เทคนิคการตอนกิ่ง ผักเหรียงผักเหรียง เป็นพืชเมล็ดเปลือย

ในสกุลมะเมื่อยเดิมเป็นผักป่าขึ้นเองทั่วไป เนื่องจากเป็นผักที่มีรสชาติอร่อย นิยมนำมาทำอาหารในเมนูผัดผักเหรียง แกงเหรียง ผัดใส่ไข่ แกงจืด ห่อหมก เมื่อกระแสความนิยมบริโภคผักเหรียงมีมากขึ้น ชาวบ้านจึงนำผักเหรียงมาปลูกขยายพันธุ์ และปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจร่วมแปลงยาง ผักเหรียง ยังมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น เหลียง (ชุมพร ระนอง ประจวบคีรีขันธ์) เหมียง (พังงา ภูเก็ต กระบี่) เขลียง เรียนแก่ (นครศรีธรรมราช) เหรียง (สุราษฎร์ธานี) ผักกะเหรี่ยง (ชุมพร) ผักเมี่ยง (พังงา)

ปัจจุบัน ลุงศรี มีพื้นที่ปลูกผักเหรียงกว่า 8 ไร่ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำตลอดทั้งปี จากการจำหน่ายใบสด กิ่งตอน และต้นกล้า ลุงศรีมีเคล็ดลับในการตอนกิ่งผักเหรียงที่ได้ผลดีเยี่ยม โดยใช้กะปิมาเป็นส่วนผสม เพื่อช่วยเร่งการงอกรากให้เร็วขึ้นแล้ว ยังได้ต้นกล้าที่แข็งแรง ช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา แทนการใช้ฮอร์โมนเร่งรากที่มีราคาแพง นอกจากต้นเหรียงแล้ว ลุงศรี บอกว่า วิธีนี้สามารถประยุกต์ใช้เพื่อตอนกิ่งต้นไม้อื่นๆ ได้อีกมากมาย

ปลูกผักเหรียง ขาไก่ ผักกูด ร่วมแปลงยาง

คุณสุพรชัย หมุนเวียน อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 161 หมู่ที่ 1 ตำบลคลองชีล้อม อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง โทร. (082) 823-8639) เกษตรกรชาวสวนยางพาราต้นแบบที่ปรับตัวสู้วิกฤตราคายางพาราตกต่ำ โดยหันไปทำสวนเกษตรผสมผสาน ในแปลงยางพารา เช่น ปลูกผักเหรียง ขายได้กิโลกรัมละ 50-60 บาท ส่วนผักกูด ขายได้กิโลกรัมละ 30-45 บาท ทำให้มีรายได้เสริมก้อนโตตลอดทั้งปี จากการขายใบสด กิ่งตอน และต้นกล้าให้เกษตรกรที่สนใจ

นอกจากนี้ เขายังปลูก “ต้นขาไก่” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมสูง จนผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาด เพราะผักขาไก่มีรสชาติหวาน หอม และมันกว่าผักเหรียง แถมขายได้ราคาดี 100 บาท ต่อกิโลกรัม

ต้นขาไก่ มีลักษณะทรงพุ่มคล้ายต้นผักเหรียง ใบเหมือนกุหลาบ ชอบที่ร่ม ไม่ทนแล้ง ต้องคอยระวังอย่าให้ต้นขาไก่ขาดน้ำจะเฉาตายได้ ต้นขาไก่ปลูกดูแลง่าย ขุดหลุมลึก 30 เซนติเมตร ปลูกในระยะห่าง 2×2 เมตร หลังปลูก 6 เดือน ก็เริ่มเก็บใบอ่อนออกขายได้ ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ดูแลตัดแต่งต้นขาไก่ไม่ให้สูงเกิน 1.20-1.50 เมตร เพื่อสะดวกต่อการเก็บเกี่ยวใบอ่อนได้ง่าย ต้นขาไก่ แทบไม่มีปัญหาโรคแมลงรบกวนเลย แค่ดูแลให้ปุ๋ย ให้น้ำ อย่างเพียงพอก็สามารถเก็บใบอ่อนออกขายได้ทุกสัปดาห์ ต้นขาไก่เป็นพืชที่มีอายุยืนมาก ลงทุนปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ยาวนานถึง 15 ปี คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มทีเดียว

