เตือนลองกองผลอ่อนให้ระวังโรครา สีชมพูสภาพอากาศร้อน

สลับกับมีฝนตกในช่วงนี้ กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรชาวสวนลองกองเฝ้าระวัง การระบาดของโรคราสีชมพู มักพบโรคในระยะที่ต้นลองกองมีผลอ่อน เริ่มแรกพบพบเส้นใยสีขาวของเชื้อราเจริญคลุมกิ่งหรือลำต้น ต่อมาเส้นใยของเชื้อราหนาขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีชมพูยึดแน่นกับกิ่ง เมื่อเฉือนดูบริเวณกิ่งหรือลำต้นที่พบเชื้อรา จะพบเนื้อไม้เป็นแผลสีน้ำตาล และกิ่งที่เป็นโรคราสีชมพูบริเวณยอดจะเหี่ยว ใบเหลือง และร่วงเป็นหย่อมๆ ต่อมากิ่งจะแห้งตายในที่สุด

สำหรับแนวทางในการป้องกันโรคราสีชมพู ให้เกษตรกรตัดแต่งทรงพุ่มต้นลองกองให้โปร่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อลดการสะสมความชื้นใต้ทรงพุ่มไม่ให้มีมากเกินไป ส่วนในช่วงฤดูฝนเกษตรกรควรหมั่น ตรวจดูต้นลองกองบริเวณกิ่งภายใน สวนอย่างสม่ำเสมอ

หากพบอาการใบเหลืองหรือพบราสีขาวหรือสีชมพูขึ้นบนกิ่ง ให้เกษตรกรตัดกิ่งที่เป็นโรค เก็บเศษซากพืชส่วนที่เป็นโรค และกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกนำไปเผาทำลายนอกสวน เพื่อลดการสะสมเชื้อราสาเหตุโรค และใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% ดับเบิ้ลยูพี ผสมน้ำเข้มข้น จากนั้นนำมาทาบริเวณรอยแผลตรงกิ่งที่ตัดออกไป

หากพบอาการของโรคราสีชมพูบนง่าม กิ่ง หรือโคนกิ่งที่มีขนาดใหญ่ หรือบริเวณลำต้นให้เกษตรกรถากแผลบริเวณที่เป็นโรคออกให้หมดแล้วทาด้วยสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% ดับเบิ้ลยูพี ผสมน้ำเข้มข้น จากนั้นให้พ่นด้วยสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และพ่นให้ทั่วต้นโดยเฉพาะบริเวณ กิ่งและลำต้น

ฝรั่งไต้หวันสายพันธุ์ดีๆ เข้ามาในเมืองไทยหลายสายพันธุ์ จนเราเริ่มคุ้นเคยกับฝรั่งไต้หวันมากกว่าฝรั่งไทย แม้ฝรั่งไต้หวันได้เข้ามานานแล้ว ก็คงมีแต่ฝรั่งกิมจูพันธุ์เดียวที่ปรากฏว่ามีจำหน่ายในท้องตลาดและปลูกกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยังมีฝรั่งไต้หวันอีกหลายสายพันธุ์ที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตาในท้องตลาดให้คนไทยได้เห็นหรือได้ลองลิ้มชิมรสความอร่อยตามคำกล่าวอ้าง ได้ยินกันแต่ชื่อกับคำพรรณนาคุณสมบัติเลอเลิศ กระตุ้นความต้องการให้กับผู้นิยมของใหม่เฝ้ารอ คาดว่าอีกไม่นานก็ต้องมีการปรากฏตัว

หากแต่กระแสของฝรั่งไส้แดงหลายพันธุ์กำลังมาแรง ด้วยลักษณะเนื้อสีแดงที่โดดเด่นและมีรสชาติดี ฝรั่งไส้แดงที่ถูกนำเข้า เช่น หงเป่าซือ, ซีกั่ว (แตงโม), หงซิน เป็นต้น ฝรั่งไส้แดงจากไต้หวันได้รับการคัดเลือกพันธุ์จากเจ้าของสวนและร้านจำหน่ายต้นพันธุ์อยู่ตลอด มีอีกหลายพันธุ์ที่รอการเปิดตัว ฝรั่งไส้แดงหงเป่าซือดังยังไม่ทันจะซา ฝรั่งไส้แดงไต้หวันสายพันธุ์ใหม่สุดก็เข้ามาปลูกในเมืองไทยอีกแล้ว คือ ฝรั่งไส้แดง “เฟิ่นหงมี่” หรือ “น้ำผึ้งสีชมพู”

