แล้วนำมาเทียบเคียงกันว่า ในระยะเวลา 3 ปี การให้ผลผลิตทุเรียน

ชนิดใดจะทำได้ดีกว่ากัน ซึ่งทุเรียนเม็ดที่ปลูกลงแปลงและทาบกิ่งกับทุเรียนพันธุ์หมอนทองจะมีโครงสร้างลำต้นที่สมบูรณ์กว่าทุเรียนถุง อีกทั้งระบบรากของทุเรียนเม็ดจะมีความมั่นคงมากกว่า ช่วยลดปัญหาทุเรียนโค่นหักล้มได้ง่าย รวมถึงทนทานต่อโรคอีกด้วย

คุณอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า “ตำบลนาสัก มักพบปัญหาเพลี้ยไฟระบาดในสวนทุเรียน ซึ่งจะใช้สารเคมีกำจัดแมลงจำพวกอิมิดาโคลพริด (Imidacloprid) ในการฉีดพ่นป้องกันแมลงเข้าทำลายใบทุเรียนในช่วงระยะใบอ่อนด้วยวิธีการฉีดพ่นทางใบ ในปริมาณ 50 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ขณะเดียวกันก็จะใช้ยากำจัดแมลงในกลุ่มอะบาเเม็กติน (Abamectin) ซึ่งประกอบไปด้วยสารคลอร์ไพริฟอส และไซเพอร์เมทริน (Chlorpyrifos+Cypermethrin) เข้ามาฉีดพ่นป้องกันกำจัดหนอนกัดกินลำต้นทุเรียน

ตัดแต่งกิ่งทุเรียน ช่วยลดปัญหาเชื้อราสีชมพู

คุณอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “การตัดแต่งกิ่งทุเรียน ถือเป็นปัจจัยหลักในการป้องกันปัญหาโรคระบาดอันเกิดขึ้นได้จากความชื้น จึงต้องมีการตัดแต่งกิ่งบริเวณด้านล่างลำต้นให้มีความโปร่ง สามารถระบายอากาศได้ดี เนื่องจากเมื่อมีความชื้นมากแล้วจะทำให้เกิดเชื้อราจำพวกราสีชมพู และไฟทอปทอร่า (Phytophthora) ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเชื้อราที่ชาวสวนทุเรียนในจังหวัดชุมพรมีความกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่จะบรรเทาทุเลาลงได้ด้วยวิธีการตัดแต่งกิ่งด้านล่างลำต้น โดยเว้นระยะห่างจากพื้นจนถึงกิ่งแรก ประมาณ 1 เมตร แล้วคงเหลือกิ่งทุเรียนที่มีความแข็งแรงเอาไว้ประมาณ 35 กิ่ง ต่อต้น เท่านั้น”

เมื่อมีการตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีความจำเป็นออกไปแล้ว จึงเริ่มขั้นตอนการโยงกิ่งต้นทุเรียนเพื่อช่วยในการป้องกันลมกระพือทำให้ลูกร่วง เปรียบเสมือนการรักษากิ่งให้อยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ให้ต้นทุเรียนมีการผลัดกิ่ง หรือผุไปเพื่อในฤดูกาลหน้าจะสามารถให้ผลผลิตได้อีก หากไม่มีการโยงกิ่งทุเรียนเมื่อมีลมแรง หรือลมที่พัดมาตามร่องเข้าจะทำให้กิ่งหัก อีกทั้งยังลดภาระความจำเป็นเมื่อลูกทุเรียนมีขนาดผลที่ใหญ่ ทำให้กิ่งห้อยภายหลังตัดลูกแล้ว จะต้องสูญเสียกิ่งไปด้วย

สำหรับเทคนิคสำคัญในการโยงกิ่งทุเรียน ต้องโยงให้ใกล้ขั้วลูกมากที่สุด เพื่อให้เชือกที่ผูกยึดไว้กับลำต้นทุเรียนสามารถที่จะช่วยพยุงน้ำหนักของกิ่งที่ติดผลเอาไว้ได้ อีกทั้งการผูกโยงระหว่างกิ่งกับลำต้นทุเรียนนั้นต้องทำมุมให้ได้ประมาณ 45 องศา เพื่อให้การรับน้ำหนักระหว่างทรงพุ่มและลำต้นทำได้ดีที่สุด

เผยเคล็ดลับ เร่งผลผลิตทุเรียนสไตล์ลุงแอ้ป

ปัจจุบัน นอกเหนือจากการใช้สารเคมีเพื่อเร่งผลผลิตทุเรียนนอกฤดูแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการโชยสาร หรือใช้สารเคมีเป็นตัวเร่งในปริมาณที่น้อย คุณอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ปกติแล้วเกษตรกรในภาคใต้นิยมผลิตทุเรียนนอกฤดูออกจำหน่าย เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูง โดยใช้สารแพคโคลบิวทราโซล (Paclobutrazol) ที่มีความเข้มข้น ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ หรือ 3 กิโลกรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร เพื่อเร่งให้รากทุเรียนเกิดความแห้งผ่านวิธีการฉีดพ่นสารเคมีเข้าไปบริเวณใต้ทรงพุ่มของต้นทุเรียน มักเริ่มต้นประมาณช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี

ส่วนวิธีการโชยสาร ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ชาวสวนทุเรียนในจังหวัดชุมพรมีความนิยมกันอยู่ในปัจจุบัน จะใช้สารแพคโคลบิวทราโซล ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ เช่นกัน แต่มีความแตกต่างอยู่ตรงที่ใช้ฉีดสเปรย์พ่นนอกทรงพุ่มต้นทุเรียนที่โตเต็มวัย พร้อมให้ผลผลิตเพียงอย่างเดียว หลีกเลี่ยงไม่ฉีดในทรงพุ่มทุเรียนโดยตรง เพื่อเร่งให้ทุเรียนออกผลผลิตนอกฤดูเช่นเดียวกัน แต่คุณภาพต้นทุเรียนยังคงดีอยู่”

นอกจากนี้แล้ว คุณอภิสิทธิ์ ยังเพิ่มการให้ปุ๋ยทางดินจำพวกสารอินทรีย์ที่สามารถหาได้จากในท้องถิ่น รวมถึงปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ผสมมูลสัตว์จากเบทาโกร และอาหารเสริมพืช HB-101 ชนิดน้ำเข้ามาเป็นธาตุอาหารเสริมให้ต้นทุเรียนแทนที่การใช้สารเคมีเร่งให้ทุเรียนออกผลผลิตนอกฤดู ซึ่งจะทำให้มีผลผลิตออกจำหน่ายสู่ตลาดทุเรียนในจังหวัดชุมพรช่วงเดือนกรกฎาคม-มีนาคม ของทุกๆ ปี

คุณอภิสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ฝากถึงผู้ที่ต้องการปลูกทุเรียน ควรเตรียมระบบน้ำให้พร้อม เนื่องจากทุเรียนเป็นพืชที่ต้องการน้ำค่อนข้างมาก หากไม่มีการจัดการระบบน้ำภายในสวนที่ดีแล้ว อาจทำให้ประสบปัญหาทุเรียนยืนต้นตายได้”

สำหรับผู้ที่สนใจต้นพันธุ์ทุเรียนเพชรชุมพร หรือเข้าเยี่ยมชมสวน ติดต่อได้ที่ คุณอภิสิทธิ์ อยู่สุข (คุณแอ้ป) เลขที่ 180 หมู่ที่ 1 ตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร 86130 โทร. (081) 324-8296 และติดตามได้ทางเฟซบุ๊กไร่พอใจสไตล์ลุงแอ้ป

คุณทองสุข ชำนาญผลิต หรือ พี่อุ้ม อยู่บ้านเลขที่ 856/1 ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พี่อุ้ม หนุ่มโสด วัย 41 ปี ใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรตั้งแต่จำความได้ ด้วยความที่เรียนจบไม่สูงจึงยึดอาชีพเป็นเกษตรกรอาศัยความชำนาญเลี้ยงชีวิต ปัจจุบัน พี่อุ้มเริ่มหันมาปลูกหอมแบ่ง เป็นระยะเวลา 3 ปี ถือว่าราคาดีมาตลอด

ปลูกเพียง 2 ไร่ แบ่งปลูกหอมเป็น 2 พันธุ์ ด้วยกัน คือ พันธุ์ขาไก่ 1 ไร่ และพันธุ์อุตรดิตถ์ 1 ไร่ หอมทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป อย่างพันธุ์ขาไก่มีอายุเก็บเกี่ยว 60 วัน สายพันธุ์นี้ต้องดูแลนานก็จริงแต่คุ้ม เพราะสามารถเก็บไว้รอราคาขึ้นได้ ส่วนสายพันธุ์อุตรดิตถ์ให้ผลผลิตดี อายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 35-40 วัน เก็บขายได้เร็ว ไม่ต้องดูแลมาก

ยกร่องให้สูง หากอยู่ในช่วงฤดูฝนใช้วิธีนี้ ปัญหาหอมเน่ารากเน่าจะไม่เกิด ขั้นแรกไถพรวนผาล 3 ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ แล้วยกร่อง ครั้งที่ 2 ไถพรวนผาล 4 ตากดินทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ และยกร่องขึ้นมาใหม่ให้ร่องสูงประมาณหัวเข่า เพื่อแก้ปัญหาในช่วงฤดูฝนกันรากเน่า ความยาวของแปลงตามสะดวก เมื่อทำเสร็จให้รดน้ำ 2 วัน แล้วใช้เครื่องตีดินแบบเดินตาม เพื่อให้ดินร่วนซุยอีกครั้ง

เมื่อเตรียมดินยกร่องปลูกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้นำหัวหอมที่เตรียมไว้มาปักลงดิน เพียงครึ่งหัว ความห่างระหว่างต้น 1 คืบมือ 1 หัว จะแตก 4-5 ต้น ถือว่าได้ผลผลิตกำลังพอดี ถ้าให้มากกว่านี้ หลอดจะเล็ก ตลาดไม่ต้องการ เราต้องทำให้ตรงกับความต้องการของตลาดถึงจะขายได้

การดูแล-ระบบน้ำ

ระบบน้ำที่ใช้เป็นระบบสปริงเกลอร์หัวปกติ รดน้ำเช้า-เย็น ในตอนเช้าเปิดรดน้ำ 5 นาที ตอนเย็นรดเพียง 2 นาที เมื่อหอมขึ้นประมาณ 1 ข้อนิ้ว ให้พักรดน้ำเป็นวันเว้นวัน หากรดทุกวันตาจะไหม้

โรคแมลง

มีเป็นปกติ ยิ่งช่วงหน้าร้อนต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะหนอนหลอดจะระบาด วิธีการดูแลอาจต้องมีการใช้สารเคมีผสมกับอินทรีย์บ้าง อย่างการใช้น้ำส้มควันไม้เข้าช่วย จะให้ใช้สารเคมีอย่างเดียวผู้บริโภคก็ไม่ไหว เกษตรกรตัวเราเองร่างกายก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

การเก็บเกี่ยว

ใช้แรงงาน ถอนช่วงเช้าๆ 45 เข่ง ก็ได้เป็น 100 กิโลกรัมแล้ว เราไม่ได้ถอนทั้งวัน ถอนแล้วตั้งไว้ ล้างน้ำเปล่า ตากไว้ในที่ร่ม หอมจะไม่เหี่ยว ตกเย็นมาขับรถไปส่งที่ตลาด

ลงทุนน้อย กำไรมาก

ปลูกหอมแบ่ง 2 ไร่ ได้ผลผลิตประมาณ 2-3 ตัน ต่อไร่ หากคิดราคาในปัจจุบัน อยู่ที่กิโลกรัมละ 25-35 บาท ราคามีดีบ้างไม่ดีบ้าง หากขายไม่ได้ก็สามารถนำมาทำพันธุ์ต่อได้ ทำมา 2 ปี ถ้าเทียบกับการปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลังถือว่าคุ้มกว่ากันมาก ปลูกหอมใช้เงินลงทุน ประมาณ 15,000-20,000 บาท ราคานี้รวมค่าพันธุ์หอม ค่าแรง ค่าอุปกรณ์แล้วทุกอย่าง แต่ถ้าปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลัง บวกกับค่าเช่าที่แล้ว ต้องใช้เงินลงทุน ไร่ละ 200,000 บาท ทำไปก็เป็นหนี้ ซึ่งตอนนี้มีแผนที่จะยกเลิกการปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลัง แล้วเปลี่ยนมาขยายเป็นการปลูกหอมและผักชีเพิ่ม

มะเขือยาว เป็นพืชผักรสชาติดี สามารถปรุงอาหารได้หลายอย่าง ตั้งแต่ แกง ผัด ต้ม หรือเผากินกับน้ำพริก

ส่วนใหญ่แล้ว มะเขือยาวมีขายตามท้องตลาดทั่วไป ซื้อหาได้ราคาไม่แพง แต่หากใครคิดอยากปลูกไว้กินเอง โดยเฉพาะปลูกในกระถาง สามารถทำได้

เริ่มต้นจากเพาะกล้าโดยใช้ภาชนะเป็นกะละมัง ครุถังแตก หรือเพาะลงดินก็ได้

จากนั้นเตรียมดิน ที่มีส่วนผสมของดิน ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้ว ปุ๋ยคอกอาจจะเป็นขี้ไก่ ขี้วัว หากมีใบก้ามปูผสมด้วยก็จะดีมาก ใส่วัสดุปลูกลงในกระถาง จากนั้นนำต้นกล้าที่มีใบจริง 2-3 ใบ โดยอายุอยู่ที่ 25-30 วัน ลงปลูก

หากบังร่มให้กับต้นกล้าปลูกใหม่ก็จะดี เมื่อต้นตั้งตัวได้ ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ให้กับมะเขือราว 1 หยิบมือ ต่อกระถาง หากไม่มีปุ๋ยสูตรก็ไม่เป็นไร

หมั่นคอยดูว่ากระถางมีความชื้นหรือไม่…หลังปลูกได้ 60 วัน ก็จะมีมะเขือยาวให้เก็บปรุงอาหาร ส่วนจะเก็บได้นานหรือมากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับขนาดกระถางและความอุดมสมบูรณ์ของวัสดุปลูก

งานปลูกมะเขือยาวในกระถาง เหมาะสำหรับคนมีพื้นที่ปลูกน้อย หรือพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นลานซีเมนต์ ข้อควรระวังนั้น ในกระถางน้ำแห้งเร็ว จึงต้องสังเกต แล้วเติมน้ำให้พอเหมาะ จริงๆ แล้ว ไผ่ในเมืองไทยมีมากหนักหนา กระนั้นก็ตามเมื่อค้นพบไผ่สายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่อยู่ในวงการก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ

แต่ก่อนเก่าโบราณมีการนำไผ่จากจีนเข้ามาปลูก คือ ไผ่ตง ระยะเวลาน่าจะกว่า 100 ปีแล้ว ราว 10-20 ปีมานี้ มีการนำไผ่ชนิดใหม่จากจีนเข้ามา ลักษณะโดดเด่นมาก คือเจริญเติบโตและให้หน่อเร็ว

แต่ที่มานั้นยังสับสน ว่านำเข้ามาตั้งแม่เมื่อไร ใครเป็นผู้นำเข้ามา

ยุคแรกๆ เมื่อไผ่ชนิดนี้ ไปเจริญแพร่พันธุ์อยู่ที่ใด คนในท้องถิ่นจะตั้งชื่อขึ้นใหม่ ทำให้ไผ่จีนที่คุณสมบัติโดดเด่นมีมากกว่า 5 ชื่อ ในเขตตัวเมืองกาญจนบุรี เรียกกันว่า ไผ่ตงลืมแล้ง

ที่อำเภอไทรโยค เรียกว่า ไผ่กิมซุ่ง

คุณทรงยศ พุ่มทับทิม นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ไปพบที่ระยอง จึงนำไปศึกษาอยู่ที่อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เรียก ไผ่จีนเขียวเขาสมิง คุณสมบัติที่พบเห็นอยู่ของไผ่ชนิดนี้ หากสภาพแวดล้อมดีพอสมควร จะเจริญเติบโตเร็ว หลังปลูกเพียง 4-7 เดือน ก็เริ่มให้หน่อได้แล้ว

จำนวนหน่อต่อกอดก แต่ต้องหมั่นสางลำออก อย่าให้ลำมากหรือแน่นมากเกินไป หากลำมากจำนวนหน่อที่ออกมาจะน้อย หน่อมีขนาดเล็ก ให้ดีควรไว้ลำ 6-7 ลำ ต่อกอ โดยสางลำที่อายุมากออกไปใช้งาน

คุณบุญลือ สุขเกษม และภรรยา

ที่จังหวัดตราด เคยเก็บตัวเลขไว้ พบว่า ไผ่จีนให้หน่อได้ 30 หน่อ ต่อกอ ต่อปี น้ำหนัก ต่อหน่อ 1.5-2.5 กิโลกรัม หน่อไผ่จีนนำไปปรุงอาหารได้ทุกอย่าง ลำไผ่จีนก็ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง รวมไปถึงการเผาถ่าน

พื้นที่ใดมีน้ำดี สามารถทำให้ออกก่อนฤดูได้

สิ่งหนึ่งที่ผู้ปลูกไผ่ชนิดนี้ประทับใจมากนั้น ผืนดินที่รกเรื้อไปด้วยหญ้า เมื่อปลูกไผ่จีนได้ 2-3 ปี บริเวณนั้นจะร่มเย็น พื้นล่างไม่มีวัชพืชขึ้น เริ่มแรกที่มีการเผยแพร่เรื่องของไผ่จีน สนนราคาต้นพันธุ์ค่อนข้างสูง ซึ่งวิธีขยายพันธุ์ทำได้ง่ายโดยการตอน ทุกวันนี้ ต้นพันธุ์ไผ่จีนราคาย่อมเยา สามารถซื้อหาไปปลูกได้ทีละมากๆ

พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชอบไผ่นี้ เพราะสามารถสร้างป่าได้เร็ว หน่อไผ่ก็จำหน่ายได้ดี เพราะมีการบริโภคกันมาก มะพร้าวกะทิ เกิดจากการกลายพันธุ์ เนื้อผลมีเนื้อนุ่มหนา น้ำข้นเหนียวเป็นวุ้น หากกินในช่วงที่พอเหมาะจะรสชาติดี เดิมทีมีความเข้าใจว่า กินมะพร้าวกะทิเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบัน พิสูจน์แล้ว ไม่มีผลแต่อย่างใด

หากพบว่า มะพร้าวต้นไหนเป็นกะทิ มักจะพบในระยะต่อมา มะพร้าวต้นหนึ่งมี 12 ทะลาย ต่อปี อาจจะพบกะทิในทะลายที่ 2 ทะลายที่ 5 แต่ละทะลายอาจจะพบ 1-2 ผล

ในทางวิชาการ ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร วิจัยให้ได้มะพร้าวกะทิ 18-20 เปอร์เซ็นต์

ยกตัวอย่าง หากปลูกพันธุ์กะทิของศูนย์วิจัยฯ ลงดินไป เมื่อให้ผลผลิต 100 ผล ต่อต้น ต่อปี จะมีกะทิ 18-20 ผล ในทางปฏิบัติ เกษตรกรจะขายผลแห้ง 80 ผล เป็นมะพร้าวขูดน้ำกะทิ (มะพร้าวแกง) ผลละ 7 บาท เป็นเงิน 560 บาท ส่วนผลกะทิ ขายผลละ 40 บาท เป็นเงิน 800 บาท ดังนั้น เกษตรกรจะมีรายได้ 1,360 บาท ต่อต้น ต่อปี ในสภาพความเป็นจริง ผลผลิตอาจจะน้อยกว่า 100 ผล หรือมากกว่า 100 ผล ต่อต้น ต่อปี ก็ได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประสงค์ ทองยงค์ ปลูกมะพร้าวอยู่อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี พื้นที่ 100 ไร่ เป็นมะพร้าวน้ำหอม รบ.1, รบ. 2, รบ.3

อย่างอื่นมีมะแพร้ว, มะพร้าวพันธุ์กะทิ จากศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร และมะพร้าวพวงร้อย

มะพร้าวพวงร้อย ที่สวนแห่งนี้ ระหว่างปีให้ผลผลิต 12 ทะลาย มีดกมากๆ 60-100 ผล ต่อทะลาย ราว 4-5 ทะลาย ที่เหลือ ผลผลิต 10-15 ผล ต่อทะลาย การใช้ประโยชน์จากมะพร้าวพวงร้อย คือกินเป็นมะพร้าวอ่อน

อย่างไรก็ตาม ความพิเศษของมะพร้าวพวงร้อยที่นี่ ผลกลายเป็นมะพร้าวกะทิ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประสงค์ บอกว่า พบประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง มะพร้าว 100 ผล จะพบผลกะทิ 3-5 ผล โดยที่มะพร้าวกะทิพวงร้อยมีผลขนาดเล็ก สวย น่ารัก คนที่ชอบกิน 1 ผล อิ่มพอดี

คุณผกามาศ เพิ่มแสงสุวรรณ หรือ คุณนก เจ้าของไร่ทรงสุวรรณ อยู่เลขที่ 48/1 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เล่าที่มาของความชอบทำเกษตรว่า แต่เดิมทำงานด้านบัญชีอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยนิสัยที่ชื่นชอบปลูกต้นไม้ จึงใช้เวลาในวันหยุดกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แล้วทำสวนปลูกพืชไว้เป็นงานอดิเรก เนื่องจากที่บ้านมีพื้นที่ในการเลี้ยงวัวนมอยู่

ภายหลังลงมือปลูกพืชผักหลายชนิดจนประสบความสำเร็จ ทำให้ยิ่งมีความรู้สึกสนุกและผูกพัน จึงค่อยๆ พัฒนารูปแบบการปลูก ตลอดจนเพิ่มพันธุ์พืชอีกหลายชนิด กระทั่งพบว่าตัวเองหลงรักงานเกษตรเข้าอย่างเต็มที่ จากนั้นตัดสินใจเลิกอาชีพนักบัญชี แล้วผันตัวเองมาสู่วงการเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มตัว แม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากครอบครัวสักเท่าไร

คุณนก เล่าว่า จากสภาพพื้นที่เดิมก่อนจะมาใช้ประโยชน์ พบว่า ดินมีคุณภาพแย่มาก เพราะใช้ดินก้นบ่อที่ไม่มีธาตุอาหารมาถม ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล ทำให้ต้องปรับปรุงฟื้นฟูสภาพดินด้วยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ผสมคลุกเคล้ากับหญ้า นำไปใส่ในดินแล้วไถกลบไป-มา หลายครั้ง ทำเช่นนี้นานประมาณ 2 ปี จึงทำให้ดินกลับมามีสภาพดีขึ้นมาก สามารถปลูกพืชอะไรก็เจริญงอกงาม

เกษตรกรสาวรายนี้ตั้งใจทำเกษตรอินทรีย์ที่ไม่พึ่งเคมี แม้จะเป็นเรื่องยากและหนัก แต่มีความมุ่งมั่นต้องทำให้ได้ จึงเริ่มจากปลูกพืชผักที่ตัวเองชอบก่อน จนสามารถเรียนรู้เทคนิคการปลูกอย่างลึกซึ้ง แล้วเพิ่มจำนวน/ประเภทพืชผักสำหรับใช้บริโภคที่มีคุณค่าทางโภชนาการอีกหลายชนิด เพื่อปลูกส่งขายให้แก่ลูกค้าที่รักสุขภาพ จนในที่สุดสามารถทำเกษตรอินทรีย์ผสมผสานได้อย่างลงตัวครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช ทำปุ๋ยอินทรีย์ เลี้ยงสัตว์ แถมยังนำไปขายทำการตลาดเองด้วย

พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ สำหรับใช้ทำสวนอินทรีย์ผสมผสานสำหรับหญิงสาวคนนี้ถือว่ากำลังเหมาะสม คุณนก บอกว่าเมื่อก่อนเคยใช้พื้นที่ถึง 10 ไร่ แต่ประสบปัญหา เพราะเกินกำลังตัวเอง จึงปรับลดพื้นที่ลงเพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน

จากเวลา 4 ปี ของการสะสมประสบการณ์ที่ผ่านการลองผิด-ถูก ล้มเหลวและสำเร็จได้สร้างความแข็งแกร่งต่อคุณนกจนประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ ในชื่อ “ไร่ทรงสุวรรณ” พร้อมกับกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย

กลุ่มพืชผักสวนครัว อาทิ ผักชีฝรั่ง (ปลูกไว้จำนวนมาก) ผักชีไทย ขึ้นฉ่าย พริก มะนาว ตะไคร้ (ปลูกไว้บริเวณโดยรอบ)
ผักใบ อย่างผักโขม ดอกชมจันทร์ ถั่วฝักยาวสีม่วง ดอกขจร (ถือเป็นพืชชนิดแรกสำหรับการเริ่มต้นทำเกษตรอินทรีย์ของคุณนกที่ประสบความสำเร็จเป็นที่สนใจของลูกค้า ขายดีมาก จนต้องมาทำกิ่งพันธุ์ขายควบคู่ไปด้วย) นอกจากนั้น ยังเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือเพื่อไว้สำหรับนำมาแปรรูปเป็นน้ำเห็ดแล้วใส่เฉาก๊วยบรรจุใส่กระปุก ขนาด 200 มิลลิลิตร เพื่อเป็นของว่างสุขภาพที่ขายดีมากในกลุ่มผู้รักสุขภาพ

กลุ่มสัตว์เลี้ยง ได้แก่ ไก่ไข่ เป็ด วัวนม (ใช้มูลทำปุ๋ย) เลี้ยงปลา สำหรับไก่ที่คุณนกเลี้ยงไว้เพื่อขายไข่ โดยในตอนแรกที่เริ่ม มีจำนวนไก่เพียง 10 ตัว เป็นการเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ แล้วเลี้ยงด้วยอาหารที่หาได้ในพื้นที่ทั้งเปียก/แห้ง ถ้าเป็นอาหารเปียกจะใช้หยวกกล้วย ร่วมกับพืชผักสมุนไพรและผลไม้ ส่วนอาหารแห้งจะเลี้ยงด้วยธัญพืชที่หาได้ง่ายในพื้นที่ ทั้งนี้เป็นการเลี้ยงเพื่อนำไข่ไปขาย จึงเป็นไข่ออร์แกนิกจากไก่อารมณ์ดีที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง

จากกิจกรรมดังกล่าว จึงสามารถเก็บผลผลิตขายได้ทั้งแบบวันเว้นวัน จนไปถึงสัปดาห์ละครั้ง ส่วนผักก็ปลูกแบบหมุนเวียน ซึ่งแต่ละชนิดจะไม่ปลูกมาก แต่เน้นให้หลากหลายเพื่อสะดวกและง่ายต่อการเก็บผลผลิตนำไปขายสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยยึดตามรอบการสั่งของลูกค้าตามแผนการปลูกที่วางไว้ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ลูกค้าได้บริโภคของใหม่/สด ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็สามารถขายสินค้าได้หมดโดยไม่เหลือเก็บไว้ให้เสียหาย

คุณนก ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จจากเกษตรอินทรีย์ แต่เธอยังมีเพื่อนสมาชิกภายใต้อุดมการณ์เดียวกันอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน จึงทำให้พวกเขาสร้างกิจกรรมผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ร่วมกันขึ้นมา แล้วนำเสนอขายลูกค้าในแบบ “ปิ่นโต” คือเป็นแนวทางการขายสินค้าผลผลิตทางการเกษตรที่รวมกันหลายชนิด ทั้งพืช ผัก ผลไม้ หรืออาหารที่นำมาจากบรรดาสมาชิกในกลุ่ม เพื่อนำไปเสนอขายเป็นรายการให้แก่ลูกค้ากลุ่มผู้รักสุขภาพให้เลือกตามความต้องการ ขณะเดียวกันสมาชิกแต่ละรายไม่จำเป็นต้องปลูกพืชหลายชนิดก็ได้ โดยดูว่าใครถนัดปลูกอะไร แล้วนำมารวมกันขาย วิธีนี้จะช่วยให้การปลูกพืชไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนได้อีก

เจ้าของไร่ทรงสุวรรณ เผยถึงแนวคิดการผลิตอาหารอินทรีย์ว่า จากการที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับสุขภาพกันมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันสินค้าอินทรีย์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีตลอดจนความใส่ใจที่มีวางจำหน่ายยังมีไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อมองถึงความจำเป็น จึงปักหลักแล้วร่วมมือกับเพื่อนสมาชิกอีกหลายจังหวัดในเขตภาคตะวันตกผลิตอาหารอินทรีย์ที่ได้คุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เป็นแม่บ้านและผู้สูงวัย นอกจากนั้น ยังเปิดบู๊ธจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีหลากหลายจากสมาชิกกลุ่มในชื่อแบรนด์ “ตะนาวศรี” ในห้างท็อปส์ สาขามหาชัยด้วย

ส่วนรายได้ คุณนก เผยว่า ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นบาท เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ต้องใช้ความอดทน ความพยายาม และใส่ใจกว่าจะมีผลผลิตที่มีคุณภาพ แล้วหาไม่ง่ายในตลาดทั่วไป ทำให้มีราคาสูงกว่าท้องตลาด ซึ่งลูกค้าต่างเข้าใจ เพราะต้องการอาหารที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง

แม้สินค้าเกษตรอินทรีย์แบรนด์ตะนาวศรีจะไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักสากล แต่ด้วยความมุ่งมั่น ขยัน อดทนที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะมาถึงจุดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้วิธีตรวจสอบมาตรฐานกันเองโดยอาศัยความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง จนทุกวันนี้สินค้าเกษตรอินทรีย์ทุกชนิดที่วางขายต่างได้รับความเชื่อมั่นแล้วอุดหนุนจากลูกค้าอย่างดีมาตลอดอย่างต่อเนื่อง

คุณนก บอกว่า การได้เข้ามาทำกิจกรรมในลักษณะนี้ถือเป็นโชคดีที่ได้มีสังคมกับเพื่อนใหม่ๆ ที่มีเจตนาตรงกัน มีความตั้งใจที่เหมือนกัน ขณะเดียวกันยังได้มีโอกาสใช้ความรู้ ความสามารถ จากสติปัญญาที่มีเข้าไปช่วยพัฒนากิจกรรมทางด้านเกษตรเพื่อให้เกิดความก้าวหน้า ให้มีความทัดเทียมกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในวงการเกษตรกรรม

“อยากให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจต่อสุขภาพตัวเอง ด้วยการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การเลือกบริโภคอาหารสุขภาพ ควรจะตรวจสอบแหล่งที่ผลิตควบคู่ไปด้วยว่า มีความน่าเชื่อถือมาก-น้อย เพียงใด เพราะจะได้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง” เจ้าของไร่ทรงสุวรรณ กล่าว

สอบถามรายละเอียด สั่งซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากไร่ทรงสุวรรณ ได้ที่ คุณผกามาศ เพิ่มแสงสุวรรณหรือ คุณนก โทรศัพท์ (081) 551-5857 fan page:ไร่ทรงสุวรรณ Line : 081-551-5857

“กระบองเพชร” เป็นหนึ่งในพรรณไม้ที่ ปลูกง่าย ตายยาก ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องมือเย็นก็ปลูกได้ กระบองเพชรเป็นพรรณไม้ขนาดเล็กถึงปานกลาง ลักษณะต้นเตี้ยๆ ดูน่ารัก มีหลากหลายรูปทรงสวยงามแตกต่างกันออกไปแล้วแต่สายพันธุ์ ลักษณะเด่นเฉพาะตัวของกระบองเพชร คือ หนามแหลมคมที่ปกคลุมอยู่รอบต้น ปัจจุบันมีคนหลงใหลพรรณไม้ชนิดนี้เพิ่มขึ้น แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าบางพันธุ์ก็สามารถกินผลได้ด้วย

คุณปิยะ วงศ์จันทร์ เจ้าของ Safety Farm ฟาร์มผลไม้ปลอดภัย จังหวัดลำปาง (โทร. 085-687-8778 ) ในอดีตเคยเป็นตัวแทนจำหน่ายไม้แปรรูป กระทั่งเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ผันตัวมาเป็นเกษตรกรที่จังหวัดลำปาง ครั้งแรกคุณปิยะเริ่มต้นปลูกเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่น ชื่อ “คิโมจิ” โดยปลูกเมล่อนในโรงเรือน เพื่อสะดวกต่อการดูแลจัดการแปลงปลูกเมล่อน โดยไม่พึ่งสารเคมี และขายผลผลิตผ่านเฟซบุ๊ก ในราคากิโลกรัมละ 300 บาท ใช้วิธีเปิดให้ผู้สนใจสั่งจองสินค้าล่วงหน้า เพียงแค่ 1 ชั่วโมง เขาสามารถขายเมล่อนได้มากกว่า 1,000 ลูก

แม้เมล่อนจะสร้างรายได้ก้อนโต แต่ทว่าเป็นพืชล้มลุก หลังจากออกลูก ต้นเมล่อนก็ตาย คุณปิยะ จึงมองหาพืชตัวอื่นที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวมาปลูกทดแทน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจนำเข้าพันธุ์ “กระบองเพชรกินผล” จากเกาะแกนคานาเรีย ประเทศสเปน เข้ามาปลูกที่จังหวัดลำปาง ปรากฏว่าได้ผลผลิตคุณภาพดี แถมขายได้ราคาสูงอีกต่างหาก

“ ผมสนใจปลูก มะเดื่อฝรั่ง สมัคร Holiday Palace และกระบองเพชรรับประทานผลเป็นไม้ผลทางเลือกตัวใหม่ เพราะมะเดื่อฝรั่ง เป็นไม้ผลยืนต้นที่ปลูกกันทั่วโลก อายุยืนยาว 100 ปี ปลูก 4 เดือน ก็ให้ผลแล้ว อีกทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ส่วนกระบองเพชรรับประทานผล ยังปลูกกันน้อย คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก ซึ่งทั้งมะเดื่อฝรั่ง และกระบองเพชรรับประทานผล ชอบอากาศร้อน ชอบแดด ประเทศไทยเหมาะมาก ที่จะปลูกไม้ยืนต้นชนิดนี้”

คุณปิยะ ตัดสินใจเลือกปลูกมะเดื่อฝรั่งพันธุ์แบล็คเจนัว จำนวน 4 สายพันธุ์ คือ ss001 ss002 ss003 และ ss004 ใช้เงินลงทุนครั้งแรก 720,000 บาท วางแผนปลูกในโรงเรือน ขนาด 15×30 เมตร สามารถปลูกมะเดื่อฝรั่งได้ 240 ต้น ให้น้ำในระบบอัตโนมัติ ใช้เวลาปลูกแค่ 5 เดือน สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ ในลักษณะผลสด ผลแห้ง และผลมะเดื่อแปรรูป ใช้เวลาปลูก 2 ปี ก็คืนทุนได้แล้ว

มะเดื่อฝรั่ง เป็นผลไม้ที่ทั่วโลกนิยมบริโภคเป็นอาหารและยา เพราะที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มาก โดยเฉพาะปริมาณของธาตุแคลเซียม ไม่มีธาตุโซเดียมที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง และไม่มีคลอเลสเตอรอล ในบางตำราระบุว่า หากบริโภคมะเดื่อฝรั่งเป็นประจำจะช่วยป้องกัน โรคนิ่วในไต ป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วยฟอกตับและม้าม ทำให้มะเดื่อฝรั่งจัดอยู่ในกลุ่มผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่ได้รับความนิยมจากตลาดอย่างต่อเนื่อง

กระบองเพชรรับประทานผล

คุณปิยะ เลือกปลูกกระบองเพชรรับประทานผล พันธุ์ Opuntia ficus-indica ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อการส่งออกของประเทศเม็กซิโกและชิลี ลักษณะเด่นของกระบองเพชรรับประทานผล พันธุ์นี้ก็คือ สามารถรับประทานได้ทั้งใบและผล ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ ผลมีรสชาติคล้ายแก้วมังกร มีทั้งชนิดหวานและเปรี้ยว

คุณปิยะ เลือกปลูกกระบองเพชรซึ่งเป็นพันธุ์กินผล โดยซื้อใบมาจากเกาะแกนคานาเรีย ประเทศสเปน จำนวน 100 ใบ ในราคาใบละ 1,000 บาท ใช้เงินลงทุนปลูกครั้งแรก 100,000 บาท นำมาปักชำลงทราย ไม่ต้องรดน้ำ ปลูกกลางแจ้ง กระบองเพชรรับประทานผลจะเริ่มให้ผลผลิตรุ่นแรกหลังปลูกไปแล้ว 3 ปี

“ผมนำใบ หรือบางคนเรียกลำต้นกระบองเพชร มาปักชำลงในถุงทราย 3 เดือน ใบจะเริ่มแตก จากนั้นก็ย้ายไปปลูกในวงบ่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จุดสังเกตใบต้องมีสีเขียวแก่ จากเดิมเป็นสีเขียวอ่อน ปลูก 3 ปี กว่ากระบองเพชรจะสามารถรับประทานผลได้ โดยตั้งราคาขายในราคา กิโลกรัมละ 300 บาท” คุณปิยะกล่าวในที่สุด