โดยหลังจากได้ปลามาแล้ว จะนำมาล้างทำความสะอาดขอดเกล็ด

ผ่าท้อง ควักไส้ ก่อนจะนำมาคลุกเกลือและรำข้าวให้เข้าเนื้อ ในอัตราส่วน ปลา 10 กิโลกรัม ต่อเกลือ 1 กิโลกรัม รำคั่ว 1.5 กิโลกรัม บรรจุลงในโอ่งมังกรใบใหญ่ ปิดปากโอ่งให้แน่นด้วยพลาสติก โดยจะพยายามไม่เปิดฝาโอ่งบ่อยๆ เพราะมีโอกาสปนเปื้อนมาก และต้องอยู่พื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่น้อยกว่า 6-12 เดือน จึงจะสามารถนำออกมาจำหน่ายหรือบริโภคได้ ซึ่งปลาร้าของกลุ่มเกษตรกรบ้านหนองล่าม ได้รับมาตรฐานเป็นสินค้า OTOP ของอำเภอและของจังหวัด

กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศ “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบถึงวันที่ 18 เมษายน 2561)” ฉบับที่ 21 ลงวันที่ 18 เมษายน 2561 ระบุว่า

บริเวณประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนลดลง และอุณหภูมิจะสูงขึ้น แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงบางพื้นที่ตามภาคต่างๆ ดังนี้ ภาคเหนือ : จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน และแพร่

ภาคกลาง : จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี

ภาคใต้ : จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนลดลง และอุณหภูมิจะสูงขึ้น

ส่วนสภาพอากาศในอีก 7 วันข้างหน้า กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า ส่วนในช่วง วันที่ 18-23 เม.ย. ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นและมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ส่วนในช่วง วันที่ 24-25 เม.ย. ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน กับมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 19-23 เม.ย. ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด

ส่วนในช่วง วันที่ 24-25 เม.ย. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย ส่วนเกษตรกรควรระมัดระวัง และป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ในช่วง วันที่ 18-23 เม.ย. หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้นและมีอากาศร้อน โดยมีลมตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีฝนฟ้าคะนองได้บางแห่ง ส่วนในช่วง วันที่ 24-25 เม.ย. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศร้อนบางพื้นที่ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง กับมีฟ้าผ่าและลูกเห็บตกบางพื้นที่

สุดยอดงานวิจัยเพื่อการเกษตรและผลผลิตส่งออก “ชุดตรวจวัดปริมาณไซยาไนด์ในมันสำปะหลังแบบเปรียบเทียบสีโดยใช้อนุภาคนาโนโลหะคู่” ผลงานนักศึกษาปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยมี ผศ.ดร. เขมฤทัย ถามะพัฒน์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา คว้ารางวัลระดับดีเด่น การเขียนข้อเสนอโครงการสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอุดมศึกษา ประจำปี 2560 และรางวัลระดับดีเด่น การประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอุดมศึกษา ประจำปี 2560 ในกลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ ในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 หรือ Thailand Research Expo 2017”

นางสาววรวรรณ เสาวรส นักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ เจ้าของผลงาน เล่าว่า หัวมันสำปะหลังดิบจะมีสารไซยาไนด์ในปริมาณที่ต่างกันตามสายพันธุ์ โดยพันธุ์หวานประกอบอาหารได้ ระดับปริมาณไซยาไนด์ไม่เป็นอันตราย ส่วนมันสำปะหลังพันธุ์ขม จะมีปริมาณไซยาไนด์สูง ซึ่งมีความเป็นพิษ มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและทางเดินโลหิต เป็นอันตรายมากหากรับประทานดิบ จึงนิยมนำไปแปรรูปเป็นแป้งมัน มันแห้ง มันอัดเม็ด หรืออาหารสัตว์ อีกทั้งไซยาไนด์ เป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำงานบางอย่าง เช่น การถลุงโลหะ การสังเคราะห์สารเคมี การตรวจวิเคราะห์ทางเคมีในห้องปฏิบัติการเป็นต้น

ดังนั้น การทดสอบปริมาณของไซยาไนด์ จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับการส่งออกผลผลิตมันสำปะหลังให้ตรงตามมาตรฐานและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค จากเดิมขั้นตอนในการตรวจสอบไซยาไนด์ ต้องสกัดปริมาณไซยาไนด์ในมันสำปะหลังออกมาโดยใช้เอนไซม์ซึ่งมีความยุ่งยากในการเก็บรักษา และตรวจสอบการเปลี่ยนสีโดยใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษ ทำในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบ เราต้องการคิดค้นวิธีการตรวจสอบที่ลดขั้นตอนและมีความเป็นพิษต่ำลง เพื่อป้องกันสุขภาพของผู้ตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของชุดตรวจดังกล่าว หลักการคือสังเคราะห์อนุภาคที่มีลักษณะเป็น 2 ชั้น ที่มีแกนเป็นอนุภาคนาโนเงินและมีเปลือกเป็นชั้นทองบางๆ หุ้มอยู่

จึงทำให้สารละลายสามารถเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีอมส้ม เหลือง และสีใส เพื่อบอกระดับปริมาณไซยาไนด์ เพียงสกัดน้ำจากมันสำปะหลังลงในสารละลายอัตราส่วน 1 : 1 และสังเกตการเปลี่ยนสีในเวลา 5 นาที หากสารละลายเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีอมส้ม เหลือง และสีใส จากไซนาไนด์ปริมาณน้อยไปถึงปริมาณมากตามลำดับ หากเป็นสีใส คือมีปริมาณไซยาไนด์ในระดับที่เป็นอันตราย ไม่สามารถบริโภคโดยตรงได้

เหี้ยสวนลุมฯ กลับมาแล้ว ขยายพันธุ์เร็ว เพื่อนบ้านเข้ามาอยู่แทน สัตวแพทย์ชี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด รักสงบ แต่อย่าไปแหย่ก่อน

เมื่อวันที่ 17 เมษายน นายสัตวแพทย์ (น.สพ.) อลงกรณ์ มหรรณพ นายสัตวแพทย์อาวุโส กรรมการวิชาการราชบัณฑิตยสภา ให้สัมภาษณ์เรื่องสถานการณ์ตัวเหี้ย ในประเทศไทยว่า คาดว่าเวลานี้ประชากรจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดสาเหตุหนึ่งคือ มีอาหาร ซึ่งก็คือ ซากสัตว์ และของเน่าเสียมีปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็นเขตเมืองแต่มีหลายจุดที่เป็นแหล่งที่อาศัยเดิมของสัตว์ชนิดนี้ เช่น เขตดุสิต สวนสัตว์เขาดิน ทำเนียบรัฐบาล สวนลุมพินี ไม่ค่อยมีเหตุทำอันตรายแก่ตัวเหี้ย เช่น คนล่าไปกิน มีศัตรูโดยธรรมชาติน้อยมาก รวมไปถึงพื้นที่ชานเมือง เช่น บางขุนเทียน และจังหวัดปริมณฑล คือ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม มีบ่อเลี้ยงปลาจำนวนมาก ตัวเหี้ยมักจะลักลอบเข้าไปกินปลาในบ่อเลี้ยง มีอาหารค่อนข้างอุดมสมบูรณ์

“สาเหตุที่จะทำให้ตัวเหี้ยตายมากที่สุดคือการกัดกันเอง ซึ่งเทียบกับปริมาณที่มีอยู่แล้ว และอัตราการเกิด ซึ่งเหี้ย 1 ตัวจะวางไข่ครั้งละ 20-30 ฟอง ปีละ 1 ครั้ง มีอัตราการรอดตายประมาณ 5 ตัว ถือว่าอัตราการตายน้อยมากเมื่อเทียบกับการเกิด ส่วนใหญ่จะแก่ตายไปเอง ซึ่งเหี้ยจะมีอายุขัยอยู่ที่ 15-20 ปีโดยเฉลี่ย โดยเหี้ยแก่ใกล้ตายนั้นจะไม่ทำอะไรเลย นอนซึม ไม่หาอาหาร ผอมแห้งลงไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากการสะสมไขมันไว้ปริมาณมาก ร่างกายจะดึงไขมันออกมาใช้ทีละน้อยจนกว่าจะหมด ซึ่งใช้เวลานานนับเดือน” น.สพ. อลงกรณ์ กล่าว

น.สพ. อลงกรณ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่เคยมีการร้องเรียนกันว่าประชากรตัวเหี้ยในพื้นที่สวนลุมพินีมีจำนวนมากเกินไป อาจทำอันตรายประชาชนที่เข้าไปพักผ่อนออกกำลังกายได้ จนทำให้กรุงเทพมหานครร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเข้าไปจับออกมาส่วนหนึ่งแล้วเอาไปปล่อยในป่าแห่งหนึ่งนั้น เข้าใจว่าเวลาผ่านไปจนกระทั่งวันนี้ จำนวนประชากรตัวเหี้ยในสวนลุมฯ กลับมาเหมือนเดิมแล้ว เพราะ 1. มีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว 2. ตัวเหี้ยที่อาศัยอยู่พื้นที่ข้างๆ สวนลุมฯ เมื่อเห็นว่าตัวที่อาศัยอยู่เดิมไม่อยู่แล้ว ก็จะเข้ามาอยู่แทน

“ตัวเหี้ยแค่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว และคนก็มักจะจินตนาการไปเองว่ามันจะทำร้าย แต่ความจริงแล้วสัตว์ชนิดนี้ไม่เคยทำร้ายใครก่อน เมื่อเห็นคนมันพยายามจะหนีด้วยซ้ำ ยกเว้นว่าใครที่ไปยั่วแหย่มันก่อน อาจจะโดนกัด หรือเอาหางฟาดเอาได้ หากถูกเหี้ยกัดหรือฟาดหางใส่ ต้องรีบล้างแผล ใส่ยาฆ่าเชื้อ และรีบไปหาหมอโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาสถิติของคนที่ถูกเหี้ยทำร้ายมีน้อยมาก” น.สพ. อลงกรณ์ กล่าว

การฝังเข็ม ถือเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่ได้รับความสนใจไม่ใช่น้อย แต่สิ่งสำคัญผู้ที่จะมาให้บริการการฝังเข็ม เพื่อการบำบัดรักษานั้น จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมและเป็นผู้ชำนาญเรื่องนี้โดยตรง เนื่องจากหากผิดพลาดย่อมส่งผลต่อผู้รับบริการ ซึ่งล่าสุดมีการแชร์ข้อมูลในสังคมออนไลน์ ของ นพ. มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจและปอด โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์รูปภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” โดยระบุถึง “อันตรายจากการฝังเข็ม..ปอดรั่ว”

มีใจความว่า “ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 38 ปี ปวดหลัง ไปคลินิกฝังเข็ม ฝังเข็มบริเวณหลังด้านบนซ้าย หลังจากฝังเข็มรู้สึกเหนื่อย หายใจลึกๆ เจ็บหน้าอกด้านซ้าย จึงมาโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ตรวจพบปอดแฟบด้านซ้าย 50% ต้องใส่สายระบายลมเข้าทางทรวงอกด้านซ้าย เบื้องต้นดูดลมออกมาได้ 300 มล. ได้ คาสายระบายลมไว้ 24 ชั่วโมง หลังจากปอดซ้ายขยายตัวเต็มที่จึงเอาสายระบายลมออก และกลับบ้าน ได้ใน 48 ชั่วโมง”

การฝังเข็ม ถ้าลึกเกินไปจะไปทิ่มแทงอวัยวะภายใน อย่างในผู้ป่วยรายนี้ทิ่มทะลุปอดทำให้ปอดรั่ว โชคยังดีที่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ติดเชื้อจากการฝังเข็ม เพราะในบางรายนอกจากปอดจะรั่วแล้วยังเกิดการติดเชื้อ เกิดฝีหนองในทรวงอก ซึ่งทำให้รักษายากขึ้นอีก การฝังเข็มควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้เข็มที่ปลอดเชื้อ ใช้แล้วทิ้ง

นพ. มนูญ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าผู้ป่วยรายนี้ปอดรั่วจากการไปฝังเข็ม เพราะเมื่อฝังเข็มแล้วเกิดอาการขึ้นทันที คือ รู้สึกเหนื่อย หายใจลึกๆ แล้วเจ็บ หายใจลำบาก ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการของคนที่มีภาวะปอดรั่ว โดยปอดจะต้องรั่วมากระดับหนึ่งถึงจะเกิดอาการขึ้น แต่หากรั่วอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 อาจจะยังไม่รู้สึก สำหรับผู้ป่วยรายนี้เมื่อรู้สึกก็มาที่โรงพยาบาลทันที จากการเอกซเรย์พบว่า ปอดด้านซ้ายแฟบไปครึ่งหนึ่ง หรือ ร้อยละ 50 ซึ่งถือว่ารั่วค่อนข้างมาก

ปอดและถุงลมเราก็เหมือนลูกโป่ง เมื่อถูกเข็มทิ่มเข้าไปก็ทำให้เกิดการรั่วขึ้น ซึ่งโอกาสที่ปอดรั่วจากการฝังเข็มนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพราะถัดจากผิวหนังเราลงไปก็เป็นปอดและอวัยวะภายในอื่นๆ แล้ว ซึ่งคนที่ทำการฝังเข็มต้องระมัดระวัง เพราะหากทิ่มลึกไปก็อาจทิ่มเข้าอวัยวะภายในอื่นๆ ได้ ซึ่งแต่ละคนจะต่างกัน หากเป็นคนอ้วนก็อาจจะลึกลงไปหลายเซนติเมตร แต่คนผอมก็ประมาณ 2 เซนติเมตรเท่านั้นก็ถึงปอดแล้ว

นพ. มนูญ กล่าวว่า สำหรับผู้ป่วยรายนี้ได้ทำการใส่สายระบายลมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง จนลมออกมาทั้งหมดแล้ว ปอดจึงขยายตัวตามเดิม ส่วนรูรั่วอาจจะมีขนาดเล็ก ซึ่งร่างกายก็ประสานต่อกันเข้าไปเองได้ แต่ที่โชคดีอีกอย่างคือ ผู้ป่วยรายนี้ไม่ติดเชื้อจากการฝังเข็ม ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการฝังเข็มขอให้ระมัดระวัง เพราะหากฝังลึกเกินไปก็อันตราย จึงต้องทำการฝังเข็มจากผู้เชี่ยวชาญ และหากฝังแล้วมีอาการดังกล่าวคือ หายใจลำบาก เหนื่อย หายใจติดขัด หายใจแล้วเจ็บ ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที

“นอกจากเรื่องการฝังเข็มแล้ว คนหนุ่มสาวที่ตัวสูงๆ ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย เนื่องจากพบผู้ป่วยวัยรุ่นตัวสูงเข้ามารับการรักษาอาการปอดรั่วกันมาก เนื่องจากพบว่ายอดปอดที่อยู่ใต้ไหปลาร้านั้นมีความอ่อนแอ มีถุงลมโป่งพองเล็กน้อยและรั่วได้บ่อย จากการออกกำลังกาย ยกของหนักๆ ทำให้เกิดอาการรั่วบริเวณยอดปอด และเกิดอาการหายใจเหนื่อย ติดขัดขึ้นจนต้องมาโรงพยาบาล ซึ่งปีหนึ่งก็พบได้หลายราย แต่ยังไม่ทราบว่าเหตุใดคนกลุ่มนี้จึงมียอดปอดไม่แข็งแรง” นพ. มนูญ กล่าวทิ้งท้าย

ควรต้องระมัดระวัง และเลือกการรับบริการฝังเข็มจากแพทย์ทางเลือกที่เชี่ยวชาญจริงๆ หรือจากสถานพยาบาลที่ได้รับการยอมรับดีที่สุด

รศ.ดร. วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) กล่าวถึงผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำโลก Round University Rankings 2018 โดยสถาบันการจัดอันดับของประเทศ รัสเซีย ที่ปรากฏว่า มทส.ติดอันดับที่ 616 ของโลก อันดับ 12 ของอาเซียน และอันดับ 4 ของประเทศไทย ว่า การจัดอันดับในครั้งนี้มีเกณฑ์พิจารณาตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในระดับสากล 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด คือ ด้านการสอน 5 ตัว ชี้วัด คิดเป็น 40%, ด้านการวิจัย 5 ตัวชี้วัด 40%, ด้านความเป็นนานาชาติ 5 ตัวชี้วัด 10% และด้านความยั่งยืนทางการเงิน 5 ตัวชี้วัด 10%

เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดต่างๆ มทส.ได้คะแนนสูงสุดของประเทศ 38.732% ในด้านการวิจัย และได้คะแนนสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ 43.048% ในด้านความเป็นนานาชาติ และยังเป็น 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยไทยในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำโลกประจำปี 2018 (Times Higher Education World University Rankings 2018) อยู่ในกลุ่มอันดับ 601-800 ของโลก อันดับ 3 มหาวิทยาลัยไทย และติดอันดับ 4 ของไทยในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับเอเชีย โดยสำนักจัดอันดับชื่อดังของอังกฤษ และในวารสารชั้นนำของโลก เป็นต้น

“สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการทำงานหนักและร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสร้างสรรค์ ร่วมจรรโลงของทุกๆ ฝ่ายที่ตระหนักและรับรู้ร่วมกันในการมุ่งผลสัมฤทธิ์พัฒนามหาวิทยาลัยซึ่งผ่านแผนพัฒนาระยะที่ 11 มาเรียบร้อยแล้ว มหาวิทยาลัยเติบโตได้ตามแผน และกำลังก้าวเข้าสู่แผนพัฒนามหาวิทยาลัยระยะที่ 12 เพื่อก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในอนาคตอันใกล้ และยืนหยัดในการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเป็นที่พึ่งของสังคมต่อไป” อธิการบดี มทส.กล่าว

เมื่อวันที่ 17 เมษายน นพ. อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้ได้เข้าสู่ฤดูร้อน อุณหภูมิที่สูงขึ้นจึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำ การดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานหรือน้ำอัดลมจึงเป็นทางเลือกลำดับต้นๆ ซึ่งผลการศึกษา โดยเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ในปี 2559 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 39.4 กิโลกรัม หรือ 108 กรัม ต่อวัน หรือ 27 ช้อนชา ต่อวัน ซึ่งมากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 5 เท่า และในปี 2560 พบอัตราโรคอ้วนในวัยเรียน ร้อยละ 10.15 โดยแหล่งอาหารที่เป็นที่มาสำคัญของการได้รับน้ำตาลมากเกินของเด็กไทย ได้แก่ น้ำอัดลมและนมเปรี้ยว ซึ่งหากดื่มมากๆ ในระยะยาวร่างกายจะผลิตอินซูลินได้น้อยลง หรืออินซูลินที่ผลิตออกมาด้อยประสิทธิภาพจนทำให้ร่างกายเกิดโรคเบาหวานและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ตามมา จึงควรเริ่มต้นกินหวานให้น้อยลง สั่งหวานน้อยเป็นประจำให้เป็นนิสัย หรือหากรู้สึกอยากน้ำหวานลองเลือกเป็นน้ำผลไม้สดทดแทน

ทพญ. ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันมีเครื่องดื่มรสหวานในท้องตลาดหลายชนิดที่ได้รับความนิยม เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชาเขียว น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้พร้อมดื่ม และเครื่องดื่มกาแฟสด ซึ่งเครื่องดื่มรสหวานเหล่านี้จะมีส่วนประกอบของน้ำตาลปริมาณมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ ไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา โดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 31 กรัม หรือ 8 ช้อนชา ต้องใช้เวลาเผาผลาญด้วย การเดินอย่างน้อย 18 นาที หรือเดินขึ้นบันได หรือวิ่งเหยาะอย่างน้อย 12 นาที น้ำอัดลมน้ำสี และน้ำใสกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 39 กรัม หรือ 10 ช้อนชา ต้องใช้เวลาเผาผลาญด้วยการเดินอย่างน้อย 22 นาที หรือเดินขึ้นบันไดหรือวิ่งเหยาะอย่างน้อย 16 นาที

เครื่องดื่มชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวขวดปริมาณ 420 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 49 กรัม หรือ 12 ช้อนชา ต้องใช้เวลาเผาผลาญด้วยการเดินอย่างน้อย 27 นาที หรือเดินขึ้นบันไดหรือวิ่งเหยาะอย่างน้อย 19 นาที เครื่องดื่มสมุนไพรปริมาณ 380 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 40 กรัม หรือ 10 ช้อนชา ต้องใช้เวลาเผาผลาญด้วยการเดินอย่างน้อย 22 นาที หรือเดินขึ้นบันไดหรือวิ่งเหยาะอย่างน้อย 16 นาที และกาแฟสดหรือชาชงแก้วขนาดกลาง มีน้ำตาลประมาณ 9-10 ช้อนชา ต้องใช้เวลาเผาผลาญด้วยการเดินอย่างน้อย 20-22 นาที หรือเดินขึ้นบันไดหรือวิ่งเหยาะอย่างน้อย 14-16 นาที

ผศ.ดร. วิภาวรรณ บัวทอง คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ จัดกิจกรรม “นวัตกรรมอาหารกับภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร รุ่นที่ 1” ทั้งนี้ ด้วยมหาวิทยาลัยมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการภูเก็ตเมืองอาหาร โดยจัดกิจกรรมสนับสนุนให้สมกับการได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นเมืองอาหาร ตลอดจนตอบสนองเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นตามพระราโชบายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ด้าน นางสาวขนิษฐา ธนาวิรัตนานิจ ผอ.ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเล็งเห็นถึงการต่อยอดเอกลักษณ์ด้านอาหารของภูเก็ต เพราะหากเมนูต่างๆ ไม่มีการต่อยอดและพัฒนาให้สอดคล้องกับกระแสทางวัฒนธรรมและถูกใจกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ความนิยมของอาหารท้องถิ่นภูเก็ตอาจจะไม่สามารถอยู่ในกระแสได้ในระยะยาว ดังนั้น การเชิญเชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดศาสตร์ด้านการทำอาหารทุกกระบวนการ คาดหวังว่าผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ จะสามารถนำเทคนิคไปพัฒนาเมนูอาหารเพื่อการค้า ยกระดับเมืองอาหาร สร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวท้องถิ่นต่อไป

ตรัง – นางสาวนันทวัน ศิริโภคพัฒน์ ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตรัง (ททท.) เผยว่า สงกรานต์ปีนี้ในส่วนของจังหวัดตรัง มีกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการตักบาตรน้ำหอม ที่วัดเขา ไม้แก้ว ตำบลนาเมืองเพชร การเล่นสงกรานต์ผ่านอุโมงค์น้ำ และการแสดงแสงสีเสียง ซึ่งร่วมกับชมรม ผู้ประกอบการร้านอาหารปากเมง บริเวณริมหาดปากเมง ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา ทำให้บรรยากาศ ท่องเที่ยวสงกรานต์คึกคักมากขึ้น โดยยอดการจองห้องพักและโรงแรมในมี 127 แห่ง จำนวนห้องพักทั้งหมด 3,757 ห้อง ขณะนี้มีการจองและเข้าพักแล้ว 60.16% คาดว่ามีเงินสะพัดช่วงสงกรานต์กว่า 98.28 ล้านบาท

ทั้งนี้ พระครูศรีรัตนาภิวุฒิ เจ้าอาวาสวัดเขาแก้ว พร้อมพระภิกษุสามเณร 47 รูป ร่วมรับบิณฑบาตน้ำหอม โดยชาวบ้านได้ร่วมกันแต่งกายด้วยชุดไทยและชุดผ้าพื้นเมืองต่างนำน้ำหอม พร้อมดอกไม้ มาสรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่จัดต่อเนื่องถึง 13 ปี ซึ่งเป็นที่เดียวในจังหวัดตรัง โดยมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก

จันทบุรี – นายวิทูรัช ศรีนาม ผวจ.จันทบุรี กล่าวภายหลังเป็นประธานลั่นฆ้องเปิดงาน “วันลิ้นจี่และของดี อำเภอโป่งน้ำร้อน” ระหว่าง 15-25 เมษายน บริเวณที่ว่าการ อำเภอโป่งน้ำร้อน ในรูปแบบของตลาดประชารัฐว่า การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ชาวสวนลิ้นจี่นำผลผลิตคุณภาพมาจำหน่ายโดยตรง ในราคาที่เป็นธรรม ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ลิ้นจี่ของ อำเภอโป่งน้ำร้อน, อำเภอสอยดาว เป็นรู้จักอย่างแพร่หลาย ในฐานะอีกหนึ่งผลไม้ขึ้นชื่อว่าเป็นของดีเมืองจันท์ เช่นเดียวกับ ทุเรียน มังคุด และลำไย นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนได้มีอำนาจต่อและกำหนดราคาด้วยตัวเอง

ในปีนี้ อำเภอโป่งน้ำร้อน และ อำเภอสอยดาว มีอากาศที่เหมาะสม ประกอบกับเกษตรกรมีการปรับตัว เตรียมความพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ตลอดจนนำนวัตกรรมเทคโนโลยี ความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาผลผลิต ทำให้การติดดอกและสร้างผลผลิตลิ้นจี่ในปีนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 3 ปี ซึ่งการจัดงานนี้จะทำให้เกษตรกรชาวสวนรวมตัวสร้างบรรทัดฐานคุณภาพ กำหนดราคาเองได้ และส่งเสริมขยายช่องทางให้เป็นสินค้าส่งออก ในการสร้างมูลค่าและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเพิ่มมากขึ้น