เมื่อประมาณ 4 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา ทางจังหวัดพะเยาได้นำงานวิจัย

ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในเรื่องการห่อช่อผลลิ้นจี่ ซึ่งผลสรุปงานวิจัยพบว่า หากมีการห่อจะทำให้สีผิวของลิ้นจี่สวยขึ้น ขนาดผลโตขึ้น ยืดอายุการเก็บเกี่ยวออกไปได้นานขึ้น รสชาติดีขึ้น อดีตกำนันยอดชัยบอกว่า คุณภาพที่ดีของลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยของแม่ใจคือ ไหล่ยก อกตั้ง หนามหด ก้นป้าน เนื้อกอด หวานกรอบ อร่อย ทำให้ราคาของลิ้นจี่ที่ห่อและไม่ห่อแตกต่างกันเกือบเท่าตัว ส่วนลิ้นจี่ห่อจะส่งขายให้กับผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับสีผิวและรูปร่างที่เป็นมงคลคือผิวสีแดง ซึ่งให้ความหมายของความแข็งแรงสุขภาพดีและความร่ำรวย รูปทรงที่รูปคล้ายกับรูปหัวใจหากซื้อไปฝากใครก็เหมือนให้ด้วยใจนั้นเอง

แต่การห่อยังมีปัญหาที่ตามมา ทั้งเรื่องของวัสดุที่ใช้และค่าแรงในการห่อ การห่อเกษตรกรจะใช้กระดาษเคลือบมันคล้ายๆ กับกระดาษที่ใช้ห่อข้าวมันไก่หรือข้าวหมูกรอบหมูแดง ซึ่งราคาจะตกอยู่แผ่นละเกือบ 4 บาท หากโดนลมโดนฝนจะทำให้กระดาษฉีกขาด ระยะหลังเกษตรกรบางส่วนจะหันไปใช้ถุงพลาสติกสีขาวขุ่นซึ่งราคาถูกกว่า และมีข้อดีอีกอย่างคือ สามารถมองเห็นการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสีผิวลิ้นจี่ได้โดยไม่ต้องไปยกพลิกดูเหมือนห่อด้วยกระดาษ

ล่าสุด คุณยอดชัย ได้คิดค้นนวัตกรรมการคลุมต้นลิ้นจี่ทั้งต้น เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องความยุ่งยากของการห่อ โดยเฉพาะค่าแรงที่สูง โดยไปเห็นมุ้งที่เขาใช้ครอบเด็กกันยุงเป็นแบบ จึงนำมาประยุกต์ใช้ โดยด้านบนจะใช้มุ้งสีขาวเพื่อให้แสงแดดลอดเข้ามาให้ต้นลิ้นจี่ได้ มีการสังเคราะห์แสง ส่วนด้านข้างและด้านล่างใช้ตาข่ายสีฟ้า ใช้คลุมทั้งต้น

ลักษณะการกางมุ้งให้กับต้นลิ้นจี่ มีการขึ้นเสา 4 เสา เหมือนกับการกางมุ้ง โดยที่สวนของคุณยอดชัยทดลองกางมุ้งให้ลิ้นจี่ จำนวน 2 ต้น และมีสมาชิกวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอนุรักษ์ลิ้นจี่ห้วยป่ากล้วยอีก 4 ราย ทดลองทำ รายละ 1 ต้น เมื่อทางมหาวิทยาลัยพะเยามาเห็น จึงร่วมทำงานวิจัยโดยจะเป็นฝ่ายเก็บข้อมูลเพื่อสรุปเป็นงานวิจัยต่อไป

ในเบื้องต้นที่ทำการทดลองนี้จากการที่มองเห็นด้วยตาและประสบการณ์การปลูกและดูแลลิ้นจี่มาครึ่งค่อนชีวิต พบว่า ผลผลิตลิ้นจี่ที่ได้จากการกางมุ้ง ผลจะมีขนาดใหญ่ สีจะเข้าหรือขึ้นช้ากว่าการไม่ห่อและห่อ ซึ่งจะเป็นผลดีในเรื่องการชะลอการแก่ของผลลิ้นจี่ที่จะไม่ออกสู่ท้องตลาดในขณะที่ลิ้นจี่ทั่วไปออกมาก จะทำให้ได้ราคาดี และเรื่องของความปลอดภัยของผู้บริโภคจากสารเคมีรับรองได้ เนื่องจากจะเริ่มกางมุ้งตั้งแต่ผลลิ้นจี่ขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ ซึ่งไม่มีปัญหาของโรคแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีใดๆ

ในระยะนี้ผลผลิตลิ้นจี่ของแม่ใจ โดยเฉพาะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอนุรักษ์ลิ้นจี่ห้วยป่ากล้วยเริ่มออกสู่ตลาดแล้ว หากใครสนใจอยากมาชิมและซื้อที่สวนคุณยอดชัยยินดีต้อนรับ แต่ถ้าจะมาเป็นหมู่คณะมีการบรรยายด้วยระยะนี้ขอไม่รับเนื่องจากอยู่ในช่วงที่จะดูแลเก็บเกี่ยว ไม่สามารถจะทิ้งสวนแล้วไปให้ความรู้กับท่านได้ และทางกลุ่มฯ เองได้รับความร่วมมือจากน้องนักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา ในการทำเพจเพื่อจำหน่ายลิ้นจี่ทางออนไลน์ ในชื่อเพจ Lychee HuayPakuay ในราคากิโลกรัมละ 185 บาท รวมค่าส่งทางขนส่งเอกชน รายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยนักเรียนโรงเรียนเจริญใจ ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นโรงเรียนพักประจำ นักเรียนเป็นเด็กชาติพันธุ์ และเด็กที่มีปัญหาครอบครัว หรือเด็กกำพร้า นอกจากท่านจะได้กินลิ้นจี่คุณภาพ ปลอดภัยและแสนอร่อยแล้ว ท่านยังจะได้บุญกุศลในการช่วยเหลือน้องๆ โรงเรียนเจริญใจด้วย

ติดต่อ คุณยอดชัย มะโนใจ ที่เบอร์โทร. 084-949-8146 วิสาหกิจชุมชนกลุ่มอนุรักษ์ลิ้นจี่ห้วยป่ากล้วย ตำบลเจริญราษฎร์ อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา แต่ถ้าคุณยอดชัยอยู่ในสวนอาจมีปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ อาจจะต้องโทร.ช่วงเช้าๆ หรือค่ำๆ ก็ได้

เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังไม่นิ่ง ส่งผลกระทบตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวทำสวน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้เกษตรกรได้ ทำให้เกษตรกรต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีการทำอาชีพไปเรื่อยๆ

คุณนิตยา ศรีสุรางค์ เล่าถึงที่มาที่ไปก่อนจะมาปลูกแตงโมขาย เริ่มแรกเกิดจากการชักชวนจากกลุ่มเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน แต่ก็ยังไม่ได้คิดที่จะทำก่อน เนื่องจากว่าพื้นที่ในการปลูกยังหาไม่ได้ สุดท้ายความตั้งใจที่อยากจะปลูกแตงโมขายก็เกิดขึ้นจากการเช่าพื้นที่ 8 ไร่ ของเกษตรกรที่รู้จักกัน ถือเปิดช่องทางในการหารายได้เสริม ทั้งนี้ ได้แรงบันดาลใจจากกลุ่มเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยต่อกันมาโดยตลอด

และถ้าถามถึงเหตุผลที่ตั้งใจอยากจะปลูกแตงโม ก็เพราะว่าแตงโมเป็นพืชผลทางการเกษตรที่ตลาดยังคงต้องการ ถึงแม้ราคาของแตงโมนั้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะขายไม่ได้ นอกจากนี้ พืชผลอย่างแตงโมก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับเกษรตรกรอีกด้วย ทำให้เกษตรกรมีใจรักในการทำอาชีพนี้

“ในช่วงแรกที่จะมีการปลูกต้องบอกก่อนว่า เพื่อนที่เป็นเกษตรกรก็ชักชวนกัน ก็ตั้งใจว่าจะปลูก แต่ตอนนั้นเราไม่มีพื้นที่ในการปลูกก็คิดหนัก ต่อมาก็ได้ไปคุยกับเพื่อนด้วยกัน เพื่อขอเช่าพื้นที่ไว้ปลูกแตงโม เขาก็ให้ปลูก และทั้งหมดนี้ผมก็ได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนเกษตรกรด้วยกันที่ช่วยกันและกัน จนทำให้มีงานมีอาชีพ”

