เกษตรกรมีหนี้ก็หนี้หลักหมื่น ไม่ถึงแสนถึงล้าน เพราะไม่ได้ทำ

ตัวฟุ่มเฟือยหรูหรา เก็บผักในสวนครัวทำกิน เพราะนอกจากจะปลูกผักไว้กินแล้ว ในเล้าไก่ก็มีไข่ไก่ ไข่เป็ด กุ้ง หอย ปู ปลา ในลำห้วยก็มีให้กินทั้งปี สำหรับรายจ่ายของครอบครัวก็คือ ส่งเสียให้ลูกได้เรียน ซึ่งถ้าไม่มีที่ดินแปลงนี้ คุณชูเกียรติก็จะเอาเงินที่ไหนมาส่งลูกเรียนได้ คุณชูเกียรติจะต้องอยู่อย่างประหยัด ประหยัดก็คือ อย่าไปท่องเที่ยวที่ไหน เพราะการออกไปคือรายจ่ายทั้งนั้น ตำบลกกสะทอนนี้เหมือนเป็นเมืองลี้ลับ คืออยู่ห่างจากตัวอำเภอ เกือบ 30 กิโลเมตร ไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากไปไหน เพราะหมายถึงต้องช่วยค่าน้ำมันรถเป็นเงินหลักร้อย หลักพัน เกษตรกรจึงไม่ออกไปไหน รอให้พ่อค้ามารับซื้อผลิตผลถึงไร่ หมู่ที่ 4 ตำบลกกสะทอน มีพืชผลการเกษตรหลายอย่าง เช่น กาแฟ ลูกหม่อน ถั่วเหลือง ผักกาดขาวปลี เสาวรส แก้วมังกร ยางพารา (มีน้อย) มันสำปะหลัง

คุณศิริวิมล กิตะพาณิชย์ หรือ คุณเปิ้ล เจ้าของไร่รื่นรมย์ และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากจิงจูฉ่าย ในพื้นที่ตำบลงิ้ว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ที่นำความชื่นชอบและใจที่รักต่อการทำอาชีพเกษตร นำมาต่อยอดพื้นที่ปลูกเกษตรอินทรีย์ผสมผสานกับการท่องเที่ยว รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชผักออร์แกนิก ให้ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและรักสุขภาพมากที่สุดในพื้นที่เกือบ 3 ไร่ ในเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมา

คุณเปิ้ล เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการปลูกจิงจูฉ่าย เกิดขึ้นจากมีลูกค้าติดต่อเข้ามาหาคุณเปิ้ลว่า มีความต้องการที่อยากจะได้จิงจูฉ่ายแบบสด ไร้สารเคมี ออร์แกนิกแท้ และปลอดภัย 100% เนื่องจากลูกค้าป่วยเป็นมะเร็ง จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายความคิดในการที่จะปลูกจิงจูฉ่ายแบบจริงจัง จึงติดต่อไปยัง ผศ.ดร.ทานตะวัน พิรักษ์ หัวหน้าโครงการวิจัยอาจารย์ประจำสาขา ภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะทีมนักวิจัย ในการพัฒนาผักจิงจูฉ่ายต่อยอดทางธุรกิจในเชิงพาณิชย์

“เริ่มขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้วค่ะ และก็ทำงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นคือมีลูกค้าติดต่อมา เขาอยากได้จิงจูฉ่ายที่เป็นออร์แกนิก เป็นอินทรีย์แท้ๆ เพราะว่าเขาป่วยเป็นมะเร็ง เขาต้องการหาจิงจูฉ่ายที่มั่นใจได้ว่ามันปลอดภัยจากสารเคมีจริงๆ เราก็สงสัยว่าทำไมจิงจูฉ่ายมันสามารถต้านมะเร็งได้ เราก็เลยไม่อยากให้เป็นแค่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เราก็เลยไปติดต่อกับอาจารย์ทานตะวันนะคะ แล้วก็ทำงานร่วมกันตั้งแต่เรื่องของสายพันธุ์เลย ไปจนถึงการแปรรูป มาจนถึงการสกัดจิงจูฉ่ายนะคะ”

