เสมอ แสดงให้เห็นถึงความสุขทั้งกายและใจที่แท้จริง บนฐานของความพอเพียง

หากผู้อ่านท่านใดสนใจ อยากจะเรียนรู้วิธีการทำเกษตรคอนโดฯ 9 ชั้น ดั่งสวนของลุงนิล หรือ คุณสมบูรณ์ ศรีสุบัติ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 087-466-0596, 087-914-2142

ส้มโอทับทิมสยาม ถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่เป็นของดีขึ้นชื่อของจังหวัดนครศรีธรรมราชในเวลานี้ ที่สามารถปั่นรายได้เข้าสู่กระเป๋าเกษตรกร เนื่องจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค

คุณปรเมศวร์ วัลดาว เกษตรตำบลคลองน้อย เล่าว่า คุณเสริม แขดวง ถือเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านการเงิน เศรษฐกิจ หรือพูดง่ายคือความเก่ง ความรอบรู้ ต่อมาด้านศีลธรรม คือเรื่องของการแบ่งปันความรู้ การช่วยเหลือผู้อื่น รวมไปถึงส่งมอบโอกาสดีๆ ให้แก่เกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีพืชผลเศรษฐกิจทำรายได้ดีอย่างส้มโอทับทิมสยาม ด้วยสาเหตุที่ว่า ยังไม่มีคู่แข่งผลิตส้มโอทับทิมสยามที่ได้คุณภาพ และผ่านการรับรองจาก GI ถึงแม้อาจจะมีเกษตรกรนอกอำเภอ นอกจังหวัด เอากิ่งพันธุ์ไปปลูก แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของรสชาติ ความหวาน ได้ดีกว่าส้มโอทับทิมสยามของตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

“ผมมองว่าในพื้นที่นี้ มันก็เป็นส้มโอทับทิมสยาม และถ้าให้พูดกันตรงๆ พืชที่ทำรายได้ดีที่สุดของอำเภอปากพนัง คือส้มโอทับทิมสยาม แต่ว่ามันก็มีเรื่องข้อจำกัดคือ ต้องดูแล ต้องเอาใจใส่ เพราะส้มโอทับทิมสยามที่นี่ ต้องเน้นความเป็นคุณภาพ หรือพูดง่ายๆ คือ คุณภาพต้องมาก่อนราคา”

คุณเสริม แขดวง ประธานแปลงใหญ่ส้มโอทับทิมสยาม อยู่เลขที่ 175 หมู่ที่ 16 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าถึงที่มาที่ไปก่อนที่จะเริ่มหันมาทำอาชีพชาวสวน ก่อนหน้านี้ได้ทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลากว่า 30 ปี หลังจากกลับจากทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เริ่มต้นสวมบทมาทำอาชีพชาวสวนปลูกส้มโอทับทิมสยาม ซึ่งก่อนที่จะเริ่มมาปลูก ในช่วงแรกๆ นั้น ได้ศึกษาทั้งวิธีการปลูกอยู่บ้าง โดยนำเอากิ่งพันธ์ุจากจังหวัดปัตตานีมาปลูกที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นได้เริ่มปลูกจนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสงสัยว่า “จะปลูกได้จริงเหรอ” แต่ข้อสงสัยเหล่านั้นก็ไม่อาจทำลายความตั้งใจของเขาได้ ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี เริ่มเห็นผลว่ามันขายได้ ซึ่งในช่วงนั้นก็ได้มีการขายกิ่งของต้นส้มโอทับทิมสยามจนสามารถทำรายได้ถึงหลัก 2 ล้านต่อปี ทำให้ชาวบ้านหายสงสัยว่าทำไมจึงต้องปลูกส้มโอทับทิมสยาม จากนั้นมาผลตอบรับก็เริ่มดีมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

