เมื่อบ่มแนวคิดและความรู้ที่ได้รับจนงอกงาม ก็จะพบความสุข

จากการพึ่งพาตัวเอง ภาคภูมิใจจากพืชผักที่ตนรดน้ำพรวนดินผลิดอกออกผล สุขภาพรดีจากการบริโภคผลผลิตสะอาดปลอดภัย มีผลผลิตเหลือไปแจกผู้อื่น ที่สำคัญที่สุด คือ พึงพอใจและยินดีในสิ่งที่ตนมี เพียงเท่านี้ก็มีความสุขได้ง่ายๆ

ผู้พิสูจน์แล้วว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนำความสุขอย่างยั่งยืนมาสู่ชีวิตได้ อย่างสมศักดิ์ เครือวัลย์ ที่ปรึกษาโครงการทำตามพ่อ กินอยู่อย่างพอดี มีความสุขกับการเพาะปลูกผลผลิตในไร่ตัวเองตามแนวคิดของพ่อ เผยว่า “การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ถ้าลงมือทำจริงก็รวยได้ ด้วยปัจจัยสี่ที่อยู่ในสวน ในรั้วบ้าน เแนวคิดของพระองค์สามารถนำไปปรับใช้ได้กับชีวิตทุกคน พิสูจน์แล้วว่าเหมาะกับเกษตรกรและประเทศไทย แล้วคนเมืองก็นำไปประยุกต์ใช้ได้ พวกเราและประเทศไทยจะอยู่รอดได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลง เริ่มจากทำแปลงผักเล็กๆ หน้าบ้านหรือริมระเบียงคอนโดฯ

ฟากของ ปรีชา หงอกสิมมา ปราชญ์เกษตรรุ่นใหม่ กล่าวถึงเส้นทางเพาะความสุขจากแนวคิดในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า “แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่เป็นปรัชญาสากลชี้นำแนวทางการดำรงชีวิตให้ประชาชนทุกกลุ่ม มิได้แค่เกษตรกร คนไทยทุกคนควรเรียนรู้เพื่อให้เกิดความสุขยั่งยืนท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าเกษตรทฤษฎีใหม่ช่วยให้คนในชุมชนใช้ชีวิตอย่างมั่นคง สมดุลกับสิ่งแวดล้อม พอใจในสิ่งที่ตนมีและใช้ทรัพยากรในมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

บรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มมิตรผล กล่าวถึง “โครงการ “ทำตามพ่อ ปลูก เพ(ร)าะ สุข” เริ่มจากแนวคิดน้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาดูแลชาวไร่และชุมชน เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้นและดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข”

โครงการทำตามพ่อ ดำเนินการปลูกความสุขสู่ชาวไร่ ด้วยการให้ความรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ จัดตั้งคณะทำงานและปราชญ์เกษตรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญถ่ายทอดความรู้ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย อำนาจเจริญ และตาก คัดเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมเข้ารับการอบรม แนะนำแนวทางพัฒนาพื้นที่ ติดตามผลใกล้ชิด เพื่อสร้างพื้นฐานต่อยอดและพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ก่อนคัดเลือกเกษตรกรที่พร้อมจัดสรรพื้นที่และถ่ายทอดความรู้ 70 คน จัดตั้ง “ศูนย์ปลูก เพ(ร)าะ สุข” จำนวน 70 แห่ง ขยายผลลัพธ์สู่ 700 และ 7,000 ครัวเรือนในปีต่อๆไป

“การดำเนินงานโครงการได้ผ่านระยะที่ 1 – ปลูกองค์ความรู้ และระยะที่ 2 – เพาะกล้าความสุข และกิจกรรม “ฝากปลูก” ไปแล้ว ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ 3 – ส่งต่อความสุข ในงาน “ปลูก เพ(ร)าะ สุข Farmer’s Market” โดยกลุ่มมิตรผลเป็นตัวกลางส่งต่อความสุขระหว่างชาวไร่และคนเมือง ให้คนเมืองฝากปลูกกับเกษตรกร และเกษตรกรส่งผลิตผลตรงถึงคนเมืองได้บริโภคพืชผัก ผลไม้สดๆ จากไร่ และเกษตรกรมีรายได้เพิ่ม อีกทั้งกิจกรรม “ปลูกสุขริมรั้ว” ที่เกษตรกรมาถ่ายทอดความรู้ปลูกพืชผักสวนครัวให้คนเมืองปลูกบริโภคเองที่บ้าน แบ่งปันประสบการณ์จริงจากการดำรงชีวิตอย่างมีสุขรอบด้านและมีภูมิคุ้มกันตามแนวคิดพอเพียงที่น่าสนใจและทำได้ง่ายๆ แม้อาศัยในเมืองใหญ่” นายบรรเทิงกล่าวเสริม

ผู้ร่วมงาน “ปลูก เพ(ร)าะ สุข Farmer’s Market” ยังได้พบกับการออกร้านจำหน่ายพืชผลทางเกษตรคุณภาพ ปลอดสารจากเกษตรกรในราคากันเอง กิจกรรมร่วมแบ่งปันแนวคิดสร้างสุข โซนนิทรรศการและเวิร์คชอป “ปลูกสุขริมรั้ว” ร่วมแบ่งปันแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตพอเพียงจากปราชญ์เกษตรและเกษตรกร และกิจกรรมไฮไลท์ “ฝากปลูก” สื่อกลางส่งต่อความสุขจากชาวไร่สู่คนเมืองด้วยผลผลิตคุณภาพ เพื่อตอกย้ำว่าความสุขนั้นปลูกได้ทุกที่และส่งต่อให้กันได้ไม่รู้จบ

หนึ่งในเซเลบฯ ร่วมสุขที่เข้าร่วมกิจกรรมฝากปลูกอย่าง “จุ๋ย” จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ทายาทธุรกิจพลังงานทดแทนและเจ้าของแบรนด์ปูดองออนไลน์สุดฮิต “ปูดองอันยอง” เผยความประทับใจจากกิจกรรมนี้ว่า “จุ๋ยชอบเข้าครัวและพิถีพิถันคัดเลือกวัตถุดิบ จีงไม่รีรอเข้าร่วมกิจกรรมฝากปลูกเพื่อได้ทานผักผลไม้สดๆ คุณภาพดีจากไร่ และสนับสนุนพี่ๆ เกษตรกรพึ่งพาตัวเอง มีรายได้จากการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการแบ่งปันส่งต่อความสุขกันง่ายๆ ที่ทำแล้วอิ่มเอมใจมากค่ะ”

เช่นเดียวกับ “พราว” ภูมิใจ ว่องกุศลกิจ อีกหนึ่งเซเลบที่ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวถึงกิจกรรมฝากปลูกว่า “กิจกรรมนี้พราวได้เห็นความสุขที่แท้จริงจากการน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ บางคนนึกว่าเกษตรทฤษฎีใหม่ต้องหยิบเครื่องมือไปทำสวนทำไร่ แต่จริงๆ ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงโดยปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตตัวเอง พราวเองก็ปลูกผักทานเองเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และเริ่มพึ่งพาตัวเอง พอลงมือทำสำเร็จสักอย่าง เราก็จะสามารถพึ่งพาตนเองในเรื่องอื่นได้อีกค่ะ”

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าสวนมะปราง หมู่ 3 บ้านหนองพญา ต.บ้านแลง อ.เมืองระยอง ประดับไฟแสงสว่างหลากสีกันทั้งสวนในช่วงเวลากลางคืนทุกคืนเหมือนมีงานเทศกาล ไปสอบถามชาวบ้านทราบว่าเจ้าของสวนมะปรางชื่อนายอนุชา ติลลักษณ์ อายุ 44 ปีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.บ้านแลง

นายอนุชา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าของสวนมะปรางดังกล่าวเปิดเผยว่า การทำสวนมะปรางให้ออกดอกเร็วขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ โดยนำเทคนิคใหม่ด้วยการติดหลอดไฟหลากหลายสี ให้สว่างไสวที่โคนต้นในเวลากลางคืน เทคนิคดังกล่าวได้มาจากชาวสวนมะปราง จ.นครนายก หลังจากนำเทคนิคติดหลอดไฟต้นมะปรางมาทดลองทำในสวนของตนปรากฏว่าภายใน 1 สัปดาห์ มะปรางก็ออกดอกสะพรั่ง

หลังข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้ชาวสวนมะปรางใน ต.บ้านแลงและ ต.ตะพง ติดหลอดไฟฟ้าหลากสีกันทุกสวน พอตกกลางคืนก็เปิดไฟ ทำให้สวนมะปรางสว่างไสวด้วยหลากสี เหมือนมีงานเทศกาล

ขณะที่นายสาโรจน์ สิงห์เขตต์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านหนองกบ ต.ตะพง กล่าวว่า ตนเป็นคนริเริ่มติดหลอดไฟหลากสี(หลอดประหยัดไฟ) ในสวนมะปรางเจ้าแรก โดยลงทุนติดหลอดไฟหลากสีต้นมะปรางต้นละจำนวน 3 หลอด คิดเป็นเงิน 100 บาทต่อต้น

หลังเปิดไฟในเวลากลางคืนได้ 5 – 6 วัน ปรากฏว่าต้นมะปรางเริ่มแทงช่อออกดอกติดผล ข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้เจ้าของสวนมะปรางในพื้นที่เริ่มหันมาติดหลอดไฟ ทำให้กลางคืนสวนมะปรางสว่างไสว

นายสาโรจน์ กล่าวว่าสันนิษฐานว่าเมื่อติดหลอดไฟในเวลากลางคืน อาจทำให้มะปรางเกิดความสับสนคิดว่าเป็นเวลากลางวันตลอด จึงทำให้ออกดอกเร็วขึ้น ซึ่งสวนมะปราง จ.นครนายก ทดลองมาแล้วได้ผล

ด้านนายทรงธรรม ชำนาญ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตร จ.ระยอง กล่าวว่ากรณีชาวสวนมะปรางติดไฟหลากสีที่ต้นและ เปิดไฟในเวลากลางคืนสามารถทำให้มะปรางเร่งออกดอกออกผลได้เร็ว นั้นวิธีนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เร่งให้ต้นมะปรางออกดอกได้เร็วขึ้น กรณีติดหลอดไฟหลากสีที่ต้นแล้วเปิดไฟในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มแสงสว่างให้ยาวนานมากขึ้นกว่าปกติเท่านั้น.

คุณอร่าม ทรงสวยรูป อดีตช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานมากว่าสิบปี ก็ได้หันมาทำเกษตร โดยเริ่มต้นจากลงทุนซื้อที่ดิน คุณอร่าม เล่าว่า ครอบครัวมีที่ดินอยู่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ แต่พ่อแม่หวงที่ดินมาก ไม่อยากให้มาทำเกษตร ขุดบ่อ ตนจึงตัดสินใจเอาบ้านเข้าธนาคารเพื่อที่จะนำเงินมาซื้อที่ดิน ในการเลือกซื้อที่ดิน ก็จะดูทำเล มีแหล่งน้ำ เหมาะแก่การทำเกษตร จึงได้ที่ตำบลท่าเยี่ยม อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา จำนวนที่ดินทั้งหมด 9-10 ไร่ ราคาซื้อเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ไร่ละ 40,000 บาท

ในการทำเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานของ คุณอร่าม ทรงสวยรูป จะแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน ที่อยู่อาศัย 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำ 30 เปอร์เซ็นต์ เกษตร 30 เปอร์เซ็นต์ ป่า 20 เปอร์เซ็นต์ ใช้พื้นที่ทั้งหมดให้เกิดประโยชน์ ทำคันนาให้กว้าง เหลือพื้นที่ปลูกผัก มีการปลูกพืชแซมเพื่อให้พืชได้เอื้อผลประโยชน์กัน และที่สำคัญคือเกษตรอินทรีย์ ปราศจากสารเคมี เหมือนสโลแกนที่คุณอร่ามคิดไว้คือ “คนกินมีสุข คนปลูกมีกิน”

คุณอร่าม เล่าว่า ตนมีหลักการทำเกษตรอยู่ 4 การ การแรกคือ อุดมการณ์ ในการทำเกษตร ต้องสะอาด ปลอดภัย เพราะเราปลูกกินปลูกขายถ้าทำไม่สะอาด เราก็จะได้รับผลไปด้วย การที่สองคือ ประสบการณ์ จากการทำงานช่างภาพให้สำนักพิมพ์มติชน ได้อ่านนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน การที่สามคือ วิชาการ ความรู้ที่ทันสมัย การสร้างงาน การสุดท้าย การตลาด ความต้องการของผู้บริโภค จะตอบสนองความต้องการอย่างไร นี่ถือเป็นแนวความคิดที่สามารถนำไปใช้ได้กับหลายอาชีพ

ที่สวนของคุณอร่ามปลูกพืชหลายชนิด อย่างที่แนะนำคือ พันธุ์ข้าวอินทรีย์พื้นเมืองของจังหวัดสุรินทร์ ชื่อพันธุ์ปะกาอำปึล (แปลเป็นไทยคือ ดอกมะขาม) เป็นข้าว 2 แผ่นดิน ระหว่าง ไทย-เขมร คุณอร่ามปลูกเพื่อต้องการที่จะอนุรักษ์ไว้และนำไปให้เครือข่ายที่จังหวัดสุรินทร์ปลูกต่อ ถัดมาเป็นซุ้มทางเดินสารพัดผัก ที่คุณอร่ามเรียกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตในบ้าน ที่มีผักนานาชนิด ทั้งพริก หอมเป หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าผักชีฝรั่ง ผักแพรว ถัดมาข้างๆ เป็นบ่อปลูกมะนาวที่ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี มีหม่อนกินผล หรือมัลเบอร์รี่ ต้นโกโก้ กาแฟ ที่ทดลองปลูกและได้เก็บผลผลิตแล้ว ถัดมาเป็นหางไหล สมุนไพรใช้ไล่แมลง ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะที่สวนของคุณอร่ามเป็นเกษตรอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ การปลูกพืชผสมผสานของคุณอร่าม จะไม่ให้มีพื้นที่ว่าง อย่างคันนาก็จะทำให้มีขนาดกว้าง เพื่อที่จะปลูกพืชทั้ง 2 ฝั่ง

คุณอร่าม เล่าถึงการลงทุนในแบบฉบับของตน แสนแรก แสนสาหัส แสนเหนื่อย แสนท้อ ตนอดทนผ่านพ้นตรงนี้ไปได้ ก็มาเจอแสนที่สอง แสนจะมีความสุข หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาพอสมควร เริ่มเห็นผลที่มาจากน้ำพักน้ำแรงก็ยิ้มได้ แสนที่สาม แสนจะอิสระ เป็นการทำงานที่ไม่มีหัวหน้า ทำในสิ่งที่ชอบ มีความสุข คุ้มกับการลงทุนในครั้งนี้

เกษตรสมัยใหม่ในความคิดของคุณอร่ามคือ การปรับตัว ดูแนวทางในการปลูก ควรจะปลูกพืชที่สามารถอยู่ได้นาน พืชอาหาร อย่างการปลูกกล้วยที่สวนของคุณอร่าม จะปลูกแซมกับพืชอื่นๆ เพราะกล้วยมีคุณสมบัติดูดซึมน้ำ ทำให้พืชที่ปลูกแซมมีใบสวยได้รับน้ำเพียงพอ นอกจากพืชแซม ยังปลูกอินทผลัมกินผล เป็นพืชที่มีอายุยาวอยู่ได้ 40-50 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้จนแก่ พันธุ์ที่ปลูกเป็นบาร์ฮี คุณอร่ามซื้อแบบเพาะเนื้อเยื่อมาปลูก ราคาต้นละ 1,200 บาท เพราะการเพาะเนื้อเยื่อทำให้รู้เพศของต้น ทำให้ลดเวลาในการปลูก

เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการทำเกษตร ไม่ใช่ว่าต้องทำแล้วรวย แต่ทำแล้วมีความสุข ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตหนึ่งอย่าง ได้อิสระทางความคิด ทำให้เรามีอาหารที่ปลอดภัย ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ได้เล่าสู่กันฟังว่าเกษตรแบบผสมผสานทำได้จริง ผลตอบแทนมาเรื่องรอง ปัจจุบัน มีอาชีพเกษตรเป็นอาชีพหลัก อาชีพเสริมก็ยังถ่ายภาพประชาสัมพันธ์รายการมวยในทีวีช่องหนึ่ง

มีอีกหนึ่งเรื่องเล่าจากคุณอร่าม เป็นเรื่องแปลกที่มีความขำปนอยู่ เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งที่คุณอร่ามทำนาและไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ด้วยวัยของเด็กกำลังซนจึงทำให้คุณอร่ามต้องเลี้ยงลูกในหลุม หมายถึงคุณอร่ามจะขุดหลุมที่แปลงนาช่วงเกี่ยวข้าว ขนาดเท่าตัวเด็ก สูงประมาณคอของเด็ก แล้วให้ลูกลงไปอยู่ในหลุมพร้อมกับของเล่น เพื่อที่จะไม่ให้มาวิ่งซนจนอาจเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำ หลังจากปล่อยลูกลงไปไว้ในหลุ่มแล้ว ตนก็จะทำนาต่อ แต่ก็จะมีแวะมาดูเป็นระยะ ว่าลูกยังอยู่ในหลุ่มหรือเปล่า นี่ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของคนสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีมาหลอกล่อเหมือนเด็กยุคนี้ ถือเป็นวิธีที่น่าสนใจและนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน

ใครที่สนใจผลผลิตจากสวนของ คุณอร่าม ทรงสวยรูป สามารถหาซื้อได้ที่ตลาด เค วิลเลจ หรือสนใจดูงานเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานที่สวน สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ โทร. (081) 911-2607 เดินทางไปได้ที่ เลขที่ 258 หมู่ที่ 9 ตำบลท่าเยี่ยม อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา คุณอร่ามยินดีให้คำแนะนำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดสกลนครเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้งฉางหรือนำไปขายแล้ว ต่อมาไม่ได้ทิ้งที่นาให้เปล่าประโยชน์จึงพากันหันมาปลูกผักนานาชนิดส่งขายตลาดโดยมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงที่

เช่นเดียวกับเกษตรกรบ้านพังขว้าง ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งถือเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ชาวบ้านทำนาเก็บเกี่ยวเสร็จได้ไถดินกลบ จากนั้นเปลี่ยนเป็นแปลงผักหว่านเมล็ดพันธุ์ หมั่นใส่ปุ๋ย รดน้ำ กำจัดวัชพืช ใช้เวลาเดือนกว่าๆ ก็พร้อมขายแล้ว

นายสมัย ฐานทองดี อายุ 66 ปี เกษตรกร กล่าวว่า ปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นกำลังดีตนและเพื่อนบ้านไม่ยอมทิ้งที่นาหลังเก็บเกี่ยวเสร็จให้ไร้ประโยชน์ จึงลงมือปลูกผักขาย สำหรับตนปลูกผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง และพริก ซึ่งสภาพอากาศเย็นเหมาะเป็นอย่างมาก เนื่องจากผักเจริญเติบโตดีได้ราคาและปลอดสารพิษ โดยใช้น้ำบาดาล รดเช้าเย็น

ขณะนี้ราคาผักกำลังดี มีคนมารับซื้อถึงที่ เช่น ผักกาดขาว พริกหยวก ขายกิโลกรัม ละ 12 บาท ส่วนผักกวางตุ้ง กิโลกรัมละ 15 บาท ในแต่ละวันจะนำออกมาจำหน่าย ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ถุง ถุงละ 12 กิโลกรัม 1,000-1,400 บาท และอาจมีเว้นช่วงไปเนื่องจากต้องปรับไปปลูกพืชอื่นแทนสลับหมุนเวียน ใช้เวลาประมาณอีก 1 เดือน ก่อนจะนำผลผลิตออกขายได้ โดยการปลูกผักสามารถปลูกได้ถึงเดือนมีนาคมปีหน้า ทั้งนี้ ถือว่าสร้างกำไรอย่างดีให้กับครอบครัวตนในช่วงหน้าหนาวนี้

กากหม้อกรอง หรือฟิลเตอร์เค้ก (Filter Cake) หรือขี้เค้ก เป็นผลผลิตพลอยได้ที่เหลือจากโรงงานผลิตน้ำตาล มีคุณสมบัติเป็นพวกอินทรียสาร สามารถนำไปต่อยอดผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงได้อย่างดี

โรงน้ำตาลบุรีรัมย์ โดย คุณอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตน้ำตาลขนาดใหญ่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย ด้วยการพัฒนา กากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่เหลือจากโรงงานผลิตน้ำตาล นำไปต่อยอดผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง แล้วจัดจำหน่ายให้กับเกษตรกรในราคายุติธรรม

ทั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ควบคู่กับการส่งเสริม การปรับปรุงบำรุงดิน เป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย แล้วนำอ้อยที่มีคุณภาพสูงเหล่านั้นส่งคืนสู่โรงน้ำตาลบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลของ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ดังคำกล่าวที่ว่า “น้ำตาลสร้างในไร่” พร้อมไปกับการจัดตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ที่ชื่อ “ปุ๋ยตรากุญแจ” ขึ้น เมื่อปี 2554

บริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด มีพื้นที่ก่อตั้งโรงงานทั้งหมด 89 ไร่ ประกอบกิจการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์เคมี ใช้วัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตคือ “กากหม้อกรอง” หรือ “Filter Cake” ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลของกลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ มีกำลังการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 100 ตัน ต่อวัน และกำลังการผลิตปุ๋ยเคมีบัลค์เบลนด์ (Bulk Blend) จำนวน 120 ตัน ต่อวัน

ปัจจุบัน มีเกษตรกรจากหลากหลายกลุ่มพืช ได้นำปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจไปทดลองใช้ และได้ผลผลิตจนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ต้องขยายตลาดไปยังพืชกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากอ้อย เพื่อให้เกษตรกรทุกภาคส่วนได้นำปุ๋ยคุณภาพสูงไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คุณสมบัติเด่นของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ คือมีธาตุอาหารที่จำเป็นแก่พืช (NPK) ครบถ้วน มีธาตุอาหารพืชครบ ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม ช่วยลดโรคที่เกิดจากการขาดธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม

ด้วยคุณสมบัติเด่นจึงปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย ทำให้การระบายน้ำและอากาศในดินได้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและใช้เวลาในการปลดปล่อยธาตุอาหารพืชของดินได้นานขึ้น

อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงเคมีดิน (pH) ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของพืช ปรับปรุงคุณภาพของผลิตผล เสริมสร้างผนังเซลล์ของพืช ทำให้พืชแข็งแรง ช่วยให้ขั้วเหนียว บำรุงต้นให้เจริญเติบโต ปรับปรุงคุณภาพของผลิตผล มีน้ำหนักและรสชาติดีขึ้น

คุณนิติพัฒน์ ไตรทิพธำรงโชค ผู้จัดการโรงงาน กล่าวว่าก่อนหน้าที่จะมาตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ได้มีการวิเคราะห์ว่าคุณภาพดินของจังหวัดบุรีรัมย์ที่ส่วนใหญ่เป็นดินทราย มีค่าอินทรียวัตถุไม่ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตรกำหนดว่าควรมีค่าอินทรียวัตถุในดิน ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลสำคัญสำหรับการนำปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจเข้าไปใช้ในไร่อ้อยเพื่อต้องการนำไปปรับปรุงคุณภาพดินเพื่อให้มีธาตุอาหารที่สมบูรณ์ช่วยทำให้อ้อยเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าไปสนับสนุนการใช้พบว่า ชาวไร่อ้อยเริ่มพบการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แล้วหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจกันเพิ่มมากขึ้น

“ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าควรจะนำอินทรีย์มาใส่เติมลงดินเพื่อเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุ ขณะเดียวกันต้องหาทางให้เกษตรกรเปิดใจยอมรับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ อินทรียวัตถุที่ใช้ผลิตเป็นปุ๋ยผงจะมีปริมาณไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีธาตุอาหาร NPK ครบ” ผู้จัดการโรงงานกล่าว

ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยตรากุญแจ มีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ ปุ๋ยชนิดผง และชนิดอัดเม็ด ทั้งนี้ ปุ๋ยชนิดผง ถือเป็นการจัดการของเสียที่เหลือจากโรงงานน้ำตาล ก็คือ ฟิลเตอร์เค้ก แล้วผ่านเข้าสู่กระบวนการเพื่อทำเป็นผงส่งให้ชาวบ้านที่เป็นกลุ่มปลูกอ้อยในเครือข่ายให้นำไปใช้ในไร่อ้อย เพื่อให้ได้น้ำตาลคุณภาพกลับมาสู่โรงงาน สำหรับปุ๋ยชนิดผงนี้จะต้องใช้ควบคู่ไปกับเครื่องมือที่ทางบริษัทออกแบบเพื่อสะดวกและปลอดภัยต่อเกษตรกรชาวสวน และชาวไร่

การผลิต ปุ๋ยอินทรีย์ ชนิดผงมีกระบวนการที่ประกอบด้วยการเริ่มตั้งกองปุ๋ยพร้อมใส่เชื้อจุลินทรีย์ และจัดการ กลับกองทุกๆ เดือน (ประมาณ 6-8 เดือน) จากนั้นนำกากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่หมักจนสมบูรณ์ จากลานหมักไปตีร่อน แล้วจึงนำวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาผสม เพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ยอินทรีย์ แล้วจึงนำไปบรรจุใส่กระสอบ

ส่วน ปุ๋ยอัดเม็ด ที่ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐานเหมาะกับการนำไปใช้กับกลุ่มพืชสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ ประกอบด้วยกระบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่ตั้งกองปุ๋ยพร้อมใส่เชื้อจุลินทรีย์ แล้วจัดการกลับกองทุกๆ เดือน (ประมาณ 6-8 เดือน) จากนั้นนำกากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่หมักจนสมบูรณ์จากลานหมักไปตีร่อน แล้วจึงนำวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาผสม เพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ยอินทรีย์

ภายหลังผสมวัตถุดิบเรียบร้อยจะได้รับน้ำจุลินทรีย์ในขณะที่จานปั้นให้หมุนขึ้นเม็ด แล้วเม็ดปุ๋ยที่ได้จะถูกนำเข้าท่ออบร้อน-เย็น รอบแรก เพื่อลดความชื้น จากนั้นคัดเม็ดรอบแรก โดยคัดขนาดใหญ่ออกไปก่อน จึงนำเม็ดปุ๋ยเข้าท่ออบร้อน-เย็น รอบสอง เพื่อลดความชื้นและให้เม็ดปุ๋ยแข็งตัว จากนั้นให้คัดเม็ดรอบสอง โดยคัดขนาดเล็กและใหญ่เกินมาตรฐานออกไป แล้วจึงบรรจุใส่กระสอบ เพื่อเตรียมจำหน่าย

คุณนิติพัฒน์ เผยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ประการแรกคือ ชาวบ้านยังไม่มีความเข้าใจเรื่องปุ๋ยอินทรีย์อย่างชัดเจน รวมทั้งยังเกิดความไม่แน่ใจ เพราะเคยถูกหลอกมาก่อน จึงมีทัศนคติทางลบต่อปุ๋ยอินทรีย์ ขณะเดียวกันกลับมองเห็นข้อดีของปุ๋ยเคมีที่ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วทันใจ แล้วให้ผลผลิตได้ดีตามต้องการ จนทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในดินเป็นจำนวนมากจนยากกว่าจะแก้ไข