นอกจากนี้ คุณเปิ้ล ยังบอกต่ออีกว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากจิงจูฉ่ายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มผู้รักสุขภาพ ซึ่งทางไร่รื่นรมย์ได้มีการจัดการควบคุมวัตถุดิบจิงจูฉ่าย ให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี ได้องค์ความรู้จากงานวิจัยในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์ มีรสชาติที่หอมอร่อยดีต่อสุขภาพ มีการนำมาทดสอบกับผู้บริโภคแล้ว ได้รับผลตอบรับที่ดี ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นการช่วยผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนาสินค้าและสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าที่ตรงต่อกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ซึ่งเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าทางเลือกและเพิ่มมูลค่าของผักจิงจูฉ่ายของทางไร่ได้เป็นอย่างดี

“เรามีการทดลองในเซลล์ด้วยว่าจิงจูฉ่ายมีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ส่วนไหนบ้างนะคะ และก็มีผลวิจัยออกมามันสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในหลายๆ ส่วนที่มันเห็นผล และก็มีลูกค้าที่ซื้อจิงจูฉ่ายเราไป จะมีลูกค้าสายธรรมชาติที่ไม่ทำคีโมเลย ก็คือกินจิงจูฉ่ายสดกับจิงจูฉ่ายผงควบคู่กันไปค่ะ ก็มีอาการที่ดีขึ้นนะคะ แล้วก็มีคนที่ทำคีโมก็มากินของเราทั้งสดและผง ก็มีอาการฟื้นตัวเร็ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ลูกค้าบอกกลับเรามาค่ะ จึงอยากปลูกอะไรที่สามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ ค่ะ”

ผศ.ดร.ทานตะวัน หัวหน้าโครงการฯ เล่าว่า โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากจิงจูฉ่ายสำหรับผู้สูงอายุในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นสำหรับผู้สูงอายุ โดยคัดเลือกส่วนผสมสำคัญคือ จิงจูฉ่าย (Artemisia Lactiflora) ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านที่กินกันมาอย่างยาวนาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินซีสูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดี และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยได้ออกแบบให้ผลิตภัณฑ์อยู่ใน 2 รูปแบบ ได้แก่

1. เครื่องดื่มจิงจูฉ่ายผสมน้ำผักและผลไม้ และเครื่องดื่มจิงจูฉ่ายลาเต้ ที่มีรสชาติดื่มง่าย ให้พลังงานต่ำ เหมาะเป็นเครื่องดื่มในมื้ออาหารว่าง ในระหว่างมื้อสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้รักสุขภาพ โดยการศึกษาและวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 เป็นการมุ่งเน้นการศึกษาพัฒนาสูตรและวิธีการผลิตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากจิงจูฉ่ายเพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ ขั้นตอนที่ 2 เป็นการศึกษาข้อมูลทางการตลาดเบื้องต้นสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจที่สามารถใช้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากจิงจูฉ่ายสำหรับใช้ในการจำหน่ายจริงในเชิงพาณิชย์

2. การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม การศึกษาต้นทุนของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมจิงจูฉ่าย และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจิงจูฉ่ายลาเต้ มีความเป็นไปได้ทางการตลาดและธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้สามารถผลิตได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบตลาดและวางแผนการผลิตต่อไป

ในเรื่องของการปลูกจิงจูฉ่ายนั้นปลูกง่าย มีขั้นตอนการปลูกเหมือนพืชผักทั่วไป แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ปลูกจิงจูฉ่ายควรรู้ขั้นพื้นฐาน คือเรื่องการปลูกในดินที่ชื้นและไม่แฉะ รวมถึงโรคที่มาช่วงฤดูร้อนคือโรคใบด่าง ผู้ปลูกจึงจำเป็นต้องหมั่นสังเกตและดูแลอย่างสม่ำเสมอ

“จิงจูฉ่ายปลูกไม่ยาก ปลูกเหมือนพืชผักชนิดทั่วไป แต่เราต้องรู้จักเขาพอสมควรว่าเขาเป็นพืชที่ชอบชื้น แต่ไม่ชอบแฉะ แต่ขณะเดียวกันในช่วงหน้าร้อนเขาจะมีปัญหาเรื่องโรคใบด่างพวกนี้ค่ะ ที่ต้องมีการดูแลและปลูกใหม่ทุกปี ถัดมาคือเรื่องของการเก็บ เราต้องใช้คนเก็บและต้องตัดทีละต้น เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร”

ด้านความต้องการทางด้านการตลาด คุณเปิ้ล บอกว่า ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ที่มีปัญหาในเรื่องสุขภาพ และในกลุ่มที่ต้องการดูแลสุขภาพ อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจเท่าที่ควร

“คนเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น คนก็หาช่องทางที่เป็นตัวเลือกหลักที่เป็นสายธรรมชาติที่ไม่อยากจะทำคีโม กับอีกกลุ่มหนึ่งคือทำคีโมแล้ว แต่ต้องการที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ตัวช่วยในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น จากการทดลองที่ไปทำคีโมและกินจิงจูฉ่าย ทำให้เขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้กินค่ะ เพราะมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดการอักเสบของเซลล์อยู่แล้ว”

สำหรับราคาในการขายผลิตภัณฑ์ของจิงจูฉ่ายที่แปรรูปแล้ว จะเริ่มต้นที่ 95 บาท

สุดท้ายนี้ คุณเปิ้ล ยังเล่าต่ออีกว่า จิงจูฉ่ายเป็นพืชท้องถิ่น คนทางภาคเหนือมักนำมาเป็นส่วนผสมของอาหารต่างๆ เพื่อกินกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน จึงอยากจะผลักดันพืชท้องถิ่น เปลี่ยนจากวัตถุดิบธรรมดาหลังบ้านธรรมดาๆ ให้เกิดคุณค่าเพิ่มมากขึ้น สำหรับคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพและกำลังมองหาในเรื่องของตัวช่วยอยู่นั่นเอง

สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ สินค้าต่างๆ ผ่านช่องทาง Line : @rairuenrom และผ่านช่องทางเพจ Facebook : ไร่รื่นรมย์ เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยวออร์แกนิค Rai Ruen Rom Orgaic Farm

สมุนไพรต่างประเทศ ไม่ว่าจะใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค หรือจะนำมาประกอบอาหารก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ และมีอยู่มากมายใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด หลายชนิดถูกนำมาเป็นส่วนประกอบในเมนูโปรดของเรา หลายชนิดมีสรรพคุณทางยามากมายและหลากหลายไม่แพ้สมุนไพรไทย แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า สมุนไพรต่างประเทศ และสามารถปลูกในเมืองไทยได้ดี มีอะไรบ้าง

ปลูก สมุนไพรต่างประเทศ
ในเมืองไทยได้จริงหรือไม่
หลายคนอาจคิดว่า สมุนไพรต่างประเทศนั้นปลูกยาก เพราะต้องปลูกในสถานที่ที่มีอากาศหนาวเย็นและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แต่ความจริงแล้วเราสามารถปลูกสมุนไพรเหล่านี้ในเมืองไทยได้ เพราะวิธีปลูกและขยายพันธุ์ส่วนใหญ่จะคล้ายกันกับสมุนไพรไทยทั่วไปคือ สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ ส่วนการดูแลรักษาอาจแตกต่างกันบ้างตามลักษณะของพืชแต่ละชนิด บางชนิดต้องการแสงแดดมาก บางชนิดชอบน้ำมาก หรือบางชนิดชอบอยู่ในอุณหภูมิต่ำ การปลูกสมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรักการปลูกต้นไม้ที่อยากลองปลูกอะไรแปลกใหม่ดูบ้าง

สมุนไพรต่างประเทศ
อีกหนึ่งทางเลือกของการจัดสวน
สมุนไพรรักษาโรค นอกจากจะสามารถปลูกไว้เพื่อใช้ประกอบอาหารเพื่อสุขภาพได้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตกแต่งบ้านให้สวยงามและน่าสนใจ แต่สมุนไพรต่างประเทศมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ HomeGuru ได้รวบรวม 17 สมุนไพร ที่ปลูกใส่กระถางไว้ในบ้านได้ชิลล์ๆ พร้อมสรรพคุณที่น่าทึ่งมาให้แล้ว

1. โหระพาอิตาเลียน : Italian Basil เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีทั้งภายนอกและภายในอาคาร หรือแม้แต่ในพื้นที่จำกัดอย่างกระถางใบเล็ก เพียงแค่ให้ได้รับแสงสว่างและอากาศที่อบอุ่น โหระพาอิตาเลียนมีกลิ่นหอมเหมือนมะนาว ช่วยขับไล่เพลี้ย ไร หรือหนอนใบไม้ ให้ห่างจากต้นไม้ในบริเวณรอบๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมี สรรพคุณสมุนไพรคือ ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็ง มีน้ำมันหอมระเหยช่วยย่อยอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง ทำให้สบายท้อง ช่วยคลายการเกร็งกล้ามเนื้อ ลดอาการหวัด และลดอาการซึมเศร้าได้

2. เสจ : Sage

เป็นพืชยืนต้นที่มีอายุยืนยาว ชอบแดดรำไรและความชุ่มชื้น มีขนาดความสูงประมาณ 1-2 ฟุต ใบสีเขียวเทาและก้านอ่อน สามารถนำมาปรุงรสอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไส้กรอก ซุปปลาและหอยได้ รวมทั้งใช้ทำซอสสำหรับปรุงรสอาหาร มีสรรพคุณทางยาคือ แก้เจ็บคอ แก้อาการกล่องเสียงอักเสบ ไซนัสอักเสบ แก้หวัดคัดจมูก ช่วยลดสารคัดหลั่งในโพรงไซนัสและทางเดินหายใจส่วนบน ช่วยเพิ่มสมาธิ คลายความวิตกกังวล รักษาแผลร้อนใน อาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการสั่น ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ แก้ปัญหากลิ่นตัวและเท้า

3. ซอเรล : Sorrel (Red Veined)

เป็นพืชที่มีอายุยืนยาว ชอบแดดรำไรและความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ มีความสูงประมาณ 1-2 ฟุต ใบมีรสชาติคล้ายมะนาว สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเทศ เครื่องปรุงรสในน้ำซุป ทำสลัด หรือปรุงอาหารได้ มีวิตามินซีและไฟเบอร์สูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวในร่างกาย และช่วยในการทำงานของระบบหลอดเลือดต่างๆ ครับ

4. วอเตอร์เครส : Water Cress

เจริญเติบโตได้ดีที่พื้นที่ที่อากาศเย็น มีน้ำเย็นไหลผ่าน หรือในดินที่มีความชุ่มชื้น สามารถปลูกในกระถางได้ ต้องการแดดเพียงรำไร มีคุณค่าทางอาการและสรรพคุณทางยาสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย มีวิตามินเอ สารลูทัน และเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงสุขภาพและลดความเสี่ยงการเกิดโรคเกี่ยวกับดวงตา ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน นอกจากนี้ ยังเป็นสมุนไพรที่ไม่มีคอเลสเตอรอล และสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย

5. ไธม์ : Thyme

เป็นพืชประเภทไม้เลื้อย ทอดไปตามหน้าดินยาว 8-12 นิ้ว มีอายุเก็บเกี่ยว 85 วัน ชอบแดดรำไรและน้ำปานกลาง ไม่ขังหรือแฉะ ใบมีกลิ่นหอมสามารถใช้ปรุงแต่งรสชาติให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์ น้ำสลัด ซุป และสตูได้ สรรพคุณสมุนไพรคือ เป็นยาระบาย แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมจากลำไส้ ทำให้เจริญอาหารมากขึ้น ทั้งยังแก้วิงเวียน แก้อาการไข้ ช่วยขับเหงื่อ ช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

6. ออริกาโน : Oregano

เป็นพืชที่มีอายุยืนยาว มีขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว จึงสามารถปลูกในกระถางขนาดเล็กได้ ชอบแดดรำไรและความชุ่มชื้น ลักษณะต้นจะมีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ ใบเป็นรูปไข่ มีดอกสีชมพูม่วง สามารถนำไปทำซอสปรุงรสหรือปรุงในน้ำซุปได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง สรรพคุณช่วยกำจัดไขมันในเลือด มีฤทธิ์ร้อน แก้ปวดกล้ามเนื้อได้ดี และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

7. อิตาเลียนพาร์สลีย์ (ใบแบน) : Parsley (Italian Flat Leaf)

ต้นของอิตาเลียนพาร์สลีย์มีขนาดประมาณ 6-8 นิ้ว ใบมีลักษณะแบน มีกลิ่นฉุนจัดจ้าน นำมาใช้ประกอบอาหารได้ทั้งแบบใบสดและใบแห้ง ชอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดทั้งวัน และชอบความชุ่มชื้น มีสรรพคุณทางยามากมาย ทั้งมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีกลิ่นหอมทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ช่วยขับถ่ายปัสสาวะ หากนำใบพาร์สลีย์มาสับให้ละเอียดแล้วห่อด้วยผ้าบางๆ แช่ให้เย็น แล้วนำมาประคบบริเวณที่เป็นสิวอักเสบทุกเช้าเย็น ก็จะช่วยลดความอักเสบ ทำให้ผิวหน้าสะอาดและดูอ่อนเยาว์

8. อิตาเลียนพาร์สลีย์ (ใบหยิก) : Parsley (Italian Triple Moss)

มีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูง ชอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดทั้งวัน และชอบความชุ่มชื้น ใบมีลักษณะม้วนงอลึกและมีสีเขียวเข้ม นิยมนำมาใช้ประดับตกแต่งอาหาร มีสรรพคุณทางยาเหมือนกันกับอิตาเลียนพาร์สลีย์แบบใบแบนครับ

9. เปปเปอร์มินต์ : Peppermint

เป็นพืชสวนสมุนไพรชนิดยืนต้น ขนาดประมาณ 18-24 นิ้ว สามารถอยู่ได้ทั้งท่ามกลางแสงแดดรำไรและแดดทั้งวัน ชอบความชุ่มชื้น สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งแบบสดและแห้ง โดยนิยมนำมาใช้ทำชา ลูกกวาด เครื่องดื่ม และเครื่องหอม สารสกัดที่ได้จากเปปเปอร์มินต์ยังมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีผลช่วยให้ระงับอาการเจ็บป่วยและกำจัดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้เป็นอย่างดี ช่วยบรรเทาอาการไอ ติดเชื้อในลำคอ แก้อาการเมารถ ทั้งยังส่งผลให้จิตใจกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ผ่อนคลายจากอาการเมื่อยล้า นอกจากนี้ การดื่มชาเปปเปอร์มินต์ยังช่วยลดอาการปวดและเสียด

10. ทาร์รากอน : Tarragon (Russian)

เป็นพืชยืนต้นขนาดสูง 2 ฟุต ชอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดตลอดวัน และชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ ใบมีกลิ่นหอม มักนำมาใช้เพิ่มรสชาติให้กับอาหารประเภทไก่ ปลา ไข่ สลัด และน้ำสลัด ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ปัญหาความอยากอาหาร อาการปวดฟัน และช่วยให้นอนหลับง่าย

11. สวีต มาร์จอรัม : Sweet Marjoram

ลักษณะเป็นพุ่มสูงประมาณ 24 นิ้ว ใบมีกลิ่นหอมหวาน ก้านอ่อนมักนำมาใช้ปรุงรสอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซุป น้ำสลัด และผักสลัด ชอบแดดอ่อนรำไรและความชุ่มชื้น สามารถใช้ดมแก้ปวดศีรษะจากอากาศเย็น ปวดศีรษะจากน้ำมูกมาก โรคหวัด โรคท้องอืด น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์มาร์จอรัมจะช่วยให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย คลายอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ ระงับภาวะทางประสาทที่เกี่ยวเนื่องมาจากอาการก่อนมีประจำเดือน บรรเทาอาการไมเกรน กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการฟกช้ำ แก้โรคปวดหลังและข้อเข่า และช่วยขับไล่ความเมื่อยล้า

