โดยหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมอ่าวตังเกี๋ยประเทศเวียดนาม

ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนสะสมได้มากกว่า 100 มิลลิเมตร ในบางพื้นที่มีระดับน้ำเพิ่มขึ้น และพบว่าเกิดรอยแตกบนเขาแล้ว

ทั้งนี้ขอให้อาสาสมัครเครือข่ายฯ เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก และวัดปริมาณน้ำฝนอย่างต่อเนื่อง หากเกิดเหตุให้แจ้งเตือนสถานการณ์ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากให้ประชาชนในหมู่บ้านได้รับทราบ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมปฏิบัติตามแผนเฝ้าระวังที่ได้มีการอบรมไว้แล้ว

เบทาโกร ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารไทย ทุกผลิตภัณฑ์ S-Pure หมู-ไก่-ไข่ ผ่านการรับรองไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ เป็นรายแรกของโลก เอสเพียว (S-Pure) ผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพระดับพรีเมี่ยม โดยเครือเบทาโกร ผ่านการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกระบวนการผลิต (RWA) ครบทุกผลิตภัณฑ์เป็นรายแรกของโลก จาก NSF International องค์กรด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขระดับโลก สอดรับกับนโยบายของกรมปศุสัตว์ โครงการ “การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้า ปศุสัตว์” ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์มีนโยบายในการดำเนินโครงการ “การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์” เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่เลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งสอดคล้องตามเป้าประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการให้ปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับสัตว์ลดลง ร้อยละ 30 ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) โดยเครือเบทาโกร เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในส่วนของฟาร์มสุกรและอยู่ในระหว่างการขอรับรองตามขั้นตอนในโครงการ ดังนั้น

การที่ภาคเอกชนมีความมุ่งมั่นและตั้งใจผลิตสินค้า เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงทั้งกระบวนการผลิตครบทุกผลิตภัณฑ์จากองค์กรซึ่งทำหน้าที่ออกมาตรฐานการรับรองที่ได้รับความเชื่อถือในระดับโลก ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทยให้มีศักยภาพในเวทีการแข่งขันโลก ที่สำคัญยังสร้างความเชื่อมั่นความปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

ด้าน นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร กล่าวว่า เครือเบทาโกร ยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐโดยเข้าร่วมโครงการ “การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์” ของกรมปศุสัตว์ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี เราให้ความสำคัญในนโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) และคุณภาพ (Food Quality) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพระดับพรีเมี่ยม แบรนด์เอสเพียว (S-Pure)

ดำเนินการตามมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างครบวงจรมามากกว่า 10 ปี เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและในระดับสากล เรื่องความใส่ใจในคุณภาพ ความสะอาด ตั้งแต่ฟาร์มต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงรสชาติที่อร่อย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร มีการตรวจสอบด้านความปลอดภัย สารตกค้างอย่างเข้มงวด

สำหรับผลิตภัณฑ์เอสเพียว (S-Pure) ประกอบด้วย เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่สด ที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันด้วย S-Pure Process ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี เลี้ยงโดยวิธีธรรมชาติ ในโรงเรือนปิด อาหารสัตว์มีโปรตีนจากธัญพืช ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช้ฮอร์โมน ไม่ใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ดูแลใกล้ชิดโดยสัตวแพทย์ ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน และควบคุมอุณหภูมิในการจัดส่งด้วยความเย็น 0-4 องศา จนถึงจุดจำหน่าย ภายใต้การควบคุมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Betagro e-Traceability) อย่างเต็มรูปแบบ

นอกจากการเข้าร่วมโครงการของกรมปศุสัตว์ ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการขอรับรองนั้น นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ปี พ.ศ. 2561 นี้ NSF International ประกาศรับรอง “Raised Without Antibiotics” (RWA) ให้กับผลิตภัณฑ์เนื้อหมูและไข่ไก่ เอสเพียว (S-Pure) หลังจากที่เนื้อไก่เอสเพียว (S-Pure) ผ่านการรับรองตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2559 โดยถือเป็นรายแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกระบวนการผลิตครบทุกกผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ เบทาโกร ยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยที่เหนือกว่า เพื่อผู้บริโภคมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