ผู้จัดการโรงงานชี้ถึงจุดเด่นของปุ๋ยตรากุญแจ ว่าอยู่ตรงการเป็นปุ๋ยอินทรีย์แท้ที่นำวัตถุดิบที่มีคุณภาพล้วนๆ มาใช้ จึงพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เก็บผลผลิตเมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วจะเห็นผลที่ชัดเจน เพราะมีค่า CCS เพิ่มขึ้น แล้วผลผลิตน้ำหนักต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ทางโรงงานให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในทุกขั้นตอน จึงส่งตัวอย่างการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ เพื่อให้กรมวิชาการเกษตรตรวจทุกเดือน พร้อมกันนี้ทางโรงงานมีห้องแล็บที่ได้มาตรฐานเพื่อใช้ตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพวัตถุดิบที่ใช้ผลิตปุ๋ยคู่ขนานอยู่ตลอดอย่างสม่ำเสมอ

“ขณะเดียวกันในช่วงปรับเปลี่ยนจากเคมีไปเป็นอินทรีย์นั้น ควรให้จำนวนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีมากกว่าเคมี แต่ในระยะเริ่มต้นแนะนำเกษตรกรไปว่า ถ้าใช้ปุ๋ยเคมี จำนวน 1 กระสอบ ต่อไร่ ก็ควรลดลงครึ่งหนึ่ง แล้วนำเงินจากการลดปุ๋ยเคมีมาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ สัก 1 กระสอบ จึงเป็นการผสมผสาน เพราะพืชอาจยังต้องการเคมีอยู่ แล้วค่อยๆ ปรับเลิกปุ๋ยเคมีแล้วกลับมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา” คุณนิติพัฒน์ กล่าว

คุณเอกรัฐ รัตนมงคล ผู้จัดการสำนักงานกล่าวเสริมว่า ในกระบวนการอินทรีย์หรือปุ๋ยอินทรีย์นั้นคนทั่วไปยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติของดินหรือจุลินทรีย์มากพอ จึงมองไม่ออกหรือยังไม่เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจว่ามีจุดเด่นหรือความจำเป็นอยู่ตรงไหน

อยากจะให้ข้อมูลว่า ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ ถูกผลิตขึ้นมาจากวัตถุดิบหลักจากโมลาสหรือกากน้ำตาลหรือหม้อกรองหรือฟิลเตอร์เค้ก ทั้งนี้วัตถุดิบที่มาจากน้ำตาลจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ดังนั้น เมื่อใส่ลงไปในดินจะทำให้จุลินทรีย์ในดินเริ่มทำงาน เพราะได้อาหารดี จะมีการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ออกเป็นเท่าทวีคูณอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน จุลินทรีย์เหล่านี้จะมีหน้าที่ไปทำให้แร่ธาตุอาหารที่อยู่ในดินมาปลดปล่อยออกมากับพืช ซึ่งจุดเด่นแบบนี้ไม่มีในปุ๋ยชนิดอื่น จึงถือเป็นความพิเศษของปุ๋ยตรากุญแจ

และด้วยความพิเศษดังกล่าว จึงทำให้ปุ๋ยตรากุญแจมีคุณสมบัติที่เป็นทั้งฮอร์โมน แร่ธาตุ เป็นสารเร่งสี ดังนั้น จึงเหมาะกับพืชทุกชนิด ทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันในกระบวนการจุลินทรีย์นอกจากจะอยู่ในกระสอบแล้วยังทำให้จุลินทรีย์เป็นชนิดบวกที่มีประโยชน์

เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ชนิดเป็นกลาง จำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ชนิดเป็นบวก 20 เปอร์เซ็นต์ และชนิดเป็นโทษ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จุลินทรีย์ชนิดที่เป็นประโยชน์เมื่อรวมกับชนิดเป็นบวกเข้ากันได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นประโยชน์ต่อพืชอย่างมหาศาล

“การผลิตเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันต้องให้อินทรีย์เป็นพระเอก เพื่อทำให้ระบบอินทรีย์มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ปุ๋ยประเภทที่ขายทั่วไปอย่างปุ๋ยมูลสัตว์อาจมีคุณค่าอยู่ แต่สิ่งที่แตกต่างนี้มีอยู่ในเฉพาะปุ๋ยตรากุญแจเท่านั้น อย่างสโลแกนที่ว่า “ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจไขเคล็ดลับ ปรับปรุงดิน” ดังนั้น จึงทำให้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง” ผู้จัดการสำนักงานกล่าว

ขณะที่ คุณเรืองยศ หมื่นมา นักวิชาการและการตลาด กล่าวว่า อยากให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์กัน เพราะโดยธรรมชาติแล้วในดินต้องมีอินทรียวัตถุอยู่ แต่การใช้เคมีมายาวนานทำให้สะสมอยู่ในดินมากจนดินเสื่อมคุณภาพ ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล แถมยังมีผลผลิตที่ตกต่ำ ยิ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รายได้ลดลง เกษตรกรขาดทุน

ที่ผ่านมาการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจมีไว้ให้เฉพาะลูกไร่ที่ปลูกอ้อยเท่านั้น แล้วยังไม่ได้มีการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากภายหลังที่เกษตรกรหลายกลุ่มได้ทดลองนำไปใช้กับงานเกษตรกรรมของตัวเองแล้วพบว่าได้คุณภาพดีเกินคาด ต้องการมีไว้ใช้ตลอดเวลา จึงทำให้ทางบริษัทตัดสินใจผลิตออกมาวางจำหน่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะในพื้นที่บุรีรัมย์ก่อน คาดว่าคงวางจำหน่ายทั่วไปในอีกไม่ช้า

“ดังนั้น การปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นการช่วยเติมธาตุอาหารลงไปในดิน ยิ่งมีการใช้ปริมาณมาก ก็ยิ่งทำให้เพิ่มธาตุอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยสร้างคุณภาพให้ดินกลับมาเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้ปุ๋ยตรากุญแจจึงสามารถตอบโจทย์ให้เกษตรกรได้ทุกกลุ่ม”

คุณจิรพันธ์ บัวเพชร ฝ่ายควบคุมคุณภาพในฐานะหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ มองว่าปุ๋ยอินทรีย์เปรียบเสมือนยาวิเศษของดิน เพราะจะช่วยปรับสภาพทำให้ดินมีความชุ่มชื้น สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี อันจะช่วยทำให้รากพืชดูดซึมอาหารได้ง่ายและเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยตรากุญแจนับเป็นผู้ช่วยสำคัญที่จะทำให้ผลผลิตของพี่น้องเกษตรกรมีคุณภาพได้มาตรฐาน แล้วขายได้ราคาดี

ในสภาวะความไม่แน่นอนทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคการเกษตร จนทำให้ไม่สามารถควบคุมผลผลิตที่แน่นอน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างปัญหาต่อรายได้ของเกษตรกรทั่วหน้า ดังนั้น การแสวงหาแนวทางเพื่อลดต้นทุน และความพยายามหาวิธีเพิ่มผลผลิตไปพร้อมกันจึงเป็นแนวทางที่สำคัญต่อภาคเกษตรกรรมในตอนนี้

ปุ๋ยตรากุญแจ จึงนับเป็นทางออกที่ดีที่สุดของพี่น้องเกษตรกร สมัคร NOVA88 เพราะไม่เพียงท่านจะได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ที่มีคุณภาพ แต่ยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะบริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด มีนโยบายที่ชัดเจนด้วยการมุ่งมั่นผลิตปุ๋ยคุณภาพดี เพื่อสนองความต้องการของลูกค้า พัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสนใจสั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ ติดต่อได้ที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด เลขที่ 161 หมู่ที่ 16 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โทรศัพท์ (081) 725-7341, (097) 338-1367

Chia Tai Seed Technology ก้าวสำคัญและตรอกย้ำความเชื่อใจ เมื่อบริษัทผู้นำธุรกิจเมล็ดพันธุ์อันดับหนึ่งอย่างเจียไต๋ ได้นำองค์ความรู้มาเปิดเผยเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูก ถึงการพัฒนาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ด้วยเทคโนโลยี ในขณะที่สภาพแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่เพียงแต่เกษตรกรในประเทศที่ต้องตั้งรับและปรับตัวตามสถานการณ์

เกษตรกรจากทั่วโลกก็เจอกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสภาวะอากาศไม่แพ้กัน ทำให้มีการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้ก้าวทันโลกที่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องโรคและแมลงที่มากขึ้น และมีความต้านทานที่ทนทานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศที่เผชิญปัญหาเหล่านี้มากกว่าในประเทศไทย เพราะสภาพอากาศที่ร้อนที่สุดก็จะมีสภาพอากาศที่หนาวที่สุด ชื้นก็ชื้นสุด บางที่เจอกับฝนตกหนักทั้งอากาศยังอับไม่ถ่ายเท ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ จึงเป็นที่พึ่งอีกทางสำหรับเกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด