โดยทางไร่แตงโมคุณเดชาจะมีเกรดแตงโมทั้งหมด 3 เกรด

ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ โดยราคาของแตงโมนั้น จะขึ้นอยู่กับตลาดใหญ่ มีการขึ้นลงในทุกๆ วัน คุณเดชา กล่าว่า แตงโมถือว่าเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ทำกำไรได้ดี เคยปลูก 50 ไร่ ได้กำไรหลักล้านบาท แต่ด้วยในตอนนี้มีเรื่องของโรคระบาด อย่าง โควิด-19 เข้ามาก็ทำให้ต้องลดจำนวนในการปลูกลง เพราะผู้ประกอบการธุรกิจ ท่องเที่ยว และโรงแรม ที่ปกติแล้วจะรับแตงโมจากไร่ไป ก็ต่างปิดตัวลง บางที่ก็มีลูกค้าเข้ามาจำนวนไม่มาก ทำให้ในบางครั้งการสั่งแตงโมก็ลดจำนวนลง แต่ทางไร่แตงโมคุณเดชาก็ยังสามารถยืนหยัดได้เพราะคุณเดชามีตลาดลูกค้าที่หลากหลาย มีพ่อค้าแม่ค้าผลไม้รถเข็น พ่อค้าแม่ค้าคนกลาง เข้ามารับถึงหน้าสวน และยังมีการขายออนไลน์ผ่านแฟนเพจ ลานบิน จึงทำให้แตงโมลานบิน เป็นที่รู้จักและสามารถยืนหยัดได้มาถึงทุกวันนี้

คุณเดชา กล่าวว่า นอกจากการหาตลาดให้กับแตงโมแล้ว การปลูกแตงโมให้ได้คุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ แตงโมแต่ละสายพันธุ์ควรมีลักษณะและจุดเด่นที่ตรงตามสายพันธุ์ โดยการจะปลูกแตงโมให้ได้คุณภาพนั้น ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก จึงจะสามารถมีผลผลิตที่ได้คุณภาพสู่ท้องตลาด แตงโมเป็นพืชอายุสั้น ที่ปลูกเพียง 60 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ แต่หากระหว่างการปลูกนั้นมีการเกิดโรคจากพืชบ้างตามสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ต้องมีวิธีในการรับมือแก้ไขปัญหาที่ดี ประสบการณ์ในการปลูกแตงโมมากกว่า 20 ปี ของคุณเดชา สามารถจัดการกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในแตงโมได้อย่างดี จึงมีผลผลิตแตงโมคุณภาพสู่ท้องตลาด

สำหรับท่านใดที่สนใจผลผลิตแตงโม ขายส่ง-ขายปลีก ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเดชา ศรีจรูญพู่ทอง อยู่ที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี โทรศัพท์ 089-990-6771 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเฟซบุ๊ก สวนลานบิน

“เซียนมะม่วง เซียนฝรั่ง และหมอดิน” หลากหลายความรู้สึกที่ให้กับผู้ชายคนนี้ อาจารย์ตุ๊ หรือ อาจารย์สุรศักดิ์ สุรินธรรม หนุ่มปริญญาโท อดีตพนักงานแบงก์ แห่งสวนเกษตรเพชรแพรวา ผู้ใช้เนื้อที่อย่างคุ้มค่าในการปลูกมะม่วงเป็นหลัก แทรกด้วยฝรั่งในอัตราเท่าๆ กัน ภายในเนื้อที่ 3 ไร่ สร้างรายได้เฉพาะขายผลผลิต ได้เงิน 500,000 บาทต่อปี ที่สวนอาจารย์มีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย ต้อนรับคณะดูงานก็มากมายหลายกลุ่มจนได้เป็นเกษตรนำร่องที่มียอดวิวอันดับ 1 ในโซเชียลต่างๆ ด้วยการคิดนอกกรอบของอาจารย์จนประสบความสำเร็จ และได้ถ่ายทอดวิชาโดยไม่หวงวิชา และมีแนวคิดทำการเกษตรโดยไม่ต้องสร้างหนี้ เพียงแต่บริหารเวลาและการปลูกพืชหมุนเวียนอย่างถูกวิธี

“ครับ ผมไม่เคยคิดว่าดินปนทรายจะปลูกไม้ผลไม่ได้ ถ้ามาที่สวนจะได้เห็นว่าความเป็นไปได้นั้นจริง มีหลักการ ผมมีต้นพันธุ์มะม่วงกับฝรั่งกิมจู 520 ต้น มะม่วง 520 ต้น ในเนื้อที่ดินแห้งแล้งดินปนทราย 3 ไร่ การปลูกพื้นที่แล้งให้ได้ผลดีนั้นอันดับแรกต้องคิดคือเรื่องของดิน การปรับปรุงดินถือว่าเป็นพื้นฐานของการปลูกพืช การเตรียมดินนั้นถือเป็นเสมือนฐานรากก็ว่าได้ และการขุดหลุมปลูกต้องไม่ลึกเกินไป เพราะพืชจะหากินบนผิวดินได้ โดยเฉพาะรากฝอยรากแขนง การปลูกของผมนอกจากจะไม่ขุดหลุมลึกแล้ว (ขุดลึกประมาณ 1 คืบ หรือเท่ากับความยาวของถุงเพาะ ไม่ต้องรองพื้นก้นหลุม) โรยด้วยโดโลไมท์ คลุมผิวดินด้วยฟางข้าว โรยด้วยปุ๋ยคอกคือขี้วัว ขี้ควายเท่านั้น ไม่ใช้ขี้ไก่ ขี้หมู

ต้นไม้ผลที่สวนผมมีต้นมะม่วงกับฝรั่ง กิ่งพันธุ์ของผมจะเป็นกิ่งตอน เพราะว่าผมเน้นรากฝอยและรากแขนงในการหาอาหาร และตัดแต่งกิ่งไม่ให้ต้นสูงเกินไป การค้ำยันไม่ต้องกลัวเรื่องต้นล้ม ไม้ผลสองอย่างนี้ที่สวนจะทำการเด็ดยอดโดยเฉพาะกิ่งไหนที่ตั้งฉากเราจะตัดทิ้ง การที่ปลูกตื้นนั้นทำให้รากฝอยและรากแขนงหาอาหารได้ง่ายเพราะพื้นที่บริเวณผิวดินจะโปร่ง โดยเฉพาะดินที่แห้งแล้งเป็นดินปนทรายถ้ารดน้ำมากดินยิ่งแน่น จะทำให้รากหยั่งลึกลงไปได้ยาก”

จำเป็นมาก โดยเฉพาะดินแถบอีสานที่เป็นดินปนทราย ถ้ารดน้ำมากดินยิ่งแน่น สร้างดินใหม่ โดยใช้ขี้วัว ขี้ควาย โดโลไมท์ เป็นแร่ธาตุในการปรับสมดุลของดินแก้ปัญหาเรื่องความเป็นกรดเป็นด่าง และยังป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียที่อยู่ในดินได้อีกด้วย นี่คือพื้นฐานของการสร้างดินใหม่ และใช้ปุ๋ยสูตรต่างๆ เช่น สูตรเสมอ 16-16-16 หรือสูตร 24-24-24

ปลูกอย่างไรที่ใช้เวลา 5 เดือน ออกดอกออกผล

นอกจากเรื่องของการสร้างดินใหม่แล้ว เรื่องการให้ปุ๋ย ก็มาเรื่องของการให้น้ำ การให้น้ำก็เป็นเรื่องสำคัญ ให้มากก็รากเน่าได้ ให้น้อยก็ไม่พอเพียง ถ้าเริ่มปลูกใหม่ให้น้ำได้วันเว้นวัน แต่ถ้าพืชแตกใบอ่อนแล้วถือว่ารากได้ขยายแล้ว ก็ 3 วันครั้งก็ได้ และการให้ปุ๋ยทางใบไปด้วยโดยเฉพาะพืชเริ่มแตกใบอ่อน นั่นหมายถึงพืชจะแตกตาดอกตามมา พืชก็จะเริ่มให้ดอกให้ผลรุ่นแรกแล้ว ภายในเดือนที่ 5 ก็เห็นผลแล้ว

เกษตรทฤษฎีใหม่ ต้นเตี้ย ดก ไม่เน้นความสูง

ปลูกมะม่วงและฝรั่ง 5 เดือนก็ออกผล อยู่ที่การตัดแต่งกิ่งและการให้น้ำ ให้ปุ๋ย ไม่ใช่ว่ารดน้ำบ่อยแล้วจะดีนะ เพราะไม้ผลบางอย่างก็ไม่ต้องการน้ำมาก ระยะปลูกไม้ผลให้ได้ผลดีต้องตอนหมดฝน ที่สวนปลูกระยะที่ออกผลเริ่มแก่ก่อนเก็บ 40 วัน เริ่มให้น้ำมากได้ไป 20 วัน แต่ 20 วันสุดท้ายงดให้น้ำ หรือรดพอชุ่มชื้น หรือ 5 วันครั้งก็พอ เพื่อรสชาติที่ดี แต่ถ้าอยู่ในระยะเริ่มปลูกรดน้ำวันเว้นวัน ต้องคอยเด็ดยอดที่เป็นกิ่งที่ตั้งฉากขึ้นไป เพื่อหยุดการเจริญเติบโต การโน้มกิ่งเพื่อให้ขนานไปกับพื้นจะทำให้ดกแตกดอกมาก

ปลูกฝรั่งเลี้ยงมะม่วง ทั้งสองอย่าง 3 ไร่ รายได้ 5 แสนบาทต่อปี

ใช้พื้นที่ 3 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่สวนปลูกมะม่วงเป็นหลัก ฝรั่งพันธุ์กิมจูเป็นไม้ผลรอง ช่วงที่รอมะม่วงก็จะมีฝรั่งออกมาเป็นพืชหมุนเวียนสร้างรายได้ นอกจากการใช้เกษตรทฤษฎีใหม่แล้วการบริหารเรื่องการเก็บเกี่ยวก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีให้เก็บได้ยาวถึง 5 เดือน จากต้นฝรั่งกิมจู 3 ไร่ 520 ต้น ไม่ต้องการให้ผลไม้สุกพร้อมกันทีเดียว ต้องการให้ออกมาเพียงพอกับตลาด ไม่ล้นตลาด จะทำให้ได้ราคาดีก็จะแบ่งการตัดแต่งกิ่ง เพราะการตัดแต่งกิ่งแต่ละครั้งฝรั่งจะแตกยอดและแตกดอกใช้เวลา 20-30 วัน โดยการแบ่งการตัดแต่งกิ่งครั้งละครึ่ง คือ 260 ต้น อีก 260 ต้นที่เหลือก็จะทยอยเก็บรุ่นแรก ใช้เวลาเก็บประมาณ 2 เดือน หรือ 2 เดือนกว่าๆ ส่วนรุ่นต่อไปที่ตัดแต่งกิ่งไว้ก็จะออกทันกันพอดี ก็เก็บได้ไปอีก 2 เดือนกว่า ทำให้มีฝรั่งให้เก็บได้ หมดฤดูเก็บฝรั่งก็เก็บมะม่วง ส่วนมะม่วงนั้นปลูกหลากหลายสายพันธุ์ เพราะที่ฟาร์มยังซื้อที่เพิ่มทำเป็นศูนย์อนุรักษ์และเรียนรู้พันธุ์มะม่วงที่มีทั้งหมดกว่า 78 สายพันธุ์อีกด้วย แต่ที่ปลูกทำเป็นการค้านั้นก็จะมีพันธุ์เพชรอุบล บิ๊กอุบล เขียวสามรส น้ำดอกไม้เบอร์ 4 (พันธุ์เปลือกสีเขียว ถ้าสุกกินอร่อยกว่าน้ำดอกไม้พันธุ์อื่น)

ราคาและการตลาดปัจจุบันนี้ ขายหน้าสวน กิโลกรัมละ 40 บาท 3 กิโล 100 บาท ส่วนตลาดบนก็ส่งตามห้าง ก็คัดเกรดเอ ราคาก็จะต่างออกไป ทั้งมะม่วงและฝรั่งรวมกันแล้วจะได้เป็นเงินปีละ 5 แสนบาท ไม่เกี่ยวกับการขายต้นพันธุ์นะครับ

เทคนิคการเก็บเกี่ยวให้ได้ผลไม้ที่อร่อยต้องมีความแก่จัด โดยสังเกตดูผิวของผลมีการขยายตัวสีจะอ่อนลง เรียกว่าระยะสร้างน้ำตาล เก็บได้เลยจะได้ผลไม้ที่ทั้งหวานทั้งกรอบ

ปลูกฝรั่งและมะม่วงต้นเตี้ยก็ดกเต็มต้น เกษตรแนวใหม่จะไม่เน้นความสูง จะเน้นความกว้างโดยเฉพาะกิ่งไหนที่ตั้งฉากขึ้นไปก็ตัดทิ้งไป เลือกกิ่งที่โน้มกิ่งได้เพื่อให้ตาดอกออกได้ดีสมบูรณ์ ใช้เชือกฟางยึดกับไม้เพื่อแผ่ให้กว้าง เพื่อให้ออกผลตามกิ่ง ไม่ใช่ออกปลายยอด ป้องกันการถ่วงน้ำหนักของผลและไม่ทำให้กิ่งหักได้ ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ผลไม้จะออกปลายกิ่ง ทำให้แบกน้ำหนักผล ทำให้กิ่งหักได้เช่นกัน

ต้นเตี้ย ก็เรื่องของการเก็บเกี่ยว ลดค่าจ้างแรงงาน การปลูกมะม่วงและฝรั่งออกดอกรุ่นแรกเลยไม่ต้องเด็ดทิ้ง เพราะกลัวว่าต้นจะแคระแกร็น เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไรอยู่ที่การดูแลว่าต้นนี้แบกน้ำหนักได้กี่ผลก็จะเก็บไว้ตามที่ต้นนั้นๆ แบกน้ำหนักได้ นอกนั้นเราค่อยเด็ดทิ้งไป

คำว่าปุ๋ยเคมี ทำให้มีสารเคมีตกค้างจริงหรือไม่

“ผมไม่เห็นด้วยในฐานะผมเป็นนักวิจัยดินและเรียนมาทางด้านไม้ผล การใช้ปุ๋ยก็คืออาหารของพืช ปัจจุบันการทำปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็เพื่อให้พืชได้รับสารอาหารโดยตรงและทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี การดูดซึมของพืชจะดูดซึมของเหลวเข้าไปก็เป็นการกลั่นกรองมาแล้วจากระบบรากของพืช สารตกค้างจะมาจากสารเคมีที่กำจัดวัชพืชหนอนและแมลงมากกว่า แต่การปลูกฝรั่งกับมะม่วงนั้น การห่อผลเป็นการป้องกันการได้รับสารเคมีโดยตรงอยู่แล้ว ถือว่าปลอดภัยกว่าไม้ผลชนิดอื่น เช่น องุ่น พุทรา เป็นต้น ถ้าไม่กางมุ้งไม้ผลเหล่านี้ก็จะทำให้ได้รับสารเคมีโดยตรงทำให้อันตรายกว่า และอีกอย่าง การสัมผัสสารเคมีในทุกวันนี้ อย่างอื่นใกล้ตัวเรามากกว่า เช่น การใช้น้ำยาล้างจาน ถ้าล้างน้ำออกไม่หมดอาจจะทำให้มีสารตกค้างได้ง่ายกว่าและใกล้ตัวเราที่สุด”

ทำไมถึงเลือกที่จะปลูกฝรั่งกับมะม่วง

“เป็นการตอบโจทย์ที่ดีที่สุดในความคิดผมและผมคิดว่าเหมาะสำหรับลักษณะดินแบบนี้ และเหมาะกับทุกคน เป็นพืชที่ถือว่าดูแลง่ายที่สุด ผลไม้พื้นบ้าน ถ้าเป็นผลไม้อย่างอื่น ยกตัวอย่าง เช่น ทุเรียน อินทผลัม โกโก้ เป็นต้น พืชเหล่านี้อาจจะมีราคาดี แต่อาจจะเหมาะกับพื้นดินบางที่ ปลูกพืชราคาสูงในแถบดินแห้งแล้งปนทราย อาจจะได้ผลแต่ต้นทุนก็สูงไปด้วย แต่ถ้าเป็นผลไม้พื้นบ้าน เช่น ฝรั่งกับมะม่วงเป็นราคาที่ทุกคนจับต้องได้ เรื่องราคาก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ผลไม้ราคาถูกแต่มีปริมาณเยอะยอดขายเยอะ ก็น่าคิดได้ว่าขายได้ปริมาณมากย่อมต้องดีกว่า ขายง่ายกว่า”

เทคนิคปลูก 5 เดือนได้ผล ทำนอกฤดูได้

การปลูกเราได้พูดไว้แล้ว การให้ปุ๋ยก็เป็นเรื่องใหญ่ ราคาปุ๋ยเคมีเดี๋ยวนี้ก็มีราคากระโดดขึ้นเกือบเท่าตัว ผมอาศัยหลักใหญ่ก่อนว่าพืชต้องการธาตุหลักอยู่ 3 ธาตุ คือ เอ็น พี เค (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม) การเติมเต็มให้พืชได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์เป็นปัจจัยหลัก ลำต้นสมบูรณ์ก็ย่อมที่จะให้ผลที่สมบูรณ์และดกไปด้วย และใช้ปุ๋ยคอกอย่างถูกวิธี ต่อให้ดินแย่สักแค่ไหนถ้าอาหารพืชมีเพียงพอก็ย่อมได้ผลดี การให้ธาตุอาหารอย่างถูกวิธี เช่น ระยะเริ่มปลูกให้ดินเสริมที่ดีหรือดินดำเป็นดินปลูก โรยด้วยขี้วัว และโดโลไมท์เพื่อปรับสภาพดิน แค่นี้ก็เพียงพอ พอระบบรากเดินดีก็จะเสริมธาตุ หรือปุ๋ยสูตร 16-16-16 บวก 18-46-0 ผสมกันในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่ายปุ๋ย ธาตุอาหารนี้บำรุงดอกและใบ หรือจะใช้ 8-24-24 ก็ได้ พอพืชติดดอกแล้ว จะอยู่ในระยะ 25-30 วัน ก็จะทำการห่อได้เลย ห่อด้วยพลาสติกหรือถุงห่อพืชโดยเฉพาะก็ได้ โดยเฉพาะฝรั่งหรือมีขนาดเท่าเหรียญสิบบาท ก็เริ่มห่อ (ระยะติดผลอ่อนให้งดให้ปุ๋ย) เพราะถ้าให้ปุ๋ยจะทำให้พืชแตกใบอ่อนเพิ่มอีก จะทำให้ผลอ่อนนั้นสลัดขั้วหรือร่วงไป

ในระยะก่อนที่จะเก็บเกี่ยวประมาณ 40-45 วัน ก็ให้ปุ๋ยหวาน 16-16-16 บวก 0-0-60 ผสมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 โดยให้ต้นที่มีอายุ 1 ปี ก็ 1 กำมือ 2 ปี ก็ 2 กำมือ โรยรอบๆ ต้น ระยะนี้ควรจะรดน้ำ 3 วันครั้ง

ต้องมีการโน้มกิ่ง เพื่อให้กิ่งที่ตั้งอยู่ในแนวเฉียงเพื่อการแตกดอกที่ดี ให้ดอกมากก็ให้ลูกมาก และยังเหมาะสำหรับการทำผลไม้นอกฤดูอีกด้วย ควรจะเริ่มมีการโน้มกิ่งต้นไม้ต้องมีอายุ 1 ปีขึ้นไป ควรจะโรยโดโลไมท์ถ้าฤดูฝน 3 เดือนครั้ง หากท่านใดสนใจก็สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สวนเกษตรเพชรแพรวา โดย อาจารตุ๊ หรือ สุรศักดิ์ สุรินธรรม บ้านดอนยาว ตำบลบ้านตูม อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี ชื่ออื่นๆ ดอกดิน (ภาคกลาง) หญ้าแลไข่กา, จำปีบะ (อุบลราชธานี) กล้วยเล็บมือนาง (ชุมพร) หญ้าหนวดเสือ (สุราษฎร์ธานี) เลื้อมนกเขา หญ้านกเขา

“มิใช่ดอกฟ้าสุดาสวรรค์ มิใช่แจ่มจันทร์พิมานแดนใดได้ แต่เป็นหญิงที่มีจิตใจมั่นคง แจ่มใสเหมือนเช่นคุณ มิใช่นางหงส์อ่าองค์สะคราญ สิงสู่สถานแห่งเนื้อนาบุญ ปรารถนาก็มีเหมือนคุณ หวังความเกื้อกูลหวังความอุ่นใจ หากเป็นเช่นดอกฟ้า คงคู่นภา มิมาเคียงใกล้ คงเคียงคู่หมู่ดาวไสว เคียงคู่ไฉไลแห่งรัชนี แต่ฉันก็เป็นเพียงหญิง ใจมั่นรักจริงฝังในฤดี เพียงคุณเอ่ยเปิดเผยวจี มอบใจภักดี นี้ให้กับคุณ”

บทเพลงแทนความรู้สึกของ “หญิง” ที่ทั้งรักทั้งชอบเพลงบทนี้อย่างสุดซึ้ง เพราะตรงใจ ถ่อมตัวสำนึกว่าตนคือใคร ชั้นสกุลใด แม้จะมีชื่อเรียกขาน เป็นดาวจรัสฟ้า คู่เวหากับดวงจันทร แต่ก็มิอาจเอื้อมยอมรับโดยตรง ยังเตือนตัวตนว่าเป็นเพียงหญิงที่มีใจรักจริง รอรับคำเปิดใจส่งรักมาด้วยวจีที่จะรับไว้ด้วยใจภักดีกับคุณคนนั้น

อยากจะขอเชิดชูครูเพลง ทั้งท่านผู้ประพันธ์คำร้อง-ทำนอง คือ ครูเนรัญชรา และท่านผู้ขับร้อง คือ คุณสวลี ผกาพันธุ์ ซึ่งอายุเพลงนี้ ก็มากกว่า 60 ปีแล้ว แต่ความซาบซึ้งยังมีความหมายความไพเราะเยี่ยมยิ่ง เช่นเดียวกับชื่อเพลง ว่า “ดอกฟ้าผกาดิน” จึงเหมือนกับชีวิตของ “หญิง” ที่เบ่งบานจากพื้นดินแหล่งหล้า แล้วเข้าสู่เขตรั้วริมวัง กลายเป็น “ดอกฟ้า” ด้วยพระบารมี เป็น “บุปผางามนามพระราชทาน” จากสมเด็จพระพันปีหลวง พระราชทานชื่อว่า “สรัสจันทร”

แม้ว่าหญิงจะเป็น “บุปผาราชินี” ด้วยได้รับพระราชทานชื่อมานี้ แต่หญิงไม่เคยลืมชื่อเดิมๆ ของตัวเอง ที่อยู่กับพื้นหญ้าท้องนาพื้นบ้าน ที่เด็กๆ ชาวบ้านวิ่งเหยียบย่ำหรือเด็ดดอกฟาดปาเล่นกัน จะเห็นว่าเป็นชื่อเรียกของชาวบ้านท้องถิ่นจริงๆ เพราะเรียกกันว่า ดอกดิน หญ้านกเขา หญ้าแลไข่กา แม้แต่หญ้าหนวดเสือก็เรียกกัน จึงเห็นว่าต่างกันลิบลับกับชื่อพระราชทาน เป็นที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง ที่ดอกหญ้าสามัญ อย่าง “หญิง” อยู่ในสายพระเนตรเป็นหนึ่งใน “พรรณไม้ทรงโปรด” ซึ่งคงจะทราบกันโดยทั่วไปว่า พรรณไม้ที่ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตตั้งชื่อ ตามพระนามาภิไธย หรือพระอิสริยยศ โดยมีนักพฤกษศาสตร์ไทยและต่างชาติขอพระราชทานในหลายโอกาส รวมทั้งดอกไม้ที่เกิดในทุ่งหญ้า ป่าเขาธรรมชาติ หรือเป็นพรรณไม้ประจำถิ่นหายาก เมื่อทอดพระเนตรเห็นตามเส้นทางเสด็จเยี่ยมราษฎร หลายชนิดพรรณ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม เช่น มณีเทวา ดุสิตา สร้อยสุวรรณา กล้วยไม้นิมมานรดี โมกราชินี มหาพรหมราชินี ทิพเกสร และ “สรัสจันทร” คือหญิงนี่แหละเจ้าค่า

หญิงถูกจัดในกลุ่มพืชหายาก หากไปที่ผืนป่า ภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก ช่วงปลายฝนต้นหนาว ก็จะเห็นชูช่อพลิ้วไหวตามสายลมขับผสานเสียงนกและสายหมอก เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก 10-30 เซนติเมตร ดอกสีชมพู-ม่วงอมฟ้า ส่วนปลายกลีบดอกมีสีเหลือง หรือครีม ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด โดยธรรมชาติก็พบตามบริเวณทุ่งหญ้า ชายป่าโปร่ง พบทั่วไปในภาคอีสาน ที่เขาใหญ่ นครราชสีมา แต่หากเป็นช่วงต้นฤดูหนาว ก็มีคนนำมาขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับจตุจักรด้วย จะเห็นลำต้นเล็กเรียวและบอบบาง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นกระจุก ส่วนบริเวณโคนต้นมีใบย่อยขนาดเล็กมาก แต่ตามข้อส่วนบนมีใบเกล็ดขนาดเล็ก 2-3 ใบ

ฐานใบสอบขอบใบเรียบ ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุก ดอกย่อย 2-6 ดอก เป็นช่อชูตั้งกลีบรวมเชื่อมเป็นช่อติดเป็นหลอดสั้น ดอกย่อยมี 3 ครีบ เกสรเพศผู้มี 3 อัน เกสรเพศเมีย มีก้านชูเกสร 1 ก้าน ผลแห้งรูปใข่ ภายในมีเมล็ดเล็กๆ จำนวนมาก แต่ไม่แตกเมื่อแก่ ใช้ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกกอ ชอบดินสภาพชุ่มน้ำ หรือพื้นที่แฉะตื้นๆ จะเห็นดอกงามประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม สีสดเข้มประดับทุ่งหญ้าโปร่ง เป็นดาวประดับดินโดยธรรมชาติ เป็นดอกไม้ป่าที่ยังไม่มีใครนำมาปลูกเลี้ยงมากนัก แต่กระจายพันธุ์ทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยธรรมชาติมักจะพบขึ้นรวมกันเป็นทุ่งบนลานหิน ที่มีแสงแดดตลอดวัน และชอบที่มีน้ำท่วมขังหรือชายน้ำ แต่ถ้าใครมีโอกาสไปถึงพื้นที่หรือป่าธรรมชาติใกล้กับพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร ก็จะพบหญิงได้ เห็นมั้ยหละหญิงก็อยู่ใกล้วังเหมือนกัน

หญิงภูมิใจมากแม้จะเป็นดอกไม้ป่า ก็เป็น 1 ใน 5 ชนิด ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานชื่อไว้ นอกจากความภูมิใจในพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานชื่อแล้ว ก็ยังได้เป็น “หมอยาสมุนไพร” สรรพคุณยาพื้นบ้านอีสาน โดยใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื่ม บำรุงโลหิตหลังการอยู่ไฟ ผสมน้ำผึ้งปรุงปั้นเป็นยาลูกกลอน รับประทานแก้อัมพฤกษ์อัมพาต หรือนำมาต้มเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงกำลัง หรือใช้ทั้งต้น มาขยำตำแล้ววางไว้ที่เล็บมือ ช่วยแก้โรคเล็บออกดอก หรือที่รู้จักกันว่า “โรคเล็บขาวซีด” เรียกว่าไม่ใช่สวยแต่รูป แต่ยังจูบหอมด้วย หน้าหนาวนี้คงจะได้เจอกับชาวบ้าน หรือนักท่องเที่ยวธรรมชาติมาเยี่ยมชม แล้วหญิงก็คง…คงถูก “เด็ดดอกดม” อีกแน่เลย คิดแล้วก็…สยิววว!

สิ่งที่หญิงดีใจมาก สำหรับสำหรับปี 2565 นี้คือการได้มีโอกาสส่งท้ายปีเก่า แล้วได้ส่งใจอำนวยพรต้อนรับปีใหม่สู่ทุกท่าน ที่เป็น FC หญิง ร่วมรับ ศุภดิถีปีใหม่ 2566 นี้ ด้วยขอให้ทุกท่านสดใส สดชื่น เหมือนหญิงที่ได้รับหยดน้ำค้างบริสุทธิ์ และอุ่นไอแดดยามเช้า เบ่งบานสู้แดดลม ได้ตลอดวันตลอดไป เป็นวัฏจักรแห่งความเจริญงอกงามยั่งยืนทุกรอบปี และยิ่งดีใจมากที่มีคนเขียนบทกลอนถึงหญิง บอกความเป็นตัวตนที่หญิงมีความสุขมาก จึงขอแบ่งความสุขนี้สู่ทุกท่าน ถือเป็นบทกลอนสวัสดีปีใหม่รับลมหนาวจาก “หญิง” นะคะ

หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย หลายธุรกิจฟื้นตัวและพร้อมเดินหน้ากู้สถานการณ์ให้รีบกลับมาเป็นอย่างเดิมในเร็ววัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่ต่างงัดกลเม็ด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่ไม่เพียงแต่ธุรกิจใหญ่ๆ เท่านั้นที่จะลืมตาอ้าปากได้ แต่ยังรวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย ที่ถือเป็นสายป่านสำคัญก็ได้กลับมาลืมต้าอ้าปากได้เช่นกัน

คุณณกรณ์ พงศ์เครือไชย หรือ คุณเพชร เจ้าของ KAS Farmstay ตั้งอยู่ที่ 117 หมู่ที่ 1 ตำบลมะกอก อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ ผันตัวเป็นเกษตรกร ปลูกพืชผสมผสานอย่างพอเพียง เลี้ยงไก่ไข่สีพาสเทล ควบคู่กับการปลูกดอกไม้กินได้เป็นรายได้หลัก และปลูกพืชผักสวนครัวสร้างรายได้รอง “ชีวิตมีความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง” พร้อมกับมีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวอย่างไม่ขัดสน

คุณเพชร เล่าให้ฟังว่า การปลูกดอกไม้กินได้ของตนเองนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบปลูกดอกไม้เป็นทุนเดิม และก็มาประจวบเหมาะกับการที่ได้เข้าไปศึกษาเรื่องอาหารกับเพื่อนที่เป็นเชฟเพิ่มเติม ซึ่งเพื่อนเห็นว่าตนเองเป็นคนชอบปลูกดอกไม้อยู่แล้วจึงได้แนะนำให้ทดลองปลูกดอกไม้กินได้ เนื่องจากกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรู ร้านเบเกอรี่ ร้านเครื่องดื่ม ต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีความต้องการดอกไม้กินได้ไปประดับตกแต่งมื้ออาหารให้ดูสวยงามและดึงดูดมากขึ้น ตนเองเห็นว่าน่าสนใจ จึงได้เริ่มลงมือปลูกโดยเริ่มจากดอกไม้ที่มีอยู่แล้วในสวนมาศึกษาว่าดอกไม้ชนิดไหนกินได้ก็ทำการขยายพันธุ์เพิ่ม และอีกส่วนคือการสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้จากต่างประเทศมาปลูกเพื่อเพิ่มความหลากหลาย

โดยปัจจุบันที่ฟาร์มมีพื้นที่ทำเกษตรทั้งหมด 7 ไร่ tlc-bynum.com เน้นทำเกษตรแบบอินทรีย์ เพราะความตั้งใจแรกคืออยากผลิตพืชผักผลไม้สำหรับบริโภคในครัวเรือน เหลือจึงจำหน่าย เนื่องจากที่บ้านมีผู้สูงอายุอยู่หลายคน จึงอยากให้ท่านได้กินอาหารที่ปลอดภัยกับสุขภาพ ที่คนในครอบครัวผลิตเอง ส่วนเรื่องของการปลูกดอกไม้กินได้ก็เปรียบเสมือนการนำสิ่งที่ชอบมาทำให้เกิดรายได้ ด้วยการนำเอาเทรนด์ในปัจจุบันที่ผู้คนเริ่มให้ความใส่ใจด้านสุขภาพ และอาหารที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว ผู้บริโภคในปัจจุบันยังต้องการความสวยงามของมื้ออาหารแต่ละมื้อมากยิ่งขึ้น หรือเปรียบได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการกินแบบใหม่ๆ ที่คนเราไม่ได้ต้องการกินอาหารเพียงแค่ให้อิ่มท้อง แต่จะต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในด้านของความสวยงามทางสายตา ซึ่งทุกอย่างจะต้องสอดคล้องไปด้วยกันหมดบนอาหารแต่ละจาน เพราะฉะนั้นการปลูกดอกไม้กินได้ยังถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่น่าสนใจเพียงแต่ต้องใช้ความพิถีพิถันในการปลูกและดูแลมากกว่าการปลูกไม้ดอกไม้ประดับสักหน่อย

คุณเพชร อธิบายว่า หลักๆ ที่ฟาร์มจะเน้นปลูกดอกไม้ตามฤดูกาล ไม่ฝืนธรรมชาติ เพื่อให้การดูแลจัดการเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยมีการสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจตั้งแต่แรกว่า ลูกค้าจะไม่สามารถกำหนดชนิดของดอกไม้ที่ต้องการได้ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจและต้องการสีสันและความหลากหลายของชนิดดอกไม้อยู่แล้ว ทำให้การปลูกดอกไม้แบบไม่ฝืนธรรมชาติ เน้นเก็บผลผลิตตามฤดูกาลจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับที่ฟาร์ม

ซึ่งในปัจจุบันที่ฟาร์มมีพื้นที่ปลูกดอกไม้บนพื้นที่ประมาณ 2 งาน เป็นการปลูกแซมภายในสวนแบบมีพื้นที่ว่างตรงไหนก็ลงปลูกตรงนั้น โดยที่ฟาร์มเลือกปลูกดอกไม้หลากหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผีเสื้อแสนสวย ดาวกระจาย ดอกเข็ม อัญชัน พวงชมพู เล็บมือนาง ดาหลา ชบาเมเปิล เดซี่ กุหลาบ ออมแซบ และหทัยหยาดทิพย์ โดยดอกไม้แต่ละดอกก็จะมีเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป เมื่อนำเอามาประดับบนจานอาหารและเครื่องดื่มก็จะช่วยสร้างคุณค่า สร้างเอกลักษณ์ให้กับอาหารจานนั้นได้อย่างน่าหลงใหลมากขึ้น

และถัดมาคือเรื่องของการปลูกและดูแลรักษากันบ้าง คุณเพชร อธิบายเพิ่มเติมว่า ในเรื่องของการปลูกจะไม่แตกต่างกับการปลูกไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของการดูแลและการใส่ใจที่ต้องเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เพราะจุดประสงค์เราต้องการให้ดอกไม้กินได้ เพราะฉะนั้นแล้วการดูแลถือเป็นเรื่องสำคัญ

“ด้วยความที่เราปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงทำให้จะมีปัญหาของเรื่องโรคแมลงเข้ามารบกวน และเรื่องของสภาพอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผมว่าเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดนิดหนึ่ง อย่างฤดูร้อนจะถือเป็นอุปสรรคในการปลูก เพราะแดดจะแรง ทำให้ขั้นตอนการให้น้ำยากขึ้น และโรคแมลงที่มีมากกว่าฤดูอื่นๆ ดอกไม้เขาจะปลูกได้ดีในฤดูฝนและฤดูหนาว คือช่วงฝนต้นจะเจริญเติบโตดีแต่ให้ดอกน้อย ส่วนหน้าหนาวเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกดอกไม้”