Mr.Peter Bracher กรรมการผู้จัดการ NSF Asia Pacific Co.,Ltd. ผู้แทนจาก NSF International กล่าวตอนท้ายว่า NSF International เป็นองค์กรด้านความปลอดภัยและสาธารณสุข ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 มีภารกิจในการปกป้อง ดูแล ด้านสุขภาพและความปลอดภัยของประชากรโลก ได้รับการยอมรับในระดับสากล ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐาน ตรวจสอบ และออกใบรับรองให้แก่อุตสาหกรรมอาหาร น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภค จากการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ผู้บริโภคปัจจุบันมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปราศจากยาปฏิชีวนะ NSF

รู้สึกชื่นชมเครือเบทาโกร ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารครบวงจรของประเทศไทย ที่เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ที่ผ่านกระบวนเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะมามากกว่า 10 ปี มีความทุ่มเทอย่างตั้งใจ และปฏิบัติตามเงื่อนไขโปรแกรมกระบวนการตรวจสอบตามมาตรฐานของ NSF International สามารถผ่านการรับรอง “Raised Without Antibiotics” (RWA) ทั้งกระบวนการผลิต ครบทุกผลิตภัณฑ์ของเอสเพียว (S-Pure) ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ เป็นรายแรกของโลก ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภคมั่นใจในการบริโภคได้อย่างปลอดภัย

กระทรวงวิทย์จัดงานมหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค @ จังหวัดแม่ฮ่องสอน วว. อบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดความรู้ วทน. ยกระดับโอท็อปในพื้นที่เป้าหมาย นายอภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค” ซึ่งจัดโดยความร่วมมือของหน่วยงานเครือข่ายในสังกัด ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมฐานราก ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ประกอบการโอท็อปในพื้นที่ 10 จังหวัดเป้าหมาย (ได้แก่ อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ นครพนม น่าน แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ปัตตานี และชัยนาท)

โอกาสนี้ ดร.อาภารัตน์ มหาขันธ์ รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน วว. พร้อมทั้งคณะนักวิจัย ได้ร่วมถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ให้แก่ผู้ประกอบการโอท็อป ในรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการ ได้แก่ 1. การผลิตเครื่องดื่มข้าวผสมงาดำพร้อมดื่ม 2. การแปรรูปกระเทียมตัดแต่งในน้ำมัน 3. ความรู้เบื้องต้นในการออกแบบโลโก้และโครงสร้างบรรจุภัณฑ์อย่างง่าย 4. เตาอเนกประสงค์สารพัดประโยชน์เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร 5. การใช้ Application

เพื่อการวิเคราะห์ปุ๋ย ดินและการทดสอบปุ๋ยแบบง่าย 6. ความรู้เบื้องต้นในการผลิตปุ๋ยหมักและปุ๋ยน้ำ และ 7. การสื่อสารแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์ กฎหมายฉลากบรรจุภัณฑ์และการฝึกปฏิบัติออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการผลิต สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็งและสร้างความยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการโอท็อปในพื้นที่เป้าหมาย ในวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมต่างระดับ อาคารฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ถามเพิ่มเติมได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ สำนักสื่อสารองค์กร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โทร. “อดุลย์” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผย นบข. เห็นชอบให้ส่งเรื่องให้กับ สตง. ตรวจสอบปริมาณข้าวส่วนต่าง 9.4 แสนตันแล้ว หากพบถ้าหายจริงต้องหาคนรับผิดชอบ เบื้องต้นกำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบ 1 เดือนให้สรุปผล ยันที่ผ่านมารัฐบาลทำงานอย่างโปร่งใส ส่วนการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลล่าสุดเหลือ 7 หมื่นตันพร้อมเร่งระบายให้เร็วนี้

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบกรณีข้าวในสต็อกรัฐบาลที่ยังติดค้างอยู่ในคลังสินค้าขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ไม่สามารถนำออกมาระบายได้เพราะมีข้าวหายไปจากบัญชีการตรวจนับเป็นจำนวนมากนั้น ว่า เบื้องต้น ในกรณีนี้ยังไม่ได้มีข้อสรุปว่ามีข้าวหายไปในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 0.94 ล้านตัน หรือ 9.4 แสนตัน แต่ตัวเลขที่เกิดขึ้นเป็นส่วนต่างระหว่างตัวเลขทางบัญชีที่มีการรายงานครั้งแรกว่ามีปริมาณข้าวในสต็อกรัฐบาลที่มาจากโครงการรับจำนำข้าวปริมาณ 18.7 ล้านตัน แต่เมื่อมีการตรวจสอบจริงกลับพบว่ามีปริมาณข้าวอยู่ในสต็อกปริมาณ 17.76 ล้านตัน ดังนั้น ตัวเลขดังกล่าวจึงเป็นตัวเลขส่วนต่างที่เกิดขึ้น

ดังนั้น กรมฯในฐานะอนุกรรมการฯและเลขานุการพิจารณาระบายข้าว ได้นำประเด็นนี้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณา ล่าสุด นบข.ได้พิจารณาและมอบหมายให้ ส่งเรื่องให้กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ได้รับการยอมรับทุกฝ่าย เข้ามาตรวจสอบปริมาณข้าวส่วนต่าง 9.4 แสนตัน นั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ต่างเพราะอะไร ซึ่งกรมฯได้ส่งเรื่องไปที่ สตง. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 สตง.ก็ได้เข้ามาหารือกับกรมฯเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ไปประกอบการพิจารณาและตรวจสอบกับหน่วยงานที่ดูแลต่อไป

อย่างไรก็ดี ระยะเวลาในการตรวจสอบปริมาณข้าวส่วนต่างที่เกิดขึ้น เบื้องต้น กำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2561 นี้ โดยเมื่อสรุปผลแล้วเสร็จ สตง. จะนำเรื่องส่งมาที่กรมฯ เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอในที่ประชุม นบข. พิจารณาต่อไป แต่หากภายในระยะเวลาที่กำหนดยังไม่สามารถสรุปได้ ก็จะหารือว่าสาเหตุมาจากเรื่องอะไร เพราะอะไร เมื่อชี้แจงและเห็นสมควรจากเหตุผลที่มี ก็จะยืดเวลาในการตรวจสอบออกไปเพื่อให้ได้ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

“หากสรุปไม่ทันเราก็ยืดเวลาออกไปได้ ซึ่งก็เป็นไปตามขบวนการ ขั้นตอน และเหตุผล แต่เมื่อมีข้อสรุปจากการตรวจสอบ และหากพบว่าถ้าปริมาณข้าวส่วนต่างในสต็อกรัฐบาล 9.4 แสนตัน หายไปจริง ก็ต้องดำเนินการตามขบวนการ ขั้นตอนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ที่ดูแลเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถตอบได้เนื่องจากต้องรอผลการตรวจสอบจาก สตง. ก่อน พร้อมทั้งมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่าไร เพราะต้องบอกว่าเราไม่ทราบว่า 9.4 แสนตัน เป็นข้าวอะไร คุณภาพเป็นอย่างไร หายจริงหรือไม่ ดังนั้น จึงตอบไม่ได้”

ทั้งนี้ การดำเนินของกรมฯในฐานนะอนุระบายฯและเลขานุการฯ ก็ทำหน้าที่ในการระบายข้าวจาก มติที่ประชุม นบข. ที่เห็นชอบในการระบาย ปริมาณที่นำออกมาระบายจากตัวเลขที่ตรวจสอบจริงมีปริมาณ 17.76 ล้านตัน ซึ่งกรมฯก็ได้ดำเนินการระบายมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2557 โดยสามารถระบายข้าวไปได้แล้วกว่า 16.84 ล้านตัน มีมูลค่ากว่า 145,865 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเหลือปริมาณข้าวคงค้างในสต็อกรัฐบาลที่รอการระบายเพียง 70,000 ตัน โดยแบ่งเป็นข้าวกลุ่ม 2 คือข้าวที่เข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ปริมาณ 20,000 ตันและข้าวกลุ่ม 3 คือ ข้าวที่เข้าสู่อุตสาหกรรมที่คนกินไม่ได้และสัตว์กินไม่ได้ ปริมาณ 50,000 ตัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดระบายได้เร็วๆนี้

นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า จากนี้ก็ต้องรอผลการตรวจสอบจาก สตง. ว่าจะมีข้อสรุปผลจากการตรวจสอบเรื่องนี้เป็นอย่างไร และถ้าพบว่าหายจริงก็ต้องหาคนรับผิดชอบ เพราะต้องยอมรับว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการเป็นเงินของแผ่นดิน ดังนั้น ก็ต้องมีความชัดเจนและโปร่งใสในทุกขบวนการ การทำงานทั้งหมด และย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้และก็ได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว และการทำงานที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็ทำงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้

ส่วนการส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปี จนถึงณ วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ส่งออกข้าวไปแล้วปริมาณ 6.4 ล้านตัน มูลค่า 3,266 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ สถานการณ์ราคาข้าว ข้าวหอมมะลิ 100% ราคา 1,122 เหรียญสหรัฐต่อตัน ข้าวข่าว 5% ราคา 399 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนสถานการณ์ตลาดในต่างประเทศ ขณะนี้ผู้นำเข้ายังอยู่ระหว่างกาติดตามผลลผิตข้าวไทย เพื่อประเมินแต่ก็ยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอยู่ อีกทั้ง การส่งออกข้าวในปี 2562 ได้ตั้งเป้าการส่งออกไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน และเร็วๆนี้ กรมฯเตรียมผลักดันการทำสัญญาซื้อขายข้าวล้านที่ 2 กับจีนในวันที่ 26 สิงหาคม 2561 นี้ ซึ่งได้ร่างสัญญาเสร็จแล้วโดยรอการพิจารณาจากจีนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับในกรณีดังกล่าวนี้ได้มีการสอบถามไปยังพล.ต.ท. ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อสอบถามในประเด็นดังกล่าว โดยได้คำตอบว่ายังไม่ทราบในรายละเอียดในประเด็นนี้ โดยขอเวลาในการดูข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมกันนี้ จะมอบหมายให้ผู้อำนวยการคลังสินค้า ไปติดตามรายละเอียดและตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประชุม “ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต” โดยเปิดเผยว่า สทนช.ตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต” ขึ้นตามคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีคำสั่งให้เปิดศูนย์เฉพาะกิจติดตามสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้เชิญผู้แทนจาก 9 หน่วยงาน อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น วางแผนบริหารจัดการน้ำร่วมกัน เนื่องจากขณะนี้มีฝนตกจำนวนมาก ส่งผลให้อ่างเก็บน้ำมีปริมาณน้ำมากกว่าเกณฑ์ควบคุมที่กำหนดไว้ 80-100 % แบ่งเป็น เขื่อน ขนาดใหญ่ 12 แห่ง และขนาดกลาง 103 แห่ง

ช่วงปลายเดือนส.ค.นี้คาดการณ์ว่าจะมีพายุพัดผ่านเข้ามาในไทยผ่านภาคอีสานตอนบน และภาคเหนือตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ติดลำน้ำโขง และฝั่งภาคตะวันตก อาทิ จังหวัด ตาก เพชรบุรี อีกระลอก ดังนั้นที่ประชุมจึงมอบหมายให้การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมชลประทาน เร่งระบายน้ำหรือพร่องน้ำออกจากเขื่อนให้มากที่สุดภายใน 10 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ฝนมีปริมาณน้อย เพื่อรองรับปริมาณฝนตกหนักในช่วงกลางเดือนส.ค.เป็นต้นไป โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์สุ่มเสี่ยง ได้แก่ เขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และ 3.เขื่อนวชิราลงกรณ จังหวัดกาญจนบุรี

“กรมชลฯ จะเร่งปรับแผนการระบายน้ำในเขื่อน วิเคราะห์พื้นที่ได้รับผลกระทบ ความสูงของมวลน้ำ ก่อนแจ้งไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัย (ปภ.) ให้ประชาชนในพื้นที่รับน้ำให้เตรียมตัว โดยขณะนี้กรมชลฯ กำลังเร่งตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากต้องกำหนดจุดระบายน้ำฉุกเฉินในแต่ละเขื่อนให้ได้ โดยจะให้กระทบพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด คาดว่าทุกหน่วยงานจะสรุปแผนดำเนินการเสร็จภายในวันที่ 6 ส.ค. เพื่อเสนอพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป”

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สำหรับเขื่อนน้ำอูน ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างฯ 525 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มีน้ำล้นทางระบายน้ำล้นฉุกเฉิน ประมาณ 6 เซนติเมตร หรือคิดเป็นปริมาณน้ำล้น 1.22 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน กรมชลฯ ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อช่วยในการระบายน้ำเพิ่มอีก 15 ชุด จากเดิมมีอยู่ 10 ชุด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำจาก 3.60 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 4.15 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน

เขื่อนแก่งกระจาน มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 656 ล้านลบ.ม. มีน้ำมากกว่าเกณฑ์กักเก็บน้ำสูงสุด 219.81 ล้านลบ.ม. และมีการระบายน้ำ 9 ล้านลบ.ม.ต่อวัน ส่วนการเพิ่มการระบายน้ำยังทำได้ยาก เนื่องจากลุ่มน้ำสงครามซึ่งเป็นทางผ่านน้ำก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง มีปริมาณน้ำฝนและน้ำจากเทือกเขาภูพานที่ไหลมาบรรจบกันจำนวนมาก ทำให้ระบายสู่แม่น้ำโขงได้ช้า นอกจากนี้คาดว่าปริมาณฝนที่จะตกลงมาเพิ่มจะทำให้พื้นที่ในอำเภอวานรนิวาส อากาศอำนวย พังโคน ศรีสงคราม เกิดภาวะน้ำท่วมด้วย

ส่วนเขื่อนวชิราลงกรณ มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 7,298 ล้านลบ.ม. มีน้ำมากกว่าเกณฑ์กักเก็บน้ำสูงสุด 1,038 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันมีการระบายน้ำอยู่ที่ 36 ล้านลบ.ม. และทางกรมชลฯ เห็นว่าพื้นที่ท้ายน้ำยังมีช่องว่างรับน้ำได้อีก 140 ล้านลบ.ม. จึงอยากจะปรับการระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 43 ล้านลบ.ม. เพื่อให้เขื่อนสามารถรองรับน้ำในช่วงเดือนส.ค.เพิ่มอีก ซึ่งการปรับแผนครั้งนี้จะรีบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าน้ำจำนวนนี้ถ้าระบายไปแล้ว พื้นท้ายน้ำจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

ในสมัยโบราณคนไทยนิยมทำขนมเพื่อใช้ในเทศกาล ประเพณีต่างๆ ขนมไทยชนิดหนึ่งที่มีความหมาย แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง ฟูเฟื่อง เป็นศิริมงคล และยังมีรสชาติที่แสนอร่อยชนิดหนึ่งก็คือ ขนมถ้วยฟู

“บ้านขนมมรกต” เป็นสถานที่หนึ่งที่ชาวจังหวัดสระแก้วรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะความอร่อยของขนมที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันกันอย่างดี สืบทอดตำนานความอร่อยจากอดีตคุณแม่สู่รุ่นปัจจุบันรุ่นลูก

ชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องคือ การทำขนมถ้วยฟูสมุนไพรที่มีความหอม รสชาติอร่อยคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านขนมมรกต คุณภัสสรภรณ์ ทรัพย์ทวีพูนผล ผู้สืบทอดตำนานการทำขนมถ้วยฟูจากคุณแม่เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมได้ทำขนมถ้วยฟูตามสูตรคุณแม่ที่สืบทอดกันมานานหลายสิบปี และได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องคือการนำสมุนไพรมาใส่ลงในแป้งเพื่อให้เกิดสีสันสวยงาม สีที่ใส่จะเป็นธรรมชาติ สีชมพูเกิดจากการใส่ใช้น้ำฝาง สีขาวไม่ใส่สี สีเขียวใส่น้ำใบเตย สีเหลืองใส่น้ำลูกตาลและสีฟ้าใช้น้ำดอกอัญชัญ สีที่ใส่จะเป็นสีธรรมชาติ ส่วนผสมก็จะมีแป้งข้าวเจ้า น้ำกะทิ น้ำตาลทราย น้ำลอยดอกไม้ แป้งเชื้อข้าวหมาก

สำหรับวิธีการทำนั้น คุณภัสสรภรณ์ เล่าให้ฟังว่า แต่ละวันที่ทำจะใช้แป้งข้าวเจ้าสดที่ทำใหม่ทุกวัน โดยจะนำข้าวสารมาซาวล้างให้สะอาดใส่น้ำสะอาดให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ 1 คืนกรองน้ำออกนำไปโม่ทิ้งไว้ให้แป้งตกตะกอน เทน้ำด้านบนทิ้งให้เหลือในแป้งสดพอประมาณใส่ถุงพักไว้

หลังจากนั้น นำน้ำกะทิมาผสมกับน้ำตาลทรายตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย ยกลงพักไว้ให้เย็น และนำน้ำกะทิที่ได้มาผสมกับแป้งข้าวเจ้าสดที่เตรียมไว้นวดผสมเข้าให้เข้ากันใส่สีที่ตามต้องการ เช่น ถ้าต้องการสีชมพูก็ใส่น้ำฝาง สีเขียวก็ใส่น้ำใบเตย เป็นต้น จากนั้นนำแป้งที่นวดและผสมเสร็จแล้วเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อรอให้แป้งขึ้นตัว

ขณะเดียวกันเตรียมอุปกรณ์นึ่ง คือ นำถ้วยตะไลเรียงใส่ซึ้งนึ่งใส่น้ำลงไปในลังถึงนำขึ้นตั้งไฟให้เดือดนานประมาณ 10 นาที เพื่อให้ถ้วยร้อน ยกลังถึงใส่ถ้วยตะไลลงจากเตา นำแป้งที่เตรียมไว้มาหยอดใส่ถ้วย ปิดฝานึ่งใช้ไฟแรงนานประมาณ 15 นาที พอขนมสุกจึงยกขึ้นจากเตาแช่ในภาชนะที่มีน้ำเย็นเพื่อสะดวกต่อการแคะ และนำใส่กล่องและถุงจำหน่ายที่หน้าร้านมีราคาตั้งแต่ 30 40 และ 50 บาท นอกจากนี้ ยังมีการทำขนมน้ำดอกไม้อีกด้วย

สถานที่ทำขนมขายจะอยู่ที่บ้านตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองจังหวัดสระแก้ว ตนและครอบครัวทำขายมาเป็นเวลานานจนเป็นที่เลื่องชื่อ ถึง เปิดขายตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ต่อมาเมื่อเป็นที่รู้จักมากขึ้นจึงขยายสาขามาขายที่บริเวณใกล้หอนาฬิกา ท่าน้ำนนท์ จังหวัดนนทบุรี (ศาลากลางเก่านนทบุรี) ติดป้ายรถเมล์ตั้งแต่ช่วงเช้าประมาณ 8 โมงถึง 4 โมงเย็น ถ้าวันไหนหมดก็จะกลับเร็ว และจะนำขนมไปทำจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า งานแสดงต่างๆ ทั่วประเทศ

จุดเด่นประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับ “บ้านขนมมรกต” ก็คือ การสร้างแฟรนไชส์ในยุคปัจจุบันนี้นับว่าเป็นที่นิยมและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในรูปแบบของการสมัครเป็นสมาชิก และนำมาแป้งมาทำขนมจำหน่าย ผู้ซื้อแฟรนไชส์สามารถนำไปทำขายได้ทันทีเพียงแต่เตรียมอุปกรณ์สำหรับนึ่งก็สามารถขายได้ โดยใช้แป้งสีต่างๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ และจะจัดส่งให้ตามต้องการนอกจากนี้ ยังทำในรูปแบบของขนมถ้วยฟูแช่แข็งส่งขายยังต่างประเทศ ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ใดสนใจในการกำขนมถ้วยฟูสมุนไพรสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณภัสสรภรณ์ ทรัพย์ทวีพูนผล บ้านเลขที่ 12/7หมู่บ้านพรรณดา ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว 27000 โทร. 08-1945-2085 คุณภัสสรภรณ์ บอกว่ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สนใจทั่วไป

ชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องคือ การทำขนมถ้วยฟูสมุนไพรที่มีความหอม รสชาติอร่อยคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านขนมมรกต คุณภัสสรภรณ์ ทรัพย์ทวีพูนผล ผู้สืบทอดตำนานการทำขนมถ้วยฟูจากคุณแม่เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมได้ทำขนมถ้วยฟูตามสูตรคุณแม่ที่สืบทอดกันมานานหลายสิบปี และได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องคือการนำสมุนไพรมาใส่ลงในแป้งเพื่อให้เกิดสีสันสวยงาม สีที่ใส่จะเป็นธรรมชาติ สีชมพูเกิดจากการใส่ใช้น้ำฝาง สีขาวไม่ใส่สี สีเขียวใส่น้ำใบเตย สีเหลืองใส่น้ำลูกตาลและสีฟ้าใช้น้ำดอกอัญชัญ สีที่ใส่จะเป็นสีธรรมชาติ ส่วนผสมก็จะมีแป้งข้าวเจ้า น้ำกะทิ น้ำตาลทราย น้ำลอยดอกไม้ แป้งเชื้อข้าวหมาก

สำหรับวิธีการทำนั้น คุณภัสสรภรณ์ เล่าให้ฟังว่า แต่ละวันที่ทำจะใช้แป้งข้าวเจ้าสดที่ทำใหม่ทุกวัน โดยจะนำข้าวสารมาซาวล้างให้สะอาดใส่น้ำสะอาดให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ 1 คืนกรองน้ำออกนำไปโม่ทิ้งไว้ให้แป้งตกตะกอน เทน้ำด้านบนทิ้งให้เหลือในแป้งสดพอประมาณใส่ถุงพักไว้

หลังจากนั้น นำน้ำกะทิมาผสมกับน้ำตาลทรายตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย ยกลงพักไว้ให้เย็น และนำน้ำกะทิที่ได้มาผสมกับแป้งข้าวเจ้าสดที่เตรียมไว้นวดผสมเข้าให้เข้ากันใส่สีที่ตามต้องการ เช่น ถ้าต้องการสีชมพูก็ใส่น้ำฝาง สีเขียวก็ใส่น้ำใบเตย เป็นต้น จากนั้นนำแป้งที่นวดและผสมเสร็จแล้วเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อรอให้แป้งขึ้นตัว