จากประสบการณ์ 20 กว่าปีที่ปลูกส้มโอทับทิมสยาม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขว้าง จนได้รับการขนานนามว่า เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแบบอย่างให้กับเกษตรกรในพื้นที่ได้ ทั้งนี้ ก็เพื่ออยากจะช่วยส่งเสริมให้ชาวบ้านมีงานทำ มีรายได้เป็นหลักเป็นแหล่ง จึงหาวิธีหันมาทำเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพราะจะได้ดึงเกษตรกรรายเล็กๆ มารวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนาส้มโอทับทิมสยามให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ความต้องการของตลาดก็จะได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ก็ได้มีการกำหนดคุณภาพของลูกส้มโอทับทิมสยาม ที่ต้องได้ทั้งรสชาติที่หวานไม่ต่ำกว่า 10 องศาบริกซ์ และเนื้อส้มโอทับทิมสยามต้องแดงถึงจะตอบโจทย์ตลาดความต้องการได้

“ผมทำส้มโอทับทิมสยามเกือบๆ 20 ปีแล้ว ก็อยากจะให้ทุกคนได้ดิบได้ดีกัน เพราะถ้าว่าผมได้ดิบได้ดีอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้ ทีนี้ก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้สวนเล็กสวนน้อยได้ราคาดีเท่ากับสวนใหญ่ เลยตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา เพราะจะได้ช่วยกลุ่มเล็กๆ สงสารเขา ในเมื่อเราดีแล้วเขาก็ต้องดีด้วย เพื่อให้ได้ส้มโอทับทิมสยามที่มีคุณภาพ” คุณเสริม เล่าถึงที่มาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

สำหรับวิธีการปลูกส้มโอทับทิมสยามนั้น จำเป็นต้องปลูกด้วยวิธีการยกร่อง เพราะผลส้มโอทับทิมสยามนั้นไม่ชอบที่จะให้มีน้ำขัง แต่ชอบให้รดน้ำต้นไม้ แต่ถ้าไม่ให้น้ำก็ไม่ได้ ซึ่งเปรียบเหมือนทุเรียนที่แห้งเกินก็ไม่ชอบเปียกเกินก็ไม่ได้ ต่อมาในเรื่องของการขุดร่องนั้น ควรเว้นระยะประมาณ 13 เมตร และระยะห่างของต้นควรที่จะระยะห่าง กว้าง 7 เมตร สลับฟันปลา เพื่อให้สะดวกในการเข้าออกทำความสะอาดได้ง่าย

หลังจากนั้นเริ่มปลูกด้วยการนำกิ่งพันธุ์ที่ดีที่สุด โดยขั้นตอนในการปลูกนั้นจะเริ่มด้วยการยกร่องให้เป็นคุกขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องไปขุดหลุม เนื่องจากว่าการขุดหลุมนั้นจะทำให้น้ำเข้าไปขังได้ ส่งผลทำให้รากเน่าแล้วต้นอาจจะตายได้ หลังจากนั้นเริ่มให้น้ำ 4-5 วัน แล้วนำกิ่งพันธุ์มาปักไว้ และรดน้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ตอนเช้า และเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนกว่าๆ ก็ให้หันมารดน้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน ซึ่งในช่วงนั้นควรบำรุงต้นด้วยการใส่ปุ๋ยลงไปเพื่อให้ต้นส้มโอทับทิมสยามมีความสมบูรณ์ แข็งแรง

การใส่ปุ๋ยให้กับไม้ คุณเสริม ได้แนะนำว่า ให้ใช้ปุ๋ยตรายาร่า สูตร 25-7-7 นำมาบวกกับ 25-0-0 ทั้งนี้ การใส่ปุ๋ยควรใส่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าอยากจะให้ผลผลิตออกมาดี 100 เปอร์เซ็นนั้น ควรเพิ่มปริมาณการใส่ปุ๋ยลงไปจากเดิมเดือนละ 1 ครั้ง เปลี่ยนเป็นเดือนละ 2-3 ครั้ง และเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน สังเกตได้เลยว่าเริ่มแตกใบอ่อน หลังจากนี้จะเป็นช่วงที่ต้องใส่ใจดูแลให้มากๆ เพราะอาจจะมีเรื่องของหนอนชอนใบที่จะสร้างความเสียหายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสามารถกำจัดโดยการใช้วิธีฉีดสารเคมีเข้าไปเพื่อป้องกันความเสียหาย ดูแลแบบนี้กันไปเรื่อยจนกว่าต้นจะออกดอก

เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี ต้นส้มโอทับทิมสยามจะเริ่มมีผลผลิตให้เห็น โดยผลผลิตจะมีปีละ 1 ครั้ง สำหรับการไว้ผลผลิตต่อต้นจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ซึ่งต้นที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง สามารถไว้ผลผลิตได้ถึง 300 ลูกต่อต้น เลยทีเดียว ส่วนการไว้ลูกต่อกิ่งนั้นก็ควรไว้กิ่งละไม่เกิน 2 ลูก เพราะอาจจะทำให้ลูกส้มโอทับทิมสยามเบียดกันจนไม่ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ

ตลาดค่อนข้างมีความต้องการสูง

ความต้องการส้มโอทับทิมสยามในปัจจุบันนั้น ยังคงได้รับนิยมอย่างต่อเนื่อง จนไม่พอต่อความต้องการของตลาด ทำให้หน่วยงานรัฐอย่างกรมพัฒนาที่ดิน ต้องเข้ามาสนับสนุนรถแบ๊กโฮในการขุดที่ดินฟรีให้กับเกษตรกรที่สนใจจะปลูกส้มโอทับทิมสยาม เนื่องจากในปัจจุบันพื้นที่ในการปลูกส้มโอทับทิมสยามทั้งหมดมีพื้นที่เพียงแค่ 3,000 กว่าไร่เท่านั้น จึงต้องการที่จะขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม พื้นที่เพียงแค่ 3,000 ไร่ ก็ไม่เคยส่งผลกระทบไปถึงเรื่องราคาตลาด แถมยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ กลุ่มตลาดที่เข้ามารับซื้อส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มตลาดแผ่นดินใหญ่จากประเทศจีน นับว่าสร้างรายได้อย่างมากมายมหาศาล 4-5 ล้านต่อปี ถือว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้นในอนาคต

“ตลาดความต้องการส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนที่มาเหมาซื้อ ก็เวลาเขามาเหมาซื้อก็จะขายในราคาลูกละ 165 บาท เฉลี่ยแล้วลูกหนึ่งตกอยู่ที่ 1.5 กิโลกรัม ส่วนรายได้ต่อปีนั้น ก็มีมากถึงปีละ 4-5 ล้านต่อปี และคิดว่าราคาจะสามารถเพิ่มขึ้นอีก” คุณเสริม บอก

สำหรับท่านใดที่ต้องการอยากจะศึกษาหรืออยากจะลิ้มรสความหวานของส้มโอทับทิมสยาม ก็สามารถเข้ามาเยี่ยมชมกันได้ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน การันตีความหวานที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

สนใจศึกษาดูงานและปรึกษาเรื่องการปลูกส้มโอทับทิมสยาม สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเสริม แขดวง หมายเลขโทรศัพท์ 081-992-3414 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ เอฟไอที (FIT) เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 สนับสนุนเกษตรกรเพิ่มผลผลิต คุณภาพข้าวโพดดีตรงตามตลาดได้ราคาดี รวมทั้งเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย หนุนปลูกที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ลดการปลดปล่อยคาร์บอนจากการเพาะปลูก ไม่เผาหลังเก็บเกี่ยว

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ กล่าวว่า ปีนี้ บริษัทฯ เดินหน้าจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่กลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกข้าวโพดสำคัญของประเทศ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา อุทัยธานี และพิษณุโลก ภายใต้ โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” สนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดบนพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ ได้มีความรู้และความเข้าใจในการเพาะปลูกที่ดีและมีความรับผิดชอบ รวมถึงได้เข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ช่วยสร้างยั่งยืนให้กับตัวเกษตรกร และสิ่งแวดล้อม โดยปีนี้มุ่งพัฒนาผู้ปลูกมีความรู้เกี่ยวกับเพิ่มผลผลิต และมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดเพื่อขายได้ราคาที่ดี พร้อมทั้ง ช่วยให้เกษตรกรเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่าย และสามารถบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเพาะปลูก

เกษตรกรที่เข้าการอบรมได้ความรู้การวางแผนการปลูกที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้คุณภาพ ลดการสูญเสียจากสภาพอากาศแปรปรวน โดยบริษัทฯ ช่วยวิเคราะห์ธาตุอาหารในดินให้กับเกษตรกรโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปสู่การใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ความร่วมมือกับทรู ดิจิทัล นำโดรนพ่นยาให้บริการเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรได้สัมผัสกับเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่ทันสมัย ช่วยบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และในช่วงการเก็บเกี่ยว บริษัทฯ จะเปิดจุดรับซื้อเข้ารับซื้อผลผลิตที่ใกล้แหล่งเพาะปลูกเกษตรกร ส่งเสริมเกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายตรงกับโรงงาน และเป็นการช่วยลดภาระค่าขนส่งผลผลิตให้เกษตรกรอีกด้วย

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นรากฐานของความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ และ เป็น 1 ในวัตถุดิบการเกษตรหลักของบริษัทฯ ที่มีความเสี่ยงต่อประเด็นการบุกรุกพื้นที่ป่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ กำหนดการรับซื้อตามแนวทาง “ไม่เขา ไม่เผา เราซื้อ” โดยพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Corn Traceability) ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อให้มั่นใจว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ได้มาจากแหล่งที่บุกรุกหรือตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งใน 2564 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟสามารถจัดซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผ่านการตรวจสอบย้อนกลับมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง ไม่ได้มาจากแหล่งปลูกที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ได้ทั้งหมด 100%

“ความร่วมมือดำเนินโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” เป็นแนวทางหนึ่งจะช่วยจัดการปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน สร้างความสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพ จำหน่ายตรงให้กับผู้ใช้ที่มีระบบการซื้อที่โปร่งใส ช่วยให้เกษตรกรได้ราคาขายผลผลิตที่เป็นธรรม และเกษตรกรได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น” นายเรวัติ กล่าว

ชีวิตเกษตรกรผ่านร้อนผ่านหนาว ยังพอทน แต่หลายคนที่ผ่านสถานการณ์โควิด-19 มาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น

ผู้เขียนมีโอกาสแวะเวียนผ่านนครสวรรค์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จึงกริ๊งกร๊าง หา “น้องโน๊ต” คุณปรียาณัชย์ แจ่มไทย คนอัธยาศัยดี เจ้าของสวนฝรั่งชื่อดัง ที่ตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ กับแบรนด์ “ฝรั่งแจ่มไทย” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนครสวรรค์ ราวๆ 22 กิโลเมตร

สวนฝรั่งแจ่มไทย ที่เก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างหนักหนา ฝรั่งพันธุ์ดีที่รสชาติอร่อยจำต้องปล่อยให้ร้างค้างเน่าคาต้น เพราะไม่คุ้มจ้างแรงงานไปเก็บผลแล้วไม่มีที่จะขาย ดังที่จะกล่าวในรายละเอียดต่อไป

ผู้เขียนอยากจะบอกว่า กว่าจะมาถึงสวนฝรั่งแจ่มไทย ก็ปาเข้าไปช่วงเย็นๆ ได้สนทนาพาทีไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะเริ่มคล้อย น้องโน๊ตไม่รอช้าพาเดินเข้าสวนฝรั่งผ่านซุ้มฝรั่งที่ร่มรื่นสวยงาม ด้วยการจัดแต่งกิ่งสอดประสานโน้มเอียงเข้าหากันจนเป็นซุ้มฝรั่งเดินลอด ดูแล้วแปลกตาได้บรรยากาศสวยงามไม่เหมือนสวนฝรั่งทั่วไป

น้องโน๊ต บอกว่า เราจะทำสวนฝรั่งในเชิงเกษตรท่องเที่ยว ซึ่งก็ได้รับคำชมจากเกษตรจังหวัดและพาณิชย์จังหวัด และผู้ใหญ่อีกหลายท่านก็เคยมาเยี่ยมชมกันบ่อยๆ รวมถึงดาราก็แวะเวียนมาถ่ายรูปที่สวนฝรั่งแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ผู้เขียนลงพื้นที่สัมผัสแล้วก็เป็นจริงดังว่า ซุ้มไร่สวนฝรั่งแจ่มไทยนั้นได้บรรยากาศร่มรื่นน่าท่องเที่ยวเชิงเกษตรจริงๆ เดินลอดซุ้มตามเส้นทางมองซ้ายขวาเห็นลูกฝรั่งน้อยใหญ่ห้อยเรียงรายใต้กิ่งและห่อคลุมไปด้วยถุงกระดาษสาเพื่อป้องกันแมลงและแสงแดดแผดเผา เดินไปสักระยะ มองไกลๆ เห็น คุณพ่อพลอย แจ่มไทย กำลังห่อผลฝรั่งอย่างสบายอารมณ์ภายใต้ร่มเงาของต้นฝรั่ง และเดินผ่านลอดซุ้มฝรั่งไปเรื่อยๆ จนทะลุไปถึงริมฝั่งแม่น้ำปิง ช่วงโค้งน้ำของตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์

เดินชมสวนฝรั่งไปพรางพูดคุย ดูการห่อและการสาธิตตัดแต่งกิ่งของคุณพ่อพลอย แสงตะวันก็จะเริ่มคล้อยที่ปลายยอดฝรั่งชักเริ่มเลือนราง ความมืดก็จะเข้ามาปกคลุม จึงต้องพากันออกจากสวนฝรั่งไปยังเรือนพักรับรอง

น้องโน๊ต คนอัธยาศัยดีที่ว่านี้ คำนวณเวลาจะมืดค่ำด้วยความเป็นห่วงจึงชวนพักค้างแรมที่บ้านไร่สวนฝรั่งโฮมสเตย์ ที่รายล้อมไปด้วยต้นฝรั่ง เต็มพื้นที่ 11 ไร่ ได้บรรยากาศดีมากๆ ในยามค่ำคืน

น้องโน๊ต ย้อนอดีตให้ฟังว่า แต่เดิมทีครอบครัวพ่อแม่มีอาชีพทำนา ทำมานานจนหลังขดหลังแข็งและส่งต่อความอึดความทนจนมาถึงลูกหลาน ก็คือน้องโน๊ต ลูกคนนี้จึงขอแบ่งพื้นที่นาของพ่อส่วนหนึ่ง 11 ไร่ มาทำสวนฝรั่งเพื่อเป็นทางเลือกของอาชีพ ทำไปทำมานานนับ 10 ปี ลองผิดลองถูกมาก็มาก จากฝรั่งธรรมดาๆ ปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ไปเรื่อยๆ เอาพันธุ์โน้นมาผสมพันธุ์นี้ ทั้งทาบกิ่ง ตอนกิ่ง เสียบยอด จนได้พันธุ์ฝรั่งที่นิ่งพอ รสชาติดี ถูกปากของตัวเอง ลูกค้ากินแล้วชมว่าอร่อย ส่วนนักชิมฝรั่งทั้งหลายก็ชื่นชมและยกนิ้วให้ จึงขอตั้งชื่อพันธุ์ฝรั่งนี้ว่า “ฝรั่งพันธุ์แจ่มไทย” ตามนามสกุล

แต่ที่จะลืมไม่ได้ฝรั่งพื้นฐานชั้นครู อย่าง “ฝรั่งพันธุ์ฮ่องเต้” ที่น้องโน๊ตนำมาปรุงแต่งเสริมความอร่อยจนโดดเด่นและมีความแตกต่าง ว่ารสชาติเขาดีจริงๆ

นักชิมฝรั่งลิ้นทองระดับประเทศเขาก็การันตีในความอร่อย “ฝรั่งพันธุ์แจ่มไทย” และลงความเห็นว่า มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ผลใหญ่กรอบฟู ถึงแม้ว่าผลจะมีขนาดใหญ่รสชาติก็ไม่เปลี่ยน เวลาเคี้ยวก็ไม่กระด้าง ไม่จืด ไม่หวานมาก ความฝาดไม่มี และที่สำคัญเป็นฝรั่งอินทรีย์ที่ดูแลด้วยความเอาใจใส่ไม่ใช้สารเคมี ที่เป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งพันธุ์แจ่มไทย หนึ่งเดียวที่เก้าเลี้ยว นครสวรรค์

ผู้เขียนอยากจะบอกว่าที่ผ่านมา น้องโน๊ตได้รับผลกระทบหนักหนาจากโควิด-19 มาตลอด 2 ปี เช่นกัน ถึงรสชาติและคุณภาพฝรั่งจะดีแค่ไหน ถ้าไม่มีตลาดส่งจำหน่าย ด้วยข้อจำกัดเรื่องการควบคุมโรคระบาด ห้างร้านตลาดปิดกันหมด ฝรั่งลูกงามๆ สวยๆ ก็เหี่ยวเฉาปล่อยให้เน่าเสียค้างคาต้น

