โดยหญ้ารุ่นแรกสามารถตัดขายได้เมื่ออายุ 60 วันส่วนการตัด

ข้อครั้งต่อไปจะตัดทุกๆ 40-45 วัน เพราะเป็นช่วงที่หญ้าหวายข้อมีโปรตีนมากที่สุด ทั้งนี้ ควรตัดในระยะก่อนหญ้าหวายข้อออกดอกทุกครั้ง และควรตัดให้เหลือตอที่สูงจากพื้นไม่มาก ประมาณ 3-6 เซนติเมตรเท่านั้น ในรอบ 1 ปี สามารถตัดหญ้าขายได้สูงสุด 8 ครั้ง

ต้นทุนการปลูกหญ้า

ค่าไถ 2 ครั้ง คือ ไถ 7 จานเพื่อพลิกหน้าดิน

และไถจอบหมุนบดดินให้ร่วน พร้อมกลบท่อนพันธุ์ เป็นเงิน 1,000 บาท ต่อไร่

ค่าพันธุ์หญ้า 1 รถกระบะรั้วตอนเดียว เป็นเงิน 5,000 บาท ต่อไร่

ติดตั้งระบบน้ำ พร้อมปั๊มน้ำเครื่องยนต์เบนซิน เป็นเงิน 4,000 บาท ต่อไร่

ค่าแรงหว่านท่อนพันธุ์ เป็นเงิน 1,000 บาท ต่อไร่

ค่าปุ๋ยหมัก ไร่ละ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 6 บาท ใช้ 8 ครั้ง เป็นเงิน 2,400 บาท ต่อไร่

ค่าปุ๋ยเคมี สูตร 18-4-5 หว่านไร่ละ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 11 บาท ใช้ 8 ครั้ง เป็นเงิน 4,400 บาท ต่อไร่

ค่าปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0 หว่านไร่ละ 50 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 14 บาท ใช้ 8 ครั้ง เป็นเงิน 5,600 บาท ต่อไร่

รวมทั้งสิ้น 23,400 บาท ต่อไร่ สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ สามารถขายหญ้าได้ 16,000 บาทต่อไร่ต่อครั้ง (คิดจาก 1 ไร่ ได้หญ้าจำนวน 80 เข่ง เข่งละ 200 บาท) ตัดหญ้าขายจำนวน 8 ครั้ง จะได้รายรับประมาณ 128,000 บาท เมื่อหักลบออกจากต้นทุน (128,000-23,400) จะทำให้คงเหลือผลกำไรสุทธิกว่า 104,600 บาทต่อไร่ต่อปี

คุณสันต์ สุขสุวรรณ เกษตรจังหวัดตรัง ลงพื้นที่เยี่ยมแปลงเกษตรกรพร้อมกล่าวว่า จังหวัดตรังพื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน ในช่วงที่ผลผลิตราคาตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ทางเกษตรจังหวัดตรัง กรมส่งเสริมการเกษตร มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ระยะเก็บเกี่ยวสั้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร รวมถึงการปลูกหญ้าจำหน่ายให้กับผู้ที่เลี้ยงวัวชน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ฝ่าฟันวิกฤตช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อีกทางหนึ่ง

หากท่านใดสนใจ ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคการปลูก การจัดการแปลงหญ้าหวายข้อ สามารถติดต่อได้ที่ คุณนิคม เสนี โทร. 094-317-7132 หรือ สำนักงานเกษตรอำเภอนาโยง โทร. 075-299-788

พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีหรือไม่ดีนั้น ปัจจัยแรกขึ้นอยู่กับ “เมล็ดพันธุ์หรือต้นพันธุ์” ที่นำมาปลูก หากเลือกใช้เมล็ดพันธุ์หรือต้นพันธุ์คุณภาพดี มีการบำรุงดิน ดูแลให้น้ำ ใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การเพาะปลูกพืชให้ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม “โรคเหี่ยวเขียว หรือ โรคเหี่ยว” นับเป็นโรคพืชสำคัญที่เป็นภัยคุกคามสร้างความเสียหายให้กับพืชเศรษฐกิจมากกว่า 200 ชนิด เช่น มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือยาว พริก มันฝรั่ง ขิง ขมิ้น ไพล ปทุมา ฯลฯ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ต้นเหตุโรคเหี่ยวอาศัยอยู่ในดินได้นาน เข้าทำลายพืชทางราก ตามรอยแผลที่เกิดจากการทำลายของแมลง ไส้เดือนฝอย รอยฉีกขาดของรากหรือแผลที่เกิดในธรรมชาติ สามารถแพร่ระบาดไปกับน้ำได้ดีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกชุก จึงพบการแพร่ระบาดของโรคเหี่ยวเขียวรุนแรงและรวดเร็ว

เชื้อแบคทีเรียต้นเหตุโรคเหี่ยวเขียวอาศัยแอบแฝงอยู่ในหัวพันธุ์ เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมและปริมาณของเชื้อโรคมากพอ จึงแสดงอาการของโรคออกมา เมื่อนำหัวพันธุ์ไปปลูกต่อ เสี่ยงเกิดโรคระบาดซ้ำได้อีก ดังนั้น ปัญหาโรคเหี่ยวเขียวจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนปลูกพืชเชิงการค้า เพราะดูแลป้องกันโรคเหี่ยวได้ยาก เนื่องจากเพราะเชื้อโรคชนิดนี้อยู่ข้ามฤดูได้ และทุกวันนี้ยังไม่มีสารเคมีชนิดใดสามารถควบคุมและป้องกันโรคเหี่ยวเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“กล้าเสียบยอด” นวัตกรรมสู้โรคเหี่ยวเขียว

ปัจจุบัน “กล้าเสียบยอด” เป็นหนึ่งนวัตกรรมทางเลือกที่สามารถต้านทานโรคเหี่ยวเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมให้ผลผลิตเร็ว ทันต่อความต้องการของตลาด ที่สำคัญ มีอายุเก็บเกี่ยวยาวนาน คุ้มค่ากับการลงทุน

คุณทวีศักดิ์ กลิ่นคง เป็นผู้บุกเบิกการผลิตและจำหน่ายกล้ามะเขือเสียบตอมะเขือพวงรายแรกของประเทศไทย ผลิตและจำหน่ายกล้าเสียบยอดแก่ผู้สนใจมานานกว่า 10 ปี ภายใต้ชื่อ บริษัท ทวีศักดิ์การเกษตร จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 1/25 หมู่ที่ 8 ตำบลรางพิกุล อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 73140 โทร. 081-935-0053

กลางปี 2550 เกษตรกรผู้ปลูกมะเขือยาวรายหนึ่งในจังหวัดนครปฐม มาบ่นให้คุณทวีศักดิ์ฟังว่า ต้นมะเขือยาวที่ปลูกไว้เกิดอาการเหี่ยวตายแบบไม่รู้สาเหตุ คุณทวีศักดิ์คุ้นเคยกับโรคเหี่ยวเขียวในมะเขือเทศมาก่อน จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า มะเขือยาวมีอาการตายแบบเฉียบพลันแบบนี้ต้องเป็นโรคเหี่ยวเขียวแน่นอน คุณทวีศักดิ์จึงเกิดความคิด พัฒนานวัตกรรม “กล้ามะเขือเสียบยอดบนตอมะเขือพวง” เพื่อลดความเสียหายจากโรคเหี่ยวเขียว

เนื่องจากคุณทวีศักดิ์ไม่เคยเห็นมะเขือพวงเป็นโรคเหี่ยวตายเลยสักต้น แถมต้นมะเขือพวงส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยืนยาวได้หลายปี คุณทวีศักดิ์ทดลองผลิตกล้าเสียบยอดอยู่หลายเดือน จนได้ต้นมะเขือยาวเสียบยอดทั้งสิ้น 21 ต้น เมื่อนำไปปลูกแทนที่ต้นมะเขือยาวที่เป็นโรคเหี่ยวเขียวตายในตำแหน่งต้นเดิม ปรากฏว่า ต้นมะเขือยาวที่ปลูกเสียบยอดบนตอมะเขือพวงมีการเจริญเติบโตที่ดีและไม่เป็นโรคเหี่ยวเขียวเลย คุณทวีศักดิ์จึงมุ่งมั่นผลิตกล้าเสียบยอดบนตอมะเขือพวงออกมาจำหน่ายเชิงการค้า ได้แก่ มะเขือยาว มะเขือม่วง มะเขือเปราะ มะเขือเทศราชินี มะละกอ ฯลฯ

“การใช้กล้าเสียบยอดช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเท่านั้น ที่เหลือเป็นหน้าที่ของผู้ปลูกเองต้องดูแลป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อโรคด้วย เพราะกล้าเสียบยอดไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องโรคเหี่ยวเขียวได้ทั้งหมดตลอดไป เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคไม่ได้เข้าทำลายจากระบบรากแต่เพียงอย่างเดียว เชื้อโรคสามารถเข้าทำลายมะเขือโดยเข้าทางแผลที่เกิดจากการตัดแต่งกิ่ง ใบได้ หรือเข้าทำลายในส่วนอื่นๆ ของมะเขือส่วนที่อ่อนแอได้ การใช้ต้นกล้าเสียบยอดจึงไม่ใช่ป้องกันการเกิดเหี่ยวเขียวได้ 100% เกษตรกรต้องระมัดระวังเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น มีด กรรไกร มีดที่ใช้ตัดผลผลิต หรือการตัดแต่งกิ่ง ใบต้นมะเขือ จะต้องทำความสะอาดเช่นกัน” คุณทวีศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ คุณทวีศักดิ์ยังผลิตกล้าเสียบยอดตามความต้องการของเกษตรกรแต่ละรายอีกด้วย เช่น มะระจีนเสียบยอด เพราะการปลูกมะระจีนซ้ำในพื้นที่เดิมนานๆ มักเกิดปัญหาโรคเหี่ยวเขียวตามมา หลังจากเกษตรกรใช้กล้ามะระจีนเสียบยอด ปัญหาโรคเหี่ยวเขียวหมดไป การปลูกกล้าเสียบยอดบนตอมะเขือพวง นอกจากทนโรคได้ดีแล้ว ยังทนน้ำท่วมขังได้นานหลายวันแล้ว ยังได้ผลผลิตเพิ่มไม่ต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับการปลูกด้วยวิธีเดิม

มะเขือยาวและมะเขือเปราะที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอดบนตอมะเขือพวง เป็นพันธุ์พืชที่คุณทวีศักดิ์กล้าการันตีรายได้ให้แก่ผู้ปลูก โดยมีข้อแม้ว่า เกษตรกรต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและมีความตั้งใจจริงที่จะสร้างรายได้ เกษตรกรหลายรายที่เคยซื้อกล้าเสียบยอดไปปลูกตั้งแต่ปี 2550 และทำตามคำแนะนำของคุณทวีศักดิ์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า กล้าเสียบยอดที่ปลูกสร้างรายได้งามตามที่คุณทวีศักดิ์การันตีจริง

สินค้าขายดีที่เกษตรกรนิยมปลูก

“กล้ามะเขือยาวเสียบยอด” ติดทำเนียบสินค้าขายดี เพราะต้นมะเขือมีการเจริญเติบโตที่ดีมาก แต่เกษตรกรต้องดูแลตัดแต่งกิ่งและใบที่มากเกินไปเป็นระยะ การปลูกมะเขือเพื่อให้ได้ผลดี มีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวยาวนาน ต้องใช้แรงงานดูแลเต็มเวลา 1 คนต่อการดูแลแปลงปลูกมะเขือ 200-300 ต้น หมายความว่าใน 1 ครอบครัว ทำงานในสวน 2 คน ทำหน้าที่ปลูกดูแลมะเขือยาวเพียง 400-600 ต้นเท่านั้น ผลผลิตที่ได้หากมีการดูแลจัดการที่ดี ต้นมะเขือยาวจะให้ผลผลิตถึง 1 กิโลกรัมต่อต้นต่อวัน หากปลูกมะเขือจำนวน 500-600 ต้น ต้องใช้แรงงานดูแล 2 คน จะได้ผลผลิตเฉลี่ย 500-600 กิโลกรัมต่อวัน กล่าวได้ว่า ปลูกมะเขือยาวเสียบยอด 1 ต้น ให้ผลตอบแทน 1,000 บาทต่อปีทีเดียว

“มะละกอเสียบยอด” เป็นอีกหนึ่งสินค้าขายดี ที่ได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากมีการตัดโค่นต้นยางพาราและหันมาปลูกต้นมะละกอแทน มะละกอเสียบยอดช่วยตัดปัญหาความยุ่งยากในการคัดเพศมะละกอด้วยกล้า มะละกอเสียบยอดที่คัดเฉพาะต้นกระเทยสมบูรณ์เพศทุกต้น ออกดอกภายใน 20-30 วัน ให้ผลผลิตสูง มะละกอดิบสามารถเก็บผลได้ภายใน 90-100 วัน ส่วนมะละกอสุกเก็บผลผลิตได้ภายใน 6 เดือนหลังปลูก

การปลูกมะละกอให้ได้ผลผลิตที่ดี ควรดูแลให้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม เพราะมะละกอเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยตัวท้ายสูงมาก จะช่วยให้เนื้อมะละกอหนา มีสีแดง และรสหวาน ดังนั้น แปลงปลูกมะละกอไม่ควรขาดปุ๋ย โดยปุ๋ยที่ต้องใส่ประจำคือ 0-0-60 ปุ๋ยตัวหน้าหรือไนโตรเจนก็ต้องการมากเช่นกัน ปุ๋ยที่ต้องใช้อาจเป็นยูเรีย 46-0-0 หรือ 25-7-7 ธาตุอาหารรองที่ต้องการมากอีกตัวคือ แคลเซียม ซึ่งต้องใช้ 15-0-0 หรือเรียกว่า แคลเซียมไนเตรต ปุ๋ยตัวนี้จะให้ทั้งไนโตรเจนและแคลเซียมพร้อมกัน นอกจากนี้ มะละกอต้องการอินทรียวัตถุ ประเภทปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักบำรุงเสริมด้วย จะช่วยให้มะละกอให้ผลผลิตที่ดี มีผลกำไรงามตามที่ต้องการ ปัจจุบันคุณทวีศักดิ์มีบริการกล้ามะละกอเสียบยอดครบทุกสายพันธุ์ยอดนิยม ทั้งฮอลแลนด์ แขกนวล และแขกดำพันธุ์ใหม่

มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศเชอร์รี่เสียบยอด เป็นพันธุ์พืชอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรจำนวนมาก เพราะเป็นพืชระยะสั้น ใช้เวลาปลูกแค่ 2 เดือนเศษก็เก็บขายได้ มะเขือเทศราชินีที่นำตอของมะเขือพวงนำมาเสียบยอด สามารถเจริญเติบโตได้ดี เพราะรากของมะเขือพวงหาอาหารเก่ง มีอายุยืน ยืดอายุการเก็บเกี่ยวของมะเขือเทศไปได้อีกประมาณ 3 เดือน

คุณวราภรณ์ เฮงไล้ เกษตรอำเภอเมืองชลบุรี ให้ข้อมูลว่า ในตำบลหนองข้างคอก มีการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่ปลูกฝรั่ง เป็นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ ทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีการรวมกลุ่มกันผลิตฝรั่งคุณภาพ ช่วยให้การทำตลาดมีการจัดการที่ดี และที่สำคัญในเรื่องของการจัดการบริหารกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวทีต่างๆ มีทั้งนำวิทยากรจากภายนอกเข้ามาทำการอบรม จึงทำให้เกษตรกรมีองค์ความรู้มากขึ้น ซึ่งฝรั่งของตำบลหนองข้างคอก มีรสชาติที่ดี มีความหวาน กรอบ อร่อย เวลาที่ตลาดต้องการจำนวนมาก อย่างน้อยต้องสั่งจองล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อให้เกษตรกรในกลุ่มมีการรวบรวมผลผลิตเพื่อส่งจำหน่ายให้กับลูกค้าต่อไป

คุณกุณฑล เชยสุนทร หรือ คุณนิด เกษตรกรตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ได้ยึดการปลูกฝรั่งพันธุ์กลมสาลี่ มีทรงผลกลม ผิวเปลือกสีเขียวอ่อนนวล สีเนื้อขาว เนื้อกรอบ รสชาติหวาน มีเอกลักษณ์คือ ผลผลิตฝรั่งมีการปลิดกลีบเลี้ยงของผลฝรั่งออก ซึ่งลักษณะประจำพันธุ์ของฝรั่งกลมสาลี่เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเกลี้ยง มีสีน้ำตาล กิ่งที่ยังอ่อนอยู่จะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ขนาดความสูงของลำต้นมีประมาณ 3-5 เมตร

ในส่วนของใบ มีลักษณะเป็นรูปทรงไข่ มีความกว้างประมาณ 6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร แผ่นใบหนาและหยาบ สามารถมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจนบริเวณใต้ท้องใบ ผลฝรั่งค่อนข้างกลมแป้น เมื่อยังอ่อนจะเป็นสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอ่อน น้ำหนัก 2-4 ผลต่อกิโลกรัม หรือประมาณผลละ 280-350 กรัม ผิวค่อนข้างเรียบ มีเมล็ดประมาณ 1 ใน 3 ของผล เนื้อกรอบแน่น รสชาติหวาน ที่ก้นผลมีเอกลักษณ์ของฝรั่งหนองข้างคอกคือ การปลิดกลีบเลี้ยงที่ก้นผลฝรั่งออกตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ผลผลิตแตกต่างจากผลผลิตที่อื่น มีความหวาน 7.5-11.5 องศาบริกซ์

คุณนิด เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเขาทำอาชีพทางการเกษตรเกี่ยวกับการปลูกผัก ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนมาปลูกฝรั่งพันธุ์กลมสาลี่ เพราะผลผลิตสามารถออกผลได้ตลอดทั้งปี ซึ่งการปลูกต้องหมั่นตัดแต่งและใส่ปุ๋ยบำรุงอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้ต้นฝรั่งเจริญเติบโตได้ดี โดยกิ่งพันธุ์จะหาซื้อจากแหล่งอื่นๆ เข้ามาทำการปลูกก่อน จากนั้นจึงตอนกิ่งเองเพื่อให้เป็นกิ่งพันธุ์ดีภายในสวน

“การปลูกฝรั่งภายในสวน ก็จะใช้ความลึกอยู่ที่ 50 เซนติเมตร ให้มีระยะห่างระหว่างต้นอยู่ที่ 4×4 เมตร ใน 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 100 ต้น ในช่วงแรกที่ปลูกใหม่ๆ จะใส่ปุ๋ยอินทรียวัตถุต่างๆ ผสมเข้าไป เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี เพราะจะช่วยให้สภาพดินดี และต้นฝรั่งมีอายุยืนตามไปด้วย ซึ่งอินทรียวัตถุที่ใส่ ประกอบด้วย แกลบ ขี้ไก่ จะใส่ทุก 2 เดือนครั้ง อัตราส่วนที่ใส่ดูตามความเหมาะสม ขนาดของต้น เมื่อปลูกเข้าสู่เดือนที่ 7 ก็จะเริ่มให้ผลผลิตได้แล้ว” คุณนิด บอก

สำหรับการห่อฝรั่งบนต้น จะเน้นห่อ 1 ผลต่อ 1 กิ่งเท่านั้น เพราะถ้าหากไว้ผลมากเกินไป จะทำให้กิ่งฝรั่งหักได้และผลจะไม่ได้ขนาดตามที่ต้องการ ส่วนในเรื่องของการป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชนั้น จะดูตามความเหมาะสมโดยจะเน้นดูแลในช่วงที่ฝรั่งออกดอกเป็นหลัก เพราะระยะนี้ค่อนข้างสำคัญมาก หากดอกที่ออกมาไม่มีความสมบูรณ์ก็จะทำให้การติดผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร และเมื่อปลูกไปจนได้อายุต้นประมาณ 3-4 ปีแล้ว จะพักต้นบำรุงให้กับฝรั่งบ้าง เพื่อให้ฝรั่งมีต้นที่สาวและสมบูรณ์อยู่เสมอ

ผลผลิตของฝรั่งพันธุ์กลมสาลี่ที่ปลูก ถ้าต้นที่มีความสมบูรณ์ดี ใน 100 ต้น พื้นที่ 1 ไร่ จะให้ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ตันต่อไร่ โดยสินค้าทั้งหมดจะมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อถึงหน้าสวน ซึ่งจากการที่ได้ทำตลาดมา การจำหน่ายในพื้นที่มีผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะด้วยกำลังการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่ ต่อมาจึงได้มีการรวมกลุ่มมากขึ้นเพื่อให้การรวบรวมมีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

“ผลผลิตฝรั่งในสวน อย่างฝรั่งที่ผิวไม่ค่อยสวย ราคาจำหน่ายจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท แต่ถ้าเป็นเกรดสวยๆ ผิวดีๆ ราคาก็จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ลูกค้าต้องการจำนวนเท่าไร เขาก็จะสั่งจองเข้ามา จากนั้นเราก็เตรียมผลผลิตให้เขา โดยที่เราไม่ต้องออกไปจำหน่ายที่ไหน ถ้าช่วงราคาดีๆ สามารถจำหน่ายได้ถึงกิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งฝรั่งที่นี่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์มาก ทั้งรสชาติและก้นผลที่เกลี้ยง จะมีจุดสังเกตได้ง่าย ว่านี่เป็นฝรั่งของหนองข้างคอก” คุณนิด บอก

สำหรับท่านใดที่สนใจในเรื่องของการปลูกฝรั่ง หรือต้องการกิ่งพันธุ์ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณกุณฑล เชยสุนทร หรือ คุณนิด ผมปลูกแก้วมังกรไว้หลายต้นหรือหลายหลัก แต่ไม่งามสมบูรณ์ ติดผลน้อย ผลดัง กล่าวมีสีซีด เนื้อในไม่หวาน แม้ให้น้ำแล้วก็ตาม ผมจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ต้นแก้วมังกรสมบูรณ์ ติดผลดกและรสชาติดีได้ครับ

แก้วมังกร เป็นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด และชอบน้ำ แต่ไม่แฉะ ลักษณะอาการที่เล่ามานั้น เกิดจากการที่น้ำหรือดินขาดความอุดมสมบูรณ์ แก้ไขได้ด้วยการให้น้ำถี่ขึ้น

ในกรณีที่ให้น้ำสม่ำเสมอแล้วก็ตาม แต่อาจเกิดจากดินที่ไม่อุ้มน้ำ คือขณะให้น้ำ น้ำไหลบ่าไม่ซึมลงดิน จึงต้องพรวนดินด้วยคราดชนิดซี่ห่าง ขุดฟื้นดินรอบโคนต้นเบาๆ ระวังอย่าให้ระบบรากฉีกขาด จากนั้นผสม ปุ๋ยคอกเก่ากับแกลบดิบ อัตรา 1:1 คลุก เคล้าให้เข้ากัน โรยรอบโคนต้น อัตรา 2 บุ้งกี่ ต่อต้น พร้อมรดน้ำตามพอชุ่ม แต่อย่าแฉะ

หากต้องการให้ต้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 200 กรัม หรือ 2 กํามือ ต่อต้น ทุกๆ 2 เดือน จะทําให้ต้นแก้วมังกรของคุณมีสีเขียวสดใสและสมบูรณ์ขึ้น

การเพิ่มความหวาน และสีผิวของผลให้สวยงามยิ่งขึ้นแนะนําให้ ใส่ปุ๋ย สูตร 13-13-21 ในระยะติดผล อัตรา 200 กรัม ต่อต้น เช่นเดียวกัน และหมั่นให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าให้ขาดน้ำ นอกจากนี้ ควรตัดแต่งกิ่งอย่าให้หนาทึบ เกินไป ตัดสางให้โปร่ง แสงแดดส่องเข้าทรงพุ่มได้ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของแก้วมังกร

ศัตรูสําคัญคือ มดแดง มักนําเพลี้ยอ่อนมาดูดกินน้ำเลี้ยงที่ก้านดอกในระยะออกดอก จึงควบคุมการเข้ามาของมดให้ดี การปฏิบัติตามคําแนะนําข้างต้น คุณจะได้ต้นแก้วมังกรพร้อมผลผลิตที่ได้คุณภาพตามต้องการ

หนุ่มวิศวกร ผู้หันหลังให้กับงานประจำ เพราะมีความคิดว่า เกษตรเท่านั้นเป็นอาชีพที่ยั่งยืน คุณสันติภาพ สุวรรณกิจไพศาล

“ผมได้เงินเดือนค่อนข้างเยอะครับ เฉียดแสน แต่ผมไม่มีความสุขครับ ผมคิดว่า เวลามีค่าสำหรับผมมาก ผมมีวันหยุดบางเดือน เพราะงานผมเงินเดือนค่อนข้างมากแต่ก็ทำงานคุ้ม ผมก็เต็มใจที่จะทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาให้กับผม ผมมีวันหยุด 1 วัน ผมรู้สึกดีใจมาก ดีใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไหนก่อน อย่างแรกก็คือ ต้องการผ่อนคลายก็นึกถึงร้านกาแฟ ได้เจอเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่ในที่ทำงาน ไปซื้อของ ไปกินอาหาร ผมรู้สึกว่าเวลาช่างหมดไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน”

คุณสันติภาพ บอกว่า ผมจึงมีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากมีเวลาเหลือ และมีรายได้มาก จึงออกมาทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับขายของออนไลน์อยู่ 2 ปี ก็รู้สึกว่าอาชีพที่ทำอยู่นั้นเริ่มมีการตัดราคาและการแข่งขันสูงขึ้น กำไรน้อยลง ความรับผิดชอบก็มากเท่าเดิม ผมจึงคิดที่จะมองหางานทำใหม่ที่ยั่งยืน

” ผมแต่งงานกับสาวลำปาง ที่มีพ่อแม่พี่น้องมีที่อยู่ที่ตำบลหัวเสือ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง อาชีพคนแถวนั้นก็ทำการเกษตรปลูกข้าวโพด ที่ดินแถบนั้นสวยมาก ผมจึงมีความคิดอยากทำการเกษตรเป็นแบบธุรกิจ แต่ผมมีประสบการณ์เรื่องของปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เพราะพ่อแม่พี่น้องผมก็มีอาชีพปลูกมะละกอ ผมจึงนำความรู้ที่มีเหล่านั้นมาปลูกมะละกอฮอลแลนด์ที่จังหวัดลำปาง” คุณสันติภาพ เล่า

ผมเลือกปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์
การที่จะทำการเกษตรให้สำเร็จนั้น pintast.com ต้องมีการตลาดที่ดี ปลูกแล้วมีที่ขาย มีผู้ที่รับซื้อและให้ราคาดี มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ ยังเป็นที่ต้องการของตลาด ใช้สารเคมีน้อย ปลูกง่าย ดูแลง่าย เป็นพืชระยะสั้น เขาจึงมองเห็นตัวเงินได้ เพราะอายุของมะละกอฮอลแลนด์มี 8 เดือน ก็เก็บผลผลิตได้แล้ว

“ผมใช้เนื้อที่ทั้งหมด 12 ไร่ ปลูกมะละกอเฉลี่ย 300 ต้น ต่อไร่ ทั้งหมดประมาณ 3,000 กว่าต้น เท่าที่เคยปลูกมาจะได้ผลผลิตรุ่นแรก ประมาณเดือนที่ 8 ผลผลิตประมาณ 3-5 ตัน ราคาส่งในหน้ามะละกอทั่วไป ราคาขายหน้าสวน อยู่ที่ 10-15 บาท รอบที่สอง จะได้ราคามะละกอที่ค่อนข้างสูง ในช่วงเดือนกันยายน ราคาส่งจะอยู่ที่ 30-50 บาทจากสวน แต่ผลผลิตจาก 12 ไร่ ในเดือนกันยายนจะได้ประมาณ 2-3 ตัน อยู่ที่การบำรุงดินและการให้น้ำ ปลูกมะละกองวดแรกก็แทบจะได้ทุนคืนแล้ว มะละกอผมจะเก็บผลผลิตจนถึงปีที่สาม หลังจากนั้นก็จะทยอยปลูกต้นใหม่แซมได้ทันที”

คุณสันติภาพ เล่าและบอกต่ออีกว่า

“ผมออกมาทำสวนมะละกอ ได้พบอากาศดีๆ ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ บริเวณสวนก็ร่มรื่น มีความรู้สึกว่าเวลาที่มีค่าสำหรับผมนั้น ผมทำอะไรได้หลายๆ อย่าง มองดูต้นมะละกอที่โตวันโตคืน มีความรู้สึกแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือผลงานของเราหรือนี่ จากคนที่ไม่เคยมีเวลาว่างเป็นของตัวเอง คำว่า อาชีพเกษตรกร อาชีพอิสระ ได้พบกับธรรมชาติ ผมออกจากงานไม่ใช่เหตุผลที่บริษัทปิดตัวลง แต่เป็นเพราะผมตั้งใจที่จะเลือกเปลี่ยนแนวชีวิตของตัวเอง…ทุกคนไม่กล้าที่จะตัดสินใจ ที่ดินตรงนี้ผมทำของคุณยายทางภรรยาผม ท่านอนุญาตให้ผมได้ทำเกษตร และผมเห็นว่าการเกษตรทำเป็นธุรกิจ เพราะเดี๋ยวนี้โลกแคบลง การสื่อสาร การขนส่ง ก็รวดเร็ว เพราะฉะนั้นตลาดมะละกอไม่มีวันถึงทางตัน เพราะผู้บริโภคเข้าถึงได้ เพียงแต่เราพัฒนาผลผลิตของเราให้ดี ก็มีคนมาจองผลผลิตที่สวนและส่งรถมารับโดยตรงที่สวน”

มะละกอ มีรสหวานและมีกลิ่นเฉพาะตัว สีสันสดใส และคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะดีต่อระบบขับถ่าย ที่พิเศษไปกว่านั้น คือมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ขายได้ตั้งแต่ตลาดล่างจนถึงตลาดบน

“ผมปลูกมะละกอ 12 ไร่ ลงทุนทั้งหมดตั้งแต่เตรียมดิน ประมาณ 300,000 บาท 3,500 ต้น แต่ผลผลิตออกมาเกินคุ้ม ที่สวนผมตอนนี้ได้ 5 เดือน อีกประมาณ 3 เดือน ก็เก็บผลผลิต อยู่ในช่วงเดือนกันยายน แต่มะละกอของผมมีแนวโน้มดกมาก เพราะสังเกตจากผลอ่อน คาดว่าจะได้ประมาณ 2-3 ตัน แต่ในช่วงเดือนกันยายนเป็นช่วงที่ขาดแคลนมะละกอ ก็จะได้ราคาค่อนข้างดี อยู่ที่กิโลกรัมละ 30-50 บาท ในราคาจากสวน” เจ้าของสวนบอก

มะละกอกินผลสุกนั้น จะเก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เก็บประมาณ 2 เดือน ก็หมดรุ่น หลังจากนั้น ก็จะพักต้น บำรุงใส่ปุ๋ยเตรียมรับมะละกอรุ่นต่อๆ ไป มะละกอปลูกครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้ 3-5 ปี