12. โรสแมรี : Rosemary

เป็นพืชสมุนไพรไม้ประดับที่มีความเขียวชอุ่ม มีลักษณะเป็นพุ่มขนาดเล็ก สามารถปลูกในกระถางได้ อยู่ได้ทั้งท่ามกลางแสงแดดรำไรและแดดทั้งวัน ชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ ลำต้นมีความสูงประมาณ 2 ฟุต ใบเรียวแหลม สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารทะเลได้ ส่วนใบและยอดดอกหากนำไปกลั่นจะได้น้ำมันหอมระเหย มีกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นในการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ อีกทั้งยังเสริมสร้างความจำ คลายความซึมเศร้า ความอ่อนล้า กำจัดสารพิษในตับและถุงน้ำดี ปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการไอ ช่วยขับเสมหะและเมือกออกจากระบบทางเดินหายใจได้

13. สเปียร์มินต์ : Spear Mint

เป็นพืชสายพันธุ์มินต์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด มีอายุยืนยาว ความสูงประมาณ 2 ฟุต ชอบแดดปานกลาง และชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ มีรสชาติและกลิ่นฟรุตตี้แบบผลไม้ นํ้ามันหอมระเหยจากสเปียร์มินต์จะมีกลิ่นหอมเย็น กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สามารถใช้บรรเทาอาการหอบหืด เหนื่อยล้า เป็นไข้ วิงเวียน ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและคลื่นไส้ได้ดี

14. เลมอนบาล์ม : Lemon Balm

เป็นพืชที่มีอายุยืนยาว ชอบแดดปานกลาง และชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ ให้กลิ่นและรสชาติคล้ายมะนาว โดยกิ่งก้านเล็กๆ ของเลมอนบาล์มมักนำมาตกแต่งโดยวางไว้บนเครื่องดื่มและอาหาร ใบสดหรือใบแห้งสามารถนำมาใช้ทำเป็นชาได้ทั้งร้อนและเย็น นอกจากนี้ ใบแห้งของเลมอนบาล์มมักนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องหอม และน้ำมันยังสามารถนำไปใช้เป็นน้ำหอมได้

สรรพคุณของพืชชนิดนี้คือ ช่วยในการนอนหลับ ให้ความผ่อนคลาย ขจัดความเหนื่อยล้า ระงับภาวะอารมณ์หงุดหงิด ปรับสมดุลความดันโลหิต เสริมสร้างระบบความจำและการทำงานของต่อมไทรอยด์ ขับเหงื่อ แก้ร้อนใน และขับพิษในร่างกายได้

15. กัญชาแมว : Catnipมีใบสีเขียวเทาและมีดอกเล็กๆ สีฟ้า กลีบของกัญชาแมวเมื่อบานเต็มที่จะเป็นสีขาวและมีจุดสีม่วงหรือชมพู เมื่อเก็บไว้จนแห้งจะมีกลิ่นคล้ายมินต์ ใบแห้งของกัญชาแมวสามารถใช้ทำชาและใช้เป็นยากระตุ้นสำหรับแมวได้ ชอบแดดปานกลาง และชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ

มีสรรพคุณช่วยลดอาการจุกเสียด เป็นไข้ ปวดหัว ปวดฟัน นอนไม่หลับ และมักนำมาใช้เป็นสารสร้างความสุขให้กับสัตว์เลี้ยงตระกูลแมวทั้งหลาย โดยเมื่อแมวได้กลิ่นหรือรับประทานใบเข้าไปจะมีอาการเคลิบเคลิ้มมีความสุข นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ในการไล่แมลงสาบ ไล่ยุงและแมลงวันได้อีกด้วย

16. ผักชีลาว : Dill

เป็นสมุนไพรที่มีระยะเวลาการปลูกประมาณ 65 วัน เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 3 ฟุต มีกลิ่นหอมทั้งจากบริเวณยอด ใบ และก้าน ดูแลง่ายเพียงรดน้ำให้ชุ่มชื้นและอยู่ในที่ๆ โดนแดดรำไร สรรพคุณทางยาคือช่วยชะลอวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก นอกจากนี้ ยังช่วยบำรุงรักษาสายตา กระดูก และฟัน ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับเหงื่อ กระตุ้นการหายใจ แก้อาการไอ และยังช่วยยับยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

17. เฟนเนล : Fennel (Florence)

มักถูกจัดอยู่ในพืชประเภทสมุนไพร แต่แท้จริงแล้วเฟนเนลเป็นผักที่สามารถนำมารับประทานได้ในหลายรูปแบบ โดยหน่อของเฟนเนลสามารถนำมาประกอบอาหารโดยทำเป็นผักสลัด นำมานึ่ง ผัด ตุ๋น หรืออบได้

นอกจากนี้ ใบของเฟนเนลที่มีลักษณะคล้ายเฟิร์นยังสามารถนำมาใช้รับประทานทั้งแบบสดหรือแบบแห้ง โดยจะช่วยเพิ่มกลิ่นคล้ายชะเอมให้กับอาหารและชา โดยทั่วไปเฟนเนลจะมีความสูง 36 นิ้ว ชอบแสงแดดรำไรและความชุ่มชื้น เป็นผักที่ให้แคลเซียมสูง มีประโยชน์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ กระดูก และฟัน นอกจากนี้ เมล็ดและใบยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยขับลมด้วย

ผลไม้ไทยเป็นผลไม้ที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติยอมรับในเรื่องของรสชาติ คุณประโยชน์ และสรรพคุณ ปัจจุบัน ผลไม้ไทยเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ มีการส่งเสริมการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศ แต่ข้อเสียของการขยายตลาดของผลไม้ไทยสู่ต่างประเทศก็คือ ทำให้คนไทยได้กินผลไม้ที่มีคุณภาพด้อยลง ทั้งความอร่อย ความสวย ความสด และความสมบูรณ์ของผลไม้ เพราะผลไม้คุณภาพที่ดีนั้นถูกตีตราส่งออกไปหมด ยิ่งถ้าเป็นผลไม้นอกฤดูกาลก็ยิ่งหากินยากและราคาแพงสุดๆ บางชนิดแพงกว่าผลไม้จากต่างประเทศที่มีการส่งเข้ามาในประเทศไทย

นอกจากผลไม้ไทยจะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศแล้ว ผลไม้ไทยยังถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปอาหารอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงงานอาหารกระป๋อง และผลไม้กระป๋อง

ผลไม้ไทยนอกจากนำไปแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องแล้ว 2snaps.tv ยังนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้อีกด้วย ซึ่งตลาดน้ำผลไม้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นกัน มีทั้งน้ำผลไม้ในรูปขวด กระป๋อง และกล่องดีบุก พร้อมทั้งมีรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจดูสวยงาม แต่การทำน้ำผลไม้นั้น ส่วนมากจะมีการแข่งขันกันในเรื่องของรสชาติและความเข้มข้นของน้ำผลไม้นั้นๆ เพราะน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่มีวางขายกันในท้องตลาดนั้น ส่วนมากมักจะผสมน้ำตาลหรือกรดบางอย่าง เพื่อเพิ่มกลิ่น รสชาติ และสีของน้ำผลไม้ บางยี่ห้อก็ระบุว่า เป็นน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ บางยี่ห้อ 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอย่างต่ำจะเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เรื่องของรสชาติที่อร่อยถูกปากของผู้ซื้อ จึงทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น

น้ำผลไม้ไทย จะมีทั้งน้ำผลไม้ที่ได้จากผลไม้ไทยและผลไม้ต่างประเทศ เช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำองุ่น เสาวรส (กะทกรกฝรั่ง) หรือน้ำผลไม้ที่ได้จากผลไม้จากจีน ซึ่งรวมทั้งดอกไม้ และใบไม้ด้วย รวมทั้งยังมีน้ำสมุนไพรอีกหลายๆ ชนิด มะตูม เป็นผลไม้สมุนไพรไทยที่น่าสนใจมากอีกชนิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้บริโภคน้ำผลไม้ไปแล้ว อาจจะด้วยเพราะหากินได้ยาก เนื่องจากมะตูมเป็นผลไม้ที่ได้จากต้นมะตูมในป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีการปลูกเป็นไร่ เป็นสวนมะตูมเหมือนผลไม้ชนิดอื่นๆ

ในสมัยก่อนมีมะตูม มะขวิด วางขายและหากินได้ง่าย ต่อมาไม่ค่อยมีคนเอามาขาย ยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้จะหามะตูมสุกในตลาดนั้นยากยิ่งนัก ส่วนที่พอจะหาได้ก็แปรรูปเป็นมะตูมเชื่อมไปเสียหมดแล้ว

คนโบราณในสมัยก่อนท่านนิยมกินมะตูม ทั้งใช้เป็นของหวาน ยารักษาโรค และเครื่องดื่ม รวมทั้งกินผลสุก (ผลดิบกินไม่ได้ เพราะมีรสฝาด ส่วนมากจะนำไปฝานเป็นแว่นๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ต้มกินแทนน้ำชาได้)

ประวัติ มะตูม

มะตูม เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย และจัดเป็นพันธุ์ไม้มงคลประจำจังหวัดชัยนาท นอกจากนี้ มะตูมยังถือว่าเป็นพันธุ์ไม้มงคลของศาสนาฮินดู ซึ่งได้มีการนิยมปลูกกันมาก เพราะถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ในขณะที่บ้านเรานั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับใบมะตูม ว่ามันสามารถนำมาใช้ในการป้องกันเหล่าภูติผีปีศาจได้ และที่สำคัญมะตูมถือเป็นผลไม้ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังจัดเป็นยาสมุนไพรได้อีกด้วย

มะตูม มีประวัติและบันทึกที่น่าเชื่อถือว่า เป็นผลไม้ที่ถือกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในช่วงที่มีการเผยแพร่พุทธศาสนา เพราะถือว่าเป็นไม้มงคล ซึ่งชาวอินเดียนั้นยกย่องมะตูมว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับต้นโพธิ์

มะตูม มีส่วนสัมพันธ์กับศาสนาพราหมณ์ เพราะในพิธีสำคัญของศาสนาพราหมณ์ จะกำหนดให้นำใบมะตูมมาทัดหู เช่น ในงานพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ในพิธีราชาภิเษก ใช้พรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สำหรับในประเทศอินเดียนั้นจะพบต้นมะตูมปลูกอยู่ในวัด เช่นเดียวกับต้นโพธิ์ที่มีปลูกอยู่ตามวัดในประเทศไทยเช่นกัน

คนอินเดียมักนิยมปลูกต้นมะตูมเพื่อเอาไว้กินผลสุก และใช้ในการบูชาพระศิวะเมื่อต้องการขอพร ชาวอินเดียถือว่าต้นมะตูมเป็นต้นไม้วิเศษที่สามารถใช้ได้ทั้งเปลือก ราก ใบ และผล

มะตูม จัดเป็นไม้ยืนต้น ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณ ลำต้นแข็งแรง พบมากตามป่าเขา มีทั่วทุกภาคของประเทศไทย ชาวอินเดียส่วนมากจะรู้จักมะตูมดี เพราะมะตูมมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย และยังมีฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

ทางภาคเหนือ เรียกมะตูมว่า มะบิน ทางภาคใต้ เรียกมะตูมว่า ตูม หรือบางทีก็เรียกว่า ตุ่มตัง หรือมะตูม แต่ในทางภาคใต้บางจังหวัด เช่น ปัตตานี เรียกมะตูมว่า กะทันตาเถร ทางภาคกลาง เรียกเช่นเดียวกับทางภาคใต้ เรียกว่า มะตูม ทางภาคอีสาน เรียกว่า บักตูม สำหรับภาษาเขมร เรียกมะตูมว่า พะโนงค์ ส่วนกะเหรี่ยง เรียกว่า มะปิล่า

มะตูม ยังพบว่าแพร่หลายในศรีลังกา และออสเตรเลีย มะตูมเป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลมากนัก และไม่ต้องหมั่นรดน้ำก็สามารถอยู่รอดได้ มะตูมเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อน มักขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ และเจริญเติบโตได้ดี พบได้ในป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ พื้นที่แห้งทั่วไป จัดเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง ทนต่อความร้อน ดอกมีสีขาวสวย กลิ่นหอมเย็นเหมือนดอกปีบ ลำต้นสูงประมาณไม่เกิน 5 เมตร