คุณสุพรชัย บอกว่า เกษตรกรที่ปลูกต้นขาไก่ ไม่ต้องห่วงเรื่องตลาดเลย เพราะต้นขาไก่เป็นผักเพื่อสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะใบอ่อนของต้นขาไก่ มีสารคลอโรฟิลล์ในปริมาณสูง ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงสายตา และบำรุงโลหิต แถมกินอร่อย ยิ่งทำให้ใบอ่อนต้นขาไก่เป็นที่ต้องการของตลาดตลอดทั้งปี

เลี้ยงปุ๋ยไส้เดือน ลดต้นทุนการผลิต

ทุกวันนี้ คุณสุพรชัย ไม่ต้องควักกระเป๋าซื้อปุ๋ยจากภายนอก เพราะเขาลงทุนเลี้ยงปุ๋ยมูลไส้เดือนมาใช้ดูแลสวนยางพารา และพืชผักที่ปลูกร่วมแปลงยางพารา เนื้อที่ 3 ไร่ ได้ตลอดทั้งปี ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตไปพร้อมๆ กัน

คุณสุพรชัย สนใจเลี้ยงปุ๋ยไส้เดือน หลังจากมีโอกาสไปดูงานเรื่องการทำปุ๋ยไส้เดือนที่จังหวัดสตูลเมื่อ 3 ปีก่อน และได้ไส้เดือน 8 ตัว กลับมาเลี้ยงต่อที่บ้าน เขาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเรื่องการทำปุ๋ยไส้เดือน จนประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์ไส้เดือนได้หลายพันตัวในเวลาต่อมา ทำให้เขากลายเป็นผู้เลี้ยงปุ๋ยมูลไส้เดือนรายแรกของท้องถิ่น และแจกจ่ายไส้เดือนให้เพื่อนบ้านนำไปเลี้ยงเพื่อลดต้นทุนค่าปุ๋ย และจำหน่ายปุ๋ยมูลไส้เดือนให้ผู้สนใจจนกลายเป็นอาชีพเสริมรายได้จนถึงทุกวันนี้

เทคนิคการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนของคุณสุพรชัย เริ่มจากนำไส้เดือนมาเลี้ยงในภาชนะที่มีรูเปิด-ปิด อยู่ด้านล่าง ใส่ขี้วัว ขี้แพะ หรือปุ๋ยคอก คลุกเคล้ากับวัสดุเหลือใช้ เช่น ก้อนเชื้อเห็ด ทิ้งไว้ 15-21 วัน หากเห็นว่ากระบะเลี้ยงไส้เดือนเริ่มแฉะและมีไส้เดือนไต่ขึ้นมาข้างบน เนื่องจากไส้เดือนได้ฉี่ออกมาจนเต็มแล้ว ให้หยิบตัวไส้เดือนออกมาแล้วเติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วม เปิดจุกที่อยู่ด้านล่างให้น้ำฉี่ไส้เดือนไหลลงในภาชนะที่เตรียมไว้

จากนั้น จึงนำฉี่ไส้เดือนไปผสมน้ำเปล่า ในอัตราส่วน 2 ต่อ 8 ก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยสำหรับรดพืชผักผลไม้และพืชสวนทุกชนิดได้อย่างปลอดภัย ส่วนไส้เดือนก็นำไปเพาะเลี้ยงต่อไป วิธีนี้จะช่วยให้ผู้เลี้ยงได้ทั้งปุ๋ยมูลไส้เดือนและฉี่ไส้เดือนไปพร้อมๆ กัน ช่วยประหยัดต้นทุนค่าปุ๋ยได้จำนวนมาก หากใครมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก คุณสุพรชัย หมุนเวียน ได้ที่เบอร์โทร. (082) 823-8639 ได้ทุกวัน

ในบรรดาคนเกษตรที่เทคโนโลยีชาวบ้านได้สัมผัสมา ผอ. วีระพร จำปาอ่อน คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพมากที่สุดคนหนึ่ง เส้นทางเดินของท่าน มีขั้นมีตอน มีแผน ทำให้ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษา หน้าที่การงาน และที่กำลังสนุกสนานอยู่ในปัจจุบันนี้คือ งานเกษตรหลังเกษียณ ปลูกแก้วมังกร ไม่ได้ทำกันในวงเงินหลักหมื่นหลักแสน แต่ว่ากันปีละเป็นล้านบาท

ผอ. วีระพร จำปาอ่อน เป็นคนอำเภอเมืองเลย บ้านเกิดอยู่ตรง กม.0 บริเวณนั้นรู้จักกันดี คือที่ตั้งของแขวงการทาง หากเลี้ยวซ้ายไปอำเภอภูเรือ ด่านซ้าย นาแห้ว รวมทั้งเชื่อมโยงไปเพชรบูรณ์ พิษณุโลก เลี้ยวขวาก็แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต เชียงคาน ต่อไปถึงหนองคายได้

จังหวัดเลย ได้ชื่อว่า เป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร นอกจากสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้ว เรื่องการเกษตรก็มีชื่อเสียงต่อเนื่องมาทุกยุคทุกสมัย มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ ยุคก่อนๆ ฝ้ายดัง หลังๆมะขามหวานมีมาก ถึงแม้ไม่สร้างชื่อเท่ากับจังหวัดอื่น แต่สร้างเงินให้กับเกษตรกรไม่น้อย เพราะมีพื้นที่ปลูกมากกว่าจังหวัดข้างเคียง ทุกวันนี้ที่อื่นมี จังหวัดเลยมีครบ ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา มะม่วง เงาะ ทุเรียน ฯลฯ

เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทางบ้านสนับสนุนให้ ผอ. วีระพร ไปสอบครู ปกศ. ที่วิทยาลัยครูอุดรธานี ซึ่งก็สอบได้ที่ 12 ขณะเดียวกัน เขาก็เดินทางไปสอบเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรกรรมจันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านราว 800 กิโลเมตร คุณพ่อที่ไปส่งลูกชายสอบ บอกว่า “มาเที่ยวนะลูก” เพราะอยากให้ลูกชายเรียนครูมากกว่า ผอ. วีระพรไม่ได้ปฏิเสธอาชีพครู แต่หลงใหลงานเกษตร รวมทั้งการเรียนที่เป็นวิถีของลูกผู้ชายซึ่งได้รับความนิยมในยุคนั้นมากคือ “เรียนเกษตร”

ระยะเวลา 5 ปี ตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ของเกษตรจันทบุรี หรือนิคเนมว่า “เกษตรกระทิง” ได้บ่มเพาะ ผอ. วีระพร ให้ครบเครื่อง สามารถออกมาดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะทำงานกับระบบไหน

หลังเรียนจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงในขณะนั้น ซึ่งอยู่ราวปี 2523 สามารถทำงานได้หลากหลาย ที่นิยมมากคือ เป็นเกษตรตำบล ขี่มอเตอร์ไซค์ซูซูกิเอ 100 รถหลวง หรืออาจจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์วิบากซื้อเอง ตระเวนไปพบปะชาวบ้าน ถือว่าเป็นงานในอุดมคติของคนหนุ่มไฟแรง ผอ. วีระพร ชอบแนวทางนี้ แต่พรหมอาจจะลิขิตต้องให้มาเป็นครูบาอาจารย์ เพราะช่วงนั้นเปิดรับสมัครครูมัธยม ผอ. จึงสอบบรรจุ เป็นครูมัธยมในท้องถิ่น ย้ายไปมา 2-3 แห่ง ขณะเดียวกันก็เรียนต่อระดับปริญญาตรีทางด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง ปริญญาโททางด้านบริหารการศึกษา ตำแหน่งสุดท้ายที่รับราชการอยู่คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนเหมืองแบ่งวิทยาคม เป็นผู้บริหาร ระดับ ซี 9 ขณะทำงานก็ทำเกษตรไปด้วย…ก่อนเกษียณไม่นานนัก ผอ. ลาออกมาทำเกษตรอย่างจริงจัง

ปัจจุบัน ผอ. วีระพร อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 5 ตำบลผาขาว อำเภอผาขาว จังหวัดเลย ภรรยาคู่ชีวิตคือ อาจารย์เสาวนิตย์ จำปาอ่อน เป็นอดีตข้าราชการครูเช่นกัน

บ้านของ ผอ. อยู่ติดถนน ด้านหลังบ้านเป็นสวน รวมพื้นที่ 50 ไร่ การเดินทางเข้าไปยังสวนแห่งนี้ไม่ยุ่งยาก หากไปจากทางอำเภอภูกระดึง มุ่งสู่อำเภอวังสะพุงและตัวเมืองเลย จะถึงแยกตาดข่า ถึงสามแยกเลี้ยวขวา สู่อำเภอผาขาว ก่อนถึงตัวอำเภอ เป็นที่ตั้งของบ้านหนองฝาย ขวามือ มีรั้วคอนกรีต บ้านหลังใหญ่มาก นั่นแหละบ้านของ ผอ.วีระพร

การเดินทางไปสัมภาษณ์ ท่าน ผอ. มีโครงการตั้งปีกว่าแล้ว แต่หาโอกาสยาก ครั้นเมื่อไปถึง เรื่องแรกที่พูดคุย คือเรื่องราวในอดีต ซึ่งสนุกสนาน ตื่นเต้น หากพูดคุยกันจริงๆ คงเป็นวันถึงจะจบ แต่เพราะต้องเดินทางต่อ จึงเข้าเรื่องอาชีพเกษตรของท่าน

ผอ. เล่าว่า การเตรียมตัวทำเกษตรนั้น ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ สำหรับคนทำงานประจำ สิ่งแรกที่ต้องเตรียมคือเงิน ต้องเก็บเงินที่ได้จากเงินเดือน ส่วนความรู้ นอกจากความรู้พื้นฐานที่เรียนมาจริงๆ จังๆ ถึง 5 ปีแล้ว ต้องเรียนรู้ตามแหล่งต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี ปัจจุบัน ก็อินเตอร์เน็ต แต่ที่สำคัญไม่น้อยคือการตระเวนไปตามสวนที่ประสบความสำเร็จ ไปสอบถามตามสวนเพื่อนฝูง

ผอ. วีระพร เริ่มงานเกษตรตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มแน่น สำหรับที่ดินแปลงที่ทำเกษตรอยู่ เป็นมรดกจากฝ่ายอาจารย์เสาวนิตย์

ที่ดินดังกล่าว มีมะขามหวานขึ้นอยู่ รายได้จากมะขามหวานพอมี ต่อมา ผอ. ได้เริ่มปลูกส้มโชกุน จำนวน 20 ไร่ 800 ต้น ผลผลิตออกมาช่วงแรกขายได้ราคาดี แต่ระยะหลังส้มฝางมาตีตลาด ประกอบกับต้นส้มอายุมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาปลูกลำไย ถือว่างานปลูกลำไยประสบความสำเร็จ แต่การราดสาร ทำให้ต้นโทรมเร็ว จึงขยับมาปลูกแก้วมังกร

ปีนี้ (2563) แก้วมังกรอายุได้ 4 ปี

กิจกรรมหลายอย่างที่ ผอ. วีระพร ทำล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ สร้างงานทำเงินทั้งนั้น แต่ที่ต้องเปลี่ยนเพราะอายุการใช้งานของต้นไม้สิ้นสุดลง พร้อมกับพบทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

พันธุ์แก้วมังกรที่ปลูกเป็นพันธุ์เวียดนาม ตลาดต้องการ ส่วนพันธุ์สีแดงและสีเหลือง ขายจำนวนมากๆ ไม่ได้

“ไปเลาะแถวด่านซ้าย ภูเรือ เกษตรที่สูง เห็นเขาปลูกแก้วมังกร มีรถคอนเทนเนอร์ ไปรับถึงสวน กิโลกรัมละ 25 บาท จึงมีความมั่นใจ ช่วงเปลี่ยนทำเกษตรโดยปลูกพืชใหม่ พืชหลักยังไม่ให้ผลผลิต ก็ปลูกผัก อย่าง แตงกวา ถั่วฝักยาว มีผลผลิตตื่นตี 2 เอาไปส่งที่ตลาดอำเภอหนองหิน ช่วงนั้นสอนอยู่หนองหิน จากนั้นกลับมานอน 7 โมงเช้าก็ตื่นไปสอนหนังสือ บางทีไปส่งผักก็ยังเจอเพื่อนอาจารย์ด้วยกันที่มาจ่ายตลาด…แฟนผมคนในเมือง ส่วนใหญ่วัยเรียนเขาเรียนกรุงเทพฯ ในแปลงอาจจะไม่ช่วย แต่เขาก็ชอบ มาดูเรื่องการขาย การตลาด” ผอ. เล่าถึงการทำงาน ซึ่งต้องใช้ความขยันหมั่นเพียร ไม่ปล่อยที่ดินให้เปล่าประโยชน์

แก้วมังกร จะให้ผลผลิตหลังปลูก 8 เดือน เจ้าของปลูกชุดแรก 2,000 หลัก หลังปลูก 8 เดือน ให้ผลผลิต ปีแรกเก็บผลได้ 3 แสนบาท ปีที่สอง 7 แสนบาท ปีที่สาม 1 ล้านบาท ปีที่สี่คือปีนี้ จะได้มากกว่า 1 ล้านบาท อย่างแน่นอน เพราะชุดหลังที่ลงเพิ่ม 2,000 หลัก รวมเป็น 4,000 หลัก เริ่มให้ผลผลิตเพิ่มแล้ว

ถาม ผอ. ว่า แก้วมังกร มีอายุกี่ปี คำตอบที่ได้คือ…“25 ปี ถ้าดูแลดี แต่หากดูแลไม่ดี ปีเดียวก็อาจจะต้องโละทิ้ง”

แก้วมังกรที่นี่ ปลูกระยะระหว่างต้นระหว่างแถว 3 คูณ 3 เมตร ต้นหนึ่งหรือหลักหนึ่ง ใช้พันธุ์ปลูก 4 ต้น รวมแล้วต้นทุนต่อหลัก ประมาณ 120 บาท ระบบน้ำใช้แบบมินิสปริงเกลอร์ ราคาไม่แพง สิ่งสำคัญคือ หลักที่ปลูกต้องขุดหลุมฝังเสาให้ลึก 60 เซนติเมตร จึงจะแข็งแรง

ผลผลิตแก้วมังกรจะออกสู่ตลาดในฤดูคือเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ราคาที่ขายได้สูงสุดคือ ต้นฤดู กิโลกรัมละ 32 บาท ส่วนช่วงผลผลิตมีมากเดือนสิงหาคม กิโลกรัมละ 13 บาท ตั้งแต่ดอกบานจนเก็บผลผลิตได้ 50-55 วัน ส่วนผลผลิตนอกฤดู มีผลผลิตออกเดือนธันวาคม ขายได้ราคาสูงเช่นกัน

ผลผลิตต่อหลักที่เก็บได้ ประมาณ 50 กิโลกรัม ต่อปี โดยที่ปีหนึ่ง แก้วมังกรทยอยออกดอก ทำให้เก็บผลได้ 12-15 ครั้ง ต่อปี

ศัตรูสำคัญ

ทราบเรื่องราวของ ผอ. วีระพร แล้ว เหมือนจะหยิบเงินล้านได้ง่ายๆ แต่ ผอ. บอกว่า ต้องดูแลอย่างดี ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องหยุดปลูกเหมือนอย่างทางจันทบุรี จริงๆ แล้ว ผอ. บอกว่า เป็นการล่มสลายด้วยซ้ำไป สาเหตุเกิดจากศัตรูพืชระบาดนั่นเอง

ศัตรูที่สำคัญของแก้วมังกรแบ่งได้ ดังนี้ การป้องกันกำจัด ต้องใช้สารเคมี ในที่นี้ไม่ขอเอ่ยนาม เพราะบางตัวเป็นชื่อการค้า บางช่วงหากมีการระบาดของศัตรูพืช ต้องตั้งโปรแกรมป้องกันกำจัดกัน 2 สัปดาห์ พ่นสารกันครั้งหนึ่งถึงจะเอาอยู่ สารป้องกันกำจัดที่ใช้นั้น บางครั้งไม่สามารถกำจัดศัตรูได้ ต้องใช้ชนิดพิเศษ ปัจจุบัน ผอ. มีทีมงานช่วยทำสวนอยู่ 2 คน แต่จะมีทีมเฉพาะกิจจากภายนอกมาพ่นสารเคมีให้ต่างหาก ส่วนงานเก็บผลผลิต ผู้ซื้อจะมีทีมงานมาเอง โดยใช้คนจำนวนมาก

ผอ. เน้นมากว่า การกำหนดทิศทางการป้องกันกำจัดศัตรูพืชสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จหรือล้มเหลวได้

“ปีที่แล้วเกือบไม่รอด ดูแลยากมาก โดยเฉพาะ โรคราสนิม…เรื่องน้ำ หากฝนไม่ตก 3 วัน ให้ครั้งหนึ่ง หน้าฝนไม่ต้องให้” ผอ. บอก ทำนอกฤดูได้เงินดี

ผลผลิตแก้วมังกรในฤดู เก็บหมดช่วงเดือนพฤศจิกายน

เจ้าของแนะนำการดูแลหลังเก็บผลผลิต ดังนี้

เริ่มจากตัดแต่งกิ่งออก 70 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นใส่ปุ๋ยขี้ไก่ให้ 30 กิโลกรัม ต่อหลัก พร้อมทั้งปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ต้นละ 3 กำมือ จะช่วยให้ต้นแตกใบอ่อนเร็วขึ้น

ต้นเดือนมกราคม ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมกับสูตร 8-24-24 จำนวน 3 กำมือ เป็นการเตรียมต้น

ปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ ให้ปุ๋ยทางใบเป็นการเปิดตาดอก สูตร 0-54-63 บวกกรดอะมิโน ปลายเดือนมีนาคม ต้นก็จะออกดอก เก็บได้เดือนพฤษภาคม ช่วงมีผล ใส่ปุ๋ยปรับปรุงคุณภาพผลผลิต 15-15-15 หรือตัวหลังสูง อย่าง 14-3-36 “การออกดอกติดผลของแก้วมังกร มีปัจจัยเกี่ยวข้องคือ ความชื้นบริเวณสวน…ความสมบูรณ์ของต้น-ตาดอก และแสง แก้วมังกรเป็นพืชวันยาว หรือ long day plant ต้องการแสง 12 ชั่วโมง สำหรับการออกดอก” ผอ. อธิบาย

การเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน ถือว่าเป็นผลผลิตปกติ แต่ที่สวนของ ผอ.วีระพร มีผลผลิตจำหน่ายช่วงเดือนธันวาคม เป็นผลผลิตนอกฤดู โดยใช้สารแต้มที่ตาของแก้วมังกรเดือนตุลาคม

แก้วมังกร 1 หลัก อาจจะมีกิ่งก้าน 20-30 กิ่ง แต่ไม่สามารถแต้มได้ทุกกิ่ง เพราะบางกิ่งให้ผลผลิตในฤดู ผ่านการทำงานมาหนักแล้ว

กิ่งที่ควรแต้มสารเพื่อให้ออกนอกฤดูมี ดังนี้ เป็นกิ่งที่มีตาบวมเป่ง
หนามงุ้มเข้าหากัน
กิ่งเขียวสมบูรณ์
ในกิ่งหนึ่งไม่ควรแต้มเกิน 3 ตา หากแต้มมาก gfxtr.net ติดผลมาก ผลจะมีขนาดเล็ก ขายไม่ได้ราคา หลังแต้มไป 3 วัน จะรู้ผลว่าติดไม่ติด แต่หากกิ่งหรือต้นมีความสมบูรณ์ จะติดเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ปีที่แล้ว ที่สวน ผอ. ผลิตแก้วมังกรนอกฤดูกว่า 10 ตัน

การซื้อขายนั้น ได้รับการบอกเล่าว่า มีผู้ซื้อมาจ่ออยู่ตลอดเวลา เขามารับไปส่งห้าง บางส่วนคัดส่งต่างประเทศ เดิมมาซื้อหลายราย ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ คนนั้นได้มากคนนี้ได้น้อย จึงลดเหลือเพียงรายเดียว ซึ่งการเก็บเกี่ยวผู้ซื้อเตรียมคนมาพร้อม เป็นทีมงานที่ทำงานรวดเร็วมีประสิทธิภาพมาก

ผอ. วีระพร บอกว่า การตลาดสำคัญมากสำหรับแก้วมังกร เพราะผลผลิตออกห่างจากคนอื่นเพียงสัปดาห์เดียวก็มีความหมาย อย่างที่อำเภอด่านซ้าย เขาเก็บผลผลิต วันที่ 17-18 มิถุนายน 2563 แต่ของ ผอ. เก็บได้ วันที่ 13-14 มิถุนายน 2563 ราคาจะต่างกันมาก การที่จะได้มาซึ่งข้อมูล อยู่ที่การสอบถามพูดคุย รวมทั้งการตระเวนเยี่ยมเยือนผู้มีอาชีพเดียวกัน เมื่อมีข้อมูล สามารถสั่งให้แก้วมังกรออกดอกได้ การสั่งคือ การให้ปุ๋ย การเปิดตาดอก

“แก้วมังกร เป็นพืชมหัศจรรย์ถ้าทำได้ แต่ต้องขยัน เพราะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่มีวินัยเรื่องการพ่นสารจบเลย…ทำแก้วมังกรจะใส่อะไรก็แล้วแต่ ไม่สู้ใส่ใจ…ดูแลเขาดี ก็จะให้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับคนที่มีงานประจำอยากทำเกษตร ควรทำก่อนเกษียณ เริ่ม 60 ปีช้าไป เริ่มอย่างน้อย 55 ปี เกษียณออกมาเก็บผลผลิตขายได้เลย”ผอ. ให้คำแนะนำ

ผู้สนใจซื้อผลผลิต หรือสอบถามเพิ่มเติมเรื่องสารเคมี ถาม ผอ. ได้ตามที่อยู่ หรือโทรศัพท์ 089-840-1825 หรือที่ FB:วีระพร จำปาอ่อน ปัจจัยสำคัญต่อการออกดอกของแก้วมังกร

ความชื้น…แก้วมังกร ออกดอกได้ดีที่ความชื้น 75 เปอร์เซ็นต์
แสง…แสงควรมีความยาว 12 ชั่วโมง ต่อวัน ในช่วงนั้น คือมีแสงตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
ความสมบูรณ์ของต้นและตาดอก สิ่งสำคัญคือ การให้อาหาร ซึ่งก็คือ ปุ๋ย นั่นเอง
การทำนอกฤดู ที่สวน ผอ. วีระพร จำปาอ่อน ใช้สารแต้มที่ตา ต้นทุนต่ำมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นต้องสมบูรณ์เต็มที่ จึงจะประสบความสำเร็จ