ช่วงระหว่างโควิดครอบครัวแจ่มไทยนั่งคิดกันหลายตลบ กับผลฝรั่งที่จะปล่อยให้ค้างอยู่บนต้นจึงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสหันมาแปรรูปทำเครื่องดื่ม “น้ำฝรั่งแจ่มไทย” คั้นสดบรรจุขวดขายเพิ่มมูลค่า และก็ได้ผลจริงๆ และอีกทางเลือกเป็นครั้งแรกกับการทำกิ่งตอนต้นกล้าพันธุ์ฝรั่ง เนื่องจากฝรั่งพันธุ์แจ่มไทยที่เราปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาได้รับการยอมรับว่ารสชาติดีเป็นที่นิยมของตลาด

วันนี้กิ่งพันธุ์ฝรั่งแจ่มไทยจึงมีจำหน่ายแล้วตามออร์เดอร์ ราคาต้นพันธุ์ 100 บาท พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ รับประกันรากสมบูรณ์ กิ่งหัก รากเสียหาย ยินดีรับประกัน เพราะตัดตอนออกมาจากต้นแม่พันธุ์ และพร้อมให้คำปรึกษา

สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ น้องโน๊ต ครอบครัวแจ่มไทย สามคนพ่อ และแฟน วางมือจากแปลงนามาเน้นทำสวนฝรั่งจริงๆ จังๆ เดินหน้าสู้กันใหม่ และแบ่งหน้าที่ช่วยกันดูแลคนละด้าน

เคล็ดลับการห่อผลฝรั่ง ต้องยกให้พ่อพลอย เน้นการห่อผลฝรั่งโดยใช้กระดาษสาเป็นหลัก ไม่ใช้หนังสือพิมพ์หรือกระดาษทั่วไป เพื่อป้องกันแสงแดดเผาทำให้ผิวฝรั่งเสียไม่สวยงาม เวลาห่อสังเกตดูผลที่สมบูรณ์ขนาดเท่าเหรียญสิบบาท ห่อด้วยกระดาษสาชั้นในและก็ตามด้วยถุงพลาสติกห่อคลุมชั้นนอก เพื่อป้องกันแมลงวันทองเจาะผลฝรั่ง ก็เป็นอันเสร็จ

นับจากวันที่ห่อครบ 60 วัน ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวฝรั่งก็จะสมบูรณ์น่ากิน หวาน หอม กรอบ อร่อย ผลใหญ่เนื้อหนาฟู ลูกที่ใหญ่สุดน้ำหนักอยู่ประมาณ 8 ขีด ไปจนถึง 1.8 กิโลกรัม เมื่อถึงฤดูแล้ง แดดแรงๆ ร้อนจัดๆ ก็จะมีตำหนิ ทิงเกอร์ ผิวเสียบ้างเป็นเรื่องปกติ เพราะที่สวนฝรั่งแห่งนี้จะไม่ฉีดยา ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาขัดเคลือบผิวฝรั่ง สีผิวฝรั่งจากสวนจึงเป็นธรรมชาติ ช่วงหน้าร้อนก็จะมีตำหนิบ้างนิดหน่อย ผิวไม่สวย 100 เปอร์เซ็นต์

ระหว่างเก็บผลผลิตก็จะตัดแต่งกิ่งไปพร้อมๆ กับการตอนกิ่งขยายพันธุ์ ก็จะเป็นหน้าที่แรงงานหลักอย่าง คุณเอกลักษณ์ สุดที่รักของน้องโน๊ต จะเป็นคนดูแลสวนฝรั่งและตอนกิ่งพันธุ์ ซึ่งจะทำกันในช่วงหน้าฝน เพราะรากจะแตกออกดี (เคยทดลองตอนกิ่งช่วงหน้าแล้งแห้งตายหมด) แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนเดือนกว่าๆ รากฝอยก็จะแตกพร้อมตัดแต่งลงถุงชำ หรือปลูกลงดินเพื่อขยายกิ่งพันธุ์ใหม่ได้ต่อไป

ส่วนหน้าที่การบริหารจัดการด้านการแปรรูป การตลาดต้องยกให้น้องโน๊ต และยังเป็นผู้นำจัดตั้งเป็น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฝรั่งอินทรีย์บ้านตะคร้อ ที่รวมกลุ่มกัน 15 ราย ครอบคลุมพื้นที่การปลูกฝรั่งจำนวนไม่น้อยกว่า 300 ไร่ ที่บ้านตะคร้อ อำเภอเก้าเลี้ยว

บทบาทของประธานกลุ่มอย่างน้องโน๊ต มีการส่งเสริมการแปรรูปฝรั่งหลากหลายประเภท อาทิ ฝรั่ง จี๊ดจ๊าด 3 รส, ฝรั่งกวน, ข้าวเกรียบฝรั่ง และฝรั่งหยี เป็นต้น และรวมถึงการผลิตเครื่องดื่มน้ำฝรั่ง ภายใต้แบรนด์ “แจ่มไทย” (CHAM THAI) น้ำฝรั่งออร์แกนิก ส่งขายขวดละ 25 บาท ขนาด 250 ซีซี สามารถแช่เย็นเก็บไว้ได้นาน 15 วัน

ส่วนฝรั่งผลสดเก็บจากต้น ชั่งน้ำหนักขายกิโลกรัมละ 40 บาท จัดส่งทั่วประเทศ พร้อมค่าขนส่ง เช่นเดียวกัน

หากผู้อ่านต้องการกิ่งพันธุ์ฝรั่งแจ่มไทย สั่งกันได้ล่วงหน้า อยู่ที่กิ่งพันธุ์ละ 100 บาท พร้อมค่าจัดส่ง ส่วนการปลูกฝรั่งก็ไม่ยาก เริ่มจากเตรียมหลุมปลูก ขุดให้ลึกประมาณ 50 เซนติเมตร โรยด้วยมูลเป็ดหมักและแกลบ รองก้นหลุมปลูก ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อหลุม ในอัตรา 2 : 1 แล้วนำต้นพันธุ์ฝรั่งลงหลุมปลูก ไม่ต้องบำรุงอะไรอีก ให้รดน้ำทุกๆ 7-10 วัน รดให้ชุ่ม ไม่ควรให้น้ำขัง เมื่อต้นฝรั่งเริ่มเจริญเติบโตจะพบแมลงศัตรูพืชมารบกวนบ้าง โดยเฉพาะแมลงเพลี้ยแป้ง ควรฉีดพ่นด้วยสารชีวภาพในกลุ่มสมุนไพรผสมกับน้ำ ฉีดพ่นบริเวณทรงพุ่มทุกๆ สัปดาห์ เท่านี้ก็มีฝรั่งพันธุ์ดีรสชาติอร่อยไว้คอยเก็บกินอยู่ในบริเวณบ้านละต้นสองต้น

สุดท้ายผู้อ่านท่านใดใคร่อุดหนุนสวนฝรั่งเกษตรอินทรีย์ของ “น้องโน๊ต” คุณปรียาณัชก์ แจ่มไทย กริ๊งกร๊างได้โดยตรงที่โทร. 098-749-3058 หรือผ่านนครสวรรค์อยากจะแวะเวียนไปเยี่ยมชมท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนฝรั่งแจ่มไทย ปักหมุดไปที่ ตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์

ไร่กำนันเยื่อ สวนอินทผลัมน้องใหม่แห่งเมืองกาญจน์ billspayroll.com เจ้าของเป็นหนุ่มแบงค์ ผู้หลงใหลในงานด้านเกษตร ใช้ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ขับรถจากกรุงเทพฯ ไปเมืองกาญจน์ เพื่อไปดูแลสวนอินทผลัมที่ตนเองรัก จากจุดเริ่มต้นถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 4 ปี ที่หนุ่มแบงค์คนนี้เดินบนเส้นทางสายเกษตร มุ่งมั่นตั้งใจ จนสามารถสร้างผลผลิตออกมาได้อย่างงดงาม และในปีนี้แอบได้ยินมาว่า ผลผลิตที่สวนออกมาเยอะ คุณภาพแน่น มีจุดเด่นที่สายพันธุ์อัมเอ็ดดาฮาน ที่มีรสชาติหวาน กรอบ ไม่มีรสฝาด กับอีกพันธุ์น้องใหม่ที่ยังไม่มีใครได้ลองชิมคือ สายพันธุ์อัสซัน ในประเทศไทยเพิ่งมีการนำเข้าได้ 2 ปีที่แล้ว ปีนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกสวนที่ปลูก และผู้บริโภคจะได้ลิ้มรสชาติของอินทผลัมสายพันธุ์อัสซันเป็นครั้งแรกในเมืองไทยไปพร้อมกัน ที่ไร่กำนันเยื่อ

คุณอนุกูล วิเศษสิงห์ หรือ พี่เต๋ สวนอยู่ที่ไร่กำนันเยื่อ หมู่ที่ 17 บ้านหนองสำโรง ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี หนุ่มแบงค์ สวมบทบาทเป็นเกษตรกรวันหยุด เนรมิตสวนอินทผลัมที่เมืองกาญจน์ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ สร้างจุดเด่นด้วยการปลูกอินทผลัมสายพันธุ์ที่แปลกใหม่ หารับประทานได้ยาก มีอยู่ 3 สายพันธุ์หลักด้วยกัน คือ

สายพันธุ์อัมเอ็ดดาฮาน มีจุดเด่นที่รสชาติหวาน กรอบ ไม่มีรสฝาด หรือที่หลายคนให้คำจำกัดว่า รสชาติคล้ายน้ำผึ้งเดือนห้า สีของผลเป็นสีโอลด์โรส และเป็นพันธุ์ที่ยังปลูกน้อยในประเทศไทย เนื่องจากเป็นต้นพันธุ์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ค่อนข้างมีต้นทุนที่สูง

สายพันธุ์บาร์ฮี มีจุดเด่นที่รสชาติหวาน กรอบ ลูกใหญ่ สีผลเป็นสีเหลือง ผสมเกสรติดง่าย หาซื้อง่าย มีวางขายตามห้างร้านชั้นนำทั่วไป

สายพันธุ์อัสซัน เป็นอินทผลัมสายพันธุ์น้องใหม่ที่ประเทศไทยเพิ่งมีการนำเข้ามาปลูกได้ประมาณ 2 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกสวนยังไม่มีใครเคยเห็นผลสด และชิมรสชาติว่าเป็นอย่างไร เห็นแต่เพียงในรูปภาพที่มีลักษณะสีของผลเป็นสีน้ำตาล ซึ่งในปีนี้ช่วงประมาณเดือนมิถุนายน ผลผลิตจะออกมาให้ได้เห็นกันเป็นครั้งแรก พร้อมๆ กันทั่วทั้งประเทศ ท่านใดสนใจทดลองชิม ที่ไร่กำนันเยื่อยินดี

โดยอินทผลัมทั้ง 3 สายพันธุ์หลัก ที่กล่าวมานี้ พี่เต๋ บอกว่าส่วนใหญ่เป็นอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ นำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นการเพาะเมล็ด ซึ่งข้อดีของต้นพันธุ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนั้น คือ การโคลนนิ่ง ต้นกล้าที่ได้จึงเป็นพันธุ์แท้ โดยจะมีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่พันธุ์ทุกประการ ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่ต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าการปลูกด้วยเมล็ด

ซึ่งต้นพันธุ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนใหญ่ของที่สวน นำเข้าจากแล็บประเทศอังกฤษ และแล็บ UAE เช่น สายพันธุ์อัมเอ็ดดาฮาน ที่นำเข้าจากแล็บ UAE ซึ่งที่สวนปลูกนำเข้ามาล็อตสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นที่ผ่านมายังไม่มีการนำเข้าอีกเลย เพราะฉะนั้นสายพันธุ์อัมเอ็ดดาฮาน เป็นพันธุ์ที่น้อยสวนมากจะมีปลูก แต่ในแง่ของการปลูกและการดูแลจะดูแลยากมาก ทุกสวนจะเจอปัญหาการติดจั่นยาก และลูกแตกง่ายถ้าโดนฝน เพราะฉะนั้นราคาที่แพงจะเป็นไปตามความยากง่ายของการดูแล และต้นพันธุ์ที่หายาก