แตงโมเป็นพืชปลูกไม่ยาก
สำหรับวิธีการปลูกจากขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนั้น เริ่มจากการเตรียมดิน ด้วยการไถก่อน แล้วต่อมาก็มาทำเป็นร่องๆ หลังจากที่มีการเตรียมดินเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การเดินสายยางเพื่อประหยัดเวลาในการรดน้ำ หลังจากนั้น นำเมล็ดมาเพาะในแปลง จนครบกำหนดเป็นเวลา 12 วัน ถึงจะมารดน้ำอีกที ดูแลแบบนี้จนครบ 5 วัน

หลังจากนั้น สามารถใส่ปุ๋ยได้ทันที ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ก็มีเพียงรดน้ำและให้ปุ๋ยเป็นเวลา ซึ่งตารางเวลาในการรดน้ำนั้น ต้องให้ทุกวันตอนเช้า ส่วนเรื่องการให้ปุ๋ยนั้นให้ครั้งละ 3 วัน ทั้งนี้ การให้ปุ๋ยควรที่จะเพิ่มปริมาณปุ๋ยไปเรื่อย จาก 10 กิโลกรัม เพิ่มไปถึง 1 กระสอบ

จากนั้นรอไปอีก 1 เดือนกว่าๆ ดอกก็จะเริ่มออกมาให้เห็น ในช่วงที่ออกดอกต้องมีการดูแลเอาใจใส่ให้ดี เพราะถือว่าเป็นช่วงที่เข้าใกล้ผลผลิตขึ้นมาทุกที ซึ่งขั้นตอนการดูแลในช่วงที่มีการออกดอกนั้น อาจจะต้องมีการผสมเกสรด้วย วิธีการผสมเกสรสามารถผสมได้เอง ก่อนที่จะหันมาดูในเรื่องของหนอนหรือแมลงที่เข้ามาส้รางความเสียได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สามารถป้องกันด้วยการฉีดสารเคมีไว้รอบๆ ข้าง เพียงแค่นี้ก็สามารถป้องกันความเสียหายได้ ต่อมารอไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ลูกแตงโมก็เริ่มให้ผลผลิต สำหรับแตงโมแล้วปลูกแค่ครั้งเดียวแต่สามารถเก็บผลผลิตได้ถึง 2 ครั้ง ถือเป็นผลกำไรสำหรับเกษตรกรที่ปลูกแตงโมขาย

ปลูกครั้งเดียวได้กำไรเยอะ
ในเรื่องของการตลาดส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ เนื่องจากกลุ่มที่เข้ามาซื้อส่วนใหญ่มีการกำหนดราคาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งราคารับซื้อจะอยู่ที่ ประมาณ 8-14 บาท ต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ แต่เกษตรกรสามารถที่จะเพิ่มในเรื่องของขนาด เพราะว่าแตงโมที่มีผลใหญ่จะมีราคาที่แพงกว่าแตงโมผลขนาดเล็ก

โดยแตงโมลูกที่โตนั้นจำเป็นต้องมีน้ำหนักถึง 2.5 กิโลกรัม ถึงจะคิดว่าเป็นแตงโมลูกใหญ่ถือเป็นเกณฑ์ที่ทางกลุ่มที่มารับซื้อได้ตั้งขึ้นมาเอง นอกจากนี้ ในการปลูกแต่ละครั้งสร้างกำไรได้ 50,000 บาท ซึ่งเท่านี้ก็ทำให้เกษตรกรมีแรงผลักดันในการทำงาน ไม่ว่างานที่ทำจะหนักแค่ไหนก็ตาม

หากเอ่ยถึงระนอง หลายคนอาจนึกถึงความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั้งเกาะกลางทะเล บ่อน้ำพุร้อน และอ่าวต่างๆ มากมาย แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าที่นี่คือแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลก และเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะที่อำเภอกระบุรีที่รายล้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีกระแสน้ำพุร้อนไหลผ่าน พร้อมด้วยภูเขาสูงทางทิศตะวันออกที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกกาแฟโรบัสต้า ที่คอกาแฟต่างติดใจในรสชาติเข้มข้น หอมกลมกล่อม สุดพิเศษ

เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟระดับโลกและแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของคนไทย ร่วมมือกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจังหวัดระนอง ยกระดับเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมจากท้องถิ่นระนองสู่คอลเล็กชั่นกาแฟระดับโลกกับ “เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด กาแฟผงสำเร็จรูปผสมกาแฟคั่วบดละเอียดที่สร้างสรรค์ขึ้นจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้า 100% จากศูนย์รับซื้อเมล็ดกาแฟกระบุรี จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นผลผลิตจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในจังหวัดระนองกว่า 500 ราย ที่ผ่านการอบรมและติดตามโดยนักวิชาการเกษตรของเนสกาแฟ เพื่อพัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟตั้งแต่การปลูก จนถึงการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกาแฟไทย ภายใต้แนวคิด “ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ” (Grown Respectfully) ที่มุ่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับชาวสวนกาแฟ และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนผ่านการให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟจากนักวิชาการเกษตรของเนสกาแฟ รวมทั้งสนับสนุนนโยบายจังหวัดระนองในการผลักดันกาแฟสู่พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดอย่างเต็มที่

จากกาแฟท้องถิ่นระนอง สู่ความภาคภูมิใจของกาแฟไทยในคอลเล็กชั่นกาแฟระดับโลก เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด ด้วยเสน่ห์ความหอมกลมกล่อมและรสชาติกาแฟเข้มๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟโรบัสต้าท้องถิ่นจากจังหวัดระนอง ที่คอกาแฟทั่วไทยต่างติดใจ เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของไทยจึงได้ร่วมมือกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวจังหวัดระนอง ยกระดับเมล็ดกาแฟท้องถิ่นระนองสู่คอลเล็กชั่นกาแฟระดับโลกกับการรังสรรค์ “เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอนจนได้มาซึ่งกาแฟผงสำเร็จรูปจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้า 100% ที่ผ่านการคัดเลือกจากศูนย์รับซื้อเมล็ดกาแฟกระบุรี ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ศูนย์รับซื้อเมล็ดกาแฟของเนสกาแฟในจังหวัดระนอง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ให้รสชาติเข้ม หอมกลมกล่อม สุดพิเศษ พร้อมสร้างประสบการณ์อันแสนพิเศษให้คอกาแฟชาวไทยในทุกแก้ว

คุณธนธร พันพานิชย์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ครีมเทียม และเนสที บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันเราพบว่า คอกาแฟไทยให้ความสำคัญกับการเลือกดื่มกาแฟที่มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวเพื่อเป็นสื่อกลางในการเชื่อมทุกความผูกพันให้กับผู้คนรอบตัว เราจึงได้ร่วมมือกับชาวสวนกาแฟชาวไทย เพื่อสร้างสรรค์ “เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด ขึ้นซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เนสกาแฟประเทศไทยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่จากแหล่งเพาะปลูกท้องถิ่นคุณภาพเพียงแหล่งเดียว และระบุชื่อแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟบนแพ็กเกจจิ้งด้วยความภาคภูมิใจในคุณภาพของกาแฟไทยที่ไม่แพ้ชาติใด นับเป็นการเปิดประสบการณ์อีกขั้นของการดื่มด่ำกาแฟคุณภาพ ผ่านความร่วมมือในกระบวนการผลิตกาแฟสำเร็จรูปมาตรฐานระดับโลกของเนสกาแฟ รวมกับการปลูกและเก็บเกี่ยวกาแฟด้วยใจของชาวสวนกาแฟจังหวัดระนอง ที่คอกาแฟชาวไทยจะต้องติดใจในรสชาติเข้ม หอมกลมกล่อม สุดพิเศษอย่างแน่นอน”

“เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด สร้างสรรค์ขึ้นจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้าคุณภาพจากอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ภายใต้หลักปฏิบัติตามแนวทาง “ปลูกด้วยใจ กาแฟไทยยั่งยืนกับเนสกาแฟ” (Grown Respectfully) เพื่อให้กาแฟที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดมาจากแหล่งที่เพาะปลูกด้วยความรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชนชาวสวนกาแฟ โดยความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนของ

“เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด นั้นเริ่มจาก…

กาแฟทุกเมล็ดของออริจิน ซีเล็คชั่น ถูกเก็บในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของฤดูเก็บเกี่ยว คือระหว่างช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นเหมาะสมที่สุด
พิถีพิถันคัดเลือกเฉพาะผลสุกแดงเต็มที่ด้วยมืออย่างตั้งใจ เพื่อให้ได้เฉพาะเมล็ดกาแฟโรบัสต้าคุณภาพดี
ผ่านการตากแห้งด้วยแสงแดดตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี
การคั่วอย่างพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีเอ็มอาร์ซี (Micronized Roasted Coffee – MRC) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของเนสกาแฟในการนำกาแฟคั่วบด หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “กาแฟสด” มาบดให้เป็นอณูละเอียดผสมผสานเพื่อให้ได้กาแฟที่มีรสชาติเข้ม หอมกลมกล่อม อย่างมีเอกลักษณ์
แพ็กเกจจิ้งดีไซน์ที่โดดเด่น ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเสน่ห์ของลวดลายผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางภาคใต้ของไทย
เสน่ห์ของกาแฟระนอง

