แปลงใหญ่กาแฟเทพเสด็จ เน้นการเพิ่มผลผลิตควบคู่กับ

การลดต้นทุนการผลิต โดยใช้เปลือกกาแฟมาทำเป็นปุ๋ยหมักทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งช่วยลดมลภาวะด้วย เพราะไม่มีการเผา กลุ่มนี้มีความเข้มแข็ง สามารถรวมกันจัดการเรื่องการจัดซื้อปัจจัยการผลิต แม้ว่าจะอยู่บนที่สูงทำให้ไม่ค่อยพบโรคแมลง แต่ก็ยังมีการเรียนรู้การผลิตสารชีวภัณฑ์ต่างๆ เพื่อลดการใช้สารเคมีในการดูแลรักษา ปัจจุบัน ทางกลุ่มได้เชื่อมโยงศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ของอำเภอดอยสะเก็ด ด้านการผลิตกาแฟ มีผู้สนใจแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการปลูกแปรรูปกาแฟตลอดทั้งปี

ความสำเร็จของกาแฟเทพเสด็จในวันนี้ เกิดจากการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นอกจากนี้ แบรนด์กาแฟเทพเสด็จ ยังได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ จากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการ “เชียงใหม่เมืองกาแฟ”

ปัจจุบัน หมู่บ้านแม่ตอนหลวง ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ของกาแฟเทพเสด็จนั้น อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ เส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย อากาศดีตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปชิมกาแฟได้ถึงแหล่งผลิตได้ไม่ยาก นอกจากได้ชิมและซื้อกาแฟรสอร่อยแล้ว ยังมีส่วนร่วมอนุรักษ์ป่าอีกด้วย เพราะป่ากาแฟแห่งนี้คือ “ชีวิต” ของทุกคนในชุมชน เมื่อชาวบ้านมีรายได้อยู่ดีกินดีจากอาชีพปลูกกาแฟ จะช่วยกันรักษาป่าไม้ หากไม่มีป่า ไม่มีน้ำ ไม่มีกาแฟ ชาวบ้านก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะป่าคือชีวิต แยกจากกันไม่ได้

ผู้สนใจสั่งซื้อสินค้าหรืออยากเยี่ยมชมกิจการติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดบ้านแม่ตอน เลขที่ 45 หมู่ที่ 4 ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ หรือ คุณสุวรรณ เทโวขัติ โทร. 089-261-7833

“เกษตรกร” นับเป็นงานอาชีพที่เหนื่อยและงานหนัก ต้องทำงานกลางแดดร้อนหรือกลางสายฝนในบางครั้ง การทำสวน ทำไร่ ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก พืชบางชนิดเพาะปลูกได้เพียงปีละครั้ง ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวกลับขายสินค้าได้ในราคาถูก ไม่คุ้มค่ากับตัวเลขค่าใช้จ่าย รวมทั้งแรงกาย แรงใจ ที่ทุ่มเทเวลาทำงานมาตลอดทั้งปี ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกหลานเกษตรกรที่เป็นคนหนุ่มคนสาวรุ่นใหม่จำนวนมากปฏิเสธที่จะยึดอาชีพเกษตรกรรมตามรอยพ่อแม่

ความจริง การทำเกษตรในยุคนี้ อาจเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่รู้จักลงทุนจัดหาอุปกรณ์เครื่องจักรกลการเกษตรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น รถไถ เครื่องหว่านข้าว เครื่องเจาะหลุม เป็นต้น ในฉบับนี้ขอพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเครื่องเจาะหลุมรุ่นใหม่ ที่ถูกพัฒนาจากแนวคิดสร้างสรรค์ของหนุ่มลพบุรี ผลงานชิ้นนี้ ช่วยให้การเจาะหลุม กลายเป็นเรื่องง่าย เหมือนกับการปอกกล้วยเข้าปากเลยทีเดียว

รู้จักเกษตรกรคนเก่ง

คุณปรีชา บุญส่งศรี หรือที่รู้จักกันดีในโลกโซเชียลว่า “ทอม นิวบอร์น” เจ้าของกิจการน้ำหมักชีวภาพ ได้เล่าความเป็นมาของเขาให้ฟังว่า เขาเกิดและเติบโตในครอบครัวเกษตรกร เมื่อเรียนจบการศึกษาในบ้านเกิด ก็ออกเดินทางไปหางานทำที่ กทม. ทำงานหลากหลายอาชีพ แต่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อช่วยครอบครัวทำงานอาชีพเกษตรกรรม

เมื่อกลับมาบ้าน คุณทอมต้องทำงานขุดดินซึ่งเป็นงานหนักและเหนื่อย คุณทอมจึงมองหาตัวช่วย โดยเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องเจาะหลุมที่มีวางขายในท้องตลาด หลังนำมาใช้งานปรากฏว่า อุปกรณ์เครื่องเจาะหลุมทำงานได้ไม่ค่อยดีนัก ต้องหยุดทำงานบ่อยๆ เมื่อเครื่องเจาะหลุมเจอเศษหิน รวมทั้งเจอปัญหาหญ้าพันใบมีด นอกจากนี้ ยังเจอปัญหาเครื่องสะบัดเหวี่ยงผู้ใช้งาน เสี่ยงทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ หากใช้งานโดยไม่ระมัดระวัง

อาศัยประสบการณ์ด้านงานช่าง ที่เคยเรียนรู้ระหว่างทำงานที่ กทม. คุณทอม ได้ปรับปรุงจุดอ่อนของเครื่องเจาะหลุมให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม เขาถ่ายคลิปการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเจาะหลุมดังกล่าว ผ่านทางเฟซบุ๊กของเขา ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ได้รับความสนใจจากเกษตรกรทั่วไป เขาจึงเริ่มเปิดการจำหน่ายอุปกรณ์ “เครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น” ทางเฟซบุ๊ก ในราคาตัวละ 7,500 บาท สามารถขนส่งสินค้าให้ผู้สนใจได้ทั่วประเทศ ผ่านบริษัทรับส่งพัสดุเอกชน ในราคา 500 บาท

จุดเด่น เครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น

คุณทอม รีวิวการทำงานของ “เครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น” ให้ฟังว่า เขาใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2 จังหวะ เฟืองทด 50:1 ใบมีดกว้าง 8 นิ้ว ยาว 60 เซนติเมตร ก้านเจาะยาว 10 เซนติเมตร สามารถเจาะหลุมได้ลึกสุด 70 เซนติเมตร ลักษณะใบมีดเป็นรูปก้นหอย ช่วยลดแรงต้าน ลดปัญหาหญ้าพันใบมีด ลดปัญหาใบมีดติดเมื่อเจอรากไม้หรือเจอหิน เบาแรง ช่วยลดปัญหาเครื่องสะบัดเหวี่ยงผู้ใช้งาน ใช้ล้อลากแบบล้อเดี่ยว สามารถเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ได้สะดวก และเบาแรง

คุณทอม ทดลองโชว์การทำงานเครื่องเจาะหลุมของเขา พบว่า เครื่องเจาะหลุม ขนาดใบเจาะกว้าง 8 นิ้ว สามารถเจาะดินได้สุดใบ 70 เซนติเมตร สามารถทุนแรงขุดหลุมปลูกต้นไม้ได้เยอะมาก สามารถลดแรงเหวี่ยงของรุ่นเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใบเจาะรูปก้นหอย สามารถลดแรงต้าน ลดปัญหาหญ้าพันใบเจาะได้จริง อุปกรณ์เครื่องเจาะหลุมตัวนี้ ทำงานได้ดี และที่สำคัญขายในราคาไม่แพง

เมื่อถามถึงผลการทดลองอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน คุณทอมให้คำตอบว่า หากใช้แก๊สโซฮอล์ 95 จำนวน 1 ลิตร เครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น สามารถเจาะหลุมดินได้ 50 หลุม ในระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กับสภาพดินเปียกหลังฝนตก ถือว่าเครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น ช่วยให้การทำงานขุดดินกลายเป็นเรื่องง่ายๆ และคล่องตัวกว่าเดิม

หากผู้อ่านท่านใด สนใจเครื่องเจาะหลุม นิวบอร์น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ คุณทอม หรือ คุณปรีชา บุญส่งศรี ได้ที่บ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 6 ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โทรศัพท์ 086-618-2302 หรือ Line ID:organicfertilizer และเฟซบุ๊ก นิวบอร์น น้ำหมักชีวภาพ

อินทผลัม เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีหลากหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง โดยสามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เมตร โดยใบติดอยู่บนต้น 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3-4 เมตร มีลักษณะเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกของอินทผลัมจะออกจากโคนใบ เมื่อติดผลลักษณะของผลเป็นรูปทรงรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ สามารถรับประทานได้ทั้งผลสดและสุก ซึ่งผลจะมีสีเหลืองถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด โดยผลสุกจะนิยมนำไปตากแห้ง

คุณปรีชา ธรรมชูเชาวรัตน์ อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 2 ตำบลบางพลับ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นผู้ที่เห็นถึงลักษณะพิเศษของอินทผลัม จึงได้นำมาทดลองปลูกภายในสวน จนประสบผลสำเร็จ จนทำให้ในเวลานี้ที่สวนของคุณปรีชามีผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้และหาซื้อต้นพันธุ์กันมากเลยทีเดียว

คุณปรีชา เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนได้ทำการเกษตรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงเป็ด ต่อมาจึงได้มาจับอาชีพเกี่ยวกับไม้ดอกไม้ประดับ เช่น เฟื่องฟ้า ลีลาวดี เรียกง่ายๆ ว่า ทำการเกษตรมาอย่างชำนาญในสายงานด้านนี้กันเลยทีเดียว ต่อมาจึงได้มีความสนใจจะปลูกอินทผลัม จึงได้นำมาทดลองปลูกอย่างที่ได้คิดตั้งใจไว้

“ตอนนี้ที่สวนไม้ดอกไม้ประดับก็ยังปลูกขายอยู่ เมื่อธุรกิจทางด้านนี้เริ่มอยู่ตัว ประมาณปี 2557 ผมก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับอินทผลัมกินผลสด เพราะเราเริ่มรู้สึกว่าไม้ดอกไม้ประดับเราเริ่มอิ่มตัว อยากที่จะทำเกี่ยวกับต้นไม้กินผลได้ ก็เลยเลือกอินทผลัม ซึ่งชอบลักษณะพิเศษตรงที่ผลของอินทผลัมสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานเมื่อเราใส่ตู้เย็นไว้ ผลอินทผลัมค่อนข้างมีคุณค่าทางโภชนาการ และที่สำคัญเป็นไม้ที่ปลูกง่าย เรื่องการดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก” คุณปรีชา บอกถึงที่มาของการปลูกอินทผลัม

เนื่องจากการปลูกอินทผลัมสามารถนำต้นพันธุ์มาปลูกได้หลายแบบ คือ ต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ด และต้นพันธุ์ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งในช่วงแรกที่ทดลองปลูกนั้น คุณปรีชา บอกว่า ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ดมาปลูก ประมาณ 200 ต้น ได้อินทผลัมที่เป็นตัวผู้ 130 ต้น และเป็นตัวเมีย 70 ต้น ต่อมาเพื่อขยายลูกค้าตลาดให้กว้างขึ้น และเพื่อให้ต้นอินทผลัมได้สายพันธุ์ที่แน่นอน จึงได้นำต้นอินทผลัมที่ผ่านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้ามาปลูกด้วย โดยสั่งมาจากต่างประเทศ คือ สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ และประเทศอังกฤษ

ก่อนที่อินทผลัมจะเจริญเติบโตให้ผลผลิตได้ คุณปรีชา บอกว่า จะต้องนำต้นที่ผ่านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาอนุบาลเสียก่อน โดยใช้เวลาอนุบาลช่วงนี้ประมาณ 4 เดือน จะมีความสูงประมาณ 1 คืบ พร้อมทั้งมีใบประมาณ 5-6 ใบ ก็สามารถนำมาปลูกลงดินได้

“พอเราได้ต้นที่แข็งแรงดีแล้ว เราก็นำต้นที่อนุบาล มาปลูกลงดินได้เลย โดยให้แต่ละต้นมีระยะห่างกัน ประมาณ 7×7 เมตร ซึ่งดินที่อยู่ตามภาคกลาง ไม่ต้องรองก้นหลุม ใส่ข้างบนเดี๋ยวก็จะซึมลงไปเอง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินไม่ค่อยดี ก็สามารถรองก้นหลุมด้วยขี้ไก่ หรือปุ๋ยหมักก็ได้เหมือนกัน ก็จะทำให้ดินมีความสมบูรณ์” คุณปรีชา บอกถึงวิธีการปลูก

เมื่อปลูกต้นอินทผลัมเป็นที่เรียบร้อยจะดูแลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจริญเติบโตเต็มที่ และที่สำคัญเรื่องการรดน้ำต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยสังเกตจากดินที่โคนต้น ถ้าแห้งมากจำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง

ในเรื่องของการใส่ปุ๋ยนั้น คุณปรีชา บอกว่า จะใส่ปุ๋ย สูตร 20-10-10 เดือนละ 2 ครั้ง เมื่ออายุของต้นเริ่มมีอายุเกิน 1 ปี จะเริ่มให้ผลผลิตได้จะเปลี่ยนปุ๋ยเป็นสูตร 8-24-24 ไปจนถึงต้นอินทผลัมเริ่มออกดอก

ซึ่งก่อนที่ต้นจะติดผลให้ได้ชิมรสชาติหวานฉ่ำได้นั้น อินทผลัมเป็นไม้ที่มีการแยกเพศของต้นอย่างชัดเจน ดังนั้น จะต้องมีการผสมเกสรเข้ามาช่วยเพื่อให้การติดผลสมบูรณ์มากขึ้น โดยการผสมเกสรจะเริ่มผสมได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่ต้นอินทผลัมออกดอกใหม่ๆ เมื่อการผสมเกสรสำเร็จแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ในช่อก็จะเริ่มติดผลจึงตัดแต่งช่อให้มีคุณภาพตามที่ต้องการ คือ ผลเล็กและผลที่ไม่มีคุณภาพก็จะตัดออกทิ้ง เสร็จแล้วจึงนำตาข่ายมาห่อผลเพื่อกันแมลงศัตรูพืช พร้อมทั้งห่อทับด้วยถุงกระดาษอีกครั้งเพื่อป้องกันแสง จากนั้นปล่อยไปอีกประมาณ 120-130 วัน ผลอินทผลัมก็จะสมบูรณ์เต็มที่สามารถเก็บเกี่ยวได้

“เมื่อต้นเพศเมียเริ่มออกดอก เราก็จะเตรียมเอาเกสรต้นเพศผู้ มาผสมกับเกสรเพศเมีย ซึ่งการผสมก็ไม่ยาก พอผสมเสร็จใช้เวลาประมาณ 5 วัน ผลก็จะเริ่มติดออกมาให้เห็น เสร็จแล้วก็จะฉีดแคลเซียมโบรอนเข้ามาช่วย เพื่อให้เกสรมีความแข็งแรง ซึ่งการผสมเกสรมองดูแล้วไม่ใช่เรื่อยาก สามารถเรียนรู้กันได้ ซึ่งท่านใดที่สนใจก็สามารถมาสอบถามข้อมูลที่สวนได้ยินดีให้คำแนะนำ” คุณปรีชา บอกถึงวิธีการผสมเกสรและดูแลผลอินทผลัม

จากประสบการณ์ที่ได้ทดลองปลูกมาอย่างประสบผลสำเร็จ คุณปรีชา บอกว่า ในเวลานี้ที่สวนจึงมีต้นที่มีผลออกมาให้กับผู้ที่สนใจได้มาเชยชมและเรียนรู้วิธีการปลูกจากประสบการณ์จริงได้ที่สวน พร้อมทั้งมีผลอินทผลัมได้ให้ชิมอีกด้วย

สำหรับการปลูกอินทผลัมที่เหมาะสมภายในสวน คุณปรีชา แนะนำว่า อัตราส่วนที่เหมาะสมโดยประมาณ เช่น ต้นอินทผลัมเพศผู้ 20 ต้น สามารถคุมการผสมเกสรให้กับต้นอินทผลัมเพศเมีย ประมาณ 100 ต้น ซึ่งการผสมเกสรต้องมีการศึกษาเพื่อที่การผสมให้ติดผลจะได้ประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี

“สำหรับผู้ที่สนใจ อยากจะปลูก ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ที่สวนเราได้ หรืออยากจะลองชิม หรือเรียนรู้ว่าการปลูกเป็นยังไง ก็เข้ามาเจอกันที่สวนผมได้ หรือเกษตรกรที่สนใจต้นพันธุ์ ก็สามารถเข้ามาหาซื้อได้ ซึ่งต้นที่เรามีขายก็เป็นต้นเนื้อเยื่อ ที่ผ่านการอนุบาลจนแข็งแรงดีแล้ว สามารถนำไปปลูกได้เลย อายุประมาณ 4 เดือน ขายอยู่ที่ต้นละ 1,500 บาท ซึ่งก็มีหลายพันธุ์ให้เลือกไปปลูก เช่น พันธุ์บาฮี เคแอล 1 (KL1) เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และบางส่วนก็เป็นพันธุ์เพาะเมล็ดเราก็มีขายอยู่ ที่ต้นละ 300 บาท ซึ่งก็สามารถเข้ามาพูดคุยกัน ทางสวนเรายินดีให้คำแนะนำ” คุณปรีชา บอก

ทั้งนี้ คุณปรีชา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การปลูกอินทผลัมยังไม่เจอปัญหายุ่งยาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องน้ำที่ใช้รด เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่จะติดผลผลิต น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญ

เห็ดโคน หรือ เห็ดปลวก คนละชนิดกับเห็ดโคนน้อย ความจริงเห็ดโคนน้อยคือเห็ดถั่ว โดยทั่วไปมักพบขึ้นอยู่ตามกองซากถั่วเหลือง หรือถั่วเขียว ส่วนเห็ดโคนหรือเห็ดปลวกนั้น วงจรชีวิตของมันต้องพึ่งพาปลวกเข้ามาช่วย จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า ปลวกงานจะนำเอาสปอร์ ซึ่งเป็นหน่วยขยายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กมาก ทำหน้าที่เช่นเดียวกับเมล็ดพืชอื่นๆ ไปปลูกในรังให้เป็นอาหารของปลวกวัยอ่อน ส่วนสปอร์ที่หลงเหลือ เมื่อได้รับความชื้นในฤดูฝนก็จะเติบโตโผล่พ้นผิวดินขึ้นมาปรากฏให้เห็น และเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์เรา

วิธีเพาะหรือปลูกเห็ดโคน ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน เริ่มจากนำจาวปลวก ที่อยู่ภายในจอมปลวก มีขนาดใกล้เคียงกับกะลามะพร้าวผ่าซีก จอมปลวกหนึ่งรังจะมีจาวปลวกหลายอัน มีลักษณะเบา โปร่ง ซุย มีรอยทางเดิน ซอกแซก ทะลุถึงกันได้ จาวปลวกน่าจะเป็นสวนปลูกเห็ดอ่อน เพราะมีเส้นใยขาวเต็มไปหมด สามารถพัฒนาเป็นดอกเห็ดต่อไป เกษตรกรจะนำส่วนนี้ออกมาถู หรือขยี้ ให้เป็นฝุ่นโปรยลงบนข้าวเหนียวนึ่งสุก ทิ้งให้เย็น เติมน้ำเล็กน้อยแล้วคลุกให้เข้ากัน คล้ายกับการทำสาโท นำไปหมักในถังพลาสติก ปิดปากถังด้วยผ้าขาวบาง

เกษตรกรบางท่านอาจฉีกหมวกเห็ดโคนผสมลงไปด้วยก็มี เก็บในร่ม ปล่อยให้เส้นใยเจริญเพิ่มปริมาณจนมองเห็นสีขาวชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ จึงนำไปหว่านในสวนในร่มรำไร อย่าให้แสงแดดจ้า ในช่วงแล้งควรสับฟางข้าว หรือนำใบไม้แห้งโรยลงพื้นเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุเป็นอาหารชั้นดีของเห็ด เมื่อเตรียมหัวเชื้อไว้เรียบร้อยแล้วจึงนำไปหว่านลงดิน กะให้พอดีกับต้นฤดูฝน หากฝนทิ้งช่วงควรรดน้ำให้บ้างเป็นครั้งคราว จากนั้นอีกประมาณ 30-45 วัน จะมีดอกเห็ดปรากฏให้เห็น

ทั้งหมดนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านล้วนๆ ในทางวิชาการยังขาดการวิจัยในวิธีดังกล่าว ขอให้ใช้ความพยายามทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ได้ผลประการใดกรุณาแจ้งให้ทราบด้วย ขอขอบคุณล่วงหน้า

คุณธีระธรรม แก้วเพ็ญศรี บ้านเลขที่ 130 หมู่ที่ 2 บ้านหินกองเหนือ ตำบลหนองขาม อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ หนุ่มนิติกรหัวใจเกษตร ใช้เวลาว่างช่วงเช้าก่อนไปทำงาน สวมบทเป็นเกษตรกรปลูกฝรั่งกิมจู สร้างรายได้เสริมหลายแสนบาทต่อปี

คุณธีระธรรม แก้วเพ็ญศรี เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเป็นเกษตรกรเวลาว่างว่า ปัจจุบัน ตนทำงานประจำ ในตำแหน่งนิติกรเทศบาลตำบลธาตุทอง ทำงานด้านกฎหมาย ทั้งเขียนบทกวีลงตีพิมพ์ในนิตยสารยามว่าง ซึ่งมองแล้วไม่น่าจะมาลงเอยที่การทำเกษตรได้เลย แต่ด้วยความที่มุ่งมั่นและอยากทำอาชีพเสริม ในระหว่างทำงานประจำจึงได้มองหางานเสริมที่เหมาะกับตนเองไปเรื่อยๆ ซึ่งก็หมายหลายอย่างที่น่าสนใจ จนกระทั่งมานึกคิดได้ว่าที่บริเวณหลังบ้านของตน มีสวนมะม่วงที่แม่ปลูกทิ้งไว้อยู่ประมาณ 2 ไร่ แล้วผลผลิตไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร จึงคิดที่จะเปลี่ยนแปลงที่ดินตรงนี้เพื่อสร้างประโยชน์ให้มากกว่าเดิม ด้วยการปรับเปลี่ยนพืชที่ปลูก หันมาปลูกฝรั่งแทน เนื่องจากมองว่าในช่วงนั้นกระแสของคนรักสุขภาพกำลังมาแรง ซึ่งฝรั่งก็ถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะมากสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะเป็นพืชที่มีวิตามินสูง ซื้อง่าย ขายคล่อง ตลาดมีความต้องการตลอดทั้งปี จึงเป็นที่มาของการปลูกฝรั่งและยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสวมบทบาทเป็นเกษตรกรวันว่างอีกด้วย

ปลูกฝรั่งกิมจู 500 ต้น ผลผลิตสูง
2-2.5 ตัน ต่อไร่ สร้างรายได้หลายแสนต่อปี
เจ้าของบอกว่า เริ่มต้นลงมือปลูกฝรั่งครั้งแรก จำนวน 350 ต้น ซึ่งในช่วงการเริ่มต้นปลูกผลผลิตในรอบแรกผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ในการทำเกษตร หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีความรู้เท่ากับศูนย์ก็ว่าได้ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ปลูกออกมาแล้วไม่รู้จะเอาผลผลิตไปขายที่ไหน เพราะยังเป็นมือใหม่ ไม่ได้ศึกษาการตลาดมาก่อน ก็ต้องเอาไปทิ้งให้ปลากินทั้งหมด แต่อุปสรรคตรงนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตนลดความพยายามลง แต่กลับยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ยิ่งต้องสู้ จนทุกวันนี้สามารถผลิตฝรั่งที่มีคุณภาพออกมาได้เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภคทั่วไป ด้วยจุดเด่นที่รสชาติมีความหวาน กรอบ เนื้อฟู ส่งผลไปถึงเรื่องของการตลาดที่โตไวอย่างก้าวกระโดด จากที่เคยขายไม่ได้ กลายเป็นว่าผลผลิตออกมาแทบไม่พอขาย

“ในตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมา ผมเดินบนเส้นทางสายอาชีพเป็นนักกฎหมายมาโดยตลอด การเกษตรถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และท้าทาย อาศัยความชอบและความขยันเรียนรู้ หมั่นลองผิดลองถูกศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ถึงจะประสบผลสำเร็จอย่างทุกวันนี้ แต่นับเป็นเพียงความสำเร็จก้าวแรกเท่านั้น เพราะอาชีพการเป็นเกษตรกรสำหรับผมถือเป็นอาชีพที่มีการเรียนรู้ไม่มีจบ ไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว เพียงต้องน้อมรับและแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์ที่เกิดในแต่ละวัน จนทำให้ทุกวันนี้ผมสามารถขยายพื้นที่ปลูกจากเดิม 350 ต้น เพิ่มมาเป็น 500 ต้น และสามารถผลิตฝรั่งได้มาก 2-2.5 ตัน ต่อไร่ ถือว่าเป็นผลผลิตที่ผมภูมิใจมากๆ สำหรับการทุ่มเทเวลาล้มลุกคลุกคลานมาเกือบ 2 ปี”

เทคนิคการปลูกฝรั่ง
ให้ได้ผลผลิตสูงเป็นทวีคูณ
เจ้าของบอกว่า ตามหลักแล้วการเตรียมดินสำหรับปลูกฝรั่งจำเป็นต้องมีการกำจัดวัชพืชก่อน แต่ด้วยความที่ในตอนนั้นตนเป็นมือใหม่ จึงไม่ได้มีการกำจัดวัชพืชก่อนการไถเตรียมดิน แต่เลือกที่จะไถแล้วยกร่องเลย ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนั้นได้สอนให้รู้ว่าวิธีการเตรียมดินในการปลูกฝรั่งที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีการกำจัดวัชพืช แล้วไถตากดินทิ้งไว้ ประมาณ 1 เดือน จากนั้นขุดหลุมปลูก ไม่ต้องกว้างมาก ประมาณ 2 หน้าจอบ รองก้นหลุมด้วยฟูราดาน ประมาณ 2 ช้อน แล้วโรยด้วยปุ๋ยขี้วัวบางๆ เสร็จแล้วนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงหลุมปลูกได้เลย

ระยะปลูกระหว่างต้น… 2.5 เมตร ระหว่างแถว 3 เมตร sportboard.net เป็นระยะที่พอเหมาะ พยายามอย่าให้กิ่งชนกัน จะได้บริหารจัดการง่าย ระบบน้ำ… ที่สวนจะใช้ระบบน้ำหยด ข้อดีคือ ใช้เงินลงทุนน้อย และประหยัดน้ำ และฝรั่งเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากในช่วงเริ่มต้น อย่างที่สวนจะให้น้ำแบบวันเว้นวัน เปิดรดวันละครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมง แต่เมื่อเข้าสู่หน้าฝนอาจจะเว้นการให้ ลงมาเหลือสัปดาห์ละครั้ง ให้ดูสภาพอากาศประกอบกันไปด้วย และค่อยเริ่มเร่งน้ำอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มห่อผล เปลี่ยนเป็นให้ทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ช่วงไว้ผลให้เร่งน้ำ ไม่ให้ขาด เพราะถ้าฝรั่งขาดน้ำจะทำให้เสียรสชาติ และผลจะเหี่ยวไม่ฟู

ปุ๋ย…ใส่เดือนละครั้ง โดยวิธีการใส่จะใส่ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และเคมีลงไปพร้อมกัน ใส่ในปริมาณ ขี้วัว 1 ถังสีเล็ก และปุ๋ยเคมี ปริมาณ 1 ช้อน แล้วพอครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ใช้สูตรนี้ไปเรื่อยๆ

การดูแล… หลังปลูกเกษตรกรต้องคอยดูแลรักษาแปลงปลูกฝรั่งอย่างสม่ำเสมอ หมั่นตรวจแปลงสังเกตการเจริญเติบโต และถ้าเป็นไปได้ให้เดินดูให้ครบทุกต้นในสวนว่าต้นไหนมีการผสมเกสรแล้วมีผลอ่อนออกมาให้เด็ดทิ้งให้หมด จนกว่าต้นจะอายุครบ 7 เดือน ลำต้นแข็งแรงสมบูรณ์ ถึงจะสามารถไว้ผลได้

การตัดแต่งกิ่ง… เมื่อต้นเริ่มได้อายุประมาณ 2 เดือน กิ่งจะเริ่มเยอะ ให้ตัดกิ่งที่อยู่ใต้สุดออก โดยจะไว้กิ่งที่อยู่สูงจากโคนต้นขึ้นมาประมาณ 30 เซนติเมตร ขึ้นไป ต่ำกว่านี้ให้ตัดออกให้หมด ในช่วงระยะเวลา 1-2 เดือนแรก จะไม่รักษาทรงพุ่ม เพื่อจะให้ต้นแทงยอดสูงขึ้นไปก่อน ส่วนเทคนิคในการเร่งความสูงไม่มีอะไรมาก เพียงอย่าให้ขาดน้ำ

การตัด จะตัดกิ่งก็เพื่อให้กิ่งใหม่มาแตกแขนงด้านข้างลำต้น ให้ถือหลักว่ายิ่งตัดกิ่งยิ่งแตกยอด วิธีการปฏิบัติคือจะนับจากปลายยอดลงมาประมาณ 3-4 คู่ใบ แล้วตัดออก จากนั้นสักประมาณ 2 สัปดาห์ ยอดอ่อนใหม่จะแทงขึ้นมาพร้อมดอก คือ ยิ่งตัดกิ่ง ตาดอกก็ยิ่งออกมา ทำให้โอกาสติดผลสูงขึ้นด้วย ถือเป็นวิธีการเพิ่มผลผลิตอย่างทวีคูณ จากที่จะได้ผลผลิต กิ่งละ 1 ชุด แต่ถ้าตัดแต่งกิ่งจะได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 ชุด แต่ก็ต้องดูความสมบูรณ์ของต้นประกอบด้วยว่าสามารถรับน้ำหนักไหวหรือไม่ แต่การไว้ผลมากเกินไปอาจทำให้ลูกเล็กและต้นโทรมเร็ว

ข้อดีของการตัดแต่งกิ่ง ช่วยทำให้ฝรั่งเกิดกิ่งอ่อน และมีช่อดอกออกมา ทำให้ต้นโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องถึงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเกิดโรคแมลง และเพื่อสะดวกในการดูแลจัดการเก็บเกี่ยวผลผลิต และเมื่อปลูกไว้ได้ผลผลิต 4-5 รุ่น ต้นจะเริ่มโทรม ผลจะเล็ก ไม่ค่อยตอบสนองกับปุ๋ยแล้ว จำเป็นต้องตัดทำลายกิ่งแก่ออก เพื่อให้มีกิ่งใหม่ที่สมบูรณ์ออกมาแทนที่ หรือเรียกว่า การทำสาว

วิธีการทำสาว… โดยการตัดกิ่งเก่าทิ้งให้เหลือประมาณ 3-4 กิ่ง ความสูงของต้นอยู่ที่ประมาณ 1.20 เมตร เพื่อสะดวกในการทำงาน ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น การห่อผลง่ายขึ้น การดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยก็ง่ายขึ้น และพอทำสาวเสร็จแล้วประมาณ 2 เดือน จะเห็นกิ่งใหม่งอกออกมาพร้อมดอก แล้วหลังจากนั้นประมาณ 4-5 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว