โดยเฉพาะอาชีพเลี้ยงไก่พื้นเมือง เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้จัดส่ง

พ่อไก่และแม่ไก่พื้นเมืองพันธุ์ดี และให้ตำรวจในโครงการไปเพาะพันธุ์เอง มีเจ้าหน้าที่นักวิชาการคอยให้คำแนะนำตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง จากนั้น จะรับซื้อลูกไก่คืน ประกันรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 3,000 บาทต่อเดือน ผลการดำเนินการผ่านมา 10 ปีเศษ ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ส่งผลให้ข้าราชการตำรวจที่ได้เข้าร่วมโครงการมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตามแนวนโยบายของนายธนินท์ เจียรวนนท์

กล่าวสำหรับการมอบกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้แก่ข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ทั้งหมด 31 ราย แม้ว่าหัวหน้าครอบครัวหากเสียชีวิตไปแล้วก็ยังได้รับมรดกสืบทอดอีกด้วย เป็นการสร้างฝันให้กับข้าราชการตำรวจได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต ถึงแม้ว่าจะเกษียณอายุราชการ หรือเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ก็ยังมีโอกาสสานต่อธุรกิจที่ครอบครัวดำเนินการมาก่อนหน้านี้

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์เป็นนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับการพัฒนาที่ยั่งยืน การดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าวได้ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายแห่ง อาทิ บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร เป็นการจัดสรรที่ดินพร้อม
ส่งเสริมอาชีพเลี้ยงสุกร นอกจากนี้ ยังมีโครงการไก่ไข่ 3 ล้านตัว ผิงกู่-เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่เขตผิงกู่ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณประชาชนจีน

“โครงการนี้ทำให้ตำรวจได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มีธุรกิจเป็นของตนเอง ครั้งแรกได้มีการกู้ยืมเงินจากธนาคารทหารไทย 56.3 ล้านบาท จากการที่ตำรวจทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ ต่างลงแรงลงใจทำงานจนประสบความสำเร็จ ทำให้สามารถปลดหนี้ได้ทั้งหมด มีบ้านและที่ดิน รวมทั้งธุรกิจเป็นของตนเองŽ”

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ทำให้ตำรวจมีรายได้เสริม และสามารถมีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองได้
ถือเป็นโครงการต้นแบบในการเพิ่มรายได้ เสริมสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่งด้วย

พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 กล่าวเสริมว่า โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ ส่งผลให้ข้าราชการตำรวจมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตำรวจหลายคนบ่นเสียดายโอกาสที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริงก็อยากให้มีการผลักดันโครงการดังกล่าวในพื้นที่สำนักงานตำรวจภาค 2 ขึ้นอีก แต่ติดปัญหาในเรื่องที่ดินแพง ทำให้ขาดโอกาสที่จะผุดโครงการเพิ่มขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตาม หากข้าราชการตำรวจดำเนินโครงการโดยขาดที่ปรึกษาอย่างซีพี คงประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะมีการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบตั้งแต่จุดเริ่มต้นตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การปลูกพืชผัก จนไปถึงการรับซื้อ และนำไปแปรรูปออกจำหน่าย ทำให้ข้าราชการตำรวจมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พ.ต.อ.ภูริวัจน์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี ประธานหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์กล่าวว่าขอบคุณที่เครือเจริญโภคภัณฑ์นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเข้ามาช่วยสร้างรายได้เพิ่มเสริมสวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจตลอด 10 ปีที่ผ่านมาหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์พัฒนาขึ้นตามลำดับได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตตำรวจในทางที่ดีขึ้น

ด้าน ร.ต.ต.โสภณ สุขศรีใส อายุ 70 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 159/7 หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ กล่าวว่า เมื่อได้เข้าร่วมโครงการชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ที่สำคัญดีใจมากที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดิน

ขณะที่ ร.ต.ท.แสวง จิตต์อารี อายุ 55 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 159/18 หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ กล่าวว่า ทุกวันนี้มีความสุขมากที่ได้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าอนาคตจะลำบาก อยากเห็นบริษัทดีๆ อย่างนี้ช่วยเหลือสังคมต่อไป

“ประทีป มายิ้ม ” เกษตรกรเจ้าของ “ สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้ม” อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ใช้ฟอร์ด เรนเจอร์ ฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ กลายเป็น “ปราชญ์เกษตรต้นแบบ” โดยอาศัยที่ดินเพียงแค่ 1 ไร่ เป็นที่ทำกินสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 600,000บาท สร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรจำนวนมาก ได้ใช้เป็นต้นแบบสู้ชีวิต

เมื่อคุณประทีปอายุ 19 ปีเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซาอุอาระเบีย ในโครงการแลกเปลี่ยนเกษตรกรไทยกับซาอุฯ เขาใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างยากลำบาก ต้องทำงานปลูกต้นไม้ ปลูกข้าว จัดสวนหย่อม ไม้ดอก ไม้ประดับกลางทะเลทราย แต่เขาใจสู้เกินร้อย ก็ตั้งทำงานทุกอย่างได้สำเร็จ เมื่อเดินทางกลับมาอยู่เมืองไทย เขาได้นำวิชาความรู้ที่ได้จากต่างแดนมาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรที่จังหวัดชลบุรี

คุณประทีปทำเกษตรแบบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อยากกินไข่ก็เลี้ยงไก่ อยากกินกุ้ง กินปลาก็ลงมือเลี้ยงด้วยตัวเอง พร้อมปลูกพืชแบบคอนโด 7 ชั้น (ปลูกต้นไม้ 7 ระดับ) ซึ่งเป็นเกษตรเชิงนิเวศ หรือเกษตรผสมผสาน ที่มีสภาพใกล้เคียงกับป่าธรรมชาติ

“ ภาคเกษตรเมืองไทยอุดมสมบูรณ์มากแถมมีต้นทุนต่ำสุด เพราะได้เปรียบในเรื่องดินดี น้ำดี และมีอุณหภูมิความชื้นที่เหมาะสม ทำให้ปลูกพืชผักนานาชนิดได้งอกงาม ” คุณประทีปกล่าว

ปัจจุบันคุณประทีปได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญชาวบ้านที่เป็นแบบอย่างในการทำกิน โดยยึดหลักการดำรงชีวิตตามรอยพ่อหลวง “ รัชกาลที่ 9 ”คือ ปลูกสิ่งที่กิน กินเหลือก็แจก พอเหลือแจก ก็ขาย เพื่อสร้างรายได้

ทุกวันนี้สวนพออยู่พอกิน บ้านมายิ้มมีเนื้อที่เพียง 1 ไร่แต่สร้างรายได้กว่าปีละ 600,000 บาท รายหลักมาจากการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ปีละ 400,000 บาท ที่เหลือมาจากการขายพืชผักปลอดสารพิษและอื่นๆ คุณประทีปเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งก้ามแดง 4 ตัวที่ลูกสะใภ้ซื้อมาฝาก ปัจจุบันเนื้อที่ 1 ไร่รอบบ้านของเขาสามารถเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้มากกว่า 10,000 ตัว

เคล็ดลับการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงให้ประสบความสำเร็จ เริ่มจากเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของกุ้งก้ามแดงเสียก่อน ว่า ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด มีอ๊อกซิเจนสูง อุณหภูมิน้ำ 23-28 องศา มักออกหากินพืชและสัตว์ ในเวลากลางคืน ไม่ชอบแสง ชอบนอนกลางวัน โดยซ่อนตัวตามจอกแหน ตะไคร่น้ำ

ในช่วงอายุ 1-4 เดือน กุ้งก้ามแดงจะมีอัตราการเจริญเติบโตเดือนละ 1 นิ้วโดยประมาณ หลังจากนั้นจะเติบโตลดลง ขณะที่กุ้งลอกคราบเป็นช่วงที่กุ้งอ่อนแอที่สุด หากอาหารและแคลเซียมไม่เพียงพอ กุ้งจะกินกันเอง คุณประทีปใช้เวลาเลี้ยงกุ้งประมาณ 18 เดือนจึงจับกุ้งน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัว/กิโลกรัมออกขายได้ในราคา 1,200 บาท/ก.ก. ทุกวันนี้ กุ้งก้ามแดงขายได้ราคาดี เป็นที่ต้องการของร้านอาหาร ภัตตาคาร โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว ที่มีลูกค้าต่างชาติจำนวนมาก

ปัจจุบันคุณประทีปรับตำแหน่ง นายกสมาคมการค้ากุ้งก้ามแดงแห่งประเทศไทย ต้องเดินทางนับ 1,000 กม. ในแต่ละวัน จากชลบุรีไปเชียงใหม่ จากชลบุรีไปนครพนม ฯลฯ เพื่อไปถ่ายทอดความรู้เรื่องการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงให้แก่ผู้สนใจ และนำพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามแดงติดรถไปด้วย เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่สนใจ

“ หากช่วงไหนเจออากาศร้อนๆ กุ้งก้ามแดงก็เสี่ยงตายได้ง่าย ผมจะนำพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามแดงตัวใส่ลังโฟม นำไปวางบนเบาะหน้ารถใกล้กับช่องแอร์ เพื่อให้กุ้งได้รับแอร์เย็นๆ ในรถ โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง กุ้งก็อยู่รอดได้สบาย ”

กว่าคุณประทีปจะประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพเกษตรกรในวันนี้ ต้องอาศัยการบ่มเพาะความแกร่งจากข้างในและไม่ล้มเลิกความเชื่อที่ตัวเองมี ” เช่นเดียวกับ รถฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น XLT ดับเบิ้ลแค็บ ซึ่งเป็นพาหนะคู่ใจ ที่คุณประทีปใช้วิ่งลุยทำงานไปทุกถิ่นทั่วไทย เพราะมั่นใจในระบบพวงมาลัยและช่วงล่างของรถฟอร์ดที่แข็งแกร่งทนทาน บรรทุกหนักแค่ไหนก็เดินทางได้สะดวกปลอดภัยทุกเส้นทาง

“นวัตกรรม-มีดกรีดยางนกเงือก” เกิดจากการคิดค้น ของ “คุณมะนายิ ราหู” ซึ่งเป็นลูกหลานชาวสวนยาง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาต้นยางหมดหน้ากรีดเร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพราะใช้มีดกรีดรุ่นเก่า (เจ๊ะบง) ที่ต้องลับมีดให้คมทุกวัน หากแรงงานกรีดยางไม่มีฝีมือ จะทำให้หน้ากรีดเป็นตะปุ่มตะป่ำ ต้นยางเสียหาย และอายุการให้ผลผลิตลดลง

คุณมะนายิ ราหู เกิดแรงบันดาลใจที่จะคิดค้นมีดกรีดยางแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาการกรีดยาง โดยเขาได้ไอเดียการออกแบบมีดจากกบไสไม้โบราณ ที่ตั้งความหนาบางของการไสได้ และมีดโกนหนวดที่คมกริบ โดยไม่ต้องลับใบมีด ใช้เวลาคิดค้นลองผิดลองถูก 7 ปี จนได้มีดนกเงือก ที่กรีดโดยการลาก ได้น้ำยางมาก มีคุณภาพมาตรฐานในการกรีด 10 คน กรีดทำได้มาตรฐานใกล้เคียงกัน ซึ่งมีดรุ่นเก่าทำไม่ได้ เพราะใช้ทักษะมากเกินไป ทั้งเรื่องการลับมีด-การกรีด (กรีดแบบลากหรือกระตุก)

คุณมะนายิ ได้รับเงินทุนสนับสนุนแปลง “สิ่งประดิษฐ์” เป็น “นวัตกรรม” จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช : NIA) เพื่อพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เข้าสู่ระบบตลาดอุตสาหกรรม ผลิตมีดกรีดยางนกเงือก คุณภาพดี ราคาไม่แพง ให้เกิดประโยชน์และคุณค่าต่อเกษตรกรชาวสวนยางและประเทศชาติสูงสุด

ต่อมา คุณมะนายิ ได้ร่วมมือกับ คุณประยุทธ์ พุทธาโกฐิรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานกลึงและปั๊มโลหะ จัดตั้ง บริษัท แอดวานช์ คิว จำกัด ขึ้นมาเพื่อผลิตมีดนกเงือกสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยนำผลงานชิ้นนี้ออกจำหน่ายสู่ท้องตลาดเมื่อปลายปี 2553 ณ งานวันยางพาราแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ปรากฏว่า มีดนกเงือกได้รับการตอบรับจากเกษตรกรชาวสวนยางเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นต้นแบบองค์ความรู้ทางด้านยางพาราของประเทศไทย

ที่ผ่านมา มีดนกเงือก ได้รับรางวัลระดับประเทศมากมาย ปี 2555 ได้รับรางวัลยกย่องผลิตภัณฑ์ดีเด่น ช่อง Work Point TV จากรายการนักประดิษฐ์พันล้าน ปี 2556 ได้รับรางวัลชนะเลิศ ด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ปี 2557 ได้รับรางวัลระดับดีเด่น โครงการประกวดนวัตกรรมมุ่งเป้า : ยางพารา จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ปี 2559 ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมของประเทศไทย Premium Products of Thailand-The Pride of Thais (Thailand Industry Expo 2016) จากกระทรวงอุตสาหกรรม

ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา เผย “มีดนกเงือก” ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำยาง 13.52%

ในอดีต การพัฒนาแรงงานกรีดยางที่มีฝีมือ นับเป็นเรื่องยาก เพราะต้องอาศัยระยะเวลาในการฝึกฝนฝีมือ แต่วันนี้ การแก้ไขปัญหาแรงงานกรีดยางกลายเป็นเรื่องง่ายเสียแล้ว เพียงแค่ใช้ “นวัตกรรมมีดนกเงือก” เพราะฝึกกรีดง่าย ด้วยวิธีการกรีด-ท่าทางที่ง่าย สะดวก ลดความล้าในการทำงาน แถมได้ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้นในทุกๆ พื้นที่ ช่วยขยายโอกาสสร้างรายได้และผลกําไรมหาศาลให้กับประเทศไทย

ล่าสุด ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เปิดเผยผลงานวิจัยระหว่างภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วยศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา นายเฉลิมเกียรติ ศรีเสาวคนธร นายก อบต. ลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา และ คุณมะนายิ ราหู นวัตกรผู้ประดิษฐ์คิดค้นมีดนกเงือก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมีดนกเงือกกับมีดกรีดรุ่นเก่า (เจ๊ะบง) ในแปลงปลูกยางพื้นที่เดียวกัน พบว่า แปลงต้นยางที่ใช้มีดนกเงือกกรีดได้ปริมาณน้ำยางมากกว่าแปลงที่กรีดด้วยมีดเจ๊ะบง เฉลี่ย 13.52% และมีดนกเงือกประหยัดหน้ากรีดกว่ามีดเจ๊ะบง เฉลี่ย 66.1% มีดนกเงือกกรีดบางกว่ามีดเจ๊ะบง เฉลี่ย 127.5%

ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา ระบุว่า ปัจจุบัน (2559) ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยาง 14 ล้านไร่ หากเกษตรกรชาวสวนยางใช้มีดนกเงือกทั้งหมด รายได้จะเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 27,040 ล้านบาท ต่อปี มาจากผลผลิตยางต่อปี 4 ล้านตันxน้ำยางที่เพิ่มขึ้น 13.52%x50,000 บาท ต่อตัน นั่นเอง ดังนั้น การใช้นวัตกรรม-มีดนกเงือก ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์มหาศาล ขณะเดียวกันจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในภาวะราคายางตกต่ำในปัจจุบัน

ในเอกสารงานวิจัยดังกล่าว คุณพิเชษฐ์ ไชยพาณิชย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เขียนคำนำที่มาของโครงการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ว่า มีดนกเงือกเป็น “นวัตกรรม-มีดกรีดยาง” ที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาการกรีดยางได้มากกว่าการใช้มีดเจ๊ะบง (มีดรุ่นเก่า) ได้หลายประการ ปัจจุบัน มีดเจ๊ะบงใช้งานได้ดี ได้รับความนิยมมานานกว่า 100 ปี แต่มีปัญหาในเรื่องการกรีดยาง เช่น ขาดทักษะเรื่องการลับมีดไม่คม การกรีดหนา-หน้ายางหมดเร็ว (กว่าเวลาอันควร) หน้ากรีดเสีย-ต้องโค่นและปลูกใหม่ก่อนเวลาอันควร ได้น้ำยางน้อย ไม่สม่ำเสมอ การอบรมฝึกกรีดใช้เวลานานหลายวัน งบลงทุนสูงในการฝึกอบรม ส่งผลทำให้การทำสวนยาง ไม่คุ้มค่าและไม่ยั่งยืน

ในเอกสารดังกล่าว ยังระบุอีกว่า มีดนกเงือกเป็นมีดกรีดยางอีกหนึ่งทางเลือกที่เปิดตัวมานานกว่า 5 ปี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้ รวมทั้งตอบโจทย์ได้เพิ่มขึ้นจากมีดรุ่นเก่าหลายประการจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง เช่น กรีดยางเพียง 1 มิลลิเมตร (1 ปี เสียหน้ากรีดเฉลี่ย 8 นิ้ว) ได้ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้น 10-15% ช่วยประหยัดหน้ายาง ทำให้การทำสวนยางยืนยาว มั่นคงขึ้น หน้ากรีดเรียบสวย ไม่ต้องลับมีด แก้ปัญหาลับมีดไม่คมของผู้กรีดยางได้เป็นอย่างดี งบลงทุนต่ำในการฝึกอบรม เพิ่มศักยภาพและยกระดับมาตรฐานคุณภาพการกรีดยาง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย

มีดนกเงือก ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ครองใจลูกค้าทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของนวัตกรรมมีดนกเงือก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์มีดกรีดยางชนิดไม่ต้องลับมีด เพราะถูกออกแบบและพัฒนาใบมีดกรีดยางให้มีความคม 2 ด้าน เป็นแบบชนิดถอดเปลี่ยนใบมีดได้ ช่วยแก้ปัญหาการลับมีดไม่คมของผู้กรีดยางได้ที่ต้นเหตุ ด้วยการผลิตใบมีดระบบอุตสาหกรรม เข้ามาแทนการลับมีด ทำให้ประหยัดเวลา ไม่เสียเวลาในการลับมีด รวมทั้งสามารถบังคับความหนา-บาง ของการกรีดได้ ทำให้ได้น้ำยางมากขึ้น ร้อยละ 10-15 เนื่องจากการออกแบบใบมีด เมื่อกรีดแล้ว สันคลองมีดมีอุปกรณ์ยกตัวขึ้น ทำให้ไม่ทับท่อน้ำยาง ทำให้น้ำยางไหลออกเต็มที่ ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศชาติหลายหมื่นล้านบาท

“มีดกรีดยางนกเงือก ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการลับมีดไม่คม ซึ่งมีดกรีดยางรุ่นเก่าจะต้องลับมีดอยู่บ่อยครั้ง บางวันคมบ้างไม่คมบ้าง หากลับมีดไม่คมจะส่งผลให้ได้น้ำยางน้อยลง 10-20% จึงทำให้ต้องกรีดหนา ทำให้เปลืองหน้ากรีด แต่ใบมีดนกเงือก 1 ใบ กรีดได้ถึง 4,000 ต้น ไม่ต้องเสียเวลาลับมีด แถมกรีดน้ำยางได้มากกว่าปกติ” คุณมะนายิ กล่าว

มีดนกเงือก สามารถยืดอายุการกรีดยางจาก 25 ปี เป็น 50 ปี เนื่องจากมีดนกเงือก กรีดบางเพียง 1 มิลลิเมตร ใน 1 ปี เสียพื้นที่หน้ากรีดเพียง 8 มิลลิเมตร ในขณะที่มีดรุ่นเก่า กรีดหนา 1.8-3 มิลลิเมตร ใน 1 ปี เสียพื้นที่หน้ากรีด 18-24 มิลลิเมตร ดังนั้น มีดกรีดยางนกเงือก จึงช่วยยืดอายุการกรีดเพิ่มขึ้นจากเดิม 2-3 เท่า ทำให้ประหยัดงบประมาณการลงทุนปลูกยางใหม่ได้หลายแสนล้านบาท

คุณประยุทธ์ พุทธาโกฐิรัตน์ ประธานบริษัท แอดวานช์ คิว จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน มีสวนยางพาราขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันมานิยมใช้มีดกรีดยางนกเงือกกันอย่างแพร่หลาย เช่น บริษัท เทอราโกร (กลุ่มเบียร์ช้าง) บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็กซ์ (ทดลองใช้มีดกรีดยางนกเงือกมา 3 ปี ได้ปริมาณน้ำยางเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% ด้าน คุณพินิจ จารุสมบัติ ได้สั่งซื้อมีดกรีดยางนกเงือกล็อตใหญ่เพื่อใช้ในสวนยางของตัวเองและเครือข่าย ฯลฯ

นอกจากนี้ มีดกรีดยางนกเงือกยังได้รับความนิยมในต่างประเทศอย่างแพร่หลาย เช่น สปป. ลาว พม่า กัมพูชา ศรีลังกา อินเดีย ปาปัวนิวกีนี จีน ฟิลิปินส์ โกตดิวัวร์ (ไอวอรี่โคสท์) บราซิล อินโดนีเซีย ตลอดจนสวนยางพารารายใหญ่ของมาเลเซีย ได้แก่ Tradewinds, IOI, Sime Darby, Risda,RRIM

อินโดนีเซีย ใช้ “มีดนกเงือก” แก้ปัญหา ราคายางตกต่ำ

คุณประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีพื้นที่ปลูกสวนยางมากถึง 5.7 ล้านเฮกเตอร์ ซึ่งสวนยางส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาลอินโดนีเซีย (PTPN) ทำให้ดูแลจัดการ-ควบคุม ได้ง่ายกว่าของไทย แต่อินโดนีเซียใช้ระบบการจ้างแรงงานกรีดยาง ในลักษณะเงินเดือน ไม่ได้แบ่งเปอร์เซ็นต์เหมือนไทย ทำให้แรงงานขาดความตั้งใจ ความกระตือรือร้นในการทำงานกรีดยาง ต่อต้น ต่อคน ต่อวัน จึงได้ผลผลิตน้อยกว่าไทย

ผลกระทบจากราคายางตกต่ำทั่วโลกในปีที่ผ่านมา Consulting Firm ซึ่งเป็นกลุ่มสวนยางขนาดใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย และเป็นตัวแทนรัฐบาลอินโดนีเซีย ศึกษาหาช่องทางพัฒนาสวนยางให้เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืนได้มากที่สุด ได้คัดเลือกใช้นวัตกรรม “มีดกรีดยางนกเงือก” เป็นหนึ่งในทางออก ที่อินโดนีเซียนำมาใช้แก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ เพราะมีดนกเงือก ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความยั่งยืนแก่การทำสวนยางได้สูงสุด เนื่องจากกรีดยางได้บาง เพียงแค่ 1 มิลลิเมตร ต่อ 1 ปี เสียพื้นที่หน้ายางเพียง 6-8 นิ้ว ประหยัดหน้ายาง 2-3 เท่า เท่ากับปลูกสวนยางพาราครั้งเดียว เก็บเกี่ยวได้ตลอดชีวิต

ประการต่อมา มีดนกเงือกช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำยาง สร้างรายได้เพิ่ม 10-15% ขณะเดียวกันแรงงานสามารถเพิ่มจำนวนการกรีดต้นยางได้เพิ่มขึ้น 10-40% ต่อวัน ลดจำนวนแรงงานกรีดยางได้ ช่วยแก้ปัญหาขาดแรงงานกรีดยางได้เป็นอย่างดี มีดนกเงือกช่วยให้หน้ายางเรียบสวยกรีดได้ยาวนาน พร้อมแก้ปัญหาการลับมีดไม่คมของผู้กรีดยางได้ด้วยระบบถอดเปลี่ยนใบมีด ทำให้คุณภาพการกรีดมีคุณภาพและมาตรฐาน ง่ายแก่การควบคุมดูแลสวนยางพาราขนาดใหญ่ เหล่านี้เป็นประโยชน์ของเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่นวัตกรรม-มีดนกเงือก สามารถตอบโจทย์ปัญหาของชาวสวนยางยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี

เจอกันใน “วันยางพาราบึงกาฬ 2018”

ปัจจุบัน ทางบริษัทได้พัฒนาสินค้ามีดนกเงือกหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ได้แก่ รุ่นด้ามเหล็ก รุ่นด้ามไม้ รุ่นด้ามอะลูมิเนียม ด้ามเหล็ก+ด้ามไม้ และสินค้าตัวใหม่ล่าสุดคือ อุปกรณ์ไฟฉายสำหรับติดด้ามมีด เพื่อเพิ่มแสงสว่างระหว่างทำงานในยามค่ำคืน ขอเชิญชวนผู้สนใจเยี่ยมชมนวัตกรรมมีดนกเงือก พร้อมทดลองใช้สินค้าได้ ในงานวันยางพาราและงานกาชาดจังหวัดบึงกาฬ 2561 ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองบึงกาฬ ระหว่าง วันที่ 17-23 มกราคม 2561 ในครั้งนี้ ทางบริษัทสนับสนุนการจัดกิจกรรมประกวดแข่งขันกรีดยางระดับประเทศ และประกวดการออกแบบด้ามมีดกรีดยางนกเงือก เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท

ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ในงาน หรือสั่งซื้อกับบริษัทได้ตลอดเวลา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ถือเป็นวันแรกที่มีกฎหมายรองรับการจัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และการกำหนดเป็นวันทหารผ่านศึกอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี จึงเป็นวันสถาปนาองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และเป็น “วันทหารผ่านศึก”

องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ได้จัดตั้งนิคมเกษตรกรรมขึ้น ในชื่อ “นิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกหมู่บ้านนักรบไทย” เพื่อจัดที่อยู่อาศัย รวมถึงที่ดินทำกินให้กับทหารผ่านศึกและครอบครัว ตลอดจนทหารนอกประจำการ ที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยให้การสนับสนุนส่งเสริมอาชีพการเกษตรแบบผสมผสาน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ พร้อมไปกับการส่งเสริมฝึกอาชีพการทอผ้าไหมให้แก่กลุ่มแม่บ้าน ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวทหารผ่านศึกฯ ให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

คุณอาทิตย์ สุขภาพ หัวหน้านิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกหมู่บ้านนักรบไทย สังกัดองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งตั้งอยู่ตำบลบุ่งมะแลง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า การส่งเสริมอาชีพให้แก่ทหารผ่านศึกและครอบครัว ยังคงให้ความสำคัญทางด้านเกษตรกรรมและงานหัตถกรรมสิ่งทอเป็นหลัก โดยยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกทั้งยังยึดตามแนวทางโครงการ 9101 ตามรอยพ่อ

ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากสำนักงานเกษตรอำเภอสว่างวีระวงศ์ กับทางกรมทหารราบที่ 6 ด้วยดีเสมอมา เพื่อส่งเสริมความรู้ให้แก่ทหารผ่านศึกและครอบครัวจำนวน 40 ครัวเรือน ในพื้นที่จำนวน 137 ไร่ ของทางหมู่บ้านนักรบไทยแห่งนี้

สำหรับผลที่เกิดขึ้นภายหลังการส่งเสริมอาชีพแล้วพบว่าทหารผ่านศึกและครอบครัวทุกครัวเรือนสามารถดำรงชีพเองได้อย่างมีความสุข อย่างมีเกียรติ และความภาคภูมิใจเทียบเท่ากับประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกัน ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากงานเกษตรกรรมทางแต่ละครอบครัวไม่เพียงเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน แต่ยังสามารถนำไปขายยังตลาดประชารัฐ ภายในบริเวณนิคมฯ เพื่อเป็นการสร้างรายได้อีกทาง

ส่วนแม่บ้านในครอบครัวทหารผ่านศึกได้จัดให้มีการฝึกอบรมงานหัตถกรรมสิ่งทอเพื่อช่วยให้มีรายได้เสริมอีกทาง ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพและความตั้งใจจึงทำให้บรรดาแม่บ้านเหล่านั้นประสบความสำเร็จด้วยการผลิตผ้าฝ้ายทอมือย้อมด้วยสีธรรมชาติ จนได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่นนกยูงทองในการผลิตผ้าไหมและผ้ากาบบัว ซึ่งผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือเหล่านี้มีวางจำหน่ายอยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านบัวเทิง อีกทั้งยังมีวางจำหน่ายในงานสำคัญที่ทางจังหวัดอุบลราชธานีจัดขึ้น

“ในวาระครบรอบวันทหารผ่านศึกที่กำลังเวียนมาถึงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 ขอเชิญชวนทหารผ่านศึกและครอบครัว ตลอดจนพี่น้องประชาชน ได้มาร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชนผู้กล้า ซึ่งในอดีตท่านเหล่านั้นได้เสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต ในเหตุการณ์สำคัญเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยมิให้ศัตรูเข้ามารุกราน

โดยในครั้งนี้ทางนิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกฯ ได้จัดกิจกรรมต่างๆ เหมือนดั่งเช่นทุกปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญเลี้ยงพระ การวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ “เกิดมาใช่อื่น เพื่อผืนดินไทย” รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากครอบครัวทหารผ่านศึก ไม่ว่าจะเป็นพืชผลทางการเกษตร งานหัตถกรรมทอผ้า และสินค้าอื่นอีกมากมาย” คุณอาทิตย์ กล่าว

ขณะที่ คุณสมาน และ คุณลำพูน ดอนทอง เป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในโครงการนี้ โดยคุณสมานเป็นอดีตอาสาสมัครทหารพรานที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังปลดประจำการได้มาสมัครเป็นสมาชิกนิคมฯ แห่งนี้เพื่อขอที่ดินทำกิน กระทั่งผ่านเกณฑ์คุณสมบัติได้รับการคัดเลือกให้เข้าเป็นสมาชิกนิคมเกษตรกรรมหมู่บ้านนักรบไทย

คุณสมานทำเกษตรกรรมแบบผสมผสาน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการปลูกพืชและไม้ผลหลายชนิดรวมกันในพื้นที่ 3 ไร่ ไม่ว่าจะเป็นมะนาวที่ปลูกลงดินจำนวน 400 กว่าต้น พริก กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ มะละกอ มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม ฯลฯ ซึ่งผลผลิตที่ได้จะเก็บไว้ใช้ในครอบครัวโดยไม่ต้องซื้อ แต่หากมีจำนวนมากก็จะแบ่งไปขายที่ตลาดนัดชุมชน

การทำเกษตรกรรมของคุณสมานไม่จำเป็นต้องวางแผนปลูกล่วงหน้า เพราะไม่เน้นขายเพื่อหวังกำไร อยากปลูกอะไรก็ปลูก การดูแลพืชจะใช้ปุ๋ยคอกเท่านั้น แล้วรดน้ำตามความเหมาะสม

ในแต่ละสัปดาห์คุณสมานจะนำผลผลิตไปขายที่ตลาดนัดชุมชนเป็นจำนวน 3 วัน มีรายได้เฉลี่ย 400-500 บาท ต่อครั้ง หรือบางคราวอาจสูงถึงพันบาท ซึ่งเป็นรายรับสุทธิที่ไม่มีต้นทุน

นอกจากนั้น คุณลำพูนยังมีงานหัตถกรรมทอผ้าที่ได้รับความรู้มาจากวิทยากรของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพสวนจิตรลดา งานทอผ้าของคุณลำพูน ได้แก่ ผ้าพันคอ ผ้าขาวม้า โสร่ง และผ้าไหมมัดหมี่ ราคาจำหน่ายแล้วแต่ชิ้นงานที่มีความยาก-ง่าย อย่างผ้าพันคอผืนละ 150 บาท แล้วถ้ายากขึ้นขายผืนละ 180 บาท หรือผ้ามัดหมี่ขายเมตรละ 800 บาท ผืนละ 1,600 บาท พร้อมกับต้องสั่งจองล่วงหน้า

คุณคำสิ่ง และ คุณทองใบ อริกุล สมัครแทงบอลออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพเกษตรกรรม โดยคุณคำสิ่งเคยปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิเขาค้อ เมื่อปลดประจำการแล้วได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อขอสมัครแล้วได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกนิคมเกษตรกรรมฯ เมื่อปี 2538

ครอบครัวนี้จะปลูกพืชแนวผสมผสาน ที่เน้นปลูกกล้วยมากที่สุด โดยในครั้งแรกได้ลงทุนซื้อพันธุ์มาจำนวน 50 ต้น แล้วขยายเพิ่มได้อีกจนทุกวันนี้มีจำนวนกว่า 400 ต้น พร้อมกับใช้ประโยชน์จากร่มเงาใบกล้วยด้วยการปลูกสมุนไพรแซมในร่องกล้วย ไม่ว่าจะเป็นข่า ตะไคร้ พริก โดยผลผลิตจากกล้วยน้ำว้านำไปขายที่ตลาดนัดชุมชนในราคาหวีละ 25-30 บาท

คุณคำสิ่งมีพื้นที่ทำกินจำนวน 3 ไร่ เช่นกัน แต่การทำเกษตรกรรมของเขาใช้วิธีสลับผลัดเปลี่ยนปลูกพืชหมุนเวียน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำนาเป็นพันธุ์ข้าวเหนียว กข 6 ได้ผลผลิตเฉลี่ย 15 กระสอบปุ๋ย แล้วยังเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าจำนวน 4 โรงเรือน แต่ต้องพักไว้ชั่วคราว แล้วสลับเปลี่ยนมาปลูกกล้วยกับพืชสมุนไพรแทน นอกจากนั้น ยังเลี้ยงไก่ดำภูพาน ใช้บริโภคเนื้อและไข่ ส่วนมูลไก่นำมาใช้ทำปุ๋ยหมักเพื่อนำไปใส่พืชผักปีละ 2-3 รอบ

แนวทางการปลูกพืชของคุณคำสิ่งจะคิดเองว่าจะปลูกอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนมีการวางแผนปลูกในแต่ละรอบแล้วยังสามารถนำประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ผักไปขายสร้างรายได้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น การนำต้นกล้วยไปสับให้ไก่กิน ส่วนใบกล้วยนำไปขายก้านละ 2 บาท, ข่าอ่อนขายมัดละ 10 บาท (มี 5 หัว) และตะไคร้กำละ 10 บาท