กับความภาคภูมิใจในฐานะกาแฟคอลเล็กชั่นระดับโลก

คุณพรเทพ ผ่องศรี
เพราะเอกลักษณ์อันโดดเด่นของกาแฟระนองทั้งด้านรสชาติและกลิ่นหอมที่ใครได้ดื่มต่างก็ติดใจ จึงทำให้กาแฟระนองนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมียอดผลผลิตสูงถึงเกือบ 600 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ทางจังหวัดระนองจึงต้องการยกระดับกาแฟท้องถิ่นระนองให้คนไทยได้ดื่มด่ำกาแฟคุณภาพเยี่ยม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์กาแฟที่รสชาติถูกปากถูกใจคนไทย โดยได้รับความร่วมมือจากเนสกาแฟในด้านความรู้ และเทคโนโลยีเพื่อให้กาแฟท้องถิ่นจากระนองได้มาตรฐานระดับสากล จนนำมาสู่กาแฟคอลเล็กชั่นระดับโลกอย่าง “เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด อีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ชาวสวนกาแฟ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ที่อยากให้คนไทยได้ลอง แล้วจะรู้ว่ากาแฟไทยนั้นหอมและอร่อย ไม่แพ้กาแฟจากเมืองนอกเลยทีเดียว

คุณพรเทพ ผ่องศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า “ขอขอบคุณเนสท์เล่ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กาแฟที่ปลูกโดยเกษตรกรไทยทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างงานสร้างรายได้ในชุมชน รวมทั้งรู้สึกภูมิใจแทนเกษตรกรจังหวัดระนอง ที่ได้รับเกียรติใช้ชื่ออำเภอ “กระบุรี” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกกาแฟของระนอง ไปปรากฏอยู่บนผลิตภัณฑ์ชั้นนำของบริษัทระดับโลกในครั้งนี้ และมั่นใจว่าเมล็ดกาแฟจากกระบุรี ระนอง จะทำให้ผู้บริโภคทั้งไทยและต่างประเทศได้ดื่มด่ำและติดใจในรสชาติสุดพิเศษจากกาแฟของประเทศไทย”

คุณอนงค์ งามบ้านผือ ตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เล่าว่า “ก่อนหน้านี้เกษตรกรส่วนใหญ่ประสบปัญหากับต้นกาแฟที่แก่เกินไป ไม่สามารถออกผลผลิตที่มีคุณภาพ เช่น ออกลูกไม่ทน ไม่ติดลูกจนถึงสุก ให้ผลผลิตจำนวนน้อย เมล็ดกาแฟมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันในต้นเดียวกัน ฯลฯ แต่ทุกวันนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เพราะเนสกาแฟได้ส่งทีมงานเข้ามาช่วยให้คำแนะนำด้านการปลูกต้นกาแฟและพัฒนาพันธุ์กาแฟอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการประกันราคากาแฟและมีมาตรฐานในการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดกาแฟที่ดีเยี่ยม จนทำให้ทุกวันนี้รู้สึกภูมิใจที่สามารถปลูกกาแฟจนเลี้ยงดูครอบครัวได้ โดยพวกเราตั้งใจในการปลูกกาแฟเพื่อนำไปผลิตเป็น เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น เป็นอย่างมาก เพราะเราอยากให้ทุกคนได้ดื่มกาแฟคุณภาพดี ของดีจากจังหวัดระนองที่พวกเราทุกคนภูมิใจค่ะ”

คุณกวี โสกประเทศ ชาวสวนกาแฟจากตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เผยว่า “ผมเคยประสบปัญหาผลผลิตกาแฟตกต่ำ ไม่ได้มาตรฐานตามคุณภาพจากการปลูกทุกอย่างรวมกัน ทั้งกาแฟ ทุเรียน ยาง ฯลฯ ทำให้จัดการลำบาก จนได้เนสกาแฟเข้ามาช่วยให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟ โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลดินและการผสมปุ๋ย ทำให้ผมรู้ว่ายังขาดอะไรและต้องเพิ่มอะไร จนสามารถลดรายจ่ายต่างๆ ที่ไม่จำเป็น และมีผลผลิตที่ดีขึ้น พอรู้ว่าจะมีการผลิตกาแฟ เนสกาแฟ ออริจิน ซีเล็คชั่น เมล็ดกาแฟจากกระบุรี ระนอง ผมยิ่งภูมิใจและพิถีพิถันตั้งใจในทุกขั้นตอน เพราะอยากให้คนไทยได้ดื่มกาแฟคุณภาพดี ที่ปลูกด้วยใจของพวกเราชาวสวนกาแฟกระบุรีทุกคน”

เพลิดเพลินกับเสน่ห์ของกาแฟระนอง มาตรฐานระดับโลกกับ รสชาติเข้ม หอมกลมกล่อม สุดพิเศษ กับ “เนสกาแฟ เรดคัพ ออริจิน ซีเล็คชั่น” ใหม่ รุ่นลิมิเต็ด ได้แล้ววันนี้ ในรูปแบบกาแฟปรุงสำเร็จ 2 ขนาด ได้แก่ ซองขนาด 45 กรัม ราคา 39 บาท และซองขนาด 150 กรัม ราคา 120 บาท ที่ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ

ขั้นตอนการผลิตมะนาวฤดูแล้ง

ช่วงสะสมอาหาร เป็นช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ทางดินสะสมอาหารและสร้างตาดอกด้วยปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 ทางใบ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. 081-886-7398 จะฉีดพ่นอาหารเสริมทางใบและดูแลใบมะนาว ช่วงการสะสมเป็นช่วงฤดูฝน หัวใจสำคัญคือ การควบคุมมิให้มะนาวแตกใบอ่อน ซึ่งเป็นเรื่องยากสุดของเกษตรกรผู้ปลูกมะนาว ถ้าทำให้ใบนิ่งได้อย่างน้อย 2 เดือน ดังนั้น ในช่วงสะสมอาหารควรใส่ปุ๋ยทางดิน สูตร 8-24-24 ทางใบให้ธาตุอาหารเสริม ฮอร์โมน ปุ๋ยเหลว ที่มีตัวกลางและตัวท้ายสูง เช่น 5-20-25 หากฝนชุกมากควรฉีดด้วยปุ๋ยเกล็ด 0-52-34 หรือบางครั้งอาจใช้สารแพคโคลบิวทราโซล ฉีดพ่นทางใบ อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร จะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดใบอ่อนได้

หลักสำคัญของการทำมะนาวนอกฤดู ทางสวนให้ความสำคัญเรื่องความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ การควบคุมไม่ให้ใบเป็นแคงเกอร์ ถ้าสะสมมาเต็มที่การออกดอกจะง่ายขึ้น ทางสวนไม่เน้นวิธีการอดน้ำเนื่องจากมีฝนตกชุกมาก ฝนไม่ขาดช่วง จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยและฮอร์โมนบางชนิดบังคับแทน

รักษาผิวมะนาวให้สวย ต้องระวัง “เพลี้ยไฟ” กับ “ไรสนิม” โดยเฉพาะหมดฝนต้องฉีดยาป้องกันไรสนิมเลย อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง สารเคมีที่ใช้ดีสำหรับไรสนิมคือ สาร “ไพริดาเบน” แล้วมันจะอยู่ มันจะทำลายลูกมะนาวทุกระยะ จนถึงมะนาวแก่ก็ทำลายลูกดำหมด กลายเป็นมะนาวตกเกรดเลย จาก 3 บาท ราคาจะเหลือ 1 บาททันที ส่วน โอเบรอนมันแก้ไรแดงเพียงอย่างเดียว แต่ไพริดาเบนมันคุมฆ่าไรได้ค่อนข้างดี

ทางใบ จะยืนพื้นสูตรฉีดสะสมอาหารทางใบด้วยปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 ร่วมกับเทรนเนอร์ เป็นหลัก จากนั้นจะบวกด้วยฮอร์โมนและอาหารเสริมสลับกันไปในแต่ละรอบของการฉีดพ่นสารเคมี เฉลี่ยจะฉีดพ่น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ดังต่อไปนี้

ฉีดพ่นสลับกันไปทุกๆ 7 วัน ร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลง อัตราผสม ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ)

