เดือนยอดตั้งบริษัทพุ่ง เอกชนเชื่อเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง

6 เดือนยอดตั้งบริษัทพุ่ง เอกชนเชื่อเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง พาณิชย์เผยครึ่งปีแรก 2560 ยอดจดทะเบียนจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนบริษัทพุ่ง 35,942 ราย มูลค่า 164,281 ล้าน เพิ่มขึ้น 13% เอกชนเชื่อมั่นแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง แถมเม็ดเงินภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มกำลังซื้อครัวเรือน

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงการจดทะเบียนธุรกิจและผลการให้บริการประจำเดือนมิถุนายน 2560 และครึ่งปีแรก 2560 (มกราคม-มิถุนายน) ว่า มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศเดือนมิถุนายน 2560 จำนวน 6,525 ราย เพิ่มขึ้น 693 ราย คิดเป็น 12% เมื่อเทียบกับ เดือนพฤษภาคม 2560 จำนวน 5,832 ราย และเพิ่มขึ้น 609 ราย คิดเป็น 10% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2559 จำนวน 5,916 ราย สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนเลิกมีจำนวน 1,548 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 474 ราย คิดเป็น 44% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งมีจำนวน 1,074 ราย

มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2560 มีทั้งสิ้น 40,916 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 9,505 ล้านบาท คิดเป็น 30% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งมีจำนวน 31,411 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจำนวน 23,114 ล้านบาท คิดเป็น 130% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2559 ซึ่งมีจำนวน 17,802 ล้านบาท

ธุรกิจที่มีการประกอบธุรกิจใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 610 ราย อสังหาริมทรัพย์ 354 ราย ร้านขายปลีกเครื่องประดับ 198 ราย ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 168 ราย และขนส่งและขนถ่ายสินค้า 142 ราย ตามลำดับ

ห้างหุ้นส่วนบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560) 1,396,254 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 21.00 ล้านล้านบาท มีห้าง หุ้นส่วนบริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 665,618 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 16.22 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 484,649 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,174 ราย และห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 179,795 ราย

สำหรับครึ่งปีแรก 2560 (มกราคม-มิถุนายน) มีการจดทะเบียนจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนบริษัท จำนวน 35,942 ราย มูลค่าจดทะเบียนทั้งสิ้น 164,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังที่ผ่านมา (กรกฎาคม-ธันวาคม 2559) 3,446 ราย คิดเป็น 11% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (มกราคม-มิถุนายน 2559) เพิ่มขึ้น จำนวน 4,150 ราย คิดเป็น 13% สำหรับ การจดทะเบียนเลิกในครึ่งปีแรก 2560 (มกราคม-มิถุนายน) มีจำนวน 6,481 ราย ลดลง จำนวน 7,623 ราย คิดเป็น 54% เมื่อเทียบกับ ครึ่งปีหลังที่ผ่านมา (กรกฎาคม-ธันวาคม 2559)

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2560 ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้น และมีเม็ดเงินภาครัฐ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับครัวเรือน ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดีขึ้น

ผศ.ดร. ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) เปิดเผยถึงการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพันธกิจสัมพันธ์กับสังคม “หนึ่งคณะ หนึ่งอำเภอ หนึ่งนวัตกรรม” ให้เป็นยุทธศาสตร์หลักของการวิจัยและพัฒนาตามเจตนารมณ์ของความเป็นราชภัฏในการร่วมพัฒนาท้องถิ่น ว่า ภารกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยต่อจากนี้ไปจะเน้นการทำงานเชิงพื้นที่ โดยอาจารย์ นักศึกษา นักวิจัยลงพื้นที่ที่หน่วยงานของตนเองรับผิดชอบ พร้อมโมเดลต้นแบบ “ราชภัฏเชียงรายโมเดล : นวัตกรรมด้านเกษตรและอาหารเพื่อสุขภาพ” เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน

อธิการบดี มร.ชร. กล่าวถึงที่มาของการกำหนดราชภัฏเชียงรายโมเดลฯ ว่า จากผลการสำรวจชุมชนพบว่า มหาวิทยาลัยต้องให้ความสำคัญกับการนำองค์ความรู้ช่วยยกระดับการผลิต เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารปลอดภัย ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย ตำรับยารักษาโรคที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับสากล พันธกิจสัมพันธ์ของ มร.ชร.กับสังคม ต้องสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนบนฐานทรัพยากรท้องถิ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ช่วยให้ชุมชนมีแหล่งผลิตวัตถุดิบอย่างเพียงพอ มีความชำนาญในการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารและยาสมุนไพร เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าและบริการ ทำให้เกิดอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตลาดจะมาหาถึงชุมชน เป็นเทคนิคของการส่งออกแบบไม่ส่งออก โดยใช้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เชิงนิเวศและเชิงวัฒนธรรมเป็นธงนำ

“หลังจากได้โมเดลต้นแบบแล้ว ในปี 2562-2563 ทุกคณะ/สำนักวิชาจะได้นำราชภัฏเชียงรายโมเดลฯ ไปขยายผลใน 18 อำเภอซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทุกคณะ/สำนักวิชารับผิดชอบดูแลต่อไป เป้าหมายภายในปี 2564 จังหวัดเชียงรายจะเป็นเมืองน่าอยู่ ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น มีความมั่นคงในชีวิต ทุกๆ อำเภอจะมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีอาหารปลอดภัยบริโภค มีแหล่งวัฒนธรรมล้ำค่า เป็นเมืองแห่งสมุนไพร มีความหลากหลายของภูมิปัญญา มีตำรับยารักษาโรค และแหล่งให้บริการทางการแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทยบนฐานทรัพยากรในท้องถิ่น ซึ่งใน จ.เชียงราย ล้วนมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรทางกายภาพและวัฒนธรรมที่รอการเจียระไนจาก มร.ชร. อยู่แล้วอย่างพร้อมพรั่ง” อธิการบดี มร.ชร.กล่าว

ดร.สมบัติ ธีระตระกูลชัย ประธานหอการค้าไทย-รัสเซีย และกรรมการรองเลขาธิการของหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในวาระครบรอบ “120 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย” ในปีพ.ศ. 2560 นี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายดอน ปรมัตถ์วินัย ได้จัดงานกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศที่มีมายาวนาน นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2437 เป็นต้นมา โดยจัดมหกรรมขึ้นในระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ณ Fashion Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นประธานเปิดงาน และเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย H.E. Dr. Kirill Barsky มาร่วมกล่าวเปิดงาน ซึ่งภายในงานประกอบด้วยการจัดแสดงนิทรรศการ การเปิดบูธจำหน่ายสินค้า และกิจกรรมบนเวทีจากภาครัฐและเอกชน เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศรัสเซียในทุกมิติ ภายในงานนี้จะได้พบกับโซนกิจกรรม 5 โซน คือ โซนนิทรรศการ 12 ทศวรรษ แห่งความสัมพันธ์, โซนเศรษฐสัมพันธ์, โซนความร่วมมือด้านการศึกษา, โซนความร่วมมือทางวัฒนธรรมและท่องเที่ยว และสุดท้ายคือการแสดงบนเวที จัดให้ชมฟรีตลอดทั้งงาน

“ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มีมายาวนานถึง 120 ปี และความสัมพันธ์อันดีนี้ จะดำเนินการต่อไปแนบแน่น ทั้งในมิติด้านการทูตที่ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ มิติการค้า-การลงทุน-การท่องเที่ยว และมิติด้านการศึกษาที่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี และเชื่อว่าจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ตลอดไปยาวนาน” ดร.สมบัติ กล่าว

สำหรับการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในงาน อาทิ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (จำกัด) มหาชน หรือซีพีเอฟ ซึ่งได้ขยายธุรกิจเข้าไปลงทุนในประเทศรัสเซียตั้งแต่ปี 2549 โดยเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ไปลงทุนในรัสเซียมากว่า 11 ปี โดยมีรูปแบบธุรกิจที่เริ่มต้นจากธุรกิจอาหารสัตว์ ต่อเนื่องไปยังธุรกิจฟาร์มสุกร และธุรกิจการแปรรูปเนื้อสุกร และในปี 2015 ซีพีเอฟ-รัสเซีย ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจไก่เนื้อครบวงจร โดยได้ร่วมออกบูธภายในงาน ในโซนเศรษฐสัมพันธ์ จัดแสดงและจำหน่ายสินค้าอาหารซึ่งเป็นที่นิยมของชาวไทยและรัสเซีย

เกษตรฯ ใช้อะกรี-แมพปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะสม 200,000 ไร่ คาดเปิดใช้อะกรี-แมพโมบายบนระบบ ios เดือนก.ย.นี้ ชี้คนทั่วไปพอใจให้ 4.3 จากเต็ม 5 คะแนน

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงนามความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาแผนที่การเกษตร(อะกรี-แมพ) ในระบบออนไลน์ หรือ อะกรี-แมพโมบาย โดยการนำเอาข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินไปใส่ในแอพพลิเคชั่น เพื่อทำให้เกษตรกรสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ให้สอดคล้องกับตลาดได้
สำหรับผลการดำเนินการที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้นำแผนที่อะกรี-แมพ มาปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกให้เหมาะสมแล้วประมาณ 200,000 ไร่ นอกจากนี้ยังนำไปใช้กับหลายโครงการ อาทิ จังหวัดสระแก้วที่มีพื้นที่แห้งแล้ง แต่เดิมทำการเกษตรก็ให้เปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์แทน พื้นที่บางส่วนที่ปลูกข้าว ก็อาจจะมีการลดไม่ให้ปลูกข้าวมากเกินไปให้ปลูกอื่นแทน เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ทั้งนี้เกษตรกรหลายพื้นที่ได้เอาแผนที่อะกรี-แมพมาวางแผนในการดำเนินการด้านการเกษตรด้วย

รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เปิดให้ใช้อะกรี-แมพโมบาย 2 เดือนแล้วในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งคาดว่าอีก 1 เดือนหรือภายในเดือนก.ย. จะสามารถเปิดใช้งานในระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้ โดยจากข้อมูลปัจจุบันมีผู้โหลดแอพพลิเคชั่นแล้วกว่า 5,000 ครั้ง ซึ่งปัจจุบันมีคนใช้งานแล้วกว่า 10,000 ครั้ง อย่างไรก็ตามอะกรี-แมพโมบาย มีคนให้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 คะแนน จากเต็ม 5 คะแนนมากที่สุด เนื่องจากเข้าใจข้อมูลบนแอพพลิเคชั่น

“การที่จะดูว่าเกษตรกรมาใช้แอพลิเคชั่นนี้หรือไม่ จะสังเกตุจากการปักหมุดในพื้นที่ และการเสริ์ชหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะให้มีข้อมูลคาดการณ์มากกว่านี้ อาทิ ผลผลิตให้แม่นยำ ด้านราคาที่อิงตลาดตามจริง เป็นต้น ซึ่งการที่จะทำให้อะกรี-แมพ ประสบความสำเร็จ รัฐบาลต้องกำหนดนโนบายให้ชัดเจน อย่างไรก็ตามข้อมูลในแอพพลิเคชั่นจะมีการคาดการณ์ถึงระดับจังหวัดและอำเภอ ลงลึกข้อมูลไปในพื้นที่นั้นๆ ไม่ได้คาดการณ์โดยรวมทั้งประเทศซึ่งจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ โดยข้อมูลที่มีความแม่นยำ คือ ดิน อากาศ และน้ำ เนื่องจากมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันแปรไม่มาก”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากำลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) วงเงิน 619ล้านบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.สร้างเสริมคุณลักษณะผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะ นิสัยอุตสาหกรรม ภาษา ICT เทคโนโลยีและนวัตกรรม2.ปรับปรุง/พัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับ Super Cluster/Cluster,New Engine of Growth เพิ่มหลักสูตรทักษะเฉพาะทาง จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ/ศูนย์พัฒนาทักษะเฉพาะทางร่วมกับสถานประกอบการ 3.ต่อยอดทักษะกำลังคนในสถานประกอบการให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4.0

4.สร้างแรงบันดาลใจด้านการเรียนอาชีวศึกษา สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสเข้าสู่ระบบอาชีวศึกษา 5.สร้างนิสัยการใช้ทรัพยากร การอนุรักษ์ธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6.จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ปรับระบบการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อสร้างแรงจูงใจผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้สำเร็จการศึกษาเพิ่มขึ้นจำนวน 194,675 คน ภายใน 5 ปี

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ ต.โพธิ์ไทร อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร หลังได้รับแจ้งว่าลำน้ำเซบายได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ปลูกข้าวของชาวบ้าน มากถึง5,500 ไร่ จำนวน 4 ตำบล 12 หมู่บ้าน 961 ครัวเรือน โดยไร่นาถูกน้ำท่วมขังจนมิดได้รับความเสียหายอย่างหนัก

น.ส.กุหลาบ อินอ่อน อายุ 43 ปี อาชีพทำนา ชาว บ้านโพธิ์ศรี ต.โพธิ์ไทร อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร กล่าวว่าตนทำนา จำนวน 61 ไร่ แต่น้ำได้เข้าท่วมประมาณ 40 ไร่ ซึ่งตนใช้เงินลงทุนไปทั้งหมดประมาณ 30,000 -40,000 บาท โดยน้ำได้ไหลทะลักออกมาจากลำเซบายท่วมไร่นาชาวบ้านได้ 4-5 วันแล้ว สูงประมาณ 1.5 เมตร จนทำให้ต้นข้าวที่ตนปลูกไว้ประมาณ 3-4 เดือน ได้จมน้ำมิดปลายยอดและตายหมดแล้ว

ขณะที่นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม ผู้ว่าราชการ จ.ยโสธร เปิดเผยว่าตนได้ลงพื้นที่น้ำท่วมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โดยพบว่าปัญหาเกิดจากฝนตกอย่างต่อเนื่องและน้ำเหนือไหลเอ่อท้นติดต่อกันหลายวัน และการก่อสร้างโครงการพระราชดำริฝ่ายบ้านโพธิ์ศรี โดยก่อสร้างไปแล้ว 80 เปอร์เซ็น ระหว่างการก่อสร้างจำเป็นต้องปิดทางน้ำของลำเซบายเดิม ซึ่งต้องทำทางผันน้ำอ้อมฝ่ายเพื่อไปลงตามลำน้ำเดิม จึงทำให้ตรงที่ผันน้ำมีขนาดเล็กกว่าลำเซบาย ทำให้ล้นเข้าท่วมไร่นาชาวบ้าน นอกจากนี้ตนได้ไปสำรวจลำเซบายตั้งแต่ที่ อ.เลิงนกทา พบว่าปริมาณน้ำยังทรงตัวอยู่ใกล้เคียงตลิ่ง ซึ่งทำให้พื้นที่ อ. ป่าติ้ว เป็นพื้นที่รับน้ำและยังเป็นพื้นที่ที่ต่ำอีกด้วยจึงประสบปัญหามาตลอดเกือบทุกปี ในอนาคตเมื่อฝ่ายแล้วเสร็จก็จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้ และหากฝนไม่ตกลงมาอีกคาดว่าอีก 4-5 วันน้ำก็จะลดลงเป็นปกติ

“ส่วนพื้นที่ทางการเกษตรของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายเบื้องต้นอยู่ประมาณ 5,500 ไร่ จำนวน 4 ตำบล 12 หมู่บ้าน 961 ครัวเรือน แบ่งเป็นหมู่ 1,2,3,7,9,10 ต.โพธิ์ไทร หมู่ 3,4 ต.โคกนาโก หมู่ 1,7 ต.เชียงเพ็ง และหมู่ 5,7 ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ซึ่งทาง จ.ต้องรอให้ครบระยะเวลากำหนดถึงจะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติได้ นอกจากนี้ทางเกษตรกรจะได้รับการช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของทางราชการอยู่แล้ว เช่นไร่นาจะได้รับเงินประมาณ 1,113 บาทต่อไร่ เงินช่วยเหลือครอบครัวละ 3,500 บาท และต้องลงทะเบียนเกษตรกรอย่างถูกต้อง”นายบุญธรรม กล่าว

เกษตรกรภาคใต้ จี้ “บิ๊กตู่” หาวิธีขายยางให้ได้ 80 บาท กำหนดปาล์มน้ำมันเป็นสินค้าส่งออก

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 กรกฎาคม ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) นายสัญญพงศ์ ภู่ประดิษฐศิลป์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง นำคณะตัวแทนเกษตรกร จ.พัทลุง สงขลา และสุราษฎร์ธานี ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกร้องให้เร่งแก้ปัญหาราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน

นายสัญญพงศ์กล่าวว่า ด้วยปัญหาราคายางพาราและปาล์มน้ำมันตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกร เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและยังมีภาระหนี้สิน สำหรับปัญหายางพารา ขอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้ 1.หาวิธีการให้เกษตรกรขายยางในราคากิโลกรัมละ 60-80 บาท 2.เร่งใช้ยางในสต๊อกมาแปรรูป เช่น หมอน ที่นอนในหน่วยงานต่างๆ ฯลฯ 3.ส่งเสริมการผลิตยางรถยนต์ โดยให้สิทธิพิเศษในการตั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราทุกประเภท 4.จัดตั้งเมืองยางภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม
นายสัญญพงศ์กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาปาล์มน้ำมัน ขอให้ดำเนินการ 1.หาวิธีการให้เกษตรกรขายปาล์มน้ำมันในราคา กก.ละ 5-6 บาท 2.ให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันปาล์มปรับราคารับซื้อปาล์มจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น 3.กำหนดให้ปาล์มน้ำมันเป็นสินค้าส่งออก โดยส่งเสริมมาตรฐานอาร์เอสพีโอ (RSPO) 4.สกัดการนำเข้าปาล์มน้ำมันผิดกฎหมาย

วันที่ 20 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม สถานการณ์น้ำยังคงต้องเฝ้าระวังการเกิดปัญหาน้ำโขงหนุนเอ่อท่วมต่อเนื่อง หลังจากระดับน้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว วันละประมาณ 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 9.50 เมตร เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 50 เซนติเมตร ห่างจากจุดวิกฤตแค่ประมาณ 3.50 เมตร คือที่ 13 เมตร หากระดับน้ำโขงถึงจุดวิกฤต จะส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำเอ่อท่วมพื้นที่ลุ่ม รวมถึงติดลำน้ำสาขาสายหลักมากขึ้น เช่นเดียวกันกับพื้นที่ติดกับลำน้ำก่ำ ที่รองรับน้ำมาจาก หนองหาร จ.สกลนคร เป็นระยะทางยาวกว่า 120 กิโลเมตร ผ่าน อ.โพนนาแก้ว อ.โคกศรีสุมพรรณ จ.สกลนคร มายัง อ.นาแก อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ในช่วงนี้เริ่มมีปริมาณน้ำสูง เริ่มเอ่อท่วมพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน เนื่องจากระดับน้ำโขงสูง ทำให้ลำน้ำก่ำไหลระบายลงน้ำโขงช้า เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า มีพื้นที่การเกษตร นาข้าวของเกษตรกร ที่อยู่ตามแถบลุ่มน้ำก่ำ ได้รับผลกระทบ จากปัญหาน้ำท่วมขัง แล้วเกือบ 1,000 ไร่ ซึ่งหากระดับน้ำไม่ลดอีกประมาณ 1 สัปดาห์คาดว่านาข้าวจะได้รับความเสียหายจำนวนมาก

โดยทางด้าน โครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำตอนล่าง ตามแนวทางพระราชดำริ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ที่ควบคุมดูแลเก็บกักน้ำ ที่ไหลมาจากน้ำหนองหาร จ.สกลนคร ผ่านลำน้ำก่ำ ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาสายหลัก ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ได้เร่งเปิดประตูระบายน้ำ ที่มีอยู่จำนวนทั้งหมด 5 จุด ตลอดแนวลำน้ำก่ำ เต็มพิกัด 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อระบายน้ำลงสู่น้ำโขงให้เร็วที่สุด รองรับมวลน้ำจากน้ำหนองหาน หลังมีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ให้ระดับน้ำลดลงช่วยพื้นที่นาข้าวถูกน้ำท่วม และป้องกันปัญหาน้ำเอ่อท่วมพื้นที่การเกษตรขยายวงกว้างมากขึ้น พร้อมประกาศเตือนให้ประชาชน ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ใกล้กับแม่น้ำโขง รวมถึงแม่น้ำสาขาสายหลัก ลำน้ำก่ำ ลำน้ำสงคราม เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน ในช่วงนี้

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 20 กรกฏาคม 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า kodiakcamera.com ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร ขอนแก่น และชัยภูมิ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี และสระบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร