เลาะแคมโขง ต้นตอผลิตซอส แหล่งปลูกมะเขือเทศพันธุ์ดี

เครื่องปรุงรสประเภทซอส จัดเป็นเครื่องปรุงรสที่ใช้วัตถุดิบจากพืชอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “มะเขือเทศ” ซึ่งฟังเพียงชื่อดูเหมือนจะเป็นเพียงพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง แต่มีมูลค่าความต้องการในตลาดสูงไม่น้อยไปกว่าวัตถุดิบที่ใช้เป็นเครื่องปรุงงานครัวชนิดอื่น

มะเขือเทศ ยังเป็นพืชอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้า เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ซอสในเครื่องกระป๋องต่างๆ เป็นต้น ทั้งประเทศไทย แหล่งปลูกพืชล้มลุกชนิดนี้มีแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บนพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดบึงกาฬ ที่มีพื้นที่ปลูกมะเขือเทศเกือบ 2,000 ไร่

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักปลอดสารพิษ เป็นกลุ่มที่รวมตัวจากชาวบ้านที่มีอาชีพเกษตรกรรม ปลูกพืชผักตามความเหมาะสมของฤดูกาล 3 หมู่บ้าน ในตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ เฉพาะ 3 หมู่บ้าน ที่รวมกลุ่มมีพื้นที่ริมแม่น้ำโขงสำหรับปลูกมะเขือเทศกว่า 700 ไร่

ที่ต้องเน้นว่า พื้นที่ริมแม่น้ำโขง เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของดินริมฝั่งแม่น้ำโขงมีความเหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกมะเขือเทศ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักปลอดสารพิษ กลุ่มชาวบ้านในตำบลบึงกาฬ รวมตัวกันขึ้นมา และได้ชื่อว่า เป็นพื้นที่ปลูกมะเขือเทศที่ใหญ่ที่สุด โดยมีชาวบ้าน หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 ส่วนใหญ่มีพื้นที่ทำการเกษตรริมแม่น้ำโขง ทำการเกษตรแบบหมุนเวียนตามฤดูกาลและความเหมาะสมของสภาพดิน โดยฤดูหนาวเลือกปลูกมะเขือเทศ ซึ่งเป็นฤดูที่มะเขือเทศให้ผลผลิตมากที่สุด ทั้งบริเวณใกล้เคียงมีแหล่งรองรับมะเขือเทศสี หรือ มะเขือเทศสุก เป็นโรงงานศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม ตั้งอยู่ในจังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นสถานที่ต้นทางผลิตซอสก่อนส่งไปยังโรงงานผลิตปลากระป๋องอีกทอด

ฤดูหนาวเพียงไม่กี่เดือนสำหรับการกระบวนการปลูก กระทั่งถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งขาย หมดจากฤดูหนาวอันเป็นฤดูของมะเขือเทศแล้ว ชาวบ้านที่มีพื้นที่เกษตรริมฝั่งโขงจะแปลงผืนดินให้เป็นพื้นที่สำหรับปลูกข้าวโพด และ ข้าว การปลูกมะเขือเทศสำหรับชาวบึงกาฬ เริ่มขึ้นในเดือนกันยายน โดยการเพาะกล้าก่อนลงหลุมปลูก 1 เดือน แต่ระหว่างการเพาะกล้าราวเดือนเศษ เป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับเมล็ดมากที่สุด

ขั้นตอนการปลูกอย่างง่าย ทำโดยการเพาะกล้าใส่เมล็ดพันธุ์หลุมละ 1-2 เมล็ด หากมากกว่านั้นจะเป็นการสิ้นเปลือง เพราะเมล็ดพันธุ์มีราคาสูง น้ำหนักเพียง 25 กรัม ราคาอยู่ที่ 600-1,000 บาท ขึ้นกับคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ แต่ประการสำคัญในการเลือกเมล็ดพันธุ์ของกลุ่มจะให้ความสำคัญหลักในการเลือกเมล็ดพันธุ์อยู่ที่เมล็ดพันธุ์ต้องมีความต้านทานโรคสูง

สำหรับพันธุ์ที่เลือกใช้เป็นพันธุ์เพอร์เฟคโกลด์ 111 และ พันธุ์วี เอฟ วัน เพราะต้านทานโรคได้ดี ให้ผลดก เนื้อแข็ง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ตรงกับความต้องการของตลาด ทำให้ขายได้ราคาดี โดยปัจจุบันราคามะเขือเทศสี (ผลที่ยังไม่สุกเป็นสีแดง) อยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 9-10 บาท ขึ้นกับขนาด ส่วนมะเขือเทศแดง (ผลที่สุกเป็นสีแดงทั้งผล) จะเก็บส่งขายโรงงานผลิตซอสที่ให้ราคาประกันสูงสุดอยู่ที่ 2.50 บาท ต่อกิโลกรัม เท่านั้น

ส่วนการเตรียมแปลงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เป็นการเตรียมแปลงโดยไถขึ้นแปลงธรรมดาเหมือนการปลูกพืชทั่วไป อาจไถดินตากแดดไว้ราว 3 เที่ยว ก่อนนำกล้าลงปลูกควรใส่เชื้อไตรโคเดอร์ม่า ป้องกันเชื้อโรคทั้งที่อยู่ในดินและเชื้อโรคที่อยู่บนต้นพืช เสมือนเป็นการให้วัคซีนป้องกันในเด็กอ่อน ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับพืชตั้งแต่แรก โดยหลุมปลูกมีความลึก 50 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุมอยู่ที่ 80×100 เซนติเมตร และควรใส่ปุ๋ยชีวภาพลงในหลุมปลูกด้วย

หลังปลูก 1 สัปดาห์ รากเริ่มแข็งแรง ควรให้ปุ๋ยเคมี ระยะแรก สูตร 15-15-15 โดยใส่ข้างหลุม เพื่อให้เห็นผลเร็วขึ้น และให้ปุ๋ยเคมีในระยะถัดมา สูตร 13-13-21 จากนั้นเมื่อมะเขือเทศให้ดอกแล้วจึงลดสารเคมีลง แล้วเปลี่ยนเป็นปุ๋ยชีวภาพ กระทั่งถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวผลผลิต

มะเขือเทศที่นี่จะขึ้นค้างให้ เพื่อป้องกันโรครา ค้างจะช่วยให้โปร่ง เชื้อราไม่ขึ้น หนอนไม่ค่อยกิน ลูกสวย เพราะใบจะปิดบังไปเรื่อยๆ ถ้านอนอยู่ใบจะแผ่ออกลูกไม่สวย

การเก็บผลผลิต เริ่มต้นเก็บเมื่อมะเขือเทศเริ่มสุกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และต้องเก็บให้มีขั้วติดอยู่กับผล เพื่อเพิ่มมูลค่าการขาย โดยเริ่มเก็บในเวลาเช้าตรู่ของแต่ละวัน ในช่วงสายจะเริ่มเก็บมะเขือเทศแดง เพื่อส่งโรงงานผลิตซอส

มะเขือเทศบึงกาฬ มีตลาดหลักส่งขายอยู่ที่ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ปากคลองตลาด และ ตลาดอ่างทอง

เหตุผลหนึ่งที่มะเขือเทศให้ผลผลิตดี นอกเหนือจากสายพันธุ์ดีที่เกษตรกรบึงกาฬคัดเลือกมาแล้ว คือ ดินริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งมะเขือเทศชอบดินร่วมซุย ดินเหนียวปนทราย หากดินเหนียวเกินไปหรือร่วนเกินไปไม่เหมาะ ซึ่งคุณสมบัติของดินริมฝั่งแม่น้ำโขงมีคุณสมบัติตรงทุกประการ นอกจากนี้ การเลือกปลูกในฤดูหนาว ทำให้ได้ผลผลิตดี เนื่องจากมะเขือเทศเป็นพืชล้มลุกที่เจริญเติบโตเร็ว และชอบสภาพอากาศเย็น เมื่อดินมีความเหมาะสมและสภาพอากาศตามต้องการ ทำให้มะเขือเทศกลายเป็นพืชที่ให้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ย 8 ตัน

สิ่งที่ตามมาคือ รายได้ หากประเมินจากการขายมะเขือเทศสี ในราคา 10 บาท รายได้อยู่ที่ 40,000 บาท ต่อไร่ ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ใกล้เคียงกับการลงทุน ส่วนการเก็บเกี่ยวหลังจากนั้นถือเป็น “กำไร”

ดังนั้น การปลูกมะเขือเทศของชาวบึงกาฬ จะเน้นการเก็บผลมะเขือเทศสีส่งขายยังตลาดค้าส่งมากกว่าการเก็บผลมะเขือเทศแดงส่งโรงงานผลิตซอส นอกเหนือจากขายส่งยังตลาดค้าส่งและโรงงานผลิตซอสแล้ว ในแต่ละปียังมีออเดอร์จากประเทศมาเลเซียราว 45-60 ตัน ต่อปี อีกด้วย

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักปลอดสารพิษ กลุ่มนี้ยังได้ใบรับรองมาตรฐานสินค้า จากกรมวิชาการเกษตร เป็นเครื่องการันตีว่าผลผลิตที่ได้ได้มาตรฐานตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผลผลิตที่ได้จะเป็นต้นตอของการผลิตซอสส่งยังโรงงานผู้ผลิตต่างๆ รวมถึงเป็นเจ้าตลาดค้าส่งมะเขือเทศไปยังตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ของประเทศ

หากสนใจการผลิตมะเขือเทศริมฝั่งแม่น้ำโขงตามแบบฉบับของบึงกาฬ ลองสอบถามไปยัง คุณวิรัตน์ หลายเจริญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักปลอดสารพิษ ได้ตลอดเวลา ที่บ้านเลขที่ 116 หมู่ที่ 4 บ้านนาโนน ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ

“แก้วมังกร” หรือ Dragon fruit เป็นพืชในตระกูลแค็กตัสหรือสกุลหนึ่งของกระบองเพชร เป็นพืชไม้เลื้อย มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ในแถบอเมริกากลาง โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นผู้นำเข้ามาทางประเทศเวียดนาม เมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมา จนกระทั่งเป็นผลไม้ประจำถิ่นของเวียดนาม ปลูกในเชิงการค้าเป็นจำนวนมากในเวียดนาม สำหรับประเทศไทยเริ่มรู้จักผลไม้ชนิดนี้อย่างแพร่หลาย เมื่อ พ.ศ. 2534 เนื่องจากมีการนำเข้าต้นพันธุ์ดีจากเวียดนามมาปลูกเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยพันธุ์ที่มีการนำเข้ามาในช่วงแรกเป็นพันธุ์เนื้อในสีขาว ต่อมาอีกระยะหนึ่งจึงมีการนำเข้าแก้วมังกรพันธุ์เนื้อในสีแดง ซึ่งเป็นพันธุ์มาจากไต้หวัน เข้ามาปลูกในประเทศไทย

และมีอีกหลายสายพันธุ์ที่ทั้งนำเข้ามาจากต่างประเทศและเกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์ในบ้านเรา ลำต้นเลื้อยของแก้วมังกรนั้นเป็นกิ่ง 3 แฉก และมีรอยหยักโดยตลอด รูปร่างนี้จึงดูคล้ายครีบมังกร จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของชื่อ แก้วมังกร นั่นเอง แต่ละแฉกของแก้วมังกรนั้นจะอวบน้ำเต่งตึง แท้ที่จริงแล้วนั้นกิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ลำต้นที่แท้จริง แต่เป็นใบที่เปลี่ยนรูปมา ลำต้นจริงๆ นั้นอยู่ภายในศูนย์กลางของแฉก ซึ่งก็เป็นลักษณะของตกระบองเพชรรูปแบบหนึ่ง

ลักษณะของต้นแก้วมังกร ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก สีเขียว อวบน้ำ มีความยาวประมาณ 5 เมตร ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นส่วนของใบที่เปลี่ยนรูปร่างไป ส่วนลำต้นที่แท้จริงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของแฉกทั้ง 3 บริเวณตาข้างจะมีหนาม 1-5 หนาม มีรากทั้งในดินและรากอากาศ

ดอกมีขนาดใหญ่ เกิดบริเวณปลายกิ่งในช่วงเดือนเมษายน เมื่อบานมีลักษณะคล้ายปากแตร โดยจะบานในช่วงหัวค่ำจนถึงเช้า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกจะมีความยาวประมาณเกือบ 1 ฟุต ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เป็นช่วงที่แก้วมังกรให้ผลผลิต

ผลมีลักษณะเป็นสันเหลี่ยมทู่ๆ เรียงรายอยู่ทั่วไปบนผิวเปลือก เปลือกหนา มีสีชมพูอมส้ม ภายในผลเมื่อผ่าออกจะมีเนื้อสีขาวขุ่นหรือสีชมพู ในเนื้อจะมีเมล็ดเล็กๆ สีดำ คล้ายกับเมล็ดงาฝังตัวอยู่ ตาข้างๆ ของต้นแก้วมังกรจะมีหนามอยู่โดยทั่วไป ตำแหน่งที่มีหนามนั้นคือ ส่วนที่จะเกิดเป็นดอกและผลแก้วมังกรต่อมานั่นเอง

แก้วมังกร ปัจจุบันกลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการปลูกเชิงการค้าในบ้านเรา ซึ่งก่อนหน้านี้ปลูกมากในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกของไทย ซึ่งต่อมาพื้นที่เพาะปลูกแก้วมังกรกลับมาปลูกมากในเขตอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย และได้รับความนิยมบริโภคไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น โดยเฉพาะสุภาพสตรีส่วนใหญ่ใช้บริโภคเพื่อลดน้ำหนัก (ลดความอ้วน) เมื่อมีคนใดคนหนึ่งสามารถลดน้ำหนักได้จริง ทำให้มีการใช้ผลแก้วมังกรนี้เป็นองค์ประกอบของการควบคุมน้ำหนักของสุภาพสตรีในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คุณสมบัติของแก้วมังกรมีพอสมควร โดยมี

สารมิวซิเลจ (Muciage) สารพวกนี้เป็นโพลีแซ็กคาไรด์เชิงซ้อน มีลักษณะคล้ายวุ้น หรือเยลลี่ ช่วยดูดน้ำตาลกลูโคส โดยเฉพาะในคนที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลิน ลดไตรกลีเซอไรด์ และคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นในเลือดต่ำ เพิ่มธาตุเหล็กอีกด้วย

แก้วมังกรอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งมีปริมาณสูงมาก จึงช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่าย ในส่วนของเนื้อมีสาร Complex Polysaccharides เป็นตัวที่ช่วยลดการดูดซึมไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้ ยังมีธาตุเหล็ก บรรเทาโรคโลหิตจาง รวมถึงแร่ธาตุอีกมากมาย ทั้ง วิตามินบี 1 บี 2
บี 3 วิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน และแคลเซียม

ผลแก้วมังกรมีคุณค่าทางอาหาร มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิต ตับ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก เสริมสร้างภูมิต้านทานกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ และในแก้วมังกรเนื้อแดงนั้นยังมีสารไลโคปีนที่สามารถต่อต้านมะเร็งได้อีกด้วย ด้วยรสชาติที่หวานน้อยประกอบกับคุณค่าทางโภชนาการของแก้วมังกรที่มีมากมายเช่นนี้ จึงทำให้เป็นผลไม้ที่หลายๆ คนชื่นชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รักสุขภาพ กลัวความหวาน กลัวไขมัน ต้องการลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก รวมถึงผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วย

คุณสมคิด บุญทูล เจ้าของสวน “สวนแก้วมังกรสมคิด” บ้านเลขที่ 36/2 หมู่บ้านยางตะพาย ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร โทร. (094) 229-6545 เล่าว่า ตนเองและครอบครัวเริ่มมาปลูกแก้วมังกร เนื่องจากความชอบก่อน มีเพื่อนบ้านปลูกอยู่ เห็นว่าต้นแก้วมังกรออกดอกสวย จึงศึกษาว่า ถ้าตนเองจะปลูกแก้วมังกรนั้นยากหรือไม่ ซึ่งพบว่าแก้วมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่าย ออกดอกง่าย ติดผลดก ยิ่งปลูกเชิงการค้าแล้วแก้งมังกรเป็นพืชที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมาก ปลูกเพียง 1 ปี ก็เริ่มมีผลให้เก็บได้แล้ว ประกอบกับครอบครัวมีอาชีพทำนาชอบทำการเกษตร อีกอย่างมองว่าจังหวัดพิจิตรไม่มีคนปลูกแก้วมังกรแบบเป็นสวน ถ้าปลูกแล้วก็คิดว่าจะขายแค่ในจังหวัดก็คงจะเพียงพอ จึงตัดสินใจปลูกแก้วมังกร ประมาณ 8 ไร่ ปลูกได้ราว 900 หลัก ตอนนี้ต้นอายุได้ 2 ปีเศษ ซึ่งตอนนี้สร้างรายได้เป็นอย่างดี ช่วยเสริมรายได้จากการทำนาที่พอมีเวลาดูแลในช่วงที่รอเกี่ยวข้าว ซึ่งคุณสมคิดอธิบายว่าในบ้านเรานั้นจะปลูกแก้วมังกรอยู่ 3 สายพันธุ์ หลักๆ คือ

หนึ่ง แก้วมังกรพันธุ์เวียดนาม ซึ่งมีลักษณะผลใหญ่ เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานจัด กลีบใหญ่และห่าง เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในบ้านเรา

สอง แก้วมังกรพันธุ์ไทย ซึ่งมีลักษณะผลเล็กกว่าพันธุ์เวียดนาม เนื้อขาวครีม เปลือกแดงอมชมพู รสหวานอมเปรี้ยว กลีบเล็กและถี่กว่าพันธุ์เวียดนาม และ

สาม แก้วมังกรพันธุ์ไต้หวัน ซึ่งมีลักษณะเนื้อแดง เปลือกแดง และมีขนาดผลเท่าแก้วมังกรพันธุ์ไทย

โดยคุณสมคิดนั้นเลือกปลูกแก้วมังกรสายพันธุ์ “เวียดนาม” ทั้งหมด เนื่องจากเป็นที่นิยมในบ้านเรามากที่สุด มีรสชาติหวาน ผลใหญ่ แต่ก็ปลูกพันธุ์เนื้อแดงบ้างเล็กน้อยเผื่อลูกค้าบางคนชอบให้เป็นทางเลือก

วิธีการปลูกแบบแปลงลงดิน ขุดหลุมฝังเสา ลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ฝังเสาหลักที่ให้ต้นแก้วมังกรออกรากเกาะยึด จะเป็นเสาปูนหรือเสาท่อน้ำทิ้ง (ข้างในกลวง) ก็แล้วแต่ ฝังให้เสาสูงจากพื้นประมาณ 1.5-2.0 เมตร มีระยะห่างระหว่างหลัก ประมาณ 3-3.5 เมตร ด้านบนของหลักทำเป็นร้านให้กิ่งของแก้วมังกรแผ่ขยายออกไปรอบๆ โดยเลือกใช้ยางมอเตอร์ไซค์เก่า เนื่องจากมีราคาถูกและมีอายุการใช้งานหลายปี นำเสาใส่ลงไปในหลุมที่ขุดอัดดินให้เสาแน่น จากนั้นนำปุ๋ยคอกเก่ามาโรยรอบๆ เสา พรวนดินรอบๆ เสาปลูกให้เป็นรัศมีออกไปประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากนั้นนำต้นแก้วมังกรที่สั่งซื้อเอาไว้ซึ่งตัดกิ่งแก่สดจากสวนนำมาปลูกเลยโดยไม่ต้องมาปักชำอนุบาลก่อน เพื่อจะไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมถุงดำ เตรียมวัสดุปลูก แรงงาน เพื่อใช้ในการปักชำกิ่งแก้วมังกรอีกนานนับเดือน

นำท่อนแก้วมังกร ซึ่งคุณสมคิดเล่าว่าที่สวนจะใช้กิ่งแก้วมังกรที่มีความยาว 50-80 เซนติเมตร โดยไม่ได้ตัดแบ่งให้สั้นลงเลย ได้ให้เหตุผลว่า เนื่องจากท่อนพันธุ์ที่ได้มามีราคาไม่แพงมากนัก ประมาณ ท่อนละ 15 บาท มาจากสวนที่จังหวัดเลย เนื่องจากเขาก็ตัดแต่งทิ้งออกจากต้นด้วย และดูว่าแก้วมังกรเป็นพืชที่ออกรากง่าย จึงใช้ท่อนพันธุ์ที่ยาวปลูกเลย เพื่อให้ต้นแก้วมังกรเลื้อยขึ้นค้างได้ไว การปลูกนั้นทำได้ไม่ยากเลย ขุดหลุมเพียงเล็กน้อย ขุดลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ถ้าสังเกตต้นแก้วมังกรนั้น ต้นจะเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งจะมีด้านหนึ่งที่ราบแบน ให้เอาด้านที่ราบแบนหันเข้ากับผิวเสาปูน เนื่องจากด้านที่ราบแบนนั้นจะเป็นบริเวณที่เกิดราก เอาดินกลบ เป็นอันเสร็จ

ปลูก 4 ต้น หรือด้านละ 1 ต้น ของเสาปูน อย่าลืมใช้เชือกฟางมัดต้นแก้วมังกรให้ยึดกับเสาปูนให้พอประคองต้นแก้วมังกร ไม่ต้องมัดแน่นมากนัก มัดเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นล้มหรือว่าหัก และหมั่นมัดยอดแก้วมังกรที่แตกออกมาใหม่ให้แนบกับเสาปูนอยู่เสมอจนกว่าจะขึ้นถึงยอดเสาปูน ผลจากการปลูกแบบนี้พบว่า อัตราการรอดตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

หลังปลูกเลี้ยงได้ประมาณ 8-10 เดือน เมื่อต้นแก้วมังกรออกยอดสูงพ้นเกินเสาเล็กน้อย ให้ใช้มือเด็ดหรือตัดตรงปลายยอดทิ้ง เพื่อเป็นการทำให้ต้นแก้วมังกรแตกยอดออกมาใหม่จำนวนหลายยอด หมั่นถอนหญ้าหรือตัดหญ้าที่ขึ้นตรงโคนต้นทิ้งเป็นประจำ เพื่อให้ต้นแก้วมังกรได้รับอาหารเต็มที่โดยไม่ต้องแย่งอาหารกับต้นหญ้า

เมื่ออายุต้นครบ 2 ปี หลังจากที่ต้นแก้วมังกรออกผลจนหมด ในช่วงเดือนตุลาคมควรตัดแต่งกิ่งให้สวยงาม โดยเลือกกิ่งที่เสียหายโดยมดทำลายหรือกิ่งที่เกิดซ้อนทับกันมากๆ ออก ให้มีช่องว่างและสัดส่วนพอดี ไม่มากเกินไป เพราะว่าจะทำให้ค้างรับน้ำหนักมากเกินความจำเป็น

การตัดแต่งกิ่งโดยการตัดกิ่งที่ให้ผลผลิตแล้ว โดยการตัดออก ประมาณ 50 เซนติเมตร ของความยาวกิ่ง แต่ถ้ากิ่งยาวไม่ถึงก็ให้ตัดเกือบชิดข้อที่แตกออกมาจากกิ่งเดิม โดยทั่วไปการตัดแต่งกิ่งแก้วมังกรที่นิยมคือ แบบตัดออก 50-60 เปอร์เซ็นต์ ของกิ่งที่มีอยู่ จะทำให้การเกิดกิ่งใหม่เร็วขึ้นและสมบูรณ์

ประโยชน์ของการตัดแต่งกิ่งแก้วมังกร คือช่วยเสริมสร้างให้แก้วมังกรมีผลผลิตดีขึ้น 25-30 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านี้แล้วแต่สภาพพื้นที่ปลูก ดังนั้น การตัดแต่งกิ่งจำเป็นต้องทำทุกปี เพื่อให้ผลผลิตแก้วมังกรเกิดขึ้นกับกิ่งที่แตกใหม่ซึ่งยังสาวอยู่ กิ่งมีความสมบูรณ์มากที่สุด กิ่งที่ออกใหม่จะสมบูรณ์แข็งแรงกว่า พร้อมที่จะออกดอกออกผลในปีถัดไป เราควรตัดกิ่งที่ปลายไม่แหลมออก ปลายที่ไม่แหลมสั้นๆ ทู่ๆ มันจะไม่ยืดและเวลากิ่งแก่ก็จะออกผลช้ากว่ากิ่งที่ปลายแหลม ส่วนกิ่งที่ตัดควรทิ้งนอกแปลงแล้วกำจัด ไม่ควรทิ้งไว้ในแปลงจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง และกิ่งแก้วมังกรจะแตกรากในแปลงเรายิ่งจะกำจัดได้ยากขึ้น

หลังการตัดแต่งกิ่งสังเกตดูดีๆ กิ่งที่ออกลูกติดผลมักเป็นกิ่งที่มีปลายกิ่งห้อยย้อยลงดิน เพราะฉะนั้นกิ่งไหนที่ชี้ขึ้นฟ้าควรตัดทิ้งเลย เอาไว้ก็แย่งอาหารกิ่งที่จะออกดอกเสียหมด ระหว่างที่เตรียมความพร้อมกิ่งเพื่อให้ติดผล ถ้ามีกิ่งแตกมาใหม่ เมื่อเห็นได้ชัดเจนแน่นอนแล้วว่าไม่ใช่ตาดอกแน่นอน สะกิดกิ่งที่แตกมาใหม่เหล่านี้ทิ้งไปเสียบ้าง อย่าเสียดายเอาไว้มันเสียทุกกิ่ง มันจะได้มีอาหารสะสมไปออกดอกบ้าง เพราะกิ่งที่แตกใหม่เหล่านี้แย่งอาหาร

คุณสมคิด เล่าย้อนกลับไปว่า ได้ปลูกแก้วมังกรเมื่อเดือนมกราคม 2558 พอเดือนพฤษภาคม 2559 แก้วมังกรก็ที่สวนก็ออกดอกรุ่นแรก เก็บผลได้ต้นเดือนสิงหาคม 2559 และเก็บผลผลิตยาวต่อเนื่องมาถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2559 คือแก้วมังกรจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ราว 8-9 รุ่น
ใน 1 ปี ซึ่งเท่าที่สังเกตคือ ต้นแก้วมังกรจะออกดอกเดือนเว้นเดือน ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ผสมกันเองหรือผสมข้ามดอกข้ามต้นได้ การนับอายุการเก็บเกี่ยวเบื้องต้น สามารถนับอายุดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวถึงดอกบาน 15 วัน อายุผลตั้งแต่ผสมติดหรือกลีบดอกร่วงถึงเก็บเกี่ยว 30 วัน ผลแก้วมังกรจะแก่เก็บจำหน่ายได้ ดอกแก้วมังกรจะเริ่มบานตั้งแต่เวลาเย็น ประมาณ 15.00-09.00 น. ในช่วงเช้าของอีกวัน

หลังเก็บเกี่ยวไปแล้วอีก 15-30 วัน จะมีดอกชุดใหม่ตามออกมาอีก การออกดอกนั้นแก้วมังกรจะออกดอกติดผลดีในฤดูกาลที่ช่วงกลางวันยาวกว่ากลางคืน โดยช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม สามารถออกดอกได้ตลอด ครั้นถึงช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หรือช่วงอากาศหนาวเย็นจะพักต้นและไม่ออกดอก หรือช่วงอากาศหนาวเย็นแม้จะออกดอกตามธรรมชาติได้ แต่จำนวนดอกจะน้อยกว่าช่วงอากาศร้อน

ถ้าช่วงที่ดอกบานแล้วฝนตก โอกาสติดผลดี ดอกไม่เน่า แต่ถ้าเจอฝนตกหนักดอกก็จะเสียหายเน่าไม่ติดผล แต่ถ้าฝนไม่ตกในช่วงที่ดอกแก้วมังกรบานเปอร์เซ็นต์การติดผลเรียกได้ว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อติดผลอ่อนกลีบดอกที่อยู่ปลายผลแก้วมังกรจะแห้งแต่ไม่ร่วง (ซึ่งจะกลายเป็นที่อาศัยของมดดำ) ให้ดึงกลีบดอกที่แห้งออก เพื่อให้ผลโตเร็ว แต่ถ้าในช่วงฝนกลีบดอกเหล่านี้อาจจะเน่าแทน ดังนั้น ควรเด็ดหรือตัดกลีบดอกออกหลังผลแก้วมังกรมีขนาดพอสมควรแล้ว

คุณชัยยศ ตั้งนิยม อยู่บ้านเลขที่ 137 หมู่ที่ 1 ตำบลวังยาง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร

ปัจจุบัน อายุ 47 ปีจบการศึกษาจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 “การเริ่มต้นที่ดีถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว” เริ่มด้วยการเตรียมดินให้ดีตั้งแต่เริ่มปลูก โดยใช้กากหม้อกรอง (Filter cake) เป็นปัจจัยที่ทำให้ได้ผลผลิตตอบแทนที่ดี

“มีอ้อยไม่มีหญ้า มีหญ้าไม่มีอ้อย” ป้องกันกำจัดวัชพืชอย่างถูกต้องและถูกวิธีตั้งแต่ตอนต้น ช่วยลดการแพร่พันธุ์ของวัชพืช

ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

ประยุกต์เครื่องจักรกลการเกษตร ได้แก่ ผานปรับพื้นที่ให้เรียบ เครื่องปลูกอ้อยแบบหลังแบน กระเช้าบรรทุกอ้อยลดการเกิดดินดาน ดังนี้
1.1 การปรับพื้นที่ให้เรียบ ดัดแปลงใช้ใบมีดเกรดดินติดท้ายรถไถปรับพื้นที่ให้เรียบลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อควบคุมการให้น้ำแบบผิวดินและร่องคู ช่วยระบายน้ำ ลดปัญหาน้ำท่วมขัง ง่ายต่อการควบคุมวัชพืช พื้นที่แปลงที่เรียบจะสะดวกต่อการเข้าเก็บเกี่ยวโดยการใช้รถตัดอ้อย

1.2 ประยุกต์เครื่องปลูกอ้อย โดยปลูกแบบสันร่องแบนด้วยผานหัวหมู ชักร่องทำให้ตออ้อยอยู่ลึก ไว้ตอได้นาน ตออ้อยไม่หลุดเมื่อตัดด้วยรถตัด ให้น้ำง่ายขึ้น แล้วตามด้วยริปเปอร์ติดปีก ชักร่องวางท่อนพันธุ์อ้อยด้วยเครื่องปลูกมีร่องลึก ทำให้รากหาอาหารได้ลึก ก้นร่องอยู่ต่ำกว่าสันร่องให้น้ำสะดวก ตออ้อยไม่ถูกถอนด้วยรถตัด

1.3 ประยุกต์ทำกระเช้าบรรทุกอ้อยที่มีน้ำหนักเบากว่ารถบรรทุกอ้อย ทำให้อ้อยตอไม่เสียหายจากน้ำหนักกดทับของรถบรรทุก

คัดเลือกพันธุ์อ้อยและใช้พันธุ์อ้อยเหมาะสมกับชนิดดิน และเลือกปลูกพันธุ์อ้อยที่มีอายุเก็บเกี่ยวต่างกัน ได้แก่ พันธุ์เบา (สะสมน้ำตาลเร็ว) อ้อยพันธุ์กลาง และอ้อยพันธุ์หนัก (เก็บเกี่ยวหลัง)
ปรับปรุงบำรุงดินด้วยกากหม้อกรอง (Filter cake) ผลพลอยได้จากโรงงาน เพื่อปรับปรุงบำรุงดินและลดต้นทุน
ตัดอ้อยต่ำชิดดิน ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และได้ ความหวานเพิ่มเนื่องจากโคนอ้อยมีเปอร์เซ็นต์ความหวานมากกว่าส่วนอื่น ตัดอ้อยชิดดินทำให้หน่อของตออ้อยที่เกิดใหม่เกิดมาจากรากเหง้าที่อยู่ใต้ดินแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีกว่าหน่อที่เกิดบนตออ้อยบนดิน
บริหารจัดการเครื่องจักรด้านการเกษตรอย่างเป็นระบบ มีอุปกรณ์การเกษตรที่ทันสมัยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย

การนำเทคโนโลยีมาใช้

มีคนมาดูงาน
ไถระเบิดดินดานทุกรอบการผลิตใหม่เพื่อปรับโครงสร้างของดิน สมัครเสือมังกร โดยใช้เครื่องมือในการระเบิดดินดานให้เหมาะสมกับขนาดรถไถ เพื่อลดความแน่นของดิน โดยใช้ริปเปอร์ 2/3/5 ขา ในอ้อยปลูกใหม่ 2 ครั้ง สลับเป็นแบบตาราง
ใช้ผานสับใบอ้อยระหว่างแถวอ้อยตอ ทำให้ได้ใช้ใบอ้อยในบำรุงดิน
ใช้รถตัดอ้อย ตัดได้ 100-300 ตัน ต่อวัน ช่วยทดแทนแรงงานคน และวางแผนการตัดอ้อยได้ตามกำหนด
การแก้ไขปัญหา

แก้ไขปัญหาการให้น้ำในการปลูกอ้อย โดยปรับพื้นที่ในการปลูกอ้อยให้มีระดับเสมอ เพื่อลดปัญหาในการให้น้ำ
ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ด้วยการใช้กากหม้อกรอง (Filter cake) ในการบำรุงดินแทน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
ใช้เครื่องจักรกลเข้ามาทำงานเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องการขาดแรงงาน
ขยายผลต่อยอด

ช่วยแนะนำเกษตรกรในการผลิตอ้อยให้ได้คุณภาพ มีเกษตรกรนำความรู้ไปเป็นแบบอย่างในการผลิตอ้อย

– เป็นศูนย์เครือข่ายการบริหารจัดการไร่อ้อย ของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ของอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร

ผลงานและความสำเร็จของผลงาน ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพตลอดจนระยะเวลาปฏิบัติงานและความยั่งยืนในอาชีพ

– รายได้/ต้นทุน/กำไร (ย้อนหลัง 3 ปี)

1) ปี 2558/2559 (พื้นที่ปลูกอ้อย จำนวน 1,100 ไร่)

รายได้ทั้งหมด 16,650,000 บาท

ราคาขาย 900 บาท/ตัน

ค่าใช้จ่าย 9,210,000 บาท

รายได้สุทธิ 7,440,000 บาท (6,763.64 บาท/ไร่)

2) ปี 2559/2560 (พื้นที่ปลูกอ้อย จำนวน 1,100 ไร่)

รายได้ทั้งหมด 19,950,000 บาท

ราคาขาย 1,050 บาท/ตัน

ค่าใช้จ่าย 9,410,000 บาท

รายได้สุทธิ 10,540,000 บาท (9,581.82 บาท/ไร่)

3) ปี 2560/2561 (พื้นที่ปลูกอ้อย จำนวน 1,349 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา)

รายได้ทั้งหมด 21,060,450 บาท

ราคาขาย 850 บาท/ตัน

ค่าใช้จ่าย 11,745,000 บาท

รายได้สุทธิ 9,315,450 บาท (6,900.33 บาท/ไร่)

ผลผลิต

– ปี 2558/2559 รวม 18,500 ตัน เฉลี่ย 16.36 ตัน/ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ยของประเทศ = 9.15 ตัน/ไร่)

– ปี 2559/2560 รวม 19,000 ตัน เฉลี่ย 17.27 ตัน/ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ยของประเทศ = 9.43 ตัน/ไร่)

– ปี 2560/2561 รวม 24,777 ตัน เฉลี่ย 18.35 ตัน/ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ยของประเทศ = 11.68 ตัน/ไร่)

(ผลผลิตสูงสุด 27 ตัน/ไร่)

คุณภาพผลผลิต

ค่าความหวานเฉลี่ย 12 ccs. (สูงสุด 14 ccs.)

สรุปเปรียบเทียบข้อมูล ปี 2560/61 (ต่อหน่วยการผลิต)

– ผลผลิต 18.35 ตัน/ไร่

– ราคาขาย 850 บาท/ตัน

– ต้นทุน 8,700 บาท/ไร่ 474 บาท/ตัน

– รายได้ 5,600 บาท/ไร่

– กำไร 6,900.33 บาท/ไร่ 376 บาท/ตัน

วิธีการบริหารจัดการไร่อ้อย

ใช้แนวทาง GAP ในการบริหารจัดการ ได้แก่
1) แหล่งน้ำสะอาด จากแม่น้ำปิง และน้ำบาดาล

2) ทำแปลงพันธุ์เอง ใช้ท่อนพันธุ์ปลอดโรคและแมลง

3) การเตรียมดิน ใช้เครื่องมือตัดใบอ้อยไถกลบลงดิน

4) ใช้กากหม้อกรอง (Filter cake) ในการบำรุงดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี

5) ใช้ใบอ้อยคลุมดิน เพื่อรักษาความชื้นและควบคุมวัชพืช

6) จัดการโรคอย่างถูกวิธี ขุดต้นที่เป็นโรคมาเผาทำลาย

7) การเก็บเกี่ยว ใช้รถตัดอ้อย ลดการเผาใบอ้อย

การผลิตและการตลาด
1) พันธุ์อ้อย : เลือกพันธุ์เหมาะสมกับชุดดินและสภาพพื้นที่ ปลูกหลายพันธุ์ ลดความเสี่ยงการระบาดของโรคและแมลง หมุนเวียนเปลี่ยนสลับพันธุ์ ไม่ปลูกซ้ำแปลงเดิม

2) เลือกปลูกอ้อยที่มีอายุการเก็บเกี่ยวต่างกัน บริหารจัดการช่วงเวลาตัดอ้อยให้ทันฤดูกาลเปิดหีบของโรงงานปลูกอ้อยสัดส่วน 1 : 2 : 1 ของพื้นที่ปลูก ดังนี้

– ปลูกอ้อยข้ามแล้ง (ปลายฝน) 1 ส่วน (ต้นทุนต่ำสุด ให้ผลผลิตสูงสุด)

– ปลูกอ้อยน้ำสูบ 2 ส่วน (ต้นสูงกว่าปลูกอ้อยข้ามแล้ง ให้ผลผลิตสูง)

– ปลูกอ้อยต้นฝนและแปลงพันธุ์อ้อย 1 ส่วน (ต้นทุนและผลผลิตต่ำ เสี่ยงต่อสภาพฝน)

3) ประสานการตัดอ้อย และการขนส่งอ้อยกับโรงงาน

4) ปรับปรุงบำรุงดินและเตรียมดินในอ้อยปลูกใหม่ให้ดี

การบำรุงรักษาอ้อย
1) การให้น้ำ ปรับพื้นที่ให้เหมาะสมกับการให้น้ำแบบผิวดินและร่องคู พื้นที่นอกเขตชลประทานใช้น้ำบ่อบาดาล