สูตรดังกล่าว จะฉีดช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน จนใบมะนาวจะเริ่มแก่จัด หรือ “แก่ก้าน” มีใบลักษณะสีเขียวเข้ม จับใบดูจะกรอบ แสดงว่าต้นมะนาวมีความพร้อมที่จะเปิดตาดอก ช่วง 2 เดือนนี้เกษตรกรต้องดูต้นมะนาวของเราอย่าให้แตกใบอ่อนออกมา เราต้องพยายามบังคับให้ไปแตกใบอ่อนพร้อมดอกหรือเปิดตาดอกในเดือนตุลาคมเท่านั้น ถ้ามีฝนชุกหรือต้นมะนาวดูงามเกินไป จะต้องเพิ่มอัตราปุ๋ย 0-52-34 เข้าไปอีก จาก 150 กรัม เป็น 200 กรัม เพื่อช่วยให้ต้นมะนาวแตกใบอ่อนออกมาก่อนกำหนดที่เราต้องการ

วิธีการใช้สารแพคโคลบิวทราโซล

การออกดอกของมะนาวแป้นดกพิเศษหลังการฉีดปุ๋ยเปิดตาดอก
วัตถุประสงค์ของการใช้สารแพคโคลบิวทราโซล คือการควบคุมไม่ให้มะนาวแตกใบอ่อน ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงที่เกษตรกรเพิ่มความสมบูรณ์ของต้นและเร่งการแตกใบอ่อนของต้นมะนาวให้ออกอย่างน้อย 2-3 ชุด เมื่อใบอ่อนรุ่นสุดท้ายเป็นระยะเพสลาดหรือใบเริ่มจะแก่แล้ว ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะฉีดพ่นสารแพคโคลบิวทราโซลควบคุมไม่ให้เกิดการแตกใบอ่อนออกมาอีก จะเลือกใช้สารแพคโคลบิวทราโซลที่ความเข้มข้น 15% (เช่น แพนเทียม 15%) อัตราที่แนะนำใช้ประมาณ 100-150 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) และเติมสารจับใบ ฉีดพ่นประมาณ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน แต่ในกรณีที่ฝนตกชุก ก็จะฉีดให้ถี่ขึ้นตามความเหมาะสม

ช่วงต้นเดือนตุลาคม ใบมะนาวจะมีความพร้อม ใบเขียวเข้มจับดูจะกรอบ แสดงว่ามีความพร้อมที่จะ “เปิดตาดอก” ได้แล้ว สูตรสารเคมีในการเปิดตาดอกก็จะคล้ายเดิม แต่จะเพิ่มในเรื่องของอัตราของสารที่ใช้มากขึ้น

ครั้งที่ 1

สารสาหร่ายสกัด อัตรา 50 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 20 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 10-52-17 อัตรา 150 กรัม

ครั้งที่ 2

สารแคลเซียมโบรอนอี อัตรา 50 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 20 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 10-52-17 อัตรา 150 กรัม

ครั้งที่ 3

สารสังกะสี คีเลท อัตรา 50 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 20 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 10-52-17 อัตรา 150 กรัม

ครั้งที่ 4

สารโปรดั๊กทีฟ อัตรา 20 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 20 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 10-52-17 อัตรา 150 กรัม ฉีดพ่นวนสลับกันไปทุกๆ 7 วัน ร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลง อัตราผสม ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ)ในกรณีที่ฝนตกชุก ให้เปลี่ยนปุ๋ยเกล็ด จาก 10-52-17 เป็น 0-52-34 โดยใช้อัตราเดียวกันและเสริมด้วยการผสมฮอร์โมน NAA (เช่น บิ๊กเอ) เข้าไปบ้างทุกครั้งที่ฉีดพ่นสารเคมีตัวฮอร์โมนจะช่วยให้การติดผลดีขึ้น ติดผลดก

ช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน มะนาวจะเริ่มทยอยกันออกดอก กรณีฉีดพ่นปุ๋ยทางใบยังคงใช้สูตรเดิมแต่จะต้องลดอัตราการใช้ลงต่ำกว่าปกติ สูตรดังกล่าวจะใช้ตั้งแต่ออกดอกติดผลขนาดเท่าเมล็ดถั่วลิสง

ครั้งที่ 1

สารสาหร่ายสกัด อัตรา 30 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม

ครั้งที่ 2

สารแคลเซียมโบรอนอี อัตรา 30 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม

ครั้งที่ 3

สารสังกะสี คีเลท อัตรา 30 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม

ครั้งที่ 4

สารโปรดั๊กทีฟ อัตรา 10 ซีซี

สารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี

ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม

ฉีดพ่นวนสลับกันไปทุกๆ 7 วัน เว็บคาสิโนออนไลน์ ร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลง อัตราผสมต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) การเปิดตลาดของมะนาว ถ้าหากจะเก็บเกี่ยวมะนาวในช่วงฤดูแล้ง ควรให้มะนาวออกดอกตั้งแต่เดือนกันยายน-ตุลาคม-พฤศจิกายน จะขายมะนาวได้ราคาแพง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม-เมษายน เป็นช่วงที่มะนาวมีราคาแพง โดยทั่วไปที่สวนจะสังเกตว่ามะนาวมีตาดอกชัดเจนหรือยัง สังเกตจากสภาพใบจะเขียวเข้ม ตายอดจะบวมเบ่ง หรือเริ่มมีดอกประปราย จึงกระตุ้นตาดอก โดยใช้สารเปิดตาดอกหลายตัวร่วมกันฉีดแบบต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้มะนาวออกดอกสม่ำเสมอ สารเปิดตาดอกต้องระวังอย่าให้มีพวกปุ๋ยไนโตรเจนผสมลงไป เพราะจะเกิดตาใบแทนตาดอก เนื่องจากมีฝนตกชุก ถ้าสะสมมาดีการออกดอกจะง่าย ส่วนมากชาวสวนจะพบปัญหากระตุ้นเปิดตาดอก จะเป็นตาใบเสียส่วนใหญ่ หรือใบนิ่งไม่ออกดอก ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากความสมบูรณ์ไม่พอ หรือสะสมอาหารไม่เต็มที่นั่นเอง

ข้อควรระวัง ในการใช้สารเคมีและฮอร์โมนต่างๆ

ในช่วงที่มะนาวออกดอก

หลีกเลี่ยงการใช้สารฆ่าแมลงที่มีส่วนของน้ำมันและยาร้อน เนื่องจากจะทำให้ดอกมะนาวแห้งและร่วง ช่วงที่มะนาวออกดอก ดอกเริ่มบาน ต้องระวังเรื่องของโรคเชื้อราเป็นพิเศษ จะเป็นกลุ่มเชื้อราที่เข้าทำลายขั้วดอกและทำให้ดอกหลุดร่วง เชื้อราที่ใช้ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ คือ สารฟลิ้นท์-แอนทราโคล เทคนิคดูแลช่วงออกดอกติดผล ช่วงออกดอกในช่วงที่ดอกมะนาวเริ่มเป็นเม็ดทราย (ตุ่มตาดอก) ควรฉีดด้วยฮอร์โมน อาหารเสริม เพื่อขยายรังไข่ให้การติดผลดก ช่วงดอกบานระวังเชื้อรา ในช่วงฝนชุก ช่วงนี้ต้องระวังเพลี้ยไฟ ทางสวนใช้สูตรยาฆ่าแมลงหลายตัวสลับการดื้อยา จนขึ้นเมล็ด ช่วงขึ้นเมล็ดเล็กระวังการร่วงผลอ่อน (หักคอม้า) หากติดผลใหญ่แล้ว ไม่ค่อยต้องการดูแลมากนัก เร่งน้ำและปุ๋ยทางดินเพื่อให้ผลใหญ่ ขายได้ราคาดี

ระยะเลี้ยงผล การฉีดพ่นทางใบ ใช้สูตรในการขยายผลมะนาวให้โตขึ้น โดยใช้ฮอร์โมนกลุ่มจิบเบอเรลลิน (เช่น จิบทรี) อัตราที่ใช้ ประมาณ 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 10-15 วัน ต่อครั้ง ผสมไปพร้อมกับการฉีดสารปราบศัตรูพืช ปุ๋ยทางดิน จะให้ปุ๋ยสูตร 19-19-19 หรือ 32-10-10 จากสูตรการทำมะนาวนอกฤดูของ คุณมานิด อาจจะเป็นแนวทางให้แก่เกษตรกรมือใหม่ หรือที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะเอาไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมด้วยในสภาพของการปลูก สภาพดิน ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอาจจะเป็นตัวกำหนดในการประสบความสำเร็จของการทำมะนาวเช่นกัน