การนำต้นไม้ต่างๆ จากไต้หวันเข้ามาง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ก่อนนั้นมีการนำยอดฝรั่งเข้ามาเสียบมักไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะยอดฝรั่งเหี่ยวแห้งง่าย จึงนำเมล็ดเข้ามา ซึ่งก็กลายพันธุ์ออกไปหลากหลาย ได้ทั้งดีและไม่ดี เจ้าของสวนผลไม้ในไทยจึงได้ผสมพันธุ์ฝรั่งกันเองมากขึ้น ในไม่ช้าคงมีพันธุ์แปลกๆ แข่งกับไต้หวันบ้าง เดี๋ยวนี้การนำต้นไม้เข้ามาคล่องตัวขึ้น ทำให้มีต้นไม้จากไต้หวันหลากหลายสายพันธุ์นานาชนิด เช่น พันธุ์ไม้ผล พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ พันธุ์พืชผัก วัสดุและอุปกรณ์การเกษตรต่างๆ การนำเข้ามามีหลายรูปแบบ แล้วแต่ละจุดประสงค์ เมื่อเข้ามาแล้วต้องผ่านขั้นตอนอะไรอีก ก็ดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป การนำเข้ามีตั้งแต่

การนำเข้ามาตัวเองคนซื้อต้องรู้จักตลาดขายต้นกล้าไม้ได้ติดต่อนัดแนะกันไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว หรือมีไกด์ท้องถิ่นพาไปซื้อ
จ้างคนหิ้วเข้ามา ผู้ซื้อจะติดต่อกับทางร้านทางโน้นให้เรียบร้อยและออกค่าเครื่องบินให้ผู้หิ้วของหรือจะแบ่งกล้าไม้กันตามแต่จะตกลง
การฝากเพื่อนที่เที่ยวไต้หวันจะเดินทางกลับจากไต้หวันซื้อมาฝาก
คนงานไทยที่ไปทำงานในสวนผลไม้ไต้หวัน ซึ่งจะรู้จักพันธุ์ไม้ดีๆ หลายอย่าง จึงนำยอดหรือต้นกล้ากลับเข้ามาเอง

ชาวไต้หวันที่ได้ภรรยาเป็นชาวไทยเข้ามาทำสวนผลไม้ หรือเจ้าของสวนผลไม้ชาวไต้หวันในไทย นำต้นกล้าไม้เข้ามา เช่น สวนพุทรา สวนองุ่น สวนมะม่วง สวนน้อยหน่า เป็นต้น สวนมักไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมและหวงพันธุ์ไม่ปล่อยพันธุ์ออกนอกสวน
มีผู้นำมาส่งให้ มักเป็นชาวไต้หวันที่จะเข้ามาทำธุระหรือเยี่ยมญาติในไทย จึงนำต้นกล้าไม้ติดมาบ้าง เพื่อเป็นการช่วยลดค่าเครื่องบิน
และบริการรับสั่งต้นไม้นำเข้าจากไต้หวันส่งถึงบ้าน มีเงื่อนไขว่า สั่งอย่างต่ำ 50 ต้นขึ้นไป รวมชนิดได้แบบล้างราก
พรรณพืชหลายชนิดไม่ต้องถูกปิดกั้นอีกต่อไป ทำให้การถ่ายทอดพรรณพืชเริ่มเป็นไปอย่างไร้พรมแดน

ฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” เป็นฝรั่งไส้แดง พันธุ์ใหม่สุดของไต้หวัน กำลังเป็นที่ต้องการของชาวสวนทั้งในและต่างประเทศ ราคาต้นพันธุ์จึงยังสูงอยู่ ฝรั่งที่ได้รับการคัดเลือกพันธุ์จากเจ้าของสวนและร้านจำหน่ายต้นพันธุ์มักไม่บอกแหล่งที่มาของต้นพ่อต้นแม่ ทำให้ไม่ทราบต้นพ่อต้นแม่ “เฟิ่นหงมี่” เช่นเดียวกับฝรั่งไส้แดงหงเป่าซือ

ทรงพุ่มของฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” ไม่ต่างจากฝรั่งอื่นๆ ทรงพุ่มโปร่ง การแตกกิ่งก้านค่อนข้างจะสวย ไม่เก้งก้าง ไม่แตกกิ่งไปเรื่อย แตกกิ่งเป็นชั้นๆ ไล่ขึ้นไป

ผลฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” มีผลใหญ่กว่าฝรั่งหงเป่าซือ รูปทรงของผลต่างไปจากฝรั่งหงเป่าซือ ผลฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” มีผลไปทางทรงกระบอก ผลส่วนขั้วมีขนาดเล็กกว่า ส่วนปลายผลที่ใหญ่กว่า ทรงผลกระเดียดไปทางผลลูกแพร์หรือคล้ายระฆังเล็กน้อย ผลไม่แป้นกลมเหมือนฝรั่งหงเป่าซือ ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สีผลจะอ่อนออกเหลือง ผลใหญ่อาจมีน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัม น้ำหนักเฉลี่ยต่อผล ประมาณ 7 ขีด ผลมีผิวไม่เรียบ มีเนื้อสวย สีของเนื้อคล้ายฝรั่ง 3 สี เริ่มจากสีเขียวจากผิว เนื้อจากผิวผลมีสีขาว และไส้กลางรอบกลุ่มเมล็ดเป็นสีชมพูหรือแดงอ่อนๆ เมล็ดค่อนข้างใหญ่

ใบ ต่างจากฝรั่งหงเป่าซือที่เป็นฝรั่งที่ใบมีส่วนกว้างและใหญ่กว่าอย่างมาก แต่ใบ “เฟิ่นหงมี่” กลับตรงกันข้าม ที่มีใบยาวอย่างมาก ใบส่วนโคนกิ่งมักมีขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 8 เซนติเมตร กว้าง 4 เซนติเมตร ใบอยู่ส่วนกลางกิ่ง เป็นใบที่มีขนาดยาวใหญ่ ความยาวประมาณ 19 เซนติเมตร กว้าง 10 เซนติเมตร ใบที่ยอดอ่อนสีนวล ใบอ่อนออกเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ขอบใบมีสีชมพูระเรื่อ

ดอก ดอกมีสีขาว ช่อมี 3 ดอก ดอกประธานอยู่กลาง ดอกด้านข้างทั้งสอง ดอกประธานมีขนาดใหญ่กว่า บานก่อน ดอกด้านข้างบานตามหลัง เด็ดผลอ่อนด้านข้างออกไว้ผลจากดอกประธานผลเดียว

รสชาติของฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” ไม่ต่างไปจากฝรั่งหงเป่าซือ ที่มีเนื้อหนา (ส่วนหนาสุด 4 เซนติเมตร) รสชาติหวานกรุบกรอบ ฉ่ำน้ำ กรอบแบบนิ่มไม่ใช่กรอบแบบแข็งๆ เนื้อค่อนข้างละเอียดเนียนไม่หยาบเป็นเม็ดทราย มีกลิ่นหอมน้อย ความหวานประมาณ 10 องศาบริกซ์ (ไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากการวัดเอง) ไส้กลางมีความหวานน้อยกว่า

ฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” ต่างจากฝรั่งหงเป่าซือ ที่มีเมล็ดเยอะกว่า แต่เมล็ดไม่มากเหมือนฝรั่งแป้น ปริมาณเนื้อก็มีมากกว่าหงเป่าซือตามขนาดของผลที่ใหญ่กว่า ผู้ที่ได้ชิมฝรั่งหงเป่าซือมาแล้วต่างยกนิ้วให้ถึงความอร่อยไม่มีที่ติ ถ้าใครได้ชิมฝรั่ง “เฟิ่นหงมี่” แล้ว รับรองได้วางมือไม่ลง และต้องเลือกเอาฝรั่งเฟิ่นหงมี่ไว้ก่อนฝรั่งพันธุ์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งหงเป่าซือก็ตาม

ผู้ที่สนใจต้องการทราบรายละเอียด ฝรั่งเฟิ่นหงมี่ เพิ่มเติม ให้สอบถามข้อมูลได้จากลุงเล็ก (คุณเสน่ห์ ลมสถิตย์) นนทบุรี โทร. (081) 445-8792 หรือ คุณปิยะ ลำปาง โทร. (085) 687-8778

“ไร่ตะวันยิ้ม” เป็นอีกหนึ่งโครงการสร้างสรรค์ภายใต้การดูแลโดย บริษัท แอ๊ดว้านซ์ซีดส์ เมล็ดพันธุ์ ตราตะวันต้นกล้า มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สอนเทคนิคการปลูกเมล่อนคุณภาพ ปลูกอย่างไร ให้มีความหวานอย่างต่ำต้องไม่น้อยกว่า 13 บริกซ์ พร้อมทั้งยังแนะแนวทางแก้ปัญหาสินค้าราคาถูก สร้างจุดเด่นให้ผลผลิต ด้วยวิธีการเขียนลวดลายบนผลเมล่อนให้แก่เกษตรกรที่สนใจ ขายผลผลิตได้ราคาโดยที่ไม่ง้อพ่อค้าคนกลาง

คุณวีรศักดิ์ โพธิ์ศรี ผู้จัดการฝ่ายไร่ตะวันยิ้ม ให้ความรู้ถึงเทคนิคการปลูกเมล่อนอย่างไรให้หวาน พันธุ์ที่แนะนำคือเลดี้กรีน และเลดี้โกลด์ ซึ่งเมล่อนทั้งสองสายพันธุ์นี้มีข้อดีต่างกัน แต่เหมาะสำหรับนำมาเขียนลวดลายเพื่อสร้างรายได้ทั้ง 2 พันธุ์

พันธุ์ที่ 1 เลดี้กรีน จุดเด่นของเลดี้กรีน เนื้อสีเขียว เนื้อนุ่ม ทำหวานง่าย ตาข่ายผลละเอียด

พันธุ์ที่ 2 เลดี้โกลด์ จุดเด่นเลดี้โกลด์ เนื้อสีเหลืองทอง หวาน กรอบ ตาข่ายผลละเอียด เทคนิคปลูกเมล่อน ให้ได้ความหวาน 13-15 บริกซ์

คุณวีรศักดิ์ บอกว่า ที่ไร่ตะวันยิ้ม มีเทคนิคการปลูกเมล่อนให้หวาน อย่างต่ำต้องหวานให้ได้ 13 บริกซ์ ซึ่งเคยทำได้สูงถึง 18 บริกซ์ แต่ไม่เคยต่ำกว่า 13 บริกซ์ ซึ่งขั้นตอนการทำความหวานไม่มีเทคนิคอะไรที่ยากเกินไป เพียงแต่ต้องใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนแรก

ขั้นตอนการทำความหวานให้ได้สม่ำเสมอมีดังนี้

สายพันธุ์ ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ให้ความหวาน หรือทำหวานได้ง่ายๆ
ปัจจัยสภาพภูมิอากาศมีผลต่อพืช ฝนตกฟ้าปิดอากาศไม่เป็นใจต่อการเจริญเติบโตของพืช ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการฉีดฮอร์โมนเข้าช่วย ซึ่งก็ต้องมีระยะการฉีดที่เหมาะสม ฉีดตามใจชอบไม่ได้
หลังจากปลูกย้ายกล้า 1 สัปดาห์ ต้องดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยสม่ำเสมอ ให้น้ำวันไหนก็ต้องให้ปุ๋ยวันนั้น ปุ๋ยให้ละลายมาพร้อมน้ำ สูตร 30-20-10 เรื่องความหวาน ให้ปุ๋ยเป็นระยะ น้ำสม่ำเสมอ ถ้าให้มากให้น้อยสวิงไปสวิงมา โอกาสทำให้เสียความหวานก็มี
เมื่อเริ่มติดลูก จึงเปลี่ยนมาใช้เป็น สูตรเสมอ 20-20-20
หลังจากนั้น ดูแลไปเรื่อยๆ จะเริ่มทำหวาน ก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต 20-25 วัน และมีการฉีดธาตุเสริมช่วย เพื่อรักษาคุณภาพ

“ต้นทุนไม่แพง คำนวณแล้วตกลูกละ 15-20 บาท โดยประมาณ รวมค่าน้ำ ค่าปุ๋ย แต่ไม่รวมโรงเรือน จนถึงเก็บได้เลย และถ้าเกษตรกรดูแลดีได้ผลผลิตลูกใหญ่ รสชาติหวาน ก็สามารถเพิ่มราคาขายได้มากขึ้น หรืออีกทางคือ การเขียนลายบนผลเมล่อน ก็ถือเป็นการสร้างมูลค่าได้อีกทางหนึ่ง” คุณวีรศักดิ์ กล่าว

เทคนิคการเขียนลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม

เมล็ดพันธุ์ของแอ๊ดว้านซ์ซีดส์ ปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ตามสภาพภูมิอากาศของประเทศ ปรับตัวได้ดี พันธุ์เลดี้กรีน และเลดี้โกลด์ ถือเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมที่นำมาเขียนลวดลาย เพราะผลเป็นลายละเอียด แตกต่างจากพันธุ์ของญี่ปุ่นที่มีลายใหญ่ เขียนแล้วลายติดยาก

การเขียนลวดลายจะสวยหรือไม่สวย ขึ้นอยู่กับอายุของผล คือถ้าเราจะนับตามหลังจากที่ผสมแล้ว คือหลังจากผสมได้ 20 วัน ตาข่ายละเอียด จะขึ้นลายได้ดี บวกกับอายุของเมล่อน หลังจากผสมเกสรติดลูกแล้ว 20 วัน โดยประมาณ

การเขียนลายไม่ยาก เพียงแค่มือต้องนิ่ง อุปกรณ์ต้องพร้อม

ขั้นแรกให้เตรียมอุปกรณ์การเขียนลายให้พร้อม ดังนี้

เข็ม เบอร์ 1 หรือเบอร์ที่จับแล้วสามารถเขียนได้ถนัดมือ
แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อไว้ฆ่าเชื้อ
ผ้า หรือกระดาษทิชชู ไว้เช็ดทำความสะอาด
ถุงมือ
รูปภาพ หรือข้อความสำหรับไว้เตรียมเขียนลาย ขั้นตอนการเขียน

ใส่ถุงมือก่อนแกะ เพื่อรักษาความสะอาด
ขณะเขียนลายให้ใช้มือประคองลูก พยายามอย่าหมุนลูกไปมา จะทำให้ขั้วหลุดได้
ใช้ดินสอร่างรูปภาพหรือข้อความที่ต้องการจะเขียนก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาด หรืออีกเทคนิคท่านใดที่ไม่ถนัดการวาดรูป สามารถปริ้นต์ลายที่อยากได้มาแปะไว้ที่ผล แล้วเขียนลายตามก็ได้
เมื่อใช้ดินสอเขียนลายที่ต้องการสำเร็จ ให้ใช้เข็มจิ้มเข้าไปตามลาย โดยให้จิ้มไม่ลึกมาก แต่ก็อย่าตื้นจนเกินไป ให้จิ้มลงไปลึกพอประมาณ แต่ไม่ต้องถึงเนื้อขาว ถ้าเขียนตื้นไปลายจะไม่เกิด ลึกเกินไปลายจะจม ให้ดูถ้ายังไม่ถึงเนื้อขาวถือว่าใช้ได้
สังเกตที่เปลือก ถ้าทำถูกต้องสีของเปลือกจะมีสีเขียวเข้ม
เมื่อเขียนเสร็จให้ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูเช็ด เพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง
ฉีดพ่นวี-คลีนเนอร์ฉีดไปที่ผล เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลาย แนะนำว่าควรมีตารางการใช้สารเคมี ก่อนการเก็บเกี่ยว 20 วัน ควรงดใช้สารเคมี
เขียนลายเสร็จ ทิ้งไว้ 30 วัน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้

มูลค่าทางราคาอาจไม่มาก แต่คุณค่าทางจิตใจนับไม่ได้

“สำหรับการเขียนลายเพื่อสร้างมูลค่า ถือเป็นเทคนิคที่ไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถเรียนรู้เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดกับผลผลิตของตัวเองได้ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าทางราคา และมูลค่าทางจิตใจที่นับไม่ได้ จากเมื่อก่อนอาจขายผลผลิตได้กิโลกรัมละ 70 บาท แต่เมื่อนำมาเขียนลาย เกษตรกรจะสามารถขายได้เพิ่ม เป็นลูกละ 100-120 บาท ถือเป็นการสร้างจุดขายให้กับผลผลิตของตนเอง มูลค่าทางจิตใจ จะสั่งเป็นของขวัญวันครบรอบวันเกิด หรือเทศกาลแห่งความรัก ให้กับคนที่คุณรักก็สามารถเขียนได้ทั้งข้อความและรูปภาพได้ เรามั่นใจว่าสิ่งนี้จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนสำคัญและวันสำคัญของคุณได้แน่นอน” คุณวีรศักดิ์ บอก

สำหรับเกษตรกรที่สนใจเทคนิคการปลูกเมล่อนคุณภาพ และเทคนิคการเขียนลายเบื้องต้น ท่านสามารถติดต่อสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. (092) 689-1010 หรือท่านใดสนใจอยากสั่งเมล่อนเขียนลวดลายสวยงาม ท่านก็สามารถสั่งได้ ที่ไร่ตะวันยิ้ม เพียงราคาลูกละ 70 บาท FB : ไร่ตะวันยิ้ม

เกษตรจังหวัดพังงา นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ หมู่ที่ 3 ตำบลท่านา อำเภอกะปง จังหวัดพังงา พบปะสมาชิกเครือข่ายไม้ผล อำเภอกะปง และลงดูพื้นที่เยี่ยมชมสวนทุเรียนสาลิกาของ คุณธีรพงศ์ ตันติเพชราภรณ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดพังงา ซึ่งพื้นที่สวนดังกล่าวเป็นสวนทุเรียนพันธุ์สาลิกา ในพื้นที่เนินเขาตามสไตล์สวนของชาวพังงาทั่วไป ที่มีอายุต้นประมาณ 20 ปีเศษ กำลังติดผลเต็มต้น ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวเข้ามาทุกที นักบริโภคทุเรียนสาลิกาทั้งใกล้ไกล ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม เริ่มมีผลผลิตออกสู่ตลาด แต่ผลผลิตออกเยอะจริงๆ ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน และจะกระจายไปถึงเดือนกรกฎาคม 2561 ปีนี้คาดว่าทุเรียนสาลิกาจะมีผลผลิตมากกว่าปีที่ผ่านมา และมีคุณภาพที่ดี อร่อย สมการรอคอยอย่างแน่นอน

คุณนิพนธ์ สุขสะอาด เกษตรจังหวัดพังงา เล่าว่า จังหวัดพังงา เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว และเป็นเมืองเกษตรที่ผลิตสินค้าสำคัญๆ หลายชนิด ทั้งไม้ผลจำพวกมังคุด ทุเรียน เงาะ ลองกอง สินค้าปศุสัตว์ ประมง และโดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์สาลิกา ซึ่งเป็นทุเรียนพันธุ์พื้นเมือง จังหวัดพังงามีพื้นที่ปลูกทุเรียนสาลิกา ประมาณ 500 ไร่ ซึ่งขณะนี้ชื่อเสียงของทุเรียนสาลิกากำลังเป็นที่รู้จักและมีผู้บริโภคที่ต้องการลิ้มลองทุเรียนขึ้นชื่อพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในปีนี้สภาพอากาศจะไม่อำนวย ทุเรียนยืนต้นตายไปบางส่วน ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค

ลักษณะและจุดเด่นของทุเรียนสาลิกานั้น เนื่องจากเป็นทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองและชอบอากาศร้อนชื้น จึงเหมาะกับสภาพภูมิอากาศในเขตจังหวัดพังงาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังทนทานต่อโรคใบติด ต้านทานโรครากเน่าโคนเน่า ประกอบกับพื้นที่ปลูกเป็นที่เนินและไหล่เขา จึงมักไม่ค่อยเจอปัญหาโรครากเน่าโคนเน่า ลักษณะผลของทุเรียนสาลิกานั้นค่อนข้างกลม คล้ายกับลูกแอปเปิ้ล ซึ่งสามารถตั้งได้โดยไม่ล้ม มีความยาวผลประมาณ 30 เซนติเมตร รวมขั้วผล มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร เปลือกผลบาง มีหนามสั้นและค่อนข้างถี่ ลักษณะผลดิบเปลือกจะมีสีเขียวเข้ม เมื่อผลแก่สีจะอ่อนลงเล็กน้อย และมีสีน้ำตาลอ่อนบริเวณร่องพู (สีสนิม)

เมล็ดภายในส่วนใหญ่เป็นเมล็ดลีบและมีขนาดเล็กเกือบทั้งหมด ผลสุกเหมาะสำหรับรับประทานเมื่ออายุ 110 วัน หลังดอกบาน หรือประมาณ 90 วัน หลังติดผล เกษตรกรนิยมตัดผลทุเรียนเมื่อแก่จัด และเมื่อเริ่มมีกลิ่นหอมก็ให้แกะรับประทานได้ทันที อย่าปล่อยให้ทุเรียนร่วงหล่นเอง เนื้อในจะเละ รสชาติไม่อร่อย ผลทุเรียนสาลิกาที่ตัดได้อายุพอดีจะมีรสชาติหวานมัน และมีความหวานมากกว่าทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองอื่นๆ แต่ละพูมีความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร เนื้อทุเรียนมีสีเหลืองทอง เส้นใยละเอียด เนื้อแน่น มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์คงไว้ แต่กลิ่นไม่ฉุน น้ำหนักต่อผลโดยเฉลี่ย ประมาณ 1.3-1.5 กิโลกรัม ขนาดผลใหญ่สุดไม่เกิน 2.5 กิโลกรัม ให้ผลผลิตได้เมื่อปลูกไปแล้วประมาณ 4-5 ปี

คุณธีรพงศ์ ตันติเพชราภรณ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดพังงา เจ้าของสวนทุเรียนสาลิการายใหญ่ที่สุดของอำเภอกะปง ให้ข้อมูลว่า สำหรับแปลงที่ลงไปเยี่ยมชม สวนมีพื้นที่ปลูกทั้งหมด ประมาณ 5 ไร่ จำนวน 83 ต้น ผลผลิตโดยเฉลี่ย ต้นละ 50 ผล น้ำหนักประมาณ ผลละ 1.2-2.5 กิโลกรัม หรือคิดง่ายๆ ประมาณไร่ละ 1,000 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 200-300 บาท ทุเรียนพันธุ์ “สาลิกา” หรือที่เรียกกันเป็นภาษาถิ่นว่า “เรียนสากา” เป็นทุเรียนที่มีต้นกำเนิดที่อำเภอกะปง มีรสชาติหวานมัน เนื้อสีเหลืองทอง เนื้อเนียน กากใยน้อย เมล็ดเล็กลีบ เนื้อหนา และมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ และผลเล็กเหมาะที่จะรับลประทาน 1-2 คน ต่อผล

ทุเรียนพันธุ์นี้เป็นพืชอัตลักษณ์ของชาวพังงา เป็นพืชสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้ และเป็นพืชรับแขก จนมีคำกล่าวขานที่ว่า “ถ้ามาพังงาแล้วไม่ได้ชิมทุเรียนสาลิกา เหมือนมาไม่ถึงเมืองพังงา” ขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนสาลิกาในอำเภอกะปง ได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ปรึกษาหารือ พัฒนาคุณภาพผลผลิต และจัดการตลาด โดยมีสมาชิกแกนนำประมาณ 20 คน โดยกลุ่มเครือข่ายพยายามแนะนำสมาชิกในเรื่องการตัดทุเรียนให้ได้อายุพอดี จะได้ทุเรียนคุณภาพที่ดี เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคผิดหวัง และเริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยโดยการทำ QR Code เพื่อรับรองคุณภาพ และตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ การจัดจำหน่ายผลผลิตทางตลาดออนไลน์ และร่วมกับสภาเกษตรกร สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัด บริษัทประชารัฐ ขอจดทะเบียนเป็นสินค้า GI ซึ่งกำลังจะได้หนังสือรับรองในเร็ววัน ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และมุ่งสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรยุคประเทศไทย 4.0

ดิน ในภาคการเกษตรของไทยกว่า 70% เป็นดินที่มีปัญหาต่อการเพาะปลูก และมีสภาพเป็นดินเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่น การใช้ดินผิดประเภท การใช้สารเคมี การขาดการปรับปรุงบำรุงดิน เนื่องจากใช้ประโยชน์มานาน อีกทั้งเกษตรกรส่วนใหญ่ขาดทั้งโอกาส แหล่งความรู้ และเทคโนโลยี ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถแก้ไขปัญหาในที่ดินเพาะปลูกได้อย่างถูกต้อง ได้ผล ตรงจุด ประหยัด และสะดวก

ต้องยอมรับว่า การแก้ปัญหาดินของหน่วยงานราชการเดินมาตรงจุด แต่ยังกระจายได้ไม่ถึงระดับรากหญ้า โดยเฉพาะการนำดินส่งตรวจหาความสมบูรณ์ของแร่ธาตุในดิน และการทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้เห็นความสำคัญของการส่งดินตรวจวิเคราะห์หาแร่ธาตุที่มีอยู่

หากมองในแง่ธุรกิจ บริษัทในกลุ่มภาคภูมิกรุ๊ป มีแนวคิดริเริ่มตั้งคลีนิคดินขึ้น โดยขายในรูปแบบแฟรนไชส์ แต่กำหนดเป้าหมายให้มีคลีนิคดินเพียงอำเภอละ 1 แห่ง รวม 888 แห่ง ทั่วประเทศ ภายในปี 2562

ถึงแม้จะรู้ว่า เป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจ แต่เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวมของธุรกิจนี้ ก็ยังเชื่อได้ว่า เกษตรกรที่เข้ามาปรึกษาคลีนิคดินจะได้ประโยชน์จากการเปิดคลีนิคดินในทุกอำเภอตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้

คุณกฤษชนก ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานกลุ่มบริษัทภาคภูมิกรุ๊ป กล่าวถึงแนวคิดในการก่อตั้งคลีนิคดินให้ครบทั้ง 888 สาขา ทั่วประเทศ ก็เพื่อให้เข้าถึงเกษตรกรในทุกกลุ่ม โดยยึดวัตถุประสงค์หลักในการต้องการฟื้นฟูดินและสภาพแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ ยั่งยืน ด้วยวัสดุปรับปรุงดิน ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมีธาตุรองเสริม ที่มีคุณภาพและปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยได้

“คลีนิคดิน ที่เราคิดไว้ จะเติบโตขึ้นได้ก็ต้องให้เกษตรกรมองเห็นความสำคัญของการตรวจวิเคราะห์ดิน เพราะการตรวจวิเคราะห์ดิน จะทำให้รู้ว่าสารในดินที่อยู่ในพื้นที่ของเราขาดแร่ธาตุชนิดใดบ้าง เมื่อนำแร่ธาตุและสารปรับปรุงดินมาใช้กับดินนั้นๆ ก็จะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมต่อการปลูกและการเจริญเติบโตของพืช ผลผลิตที่มีคุณภาพก็เป็นผลพลอยได้ที่ตามมา ต้นทุนการผลิตที่เคยทุ่มลงไปทุกอย่างก็จะไปถูกทาง คือจ่ายเฉพาะส่วนที่จำเป็น ทำให้มองเห็นว่าการลงทุนที่หมดไปได้ผลออกมาชัดเจนอย่างไร”

แล้วกลุ่มบริษัทภาคภูมิกรุ๊ปได้อะไร คุณกฤษชนก บอกว่า เพราะฐานของกลุ่มบริษัทภาคภูมิกรุ๊ป มีกิจการด้านการผลิตวัตถุดิบเพื่อการเกษตรรายใหญ่ของประเทศมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะการผลิตปุ๋ย สารปรับปรุงดิน รวมถึงแร่ธาตุทุกประเภทที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเมื่อมีความพร้อมในทุกด้านแล้ว การตอบแทนสังคมด้วยการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรตามสายการทำงานที่บริษัทมีความถนัดก็เป็นเรื่องที่ควรทำโดยไม่มีข้อแม้

ความพร้อมในด้านปัจจัยการผลิต อันเป็นเบื้องหลังของการผลักดันให้เกิดคลีนิคให้มีขึ้นทั่วประเทศของกลุ่มบริษัทภาคภูมิกรุ๊ป มีดังนี้

บริษัทเป็นเจ้าของวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิต เช่น ฟอสเฟตหิน เพอร์ไลต์แคลเซียม โดโลไมท์ ซีโอไลท์ ปูนมาร์ล และอุปกรณ์การผลิต
เป็นตัวแทนคู่สัญญาโรงโม่และแหล่งวัตถุดิบ
เป็นโรงงานผลิตปุ๋ย วัตถุดิบ และวัสดุปรับปรุงดินหลายชนิด พร้อมห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์คุณภาพของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
มีทีมงานด้านวิชาการ ที่มีความชำนาญด้านการเกษตร สามารถให้คำแนะนำด้านการเพาะปลูก รวมถึงการจัดการเกษตรทั่วไปได้อย่างเหมาะสม
มีคณะที่ปรึกษา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นที่มาของ “คลีนิคดิน” หรือจะลองสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้สนใจ โทรศัพท์ไปได้ที่ (036) 909-969 หรือ (083) 440-4768

ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญและใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยสนใจอยากที่จะปลูกผักเพื่อสุขภาพไว้ทานเองที่บ้าน แต่ต้องประสบปัญหาในเรื่องของพื้นที่ ที่มีอย่างจำกัด ครั้งนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณเขมจิรา เกษตรกรโครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ได้แนะนำวิธีการเพาะเห็ดที่แสนง่าย มีเงินลงทุนเพียงหลักร้อย ใช้พื้นที่ประมาณ 1 เมตร ก็สามารถเพาะเห็ดได้ ส่วนวิธีการเพาะ การดูแล ก็ทำได้ไม่ยาก งานนี้ได้ทั้งสุขภาพและราคาที่ดีต่อใจ

คุณเขมจิรา กิตติสิทธิการ เว็บพนันบอล อยู่บ้านเลขที่ 60 ม.10 ต.ธวัชบุรี อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด โทรศัพท์ 085-7514837 บ้านสวนเห็ดคุณยาย แนะนำถึงอุปกรณ์และขั้นตอนการเพาะเห็ดในท่อซีเมนต์ว่า

อุปกรณ์เพาะเห็ดในท่อซีเมนต์

1.ท่อซีเมนต์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 เซนติเมตร ราคา 60 บาท ผ้าสแลน หรือผ้ากระสอบป่าน ไว้คลุมก้อนเห็ด
3.ก้อนเห็ด 11 ก้อน ก้อนละ 9 บาท

4.ไม้ไผ่ ทำเป็นที่วางก้อนเห็ด

ขั้นตอนการเพาะเห็ดในท่อซีเมนต์ 1.วางท่อซีเมนต์พิงกำแพง ผนัง ในลักษณะตะแคง เพื่อเก็บความชื้นได้ดี

2.วางไม้กระดานที่ด้านในท่อซีเมนต์

3.นำก้อนเชื้อเห็ดวางเรียงในวงบ่อเป็นแนวนอนให้เต็มท่อ เปิดจุกฝาเห็ดออก แล้วรถน้ำ

4.ใช้ผ้าสแลนหรือผ้ากระสอบป่านคลุม เพื่อไม่ให้มีลมเข้าทำให้เห็ดแห้ง

5.รดน้ำเช้า-เย็น แต่ถ้าทำเยอะๆ ต้องการกักเก็บความชื้นให้รดน้ำเช้า-กลางวัน-เย็น

จากนั้น 7-10 วัน ดอกจะออกครั้งแรก ในส่วนของผลผลิตเห็ด 11 ก้อน จะให้ผลผลิตประมาณครึ่งกิโลกรัม

การให้ผลผลิตของเห็ดในกรณีที่เพาะน้อยๆ แบบนี้ คุณเขมบอกว่าเราสามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 6 เดือน

เห็ดแต่ละชนิดจะออกอยู่ที่ความชื้นก้อนนึงถ้าหน้าแห้งเขาจะเลื่อนเวลาออกไปนิดนึง เห็ดต้องการความชื้น เห็ดที่เหมาะกับการเพาะในท่อซีเมนต์ คือเห็ดกลุ่มนางฟ้า กลุ่มนางรม แต่ถ้าเห็ดขอนจะชอบความร้อน ข้อดีของการเพาะเห็ดในท่อซีเมนต์

อันดับแรกคือ เพาะง่าย ประหยัดพื้นที่ซึ่งถ้าท่านใดมีปัญหาเรื่องพื้นที่แค่มีชุดเพาะเห็ดเซ็ตนี้จะหมดปัญหาไปเลย 2.ประหยัดเงิน ต้นทุนต่ำ สำหรับท่านใดอยากที่จะเพาะเห็ดไว้ทานเอง ไม่อยากซื้อการเพาะเห็ดในท่อซีเมนต์เหมาะมากใช้เงินลงทุนเพียง 200 บาท 3.เรื่องเชื้อราหมดห่วงได้เลย เพราะเราเพาะในปริมาณน้อย อีกอย่างท่อสามารถเคลื่อนที่ได้จากปลูกตรงแล้วย้ายไปปลูกตรงนี้การสะสมของเชื้อโรคก็จะไม่มี แต่ถ้าเราทำประจำการหมักหมมของเชื่อโรคก็จะเยอะตามมา

สำหรับท่านใดที่สนใจอยากเพาะเห็ดเพื่อเป็นอาชีพ หรือปลูกไว้ทานเอง ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณเขมจิรา กิตติสิทธิการ อยู่บ้านเลขที่ 60 ม.10 ต.ธวัชบุรี อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด โทรศัพท์ 085-7514837 ยินดีให้คำปรึกษา