“เทสโก้” ถอยทัพ “ค้าส่ง” เดินหน้าลุย “ค้าปลีก” เต็มรูปแบบ

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังตื่นเต้นและให้ความสนใจกับข่าวที่ยักษ์อีคอมเมิร์ซอเมซอนเสนอซื้อกิจการเชนซูเปอร์มาร์เก็ตโฮลฟู้ดของสหรัฐอยู่นั้นเชนค้าปลีกอื่นๆในฝั่งยุโรปไม่ว่าจะเป็น “เทสโก้” หรือ “คาร์ฟูร์” ต่างมีความเคลื่อนไหวคึกคักไม่แพ้กัน อาทิ การปิดบริการค้าส่งในประเทศไทยของเทสโก้ หรือการเปลี่ยนตัวซีอีโอของคาร์ฟูร์ เพื่อโฟกัสด้านอีคอมเมิร์ซที่ยังตามหลังคู่แข่ง เป็นต้น

โดย สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า “เทสโก้” เชนค้าปลีกสัญชาติอังกฤษตัดสินใจยุติบริการค้าส่งในประเทศไทยอย่างเงียบ ๆ ส่งผลให้รายได้รวมจากต่างประเทศในไตรมาสแรกของปีงบฯ 2560 (มี.ค.-พ.ค. 2560) ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในเรื่องนี้ “เดฟ ลูอิส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทสโก้ให้เหตุผลว่า ธุรกิจค้าส่งของบริษัทในไทยซึ่งมีรายได้หลักจากการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ให้กับผู้ค้าปลีกรายย่อยนั้นแม้จะมีสัดส่วน2.7ของรายได้ต่างประเทศแต่ไม่มีโอกาสทำกำไรอีกแล้ว ในทางตรงข้ามกลับเพิ่มความซับซ้อนให้กับธุรกิจค้าปลีกที่เป็นรายได้หลักและเติบโตต่อเนื่อง จึงตัดสินใจถอนตัวเพื่อโฟกัสทรัพยากรไปให้ภาคค้าปลีกได้เต็มที่ แม้ผลของการตัดสินใจนี้จะทำให้รายได้รวมจากต่างประเทศลดลง3%ก็ตาม

อย่างไรก็ตามในภาพรวมบริษัทไตรมาสแรกของปีงบฯ2560 ยอดขายรายไตรมาสของเทสโก้เติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปี ซึ่งนักวิเคราะห์ยกเครดิตให้แผนปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ปรับขึ้นราคาสินค้าอาหารช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. ที่สามารถบาลานซ์ระหว่างเรื่องราคาถูกและรายได้ของซัพพลายเออร์

โดยในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตรายอื่นๆในอังกฤษขึ้นราคาอาหารถึง2.9%ตามสภาวะเงินเฟ้อ แต่เทสโก้กลับขึ้นราคาเฉลี่ยเพียง 1.4% พร้อมลดราคาสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพอย่าง ผัก ผลไม้ และอื่น ๆ รวมกว่า 200 รายการ เพื่อรับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง อาศัยความร่วมมือใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์เพื่อคุมต้นทุน ช่วยให้สามารถชิงดีมานด์จากคู่แข่ง พร้อมกับสร้างรายได้เสริมจากการขายสินค้าที่เหลือให้กับโรงงานแปรรูปอาหารในราคาถูก แทนการกำจัดทิ้งแบบเดิม

เช่นเดียวกับสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ปรับกลยุทธ์ลดกิจกรรมระยะสั้นในหมวดสินค้าทั่วไป และลดโปรโมชั่นสำหรับของใช้ในบ้านลง หันมาเน้นสไตล์ราคาถูกทุกวัน และชูความคุ้มค่าของการขายสินค้าแพ็กใหญ่แทน

ด้วยกลยุทธ์นี้ส่งผลให้ในอังกฤษ ไตรมาสแรกปริมาณยอดขายอาหารเติบโตขึ้น 1.6% และโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เช่นเดียวกับยอดขายรวมของทั้งบริษัท ซึ่งเติบโต 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบฯที่แล้ว

“ในอดีตบรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษมักอาศัยจังหวะเงินเฟ้อขึ้นราคาสินค้าเพื่อเพิ่มรายได้แบบรวดเร็วแต่ด้วยการแข่งขันที่สูงหลังดิสเคานต์สโตร์รายใหญ่จากยุโรปอย่างลินและอัลดิเข้ามาในตลาดทำให้ไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบนี้ได้อีก”

ด้าน “คาร์ฟูร์” เชนไฮเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติฝรั่งเศส พยายามพัฒนากลยุทธ์ออมนิแชนเนลเพื่อรับมือกระแสอีคอมเมิร์ซ โดยดึง “อเล็กซานดรี บอมพาร์ด” มือดีจาก “ฟาแนค ดาร์ตี้” (Fnac Darty) หนึ่งในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยอดนิยมของแดนน้ำหอมด้วยยอดผู้ชมใกล้เคียงกับอเมซอน มานั่งตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ในวันที่ 18 ก.ค.ที่จะถึงนี้ หวังสร้างการเติบโตให้กับยอดขายออนไลน์ที่ปัจจุบันมีมูลค่า 1,340 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 9% ของตลาดรวม และอยู่ในอันดับ 3

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2543 คาร์ฟูร์พยายามเสริมแกร่งด้านอีคอมเมิร์ซด้วยการเดินหน้าซื้อกิจการค้าปลีกรายย่อยกว่า 50 ครั้งในหลายกลุ่ม ทั้งอาหารออร์แกนิก เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลซ และอื่น ๆ

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในสมรภูมิค้าปลีกยุโรปที่ดุเดือดขึ้น ไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ของโลก ด้วยแรงบีบจากทั้งคู่แข่งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งรุกตลาดด้วยกลยุทธ์ราคาและความสะดวกของอีคอมเมิร์ซ

นายมงคล จอมพันธ์ เกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดที่ประสบปัญหาการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าวมากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็น 80% ของพื้นที่ระบาดทั้งหมด ซึ่งการดำเนินการภายใต้โครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้สร้างความรู้ความเข้าใจเกษตรกรเจ้าของสวนมะพร้าวให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการหมั่นสำรวจทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของหนอนหัวดำด้วยการตัดทางใบและเผาทำลาย หรือการปล่อยแตนเบียนบราคอน โดยอาศัยการรวมพลังศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนที่มีศักยภาพกว่า 50 แห่ง ผลิตและขยายแตนเบียนบราคอนพร้อมปล่อยอย่างต่อเนื่องตามแผนที่กำหนด

ส่วนการใช้สารเคมีฉีดเข้าต้นและพ่นทางใบนั้น มีพื้นที่เป้าหมายที่ต้องดำเนินการ แบ่งเป็น การใช้สารเคมีฉีดเข้าต้น จำนวน 2,341,368 ต้น และพ่นทางใบ จำนวน 934,899 ต้น ซึ่งขณะนี้ได้จัดอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรให้กับผู้รับจ้างฉีดสารเคมีและพ่นทางใบ เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เมื่อสารเคมีได้ส่งมาถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็พร้อมดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายได้ทันที โดยคาดว่าจะสามารถทำการฉีดสารเคมีเข้าต้นและพ่นทางใบเสร็จภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

“ช่วงที่รอขั้นตอนการจัดซื้อสารเคมีในโครงการอยู่นั้น เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ก่อน โดยเฉพาะตัดทางใบเผาทำลาย และปล่อยแตนเบียนเพื่อควบคุมประชากรหนอนหัวดำไม่ให้ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่การซื้อสารเคมีมาใช้เองก็สามารถทำได้ เพื่อลดความเสียหายรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น แต่การใช้สารเคมีต้องใช้ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรอย่างเคร่งครัด ได้แก่ มะพร้าวต้นสูงกว่า 12 เมตรขึ้นไปให้ใช้สาร emamectin benzoate เบนโซเอต 1.92% EC (อิมาเม็กติน) เท่านั้น ส่วนมะพร้าวต่ำกว่า 12 เมตร รวมทั้งมะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวกะทิ และมะพร้าวทำน้ำตาลทุกระดับความสูง แนะนำให้ใช้สาร cholrantraniliprol 5.17% SC (คลอแรนทรานิลิโพรล) หรือสาร flubendiamide 20% WG (ฟลูเบนไดอะไมด์)” นายมงคล กล่าว

วันที่ 28 มิถุนายน หลังจากการแถลงผลการประชุมคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คสช. ว่าที่ประชุมเห็นชอบการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย หลังจากมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้วกระทบต่อผู้ประกอบการ รวมทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ตามลำน้ำ และมีวิถีชีวิตการทำประมง ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ที่รุกล้ำลำน้ำแจ้งต่อกรมเจ้าท่าภายใน 4 เดือน ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 และจากการสำรวจพบว่ามีผู้รุกล้ำลำน้ำทั่วประเทศกว่า 1 แสนราย แต่มีผู้แจ้งต่อกรมเจ้าท่าเพียง 30,000 รายเท่านั้น

เนื่องจากกฎหมายกำหนดบทลงโทษต่อประชาชนที่กระทำความผิดตามกฎหมายว่าจะต้องถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก คำสั่งหัวหน้า คสช.จึงจะเป็นการขยายเวลาให้กับประชาชน สามารถแจ้งต่อกรมเจ้าท่าได้อีก 60 วัน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพิจารณาว่าจะอนุญาตให้สามารถใช้พื้นที่แนวลำน้ำได้หรือไม่ โดยคาดว่าใช้เวลาพิจารณาประมาณ 6 เดือน หรือ 180 วัน พร้อมยกเว้นบทลงโทษย้อนหลัง

นายทรงยศ มะกรูดทอง ประธานสภาเกษตรกรอำเภอไชโย ผู้ประกอบการเลี้ยงประชากระชัง จังหวัดอ่างทอง กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ยกเว้นบทลงโทษย้อนหลังให้ ทำให้ตนเองซึ่งเลี้ยงประกระชังอยู่กว่า 100 กระชัง ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับจำนวนหลายล้านบาท

ทางด้านนายประหยัด กองสิงห์ ผู้ประกอบการเลี้ยงประกระชัง ก็ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ยกเว้นการในเรื่องค่าปรับให้ เพราะตนเองมีกระชังอยู่ 15 กระชังปลา ที่ก็มีกำไรไม่มากจากการเลี้ยงปลา หลังจากทราบว่ามีกฎหมายออกมาและให้ผู้เลี้ยงกระชังปลาไปจดทะเบียนและต้องเสียงค่าปรับ ซึ่งในส่วนของตนเองหากเสียค่าปรับอย่างน้อยสุดก็ประมาณ 600,000 บาท ทำให้ไม่มีเงินที่จะไปเสียค่าปรับ จึงได้ทำการรื้อกระชังปลาไป 10 กระชัง พอทราบข่าวว่านายกรัฐมนตรีให้มีการยกเว้นค่าปรับและไปจดทะเบียนใหม่ได้ก็ดีใจมาก และจะทำการสร้างกระชังปลาที่รื้อไปกลับมาเลี้ยงใหม่ต่อไป

สำหรับจังหวัดอ่างทอง มีผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชังอยู่จำนวน 247 ราย 1,975 ตารางเมตร หากต้องเสียงค่าปรับทั้งจังหวัดก็เป็นเงิน 57 – 58 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้เกษตรกรได้หยุดเลี้ยงปลาและทำการรื้อกระชังปลากันไปเป็นส่วนใหญ่ และพอทราบข่าวทั้งหมดก็ทำการสร้างกระชังเลี้ยงปลา เพื่อกลับมาเลี้ยงตามเดิม เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน นายพิสิษฐ์ รื่นเกษม อายุ 55 ปี เจ้าของสถานีวิทยุชุมชน เปิดเผยว่า หลังจากเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยนำหลักฐานทุเรียนหมอนทองป่าละอูน้ำหนัก 5 กิโลกรัม (กก.) ที่ซื้อจากการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริเวณหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีการจำหน่ายทุเรียนป่าละอูของแท้ในราคาพิเศษ แต่พบเป็นทุเรียนอ่อนไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถรับประทานได้นั้น ล่าสุด ได้นำสำเนาบันทึกประจำวันจาก สภ.บางพลี เดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.บ้านหนองพลับ อ.หัวหิน ท้องที่เกิดเหตุแล้ว โดยพนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะออกหมายเรียกเชิญผู้จำหน่ายมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้

“ได้แจ้งให้ญาติที่ จ.สมุทรปราการ นำทุเรียนอ่อนไปให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตร จ.สมุทรปราการ ตรวจสอบคุณภาพพร้อมทำบันทึกเป็นหลักฐานเพื่อนำมาประกอบสำนวนการสอบสวน เนื่องจากเจ้าของสวนปัดความรับผิดชอบ อ้างว่าในวันดังกล่าวมีผู้ซื้อหลายรายและอาจมีการกลั่นแกล้งด้วยการนำสติกเกอร์พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ของร้านไปติดที่ก้านทุเรียนอ่อน หรือนำทุเรียนจากพื้นที่อื่นมาย้อมแมว สำหรับการแจ้งความไม่มีเจตนาทำให้ชื่อเสียงของทุเรียนป่าละอูเสื่อมเสีย แต่เนื่องจากทุเรียนมีราคาแพงถึงลูกละ 900 บาท และหลังจากไปแจ้งความพบว่ามีประชาชนจำนวนมากประสบปัญหาเจอทุเรียนอ่อนที่ป่าละอู ดังนั้น เจ้าของสวนจะต้องตัดผลผลิตที่มีคุณภาพมาจำหน่าย เพราะที่ผ่านมาทุเรียนป่าละอูได้รับการยกระดับเป็นสินค้าคุณภาพ มีการขึ้นทะเบียนจีไอ หรือสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และการจัดจำหน่ายมีหน่วยงานราชการร่วมกันจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ซื้อพบผู้ขายโดยตรง” นายพิศิษฐ์กล่าว

นาวาตรี ประสิทธิ์ กาญจนวณิชย์ ประธานสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่ จำกัด กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของสวนทุเรียนรายดังกล่าวไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ ขณะที่ปัจจุบันมีชาวสวนทุเรียนขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิก 50 ราย จากสวนทั้งหมดกว่า 100 ราย เนื่องจากส่วนใหญ่ชาวสวนต้องการนำทุเรียนไปขายตรงหลังจากผลผลิตได้รับความนิยมจากลูกค้า สำหรับสมาชิกของสหกรณ์ฯจะมีการควบคุมคุณภาพให้ตัดทุเรียนที่ความสุก 80% เท่านั้น หากพบมีทุเรียนอ่อนเจ้าของสวนจะถูกปรับทันที 2 แสนบาท เนื่องจากสหกรณ์ได้ทำการติดบาร์โค้ดไว้ทุกผล และหากผู้ซื้อรายใหญ่ต้องการซื้อผลผลิตจำนวนมาก จะใช้เครื่องตรวจทุเรียนอ่อนทำการสุ่มตรวจทุกครั้ง ส่วนผู้ซื้อรายใดที่อยู่ต่างจังหวัดหากประสบปัญหาทุเรียนอ่อน สหกรณ์ฯจะชดเชยให้เป็นเงินสดตามจำนวนเงินที่ซื้อ หรือนำทุเรียนมาเปลี่ยนใหม่ได้ทันที

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ผลิตผลหลักของประเทศไทยที่ส่งออกคือผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งอ้อยและน้ำตาล ซึ่งประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลได้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่อ้อยและน้ำตาลกลับมีมูลค่าไม่คงที่และมีแนวโน้มลดลง โจทย์ในปัจจุบัน คือการเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรพวกนี้ให้กลายเป็นสารมูลค่าสูง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ ทีมนักวิจัย Photocat จึงคิดนวัตกรรมใหม่ วิจัยการใช้วัสดุนาโนที่มีสมบัติเชิงแสงสามารถนำแสงมาเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปแบบอื่น หรือใช้เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตร

ผศ.ดร.สุรวุฒิ ช่วงโชติ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องมือและวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และอาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตร์นาโนและเทคโนโลยีนาโน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า งานวิจัยกลุ่มนี้คือการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนพลังงานชีวมวลและน้ำตาลให้เป็นสารเคมีมูลค่าสูง โดยการใช้กระบวนการเร่งปฏิกิริยาเชิงแสง (Photocatalysis) ถือเป็นกระบวนการใหม่ที่สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของไทย เช่น การเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นไซลิทอล (Xylitol) สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ดีต่อสุขภาพที่ตลาดค่อนข้างเติบโต

ซึ่งการผลิตไซลิทอลในอุตสาหกรรมปัจจุบันนั้น เป็นการเปลี่ยนน้ำตาลซูโครสที่มีราคาสูงให้เป็นไซลิทอลโดยการหมักด้วยยีสต์ที่ต้องใช้เวลานานและต้องมีกระบวนการต่อเนื่องหลายกระบวนการเพื่อแยกยีสต์ออกจากไซลิทอล

แต่การศึกษาวิจัยชิ้นนี้เป็นการประยุกต์ใช้การเร่งปฏิกิริยาเชิงแสงด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนที่ใช้เวลาไม่นาน กระบวนการไม่ซับซ้อน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงเป็นผลิตภัณฑ์สะอาดหรือกรีนโปรดักส์ ซึ่งกระบวนการนี้ยังสามารถพัฒนาต่อไปเพื่อผลิตพลังงานหรือเคมีภัณฑ์อื่นๆ จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรตัวอื่นได้

ด้วยแนวคิดนวัตกรรมการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นสารเคมีมูลค่าสูงนี้ ทีม Photocat ประกอบด้วย ผศ.ดร.สุรวุฒิ และ ศ.ดร.นวดล เหล่าศิริพจน์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มจธ. ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา หัวหน้าห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีเอนไซม์ ไบโอเทค น.ส.กมลชนก รุ่งเรือง นักศึกษาปริญญาเอก มจธ. น.ส.ณัฐธิดา ศรีศศิวิมล และ น.ส.อรนุช สิทธิพันธ์ศักดา นักศึกษาปริญญาโท มจธ. จึงได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท Smart-Eco Products จากงาน PTTGC Open Innovation Challenge 2016: Smart-Eco Innovation

นอกจากผลงานดังกล่าว ผศ.ดร.สุรวุฒิ ยังทำการวิจัยอีก 1 กลุ่มงาน คือ การเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดใหม่โดยใช้วัสดุนาโน เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารอินทรีย์และชนิดเพอรอฟสไกต์ (perovskite) ซึ่งทางทฤษฎีนั้นมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ดีกว่าเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดซิลิคอนที่มีขายอยู่ทั่วไป ประกอบกับการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดซิลิกอนนั้นจะต้องผลิตขึ้นเฉพาะในห้องสะอาดที่ควบคุมปริมาณอนุภาคของฝุ่นละอองและสิ่งปนเปื้อน หรือ Clean Room เท่านั้น แต่งานวิจัยส่วนนี้สามารถประกอบเซลล์แสงอาทิตย์จากวัสดุนาโนในห้องปฏิบัติการทั่วไปได้ งานวิจัยอีกส่วนคือการวิจัยการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อควบคุมคุณสมบัติเชิงแสงของวัสดุ เป็นการใส่พลังงานไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยเข้าไปในวัสดุเพื่อให้คุณสมบัติเชิงแสงหรือสีของวัสดุเปลี่ยนไป หรือที่เรียกกันว่าอิเล็กโตรโครมิค (Electrochromic) จนสามารถนำมาใช้ภายในอาคารเพื่อควบคุมแสงที่เข้ามาในอาคาร ช่วยลดความร้อนเข้าสู่อาคาร จึงเป็นการช่วยประหยัดพลังงานในการทำความเย็นในอาคารได้

ผศ.ดร.สุรวุฒิ กล่าวตอนท้ายว่า การศึกษาวิจัยทั้ง 2 กลุ่มงานดังกล่าวข้างต้นใช้หลักการเดียวกันคือการใช้วัสดุนาโนกับพลังงานแสงมาประยุกต์ใช้ เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานอื่น หรือเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตร ส่วนสาเหตุที่ให้ความสนใจและทำงานศึกษาวิจัยเรื่องนี้ก็เพื่อความยั่งยืนของพลังงานและสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 28 มิถุนายน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 จ.แม่ฮ่องสอน นำสับปะรดบรรทุกโดยรถทหาร จากบ้านห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 1 ตัน เข้ามาที่ จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อนำมาจำหน่ายให้ผู้ที่สนใจและชอบรับประทานสับปะรด ในราคา กก.ละ 8 บาท ที่บริเวณหน้าศูนย์ออกกำลังกายอาคารการกีฬาเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน บนถนนสาย 108 ก่อนเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ซึ่งประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและสินค้าล้นตลาด โดยประชาชนส่วนหนึ่งได้รับแจ้งข่าวจากสถานีวิทยุว่า ในเวลา 09.00 น. จะมีการจำหน่ายสับปะรด แต่ปรากฏว่ารถบรรทุกเข้าพื้นที่ช้ากว่ากำหนดจึงเลื่อนขายสับปะรดมาในเวลา 12.00 น. โดยมีประชาชนจำนวนมากมารอซื้อ

เมื่อถึงเวลาจำหน่ายทุกคนต่างแย่งกันชั่งสับปะรดและขายหมดภายในเวลา 15 นาที บางรายมาไม่ทันก็ต้องผิดหวังกลับไป พร้อมเรียกร้องให้ทหารนำมาจำหน่ายอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารก็รับปากว่าจะติดต่อนำมาจำหน่ายอีกถ้ามีคนต้องการ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค เพราะราคาจำหน่ายไม่แพงจนเกินไป

ทั้งนี้ จากปัญหาผลผลิตสับปะรดล้นตลาดและราคาตกต่ำ กองทัพภาคที่ 3 จึงมอบหมายให้หน่วยงานขึ้นตรงนำผลผลิตสับปะรดไปกระจาย ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อบรรเทาปัญหา โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 ดำเนินการจัดรถยนต์ไปรับและจัดจำหน่ายในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 มิถุนายน ที่ จ.เพชรบุรี คณะนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ในเครือมติชน นำโดยนายพานิชย์ ยศปัญญา นางยุวดี ธงสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำคณะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากเขตเขื่อนโรงไฟฟ้าต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชนกว่า 40 คน เดินทางมายังศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์และเกษตรผสมผสาน บ้านหนองจิก หมู่ 6 ต.วังจันทร์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อศึกษาดูงานตามโครงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีนายชาญณรงค์ พวงสั้น หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบุรี เจ้าของศูนย์การเรียนรู้ฯ ให้การต้อนรับและเป็นวิทยากรบรรยาย

นายชาญณรงค์กล่าวว่า ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์และเกษตรผสมผสาน บ้านหนองจิก ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ ภายในสวนมีการปลูกพืชเศรษฐกิจประเภทไม้ยืนต้น ไม้ประดับ และพืชผลทางการเกษตรกว่า 10 ชนิด ประกอบด้วย จันทร์ผา ยางนา มะค่าโมง ประดู่ มะปราง สัก พริกไทย มะนาวแป้นลำไพ ผักกูด ผักเหลียง เป็นต้น ทำเป็นเกษตรอินทรีย์มานานกว่า 10 ปีแล้ว

“การเกษตรที่นี่เริ่มด้วยการปลูกมะละกอ เนื่องจากเป็นไม้ล้มลุกในท้องถิ่นที่หาได้ง่ายและมีความนิยม เน้นใช้สารเคมีเป็นหลัก แต่ไม่นานก็เกิดปัญหาสารตกค้างในผลผลิต ต่อมาเมื่อได้เรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรผสมผสาน จากนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ จึงได้นำทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาปรับปรุงดัดแปลงในไร่ ด้วยการใช้ปุ๋ยชีวภาพจากมูลสัตว์จากฟาร์มที่ไม่ใช้สารเคมี ส่วนแหล่งน้ำใช้มีการกักเก็บน้ำขึ้นมาเอง ไม่มีสารปนเปื้อน ผลผลิตจึงมีคุณภาพเกิดความปลอดภัย ไร้สารตกค้าง มีความสมบูรณ์ และมีสมดุลทางชีวภาพ พร้อมจัดให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ของชุมชนภายในท้องถิ่น” นายชาญณรงค์กล่าว

ด้านนางยุวดีกล่าวว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีนโยบายด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดโครงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดกระบวนการเรียนรู้ในทฤษฎีเกษตรอินทรีย์และเกษตรแบบผสมผสาน นำไปสู่การลดใช้สารเคมีในพื้นที่ของตนเอง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพจนเกิดการเลิกใช้สารเคมีในที่สุด

นายพานิชย์กล่าวว่า จากการศึกษาดูงานในครั้งนี้ ในฐานะสื่อเทคโนโลยีชาวบ้าน ตนจะนำความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ทฤษฎีการเกษตรอินทรีย์และการเกษตรแบบผสมผสาน รวมถึงการใช้ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ได้มาตรฐานปราศจากสารเคมี และเกิดความปลอดภัยสู่ผลิตและผู้บริโภคต่อไป

จากนั้นเวลา 13.00 น. คณะได้เดินทางไปยังโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ บ้านหนองคอไก่ ต.เขากระปุก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เพื่อศึกษาทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้ผืนดินเกือบ 400 ไร่แห่งนี้เป็นโครงการด้านการเกษตรตั้งแต่ปี 2551 พัฒนาเป็นศูนย์รวบรวมพืชเศรษฐกิจนานาชนิด เป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรในพื้นที่และเกษตรกรผู้สนใจจากทั่วประเทศ สิ่งที่น่าสนใจในโครงการชั่งหัวมันคือ การใช้กังหันลมผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นพลังงานทดแทน การผลิตพืชปลอดภัยจากสารพิษ การสาธิตการปลูกสบู่ดำ การปลูกข้าวสายพันธุ์ต่างๆ มีแปลงพืชเพื่อศึกษาและส่งเสริมการผลิตชมพู่พันธุ์เพชรสายรุ้งที่มีชื่อเสียงของ จ.เพชรบุรี ส่งเสริมการผลิตหน่อไม้ฝรั่ง การทำปุ๋ยหมัก การปลูกไม้ผล พืชไร่ พืชผัก นานาชนิด

สำหรับผู้สนใจศึกษาดูงานศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ และเกษตรผสมผสาน บ้านหนองจิก อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ นายชาญณรงค์ พวงสั้น หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบุรี โทร.081-7057911

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายสัตวแพทย์จาตุรนต์ พลราช colourofwords.com ปศุสัตว์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยถึงกรณีสัตว์ปีกในฟาร์มของเกษตรกร จำนวนหลายหมื่นตัวล้มตาย โดยบางแห่งเป็นการทยอยตาย และบางแห่งตายยกเล้า และมีรายงานเข้ามาถึง 4 อำเภอแล้ว คือในเขตอำเภอพระนครศรีอยุธยา บางปะอิน บางไทร และนครหลวง ซึ่งสัตว์ปีกที่ตายส่วนใหญ่เป็นไก่
เช่นที่ฟาร์มของนายประทีป โอริส เขตตำบลคุ้งลาน อำเภอบางปะอิน ไก่ไข่ตายแบบยกเล้าทั้งฟาร์ม กว่า 5,000 ตัว และฟาร์มของนายยุพิณ แก้วสมบูรณ์ เขตตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน ทยอยตายทั้งไก่และเป็ดเทศ ก่อนตายสัตว์ปีกทั้งหมด จะมีหน้าสีดำ หงอนดำ หมดแรง หัวทิ่ม ปากจิกพื้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าการตายของสัตว์ปีกมาจากโรคประจำท้องถิ่น คือโรคอหิวาไก่ หรือโรคห่า

ดังนั้นให้เกษตรกรสามารถ แจ้งการตายเข้ามาเพื่อขอรับสิทธิ์ การจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับการทำลายให้ใช้วิธี นำซากไก่ใส่ถุงและไปฝังกลบในพื้นที่เท่านั้น ห้ามเคลื่อนย้ายออก ส่วนหากจะนำไปเป็นอาหารปลาดุกในบ่อใต้ฟาร์มไก่นั้น ไม่แนะนำให้ทำ แต่หากจะทำต้องนำซากไก่ที่ตายไปต้มให้สุกทั้งตัว ในน้ำร้อนเสียก่อน ที่นำไปให้ปลาดุกกิน

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศประจำวันที่ 29 มิถุนายน 2560 ดังนี้
ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบนและประเทศไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งเกิดขึ้นในระยะนี้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพม ชัยภูมิ และขอนแก่น อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.