เบทาโกร ชูนโยบาย เป็น “คู่คิด” ให้ “คู่ค้า” นำอาหารคุณภาพ

และปลอดภัยสู่ผู้บริโภคทุกระดับ เบทาโกร ชูนโยบาย เป็น “คู่คิด” ให้ “คู่ค้า” นำอาหารคุณภาพและปลอดภัยสู่ผู้บริโภคทุกระดับ พร้อมโชว์นวัตกรรมอาหารภายใต้แนวคิด “Quality for Life” ในงาน THAIFEX 2017

เบทาโกร ชูนโยบาย เป็น “คู่คิด” ให้ “คู่ค้า” ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร สร้างทีม Food Solution ให้คำปรึกษาในการพัฒนาธุรกิจในทุกมิติให้กับลูกค้าในซัพพลายเชน เพื่อเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของการส่งต่ออาหารคุณภาพและปลอดภัยสู่ผู้บริโภคทุกระดับ

ดร.ณรงค์ชัย ศรีสันติแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร กล่าวในงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก THAIFEX – World of food ASIA 2017 ว่า ผู้บริโภคปัจจุบันมีการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว หากแต่ยังคงใส่ใจในคุณภาพและรสชาติของอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการด้านอาหาร ต่างเร่งปรับมาตรฐานและการผลิตเพื่อยกระดับคุณภาพของสินค้า เบทาโกรให้ความสำคัญนโยบายด้าน Food Safety และ Food Quality อย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น มีความตั้งใจที่จะพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าอาหารสำหรับผู้ประกอบการในซัพพลายเชนให้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อเสริมสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ดี” แก่ผู้บริโภคทุกระดับ ให้เข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ ถูกสุขลักษณะและมีความปลอดภัย

เครือเบทาโกร ได้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation Center) โดยใช้เงินลงทุน 60 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคมากขึ้น และหน้าที่สำคัญของศูนย์ฯ คือการสร้างทีมที่ปรึกษาในการพัฒนาธุรกิจในทุกมิติและแก้ไขปัญหา (Food Solution) ให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อการก้าวเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

“เบทาโกร จะเป็น “คู่คิด” ให้ “คู่ค้า” เราสร้างทีม Food Solution ซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ ทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ออกไปทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหา เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการธุรกิจอาหารในมิติต่างๆ อย่างครบวงจรให้กับผู้ประกอบการด้านอาหาร ลูกค้าของเรา ตั้งแต่การพัฒนาสินค้า เช่น คิดเมนูใหม่ พัฒนาสูตร รสชาติอาหาร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมทั้ง การปรับปรุงระบบการบริหารจัดการภายในร้าน เช่น เพิ่มผลผลิต ลดการสูญเสีย การจัดซื้อ การขนส่ง ฯลฯ

ด้วยการออกแบบโปรแกรมการให้บริการซึ่งเรียกว่า Service Menu วิเคราะห์ตามความต้องการและศักยภาพของลูกค้าแต่ละราย ยกตัวอย่างเรือซีทรานเฟอร์รี่ซึ่งให้บริการบรรทุกรถยนต์และผู้โดยสารข้ามฟากจากดอนสักสู่เกาะสมุย เราส่งเชฟส่วนกลางเข้าไปช่วยพัฒนาเมนูอาหารคาวและสอนทำเบเกอรี่ ทั้งการเลือกวัตถุดิบคุณภาพ ช่วยคิดเมนูใหม่ การตกแต่งจานอาหารที่สวยงาม ประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพให้กับครัวของลูกค้า เป็นต้น โดยมุ่งหวังให้ธุรกิจของ “คู่ค้า” ก้าวเดินและเติบโตไปพร้อมกับเบทาโกรอย่างยั่งยืน ในจุดมุ่งหมายที่สำคัญร่วมกันคือการส่งมอบอาหารคุณภาพและปลอดภัยสู่ผู้บริโภคทุกระดับ” ดร.ณรงค์ชัย กล่าว

สำหรับปีนี้ ยังมีแนวคิดในการขยายช่องทางอาหารคุณภาพ ให้เข้าถึงผู้บริโภคครอบคลุมยิ่งขึ้น ด้วยการส่งเสริมด้านอาหารปลอดภัย (Food Safety) ผ่านผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มรถทอดลูกชิ้น ไส้กรอก ทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ การเก็บรักษาคุณภาพสินค้า การปรุงอาหารที่ถูกวิธี เช่น วิธีทอด การเปลี่ยนน้ำมัน และความสะอาด ถูกสุขลักษณะของผู้ขาย เพื่อให้ผู้ซื้อได้บริโภคอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย ส่วนผู้ขายมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ เบทาโกรมีการวางกลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ พัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์และการเพิ่มมาตรฐานการผลิตเพื่อให้สินค้ามีมาตรฐานสูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาช่องทางจำหน่วยสินค้าอาหารแบรนด์ BETAGRO และแบรนด์ S-Pure ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่การขนส่งที่พัฒนาระบบควบคุมอุณหภูมิแบบ Fully Cool Chain ช่วยคงความสดและคุณภาพของสินค้าก่อนถึงปลายทาง การพัฒนาพื้นที่จุดจำหน่ายร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ที่ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพสินค้าเช่นเดียวกับเบทาโกร เช่น กลุ่มเดอะมอลล์ กลุ่มเซ็นทรัล ฟู้ดแลนด์ วิลล่า เทสโก้ และบิ๊กซี เป็นต้น รวมทั้ง การขยายสำนักงานและสาขา การขยายร้าน “เบทาโกร ช็อป” ในจังหวัดต่างๆ และสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้า 200 สาขาในปี พ.ศ.2561

สำหรับงาน THAIFEX – World of food ASIA 2017 ซึ่งจัดวันที่ 31 พ.ค. – 4 มิ.ย. 60 เครือเบทาโกร ได้ร่วมออกบูธแสดงนวัตกรรมอาหาร ภายใต้แนวคิด “Quality for Life” เชิญชิมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยทุกขั้นตอนในราคาพิเศษ ทั้งแบรนด์ S-Pure ซึ่งผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ไม่มียาปฏิชีวนะ NSF รับรองเป็นรายแรกของโลก และแบรนด์ BETAGRO ชมการสาธิตการประกอบอาหาร (Cooking Show) โดยมาสเตอร์เชฟชั้นนำจาก Thailand Culinary Academy และ 4 มิ.ย.นี้ เวลา 15.00 น. พบกับ Thai Supermodel มาร่วมกิจกรรม ณ บูธเบทาโกร เลขที่ P01 อาคารชาเลนเจอร์ 3 เมืองทองธานี

นับเป็นระยะเวลา 3 ปีมาแล้วที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องแบกภาระสต๊อกข้าวสารจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ด้วยปริมาณสต๊อกที่สูงถึง 18 ล้านตัน หรือเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกในแต่ละปีที่มีปริมาณอยู่ระหว่าง 40-41 ล้านตัน โดยสต๊อกข้าวไทยดังกล่าวไม่เพียงสร้างภาระงบประมาณในการเก็บรักษาข้าวเดือนละ 1,000 ล้านบาทให้กับรัฐบาล แต่ยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดข้าวในโลกมาอย่างต่อเนื่องด้วย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้พยายามระบายข้าวในสต๊อกออกมาอย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้สามารถระบายข้าวออกไปได้ประมาณ 13 ล้านตัน คงเหลือข้าวในสต๊อกอยู่ระหว่าง 5-6 ล้านตันเท่านั้น ส่งผลให้ทิศทางราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มปรับตัวดีขึ้น

ที่ประชุม“ThailandRice Convention 2017” (TRC 2017) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงอนาคตของข้าวไทยด้วยการให้มองภาพว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ได้มุ่งเน้นการระบายสต๊อกข้าวออกไปได้มากถึง 13 ล้านตัน มูลค่า 100,000 ล้านบาท จากจำนวนสต๊อกโครงการรับจำนำข้าวที่รับมาจากรัฐบาลในอดีตถึง 18 ล้านตัน แม้ว่าการระบายข้าวจะได้เงิน “น้อยกว่า” งบประมาณที่ถูกรัฐบาลชุดที่แล้วใช้ไปในโครงการรับจำนำ แต่ “จำเป็น” ต้องเร่งรัดการระบายข้าวในสต๊อกให้หมดภายในสมัยรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้อุปทานข้าว (Supply ที่กดทับตลาด) จนทำให้กลไกการค้าข้าวปกติถูกบิดเบือนอย่างรุนแรง ได้ “กลับสู่ภาวะปกติ”

ต่อจากนี้ รัฐบาลจะมุ่งเดินหน้า “ยุทธศาสตร์ข้าว” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยการผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรมที่สามารถเพิ่มมูลค่าข้าวไทยตามแนวทาง ไทยแลนด์ 4.0 พร้อมทั้งสร้างกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงแผนพัฒนาตลาดร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา-สปป.ลาว-เมียนมา-เวียดนาม) ขณะที่ชาวนาก็ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด“อย่าปลูกแต่พืชที่อยากจะปลูก” แต่ให้ชาวนามองโอกาสจากแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลมีโครงการนาแปลงใหญ่ แต่คืบหน้าช้าทั้งที่กำหนดแนวทางชัดเจน เนื่องจากชาวนาบางส่วนไม่ยอมปรับพฤติกรรมการทำนา

ด้านการส่งออกโดยเฉพาะการเจรจาซื้อ-ขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล(Gto G ) กับจีนนั้น “ยังไม่มีความคืบหน้า” ในทางปฏิบัติว่าการจะคบหากับใคร “อย่ามองแต่เป็นผู้รับ แต่ให้มองการทำสัมพันธ์กับคู่ค้าด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ส่งออกข้าวได้ 10 ล้านตัน

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกข้าวปีนี้ว่า “มีโอกาสทำได้ 10 ล้านตัน” เนื่องจากศรษฐกิจโลกและประเทศผู้นำเข้าข้าวไทยกลับมาฟื้นตัว บางตลาดที่เคยหายไปก็กลับมาสนใจซื้อข้าวไทยอีก เช่น อิรัก-อิหร่าน-แอฟริกา-จีน-ฮ่องกง ในจำนวนนี้บางประเทศได้ส่งตัวแทนมาเจรจาเพื่อนำเข้าข้าวและสร้างความร่วมมือกับไทยในงานครั้งนี้ด้วย จึงมองว่าทิศทางราคาข้าวมีโอกาสที่จะปรับสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งมาเป็นผลจิตวิทยาจากรัฐบาลระบายข้าวในสต๊อกเกือบหมดแล้ว

สอดคล้องกับมุมมองของMr.JeremyZwinger ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท The Rice Trader เห็นว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ ทิศทางราคาข้าวจะปรับขึ้นประมาณ 20-30% จากราคาปัจจุบัน โดยราคาข้าวเวียดนามปรับขึ้นมาตันละ 400-410 เหรียญสหรัฐ หรือห่างจากข้าวไทยตันละ 70-80 เหรียญสหรัฐ และแนวโน้มอาจปรับเพิ่มขึ้นอีก “ปริมาณซัพพลายข้าวอยู่ในภาวะตึงตัว เริ่มหาซื้อลำบากมากขึ้น ผลผลิตข้าวในหลายประเทศลดลง ประกอบกับสต๊อกข้าวไทยเริ่มปรับตัวลดลงจึงมีผลทางจิตวิทยาต่อการปรับราคาข้าวในตลาดโลกแต่ตลาดเช่น จีน ฟิลิปปินส์ แอฟริกา มีความต้องการซื้อข้าวมากขึ้น”Mr.Jeremy กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Demand-Supply ข้าว เช่น ภาวะสิ่งแวดล้อม ทิศทางราคาการผลิตธัญพืชโลก

Supply ข้าวโลกลดลง

ด้าน Mr.Amit Gulrajani Senior Vice President, Rice Division, Olam International Limited, Singapore ให้ความเห็นว่า ตลาดค้าข้าวครึ่งปีหลังของปีนี้ “จะอยู่ในช่วงขาขึ้น” ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ระบุว่า การผลิตข้าวในตลาดโลกปี 2560/2561 มีปริมาณ 481.3 ล้านตัน หรือ“ลดลง” จากปีก่อนที่ผลิตข้าวได้ 481.5 ล้านตัน โดยสหรัฐผลิตลดลง 10% อียิปต์และอินเดียก็ปรับลดผลผลิตลง ประกอบกับสต๊อกข้าวโลกกำลังเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากไทยไม่มีสต๊อกข้าวคงเหลืออีกแล้ว

ส่วนปริมาณการบริโภคข้าวในตลาดโลกปี2561จะเพิ่มขึ้นเป็น 42.2 ล้านตันจากปีนี้ที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 41.3 ล้านตัน โดยเฉพาะตลาดแอฟริกา ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า ศรีลังกาได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติทำให้เริ่มนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น 5-6 เท่า จากข้าวที่บริโภคภายในประเทศ

“ในช่วงที่เหลือของปีนี้คงต้องติดตามทิศทางปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งอาจจะมีผลต่อกำลังซื้อและราคาข้าวการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว นโยบายพึ่งตนเองลดการนำเข้า ปัจจัยจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อัตราแลกเปลี่ยน การขนส่งก็จะมีผลด้วยเช่นกัน” Mr.Amit กล่าว

Mr.Kenneth Chan Kin Nin, Chairman, The Rice Merchants” Association of Hong Kong กล่าวว่า ตลาดข้าวไทยในฮ่องกง “เริ่มปรับตัวดีขึ้น” โดยขณะนี้ไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 70% และมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 100% ในอนาคตด้วยความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ไทยควรมุ่งเน้นขยายตลาดข้าวหอมมะลิเกรดพรีเมี่ยม ออกไปยังมณฑลหรือเมืองรอง ๆ ในจีนให้มากขึ้น เนื่องจากประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้น และการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ประกอบกับการใช้นโยบายลดการพยุงราคา จึงทำให้จีนมีความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ประมาณ 4.6 ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดโลก

ผลผลิตข้าวไทยต่ำสุด

ส่วน นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แม้ไทยจะรักษาการส่งออกข้าวปีละ 10 ล้านตันได้ แต่ “จำเป็น” ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าวให้ได้มากขึ้น จากเดิมไทยดำเนินการผลิตรูปแบบเดิมทั้งขบวนการและห่วงโซ่การผลิต ทำให้ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยไทยได้ 2.8 ตัน/เฮกตาร์ หรือ “ต่ำกว่า” มาตรฐานโลกเฉลี่ย 4.2 ตัน/เฮกตาร์ เทียบกับประเทศอื่นโดยเฉพาะเวียดนาม ได้ผลผลิต 5.3 ตัน/เฮกตาร์, จีน 6.5 ตัน/เฮกตาร์, อียิปต์ 9.4 ตัน/เฮกตาร์, อินเดีย 3.3 ตัน/เฮกตาร์ และปากีสถาน 3.5 ตัน/เฮกตาร์

ดังนั้น ภาครัฐควรเข้ามาสนับสนุนในการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจพื้นที่ที่เหมาะสม และบริหารจัดการการเพาะปลูกข้าว รวมถึงการผลักดันนโยบายนาแปลงใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย

วันที่ 3 มิถุนายน เวลา 06:00 น. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลเทพ ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ได้ลดการผันน้ำเข้าคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ซึ่งเป็นคลองส่งน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านเข้าพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เพื่อลดผลกระทบความเดือดร้อนของเกษตรกร และพื้นที่นาข้าวจำนวนกว่า 10,000 ไร่ ที่กำลังถูกน้ำท่วม ตามข้อสั่งการของนายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทานหลังจากที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.

นายสุชาติ เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ชัยนาท เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำหลากท่วมในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี กรมชลประทาน ได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำจำนวน 50 เครื่อง และการลดปริมาณน้ำผ่านคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ประกอบกับการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำที่ ประตูระบายน้ำสองพี่น้อง ประตูระบายน้ำเภาทะลาย และแม่น้ำท่าจีนบริเวณสะพานวัดไผ่โรงวัว อีกรวม 24 เครื่อง คาดว่าอีกประมาณ 1 สัปดาห์ หากไม่มีฝนตกเพิ่ม สถานการณ์น้ำทีมนาข้าวในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรีจะเข้าสู่ภาวะปกติ

ตรวจสอบระดับน้ำที่จุดวัดน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท วัดได้ 16.69 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลดลง 9 เซนติเมตร ด้านท้ายเขื่อนวัดได้ 10.42 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลดลง 11 เซนติเมตร ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาลดการระบายน้ำจาก 719 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลงมาอยู่ที่ 699 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลง 10-15 เซนติเมตร และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 3 มิถุนายน 60 นายโบแดง ทาแก้ว ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พร้อมสั่งการด่วน ให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือชาวนา โดยเฉพาะใน 5 อำเภอ ของ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งแปลงข้าวนาปรัง ถูกน้ำฝนท่วมขัง พร้อมย้ำว่ารัฐบาล มีความเป็นห่วงใยชาวนา ด้วยหากข้าวนาปรังอายุ 1 เดือนไม่เน่าตายในช่วงนี้ และครบกำหนดเก็บเกี่ยว ที่ไม่เกินเดือนกันยายนปีนี้ จะให้ผลผลิตรวม 250-300 ล้านบาท

ทั้งนี้แนวทางแก้ไข คือเร่งสูบน้ำจากลำคลองกลางทุ่งนา ลงแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย อีกทั้งเร่งผลักดันน้ำลงทะเล ซึ่งล่าสุดช่วยเหลือไปได้แล้วกว่า 120,000 ไร่ คงเหลืออีกกว่า 20,000 ไร่เท่านั้น คาดว่าภายใน 3-4 วันนี้จะแล้วเสร็จ

นอกจากนี้หน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ pintast.com ยังต้องเร่งสำรวจเกษตรกรที่ทำนา เลี้ยงปลากระชัง และพืชสวน ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด จากภาวะฝนตกหนักติดต่อกัน และผลกระทบจากการพร่องน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ทั้งนี้ได้ชมเชยการกำหนดโซนนิ่งและเวลาเพาะปลูกทำนาปรัง พร้อมกันทั้งจังหวัด ทำให้การบริหารจัดการน้ำในทุ่งนาง่ายมากขึ้น

กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 3 มิถุนายน 2560 ดังนี้

ลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งในระยะนี้ ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลงในระยะนี้

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ
บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ
บริเวณจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และนครปฐม
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ
บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.