ใครที่สนใจผลผลิตจากสวนของ คุณอร่าม ทรงสวยรูป

สามารถหาซื้อได้ที่ตลาด เค วิลเลจ หรือสนใจดูงานเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานที่สวน สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ โทร. (081) 911-2607 เดินทางไปได้ที่ เลขที่ 258 หมู่ที่ 9 ตำบลท่าเยี่ยม อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา คุณอร่ามยินดีให้คำ

ดีแทค อยากเห็นสังคมไทยที่ดีขึ้น ด้วยการริเริ่ม โครงการ “พลิกไทย” เพื่อเชิญชวนให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีไอเดียในการแก้ไขปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ดีแทค ได้คัดเลือกแนวคิดกิจกรรม จำนวน 10 แนวคิด ที่สามารถปฏิบัติได้จริง และสามารถสร้างประโยชน์แก่สมาชิกส่วนใหญ่ในชุมชน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวในเชิงเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม และจะมอบเงินทุนสนับสนุนเบื้องต้น เพื่อให้โครงการสามารถเป็นจริงได้ ซึ่งโครงการซูเปอร์ตะบันน้ำ เป็น 1 ใน 10 โครงการ ที่ได้รับการต่อยอดสนับสนุนจากดีแทค

โครงการนี้ ผ่านการคัดเลือกมาแล้วว่า เครื่องตะบันน้ำ สามารถใช้งานและสร้างประโยชน์ต่อคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

คุณจีระศักดิ์ ตรีเดช นายกสมาคมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเทือกเขาเพชรบูรณ์ กล่าวว่า แม้พื้นที่ต้นน้ำจะเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งน้ำให้กับคนปลายน้ำ แต่ในทางกลับกัน ชุมชนในเขตต้นน้ำเองกลับเข้าไม่ถึงการใช้น้ำ เพราะแหล่งน้ำอยู่ต่ำกว่าพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลกระทบต่อชุมชนบนพื้นที่สูงในการจัดหาและขนส่งน้ำจากแหล่งน้ำที่ต่ำขึ้นสู่พื้นที่สูง เพื่อการอุปโภคและบริโภคในระดับครัวเรือน รวมถึงการทำการเกษตรเชิงนิเวศ ที่ผ่านมาการนำน้ำจากพื้นที่ต่ำขึ้นสู่พื้นที่สูง มักมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน รวมถึงชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ในกรอบคิดของการใช้พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้า ในการนำน้ำมาใช้เพื่อการพัฒนาระบบเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว

ด้วยอุปสรรคที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้การผลิตอาหารของชุมชนบนพื้นที่สูงในระบบเกษตรเชิงนิเวศเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ซึ่งผู้พัฒนานวัตกรรมมีแรงบันดาลใจ ในการอยากช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยมีขีดความสามารถในการปรับเปลี่ยนการผลิตอาหารและการเกษตร จากเกษตรเชิงเดี่ยวไปสู่เกษตรเชิงนิเวศ

จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ปัญหาร่วมกับชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของชุมชนบนพื้นที่สูง พบว่า ชุมชนมีโอกาสเป็นอย่างมากในการเข้าถึงน้ำในราคาต้นทุนต่ำ เพราะที่ตั้งของชุมชนเป็นพื้นที่ต้นน้ำที่มีปริมาณน้ำต้นทุนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมเพื่อการจัดการน้ำบนพื้นที่สูงให้ชุมชนสามารถเข้าถึงการใช้น้ำต้นทุนต่ำได้ ซึ่งนั่นคือ “เครื่องตะบันน้ำ”

“ตะบันน้ำ” ลดค่าใช้จ่าย ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้ไฟฟ้า เงินเหลือเก็บเต็มๆ

คุณวิไช ด้วงทอง เกษตรกรปลูกพืชไร่ อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ที่ 2 ตำบลวังกวาง อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ เล่าว่า ชาวบ้านในตำบลวังกวางส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรปลูกพืชไร่ เนื่องจากมีตัวแปรสำคัญคือพื้นที่อยู่สูง ปลูกพืชที่ใช้น้ำเยอะไม่ได้ การจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำ จึงต้องใช้ปั๊มสูบน้ำขึ้นมา แหล่งน้ำจะอยู่ตามสันเขาและพื้นที่ต่ำ ที่ผ่านมาใช้เครื่องปั๊มน้ำ น้ำมันดีเซลสูบน้ำขึ้นมาเก็บไว้ในถัง มีค่าใช้จ่ายสูง ราคาขายพืชก็ไม่สูงมาก จึงไม่คุ้มทุน

“ผมเป็นเกษตรกรมานานกว่า 20 ปี ต้องประสบปัญหาต้นทุนการทำเกษตรที่สูง เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำ เมื่อก่อนจะปลูกได้แต่เฉพาะพืชไร่ คือ มันสำปะหลัง และข้าวโพด อาศัยแต่น้ำฝนเป็นหลัก เพราะไม่มีทุนที่จะนำน้ำขึ้นมาใช้ ซึ่งข้าวโพดและมันสำปะหลัง หากปลูกซ้ำพื้นที่เดิมมากๆ ผลผลิตก็จะไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร ผลผลิตลดน้อยลง เพราะดินเสื่อมคุณภาพ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านแถวนี้ค่อนข้างมาก ผมจึงเริ่มหันหาวิธีที่จะปลูกพืชอย่างอื่นเสริม โดยพืชที่เลือกปลูกเป็น มะขาม และพืชผักสวนครัว แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำเพิ่มก็ต้องยอม เพื่อชีวิตที่ดีกว่า แรกๆ ใช้เครื่องปั๊มน้ำน้ำมันดีเซลต้นทุนค่อนข้างสูง เสียค่าน้ำมัน อาทิตย์ละ 1,000-2,000 บาท คิดเป็นเดือนเฉลี่ยเดือนละ 7,000-8,000 บาท รายได้ก็ยังไม่คุ้มกับรายจ่าย” คุณวิไช บอก

เมื่อเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นบ่อยๆ คุณวิไชจึงไปหาเพื่อนที่พอจะมีความรู้ เพื่อนแนะนำให้รู้จักกับสมาคมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเทือกเขาเพชรบูรณ์ เมื่อเข้าไปเขาได้เล่าถึงปัญหาที่เจอมา ทางสมาคมฯ จึงได้เข้ามาสนับสนุน เครื่องตะบันน้ำ ของโครงการพลิกไทยให้มาทดลองใช้

เมื่อเริ่มนำเครื่องตะบันน้ำมาทดลองใช้ ปรากฏว่าใช้ได้ผลดี ประหยัด ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้น้ำมัน หากนับตั้งแต่เริ่มการใช้งานเครื่องตะบันน้ำจนถึงปัจจุบันตอนนี้ เริ่มทดลองใช้มาเป็นระยะเวลาปีกว่า ในช่วงที่ใช้ได้จดบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ ดังนี้

พื้นที่ทำการเกษตร มีทั้งหมด 17 ไร่ แบ่งปลูกข้าวโพด 7 ไร่ มันสำปะหลัง 3 ไร่ มะขามหวาน 5 ไร่ และพืชผักสวนครัว 2 ไร่ ใช้เครื่องตะบันน้ำเพียงเครื่องเดียว สามารถลดค่าน้ำมันได้ทั้งหมด ในกรณีที่มีใบไม้ไปอุดตันที่เครื่อง หรือแหล่งน้ำมีน้ำน้อย อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาบ้างเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากเดือนไหนไม่มีปัญหาก็จะมีเงินเหลือเก็บเต็มๆ

โดยเครื่องตะบันน้ำ 1 เครื่อง สามารถสูบน้ำได้ วันละ 3,000-4,000 ลิตร แต่ต้องขึ้นอยู่กับระดับความสูงของพื้นที่ด้วย อย่างที่สวนคุณวิไช ใช้น้ำวันละ 2,000 ลิตร เทียบต้นทุนคิดต่อรอบ ประหยัดค่าน้ำมัน รอบละ 3,000-4,000 บาท 2 อาทิตย์ นับเป็น 1 รอบ เฉลี่ยค่าใช้จ่าย 8,000 ต่อ เดือน แต่เมื่อมีเครื่องตะบันน้ำ สามารถประหยัดค่าน้ำมันได้เกือบทั้งหมด

พูดได้ว่า เครื่องตะบันน้ำ มีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คุณวิไชและชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี มีเงินเหลือเก็บ และสามารถทำสวนปลูกพืชผักสวนครัวได้เพิ่ม จากเคยทำไร่อย่างเดียว ตอนนี้มีรายได้ทุกวันจากการขายผักสวนครัว

การติดตั้ง และระบบการทำงานไม่ยาก ต้นทุนต่ำ

คุณอุดม อุทะเสน หนึ่งในทีมช่างเครื่องตะบันน้ำ ให้ข้อมูลว่า เครื่องตะบันน้ำที่ติดตั้ง ใช้กลไกแบบง่ายๆ คือ การวางท่อเอาน้ำจากที่ต่ำขึ้นที่สูง การติดตั้งมีท่อ พีวีซี ต่อสูงกว่าตัวเครื่อง ไม่ต่ำกว่า 1 เมตร วางท่อลงจากจุดน้ำเข้า ประมาณ 10 เมตร เข้าตัวเครื่อง

ระบบเครื่องทำงานโดยอาศัยแรงน้ำจากข้างบน ไหลเข้าในตัวเครื่องตะบันน้ำข้างล่าง

เครื่องตะบันน้ำ มีส่วนประกอบคือ เช็ควาล์ว 2 ตัว ถังรับส่งน้ำ 2 ใบ

โดยเช็ควาล์วตัวแรกที่คอยรับน้ำจากข้างบนไหลลงข้างล่าง เกิดแรงที่หนักขึ้น จะดันลิ้นวาล์วตัวแรกให้ปิด

เมื่อวาล์วตัวแรกปิดจะเกิดแรงดันน้ำในถังตัวแรก พอเกิดตัวแรกดัน เช็ควาล์วตัวที่สอง จะเปิดให้น้ำไหลผ่านเข้าไปถังที่สอง ถังที่สองจะเป็นถังที่มีอากาศอยู่ครึ่งหนึ่ง อากาศที่เข้าไปทำให้อากาศยุบตัว น้ำไหลผ่านเข้าไป จึงเกิดแรงดันน้ำสู่ที่สูง โดยจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

พื้นที่ติดตั้งที่เหมาะสม

การจะติดตั้งเครื่องตะบันน้ำอย่างแรกต้องดูพื้นที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ พื้นที่เหมาะสมต้องเป็นแนวลาดชันตามลำน้ำ ท่อรับน้ำด้านบนต้องอยู่สูงกว่าตัวเครื่อง ไม่ต่ำกว่า 1 เมตร เพื่อให้น้ำไหลไป ทำให้กลไกของตะบันน้ำทำงาน เกิดการปิดเปิดทำให้เกิดแรงกลขึ้นมา ได้แรงน้ำไปสู่ที่สูง

ปริมาณการสูบน้ำ โดยเฉลี่ยจากการทดสอบ 1 นาที สูบน้ำได้ประมาณ 1.50 ลิตร ความต่างที่ 1 เมตร แล้วส่งขึ้นพื้นที่ลาดชัน ประมาณ 200 เมตร ถ้าเฉลี่ยเป็นวัน เครื่องตะบันน้ำตัวนี้สามารถสูบน้ำได้ วันละ 3,000-4,000 ลิตร โดยมีต้นทุนการผลิตเพียง เครื่องละ 5,000 บาท

สอบถามข้อมูล รายละเอียดและการติดตั้งเครื่องตะบันน้ำได้ที่ คุณอุดม อุทะเสน โทร. 087-216-5686

โครงการซูเปอร์ตะบันน้ำ โดยสมาคมเพื่อการพัฒนาและอนุรักษ์เทือกเขาเพชรบูรณ์ ได้รับการสนับสนุนโดยโครงการ “ดีแทคพลิกไทย” ด้วยการระดมทุนผ่านเว็บไซต์ https://www.dtac.co.th/plikthai/p/water-sink

ทำให้สามารถผลิตและติดตั้งเครื่องตะบันน้ำสำหรับเกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 20 เครื่อง ไผ่เป็นพืชตระกูลเดียวกับหญ้า โดยไผ่ได้ชื่อว่าเป็นหญ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไผ่เป็นพืชสารพัดประโยชน์สำหรับเกษตรกร เนื่องจากทุกส่วนของไผ่เราสามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ส่วนของหน่อใช้เป็นอาหาร บริโภคได้ทั้งหน่อสดและเอาไปดองเพื่อถนอมอาหาร ส่วนลำต้นสามารถใช้เป็นไม้ใช้สอยได้ต่างๆ นานา ทำค้างสำหรับพืชไม้เลื้อย ทำรั้วบ้าน ทำด้ามจอบด้ามพร้า สานตะกร้ากระบุง ทำเครื่องเรือน หรือสร้างบ้านได้แทบทั้งหลัง แม้แต่ใบก็เอามาทำปุ๋ยได้

ในสมัยก่อนเราพึ่งพาไม้ไผ่ในชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ปัจจุบันแม้ไผ่ธรรมชาติจะลดน้อยลงไป แต่สำหรับเกษตรกรการปลูกไผ่ไว้ในสวนของตัวเองเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อหาได้มากทีเดียว เพราะในปัจจุบันไม้ไผ่ที่ตัดขายตามร้านค้ามีราคาแพงมาก ดังนั้น การปลูกใช้เองเป็นการดีที่สุดสำหรับเกษตรกรในยุคนี้

ยางพาราถือเป็นพืชเศรษฐกิจในภาคใต้ จากสภาวะเศรษฐกิจส่งผลให้ราคายางเคลื่อนไหวแพงบ้างถูกบ้าง และในช่วง 2-3 ปีมานี้ ยางมีราคาถูกมาก ทำให้เกษตรกรส่วนหนึ่งโค่นยางทิ้งเมื่อถึงอายุ และมักจะมองหาพืชชนิดอื่นปลูกทดแทนยาง เช่น ปาล์มน้ำมัน สะละ ทุเรียน มังคุด กล้วย แล้วแต่ความถนัด บางสวนก็โค่นยางออกบางส่วนเพื่อปลูกพืชอย่างอื่นแซม เกษตรกรชาวสวนยางทางภาคใต้ต่างพากันปรับตัว หาวิธีต่างๆ เสริมรายได้ เพื่อความอยู่รอด

สวนไผ่อาบู ตั้งอยู่ที่ ตำบลลำภี อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โดย คุณบุญชู สิริมุสิกะ ชายหนุ่มที่ทิ้งอาชีพวิศวกรในเมืองหลวงกลับคืนสู่บ้านเกิด ที่มีรากฐานอาชีพทำสวนยางและสวนปาล์ม แน่นอนว่าเป้าหมายการลาออกมาทำเกษตรของเขาไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว แต่เขาแสวงหาความสุขและความมั่นคงที่แท้จริง

จากวิศวกรมาเป็นเกษตรกร

คุณบุญชู เล่าให้ฟังว่า เขาเรียนจบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมหลังการเก็บเกี่ยวและแปรสภาพ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เรียนจบก็มีโอกาสมาทำงานเป็นวิศวกรออกแบบระบบการผลิต ให้กับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น

ในเวลานั้นเขามองอาชีพด้านการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวว่าเป็นอาชีพที่ลำบาก มันเหนื่อย เกษตรเท่ากับจน เนื่องจากในวัยเด็กช่วงที่ปิดเทอมและช่วงวันหยุด เขากับพี่จะต้องช่วยที่บ้านทำงานในสวนอยู่ตลอด แทนที่จะได้มีโอกาสนอนดูการ์ตูนสบายๆ เหมือนเด็กคนอื่นๆ พอมีโอกาสได้เรียนและจบออกมาทำงานเป็นวิศวกร เขาบอกกับตัวเองว่า นี่แหละคือตัวตน นี่แหละคืองานที่เขาชอบ

ครั้งหนึ่งเขามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหาร มีประธานบริษัทและกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ท่านได้ถามเขาว่า “คุณจะทำงานกับบริษัทเรากี่ปี เขาก็ตอบว่าผมจะทำไปเรื่อยๆ จนเกษียณอายุ แต่นายญี่ปุ่นกลับบอกเขาว่า คุณทำงานที่นี่ 5 ปีก็พอแล้ว ภายใน 5 ปี ทุกคนควรมีความก้าวหน้าในอาชีพ หากใครคนใดทำงานเดิมนานๆ ก็เสมือนองค์กรกำลังปิดกั้นโอกาสที่เขาจะได้แสดงความสามารถในด้านอื่นที่เขามี” ณ เวลานั้นเขาก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมนายญี่ปุ่นจึงสอนเขาอย่างนั้น

หลังจากทำงานได้ประมาณ 6 ปี วันหนึ่งเขามีโอกาสได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับการเกษตร รายการปราชญ์เดินดิน ตอน “ลุงนิล คนของความสุข” ของทีวีบูรพา ลุงนิล เป็นปราชญ์เกษตรที่จังหวัดชุมพร เขาเห็นลุงนิลมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีความสุขกับการทำเกษตรบนพื้นที่แปลงเกษตรเล็กๆ เป็นการทำเกษตรแบบสวนสมรม ลุงนิลได้อยู่กับครอบครัว ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันทุกวัน เขาบอกกับตัวเองว่านี่แหละชีวิตที่มีความสุข มันควรจะเป็นแบบนี้

ตั้งแต่นั้นมา ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ในงานวิศวกรรมที่เขาเคยชอบก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ช่วงเวลาว่างเขามักมองหาความรู้ใหม่ๆ ด้านการเกษตรอยู่เรื่อยๆ เหมือนความสนใจในชีวิตมันเปลี่ยน

เขาเริ่มรู้สึกว่าแม้รายได้จากการทำงานเป็นวิศวกรจะมีรายได้มากก็จริง แต่ความมั่นคงของการเป็นวิศวกรในยามบั้นปลายชีวิตมันกลับมีน้อยมาก

แต่ทว่ารายได้จากการทำการเกษตร แม้จะดูว่าน้อยในช่วงเริ่มต้น แต่มันกลับเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงในยามบั้นปลายชีวิต เขาเริ่มค้นพบว่า เงินไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขความสบายของชีวิต การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เราต่างพากันทำงานหาเงิน เมื่อได้เงินมาแล้วก็นำเงินที่ได้ไปแลกมาซึ่งความสุข

ในขณะที่งานด้านการเกษตรแค่ได้ลงมือทำความสุขก็เกิดแล้ว ความสุขมันเกิดขึ้นได้ทุกขณะ มันเกิดทันที ที่สำคัญทำแล้วยังมีผลพลอยได้ตามมา ซึ่งก็คือเงิน และถ้าทำดีๆ มันไม่ลำบากไม่จนแน่ๆ

หลังจากตัดสินใจลาออกมาทำเกษตรในช่วงแรกๆ เขาเริ่มต้นด้วยการปลูกพืชระยะสั้น เช่น ถั่วฝักยาว บวบ แตงกวา โดยทำการเกษตรแบบใช้สารเคมีเหมือนเกษตรทั่วไป เขาทำอยู่อย่างนั้นสองสามรอบ ก็พบว่าเงินที่ได้มาเมื่อนำมาลงทุนแล้วในระหว่างรอจะเก็บเกี่ยวผลผลิตรอบใหม่ เงินที่มีก็ใช้หมดพอดี พอได้เงินงวดใหม่มาก็เอามาลงทุน พอรอผลผลิตอีกรอบก็หมดอีก หยุดทำเมื่อไรก็หมดเงินเมื่อนั้น

เขาทำอยู่แบบนั้นได้ประมาณ 6 เดือน ก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันไม่ใช่แล้ว มันน่าจะมีอะไรผิดพลาด เขาจึงหยุดปลูกพืชต่างๆ ประมาณ 3 เดือน โดยในระหว่างนั้นก็ยังมียางพาราและปาล์มที่ยังเป็นรายได้ เขาคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อหาหนทางใหม่ที่ควรจะดีกว่าเดิม เขาจึงพบว่าสิ่งที่เราเห็นคนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จกับการทำการเกษตรทางยูทูปหรือตามทีวีเป็นเรื่องที่เขาอยากให้เราดู แต่ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวที่เราไม่รู้คือ ช่วงจังหวะที่เขาเหล่านั้นล้มเหลวซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำมาเป็นบทเรียน แต่ที่เราเห็นคือช่วงที่เขาเหล่านั้นประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งความสำเร็จมันเป็นของใครของมัน มันลอกเลียนแบบกันไม่ได้

เขาจึงนำวิธีคิดและวิธีการทำงานแบบวิศวกรมาปรับใช้กับการเริ่มต้นการทำเกษตรใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาทำบนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยึดมั่นในปรัชญา นำพาด้วยการทำงานอย่างวิศวกร

คุณบุญชูคิดวางแผนว่า จะสร้างสวนของตัวเองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เชิงเกษตรที่เป็นวิถีเกษตรแบบบ้านๆ จริงๆ เขาเริ่มวางแผนงานใหม่และกำหนดรูปแบบในการทำแปลงเกษตรของตัวเองใหม่ โดยยึดหลักที่ว่า ทุกกิจกรรมต้องง่ายและทำแล้วต้องเกิดรายได้จริง

เขาบอกกับเราว่าที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการทำเกษตร ขอเพียงมีพื้นที่ ถึงแม้ดินนั้นจะไม่ดี หรือน้ำไม่มี ก็สามารถที่จะทำเกษตรได้ ไม่ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงดินหรือลงทุนสร้างแหล่งน้ำ แต่ควรเริ่มต้นด้วยการเลือกปลูกพืชที่เหมาะกับดินและเหมาะกับปริมาณน้ำฝนในพื้นที่นั้นๆ ถ้าเราปลูกพืชที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น อะไรๆ มันก็จะง่าย เขากำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพืชมาปลูกลงแปลง 10 ข้อ เพื่อใช้เป็นตัวคัดกรองคร่าวๆ ก่อนจะปลูกพืช

เกณฑ์ประเมิน 10 ข้อ สำหรับพืชที่จะปลูก มีดังนี้

ต้องเป็นพืชที่คนทั่วไปมองข้าม
ต้องเป็นพืชที่ปลูกแล้วสร้างรายได้จริงๆ
ต้องเป็นพืชที่มีโรคและแมลงรบกวนน้อย อาศัยการพึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก
ต้องเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วมได้ดี
ต้องให้ผลผลิตสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่อิงฤดูกาล
ต้องเป็นพืชที่มีความต้องการสูง เน้นหนักไปทางด้านสุขภาพ
ต้องเป็นพืชที่ทนทาน ไม่ต้องดูแลมาก
ต้องเป็นพืชที่สามารถแปรรูปได้
ต้องเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน
ต้องเป็นพืชที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ เช่น การทำกิ่งพันธุ์จำหน่าย
ซึ่งเกณฑ์ประเมินทั้ง 10 ข้อ ถ้าพืชตัวใดผ่านสัก 8 ข้อ ก็สามารถนำมาปลูกได้เลย

ไผ่ในสวนยาง เริ่มจากแนวคิดนี้

หลายท่านอาจจะคิดว่าไผ่กับยางพาราไม่น่าจะปลูกร่วมกันได้ แต่จริงแล้วสามารถปลูกร่วมกันได้ แต่เราต้องมีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสม การเลือกพันธุ์ไผ่ที่เหมาะสมจะนำมาปลูกแซมในสวนยางคือ ไผ่ในตระกูลตงทั้งหมด เช่น ตงลืมแล้ง (ไผ่กิมซุง เขียวเขาสมิง) ตงศรีปราจีน ซางหม่น หม่าจู ปักกิ่ง และอื่นๆ เนื่องจากไผ่เหล่านี้มีลำต้นสูง เวลาที่ต้นยางมีอายุมากแล้ว ไผ่จะสามารถพุ่งขึ้นไปรับแสงสู้กับต้นยางได้ แต่สวนยางของคุณบุญชูเลือกปลูก ไผ่ตงลืมแล้ง (ไผ่กิมซุง เขียวเขาสมิง) เพราะดูแลง่ายและสามารถต่อยอดอาชีพสร้างรายได้ได้หลายทาง

ขนาดต้นพันธุ์ต้องเหมาะกับอายุของต้นยางในสวน

การเตรียมต้นพันธุ์ที่ดี เป็นที่รู้กันว่าการปลูกไผ่เป็นพืชแซมเรื่องการรับแสงจะด้อยกว่าปกติ เนื่องจากมีต้นยางปลูกอยู่ก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น เพื่อให้ไผ่เติบโตได้เร็ว ควรเตรียมต้นพันธุ์ให้สมบูรณ์เต็มที่ ควรเป็นต้นพันธุ์ที่อนุบาลไว้อย่างน้อย 60 วัน ให้ต้นไผ่แข็งแรงที่สุด ไผ่ที่แตกหน่อในถุงหลังจากปลูกต้นไผ่จะตั้งลำได้เร็วมากกว่า

การดูความเหมาะสมของอายุและขนาดต้นยาง โดยเราจะสามารถปลูกไผ่แซมในช่วงยางอายุกี่ปีก็ได้ แต่หัวใจสำคัญคือ การจัดการแสง โดยการจัดการขนาดและความสูงของกอไผ่ให้เหมาะกับขนาดของต้นยาง ถ้าปลูกตอนต้นยางเล็กให้คุมความสูงของลำไผ่ไม่เกิน 3 เมตร เว้นลำไม่เกิน 3 ลำ ถ้ายางโตแล้ว 8 ปีขึ้นไป ให้คุมความสูงลำไผ่ 4-5 เมตร เว้นลำกอละ 4-5 ลำ ที่สวนไผ่อาบูปลูกไผ่เป็นพืชแซมตอนที่ยางมีอายุ 8 ปี ซึ่งเป็นยางที่เพิ่งเริ่มกรีดน้ำยาง

ระยะห่างระหว่างกอไผ่ การเว้นระยะกอไผ่ให้คำนึงถึงระยะต้นยางเป็นหลัก หากยางปลูก 9×9 เมตร สามารถปลูกไผ่ระยะห่าง 3-4 เมตร ถ้าผู้ปลูกวางแผนจะปลูกพืชอื่นแซมเพิ่มอีก เช่น ตะเคียน พะยูง มะฮอกกานี ให้ปลูกไผ่ระยะ 6 เมตร เพื่อต่อไปจะได้ปลูกพืชแซมระหว่างไผ่เพิ่มเติมได้อีก

หลุมที่ขุดสำหรับปลูกต้นไผ่ใช้กว้างยาวลึก 30 เซนติเมตรเท่ากัน รองก้นหลุมด้วยมูลสัตว์พอประมาณ โดยให้ปลูกหันทรงพุ่งของต้นพันธุ์ไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแสงช่วงเช้า ฤดูกาลที่เหมาะสมปลูกไผ่คือ ปลายฝนและหน้าหนาว เพราะไผ่จะพักตัวในช่วงแรกเพื่อสะสมอาหาร เมื่อเข้าต้นฤดูฝนปีถัดไป ไผ่จะตั้งกอได้เร็ว ไม่ต้องกลัวเรื่องติดแล้ง เพราะการปลูกไผ่เป็นพืชแซม ไผ่จะไม่ได้รับแดดโดยตรงคือแสงค่อนข้างรำไร ต้นพันธุ์จึงผ่านแล้งได้ หากผู้ปลูกไม่มีเวลาเอาใจใส่ดูแลจริงๆ ให้ปลูกช่วงต้นฤดูฝน เพราะไผ่จะได้แข็งแรงก่อนเข้าแล้ง การดูแล ช่วงที่ต้นไผ่ยังเล็กอยู่ ให้ดูแลเรื่องวัชพืชรอบโคนต้นและควรใส่ปุ๋ยบำรุงบ้างตามสมควร ช่วงแรกเน้นสูตรเสมอ 15-15-15 มีมูลไก่หรือมูลสัตว์อื่นสามารถใส่ได้บ่อยครั้ง

เจ้าของสวนไผ่อาบูเล่าว่า “ตอนที่ยางพาราคาตกก็เลิกใส่ปุ๋ยให้ต้นยาง เพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ก็หันมาเอาใจใส่ไผ่มากกว่า และในสวนยังมีผักอีกหลายชนิด เช่น ผักเหมียง ต้นส้มป่อย พลูกินกับหมากซึ่งขายเป็นรายได้เสริมได้ทุกสัปดาห์ จากการปลูกไผ่ในสวนแล้วนำเศษใบไผ่ใบไม้มากองไว้เป็นกองในสวนแล้วใส่จุลินทรีย์ พด.1 หมักเป็นกองปุ๋ยตามธรรมชาติ วิธีนี้ทำให้สภาพดินดี ดินชุมชื้นขึ้น ปริมาณน้ำยางก็อยู่ในเกณฑ์ดี และยังสังเกตเห็นว่าสวนยางแปลงอื่นเมื่อเข้าหน้าแล้งยางจะผลัดใบหมดทั้งสวน แต่ที่นี่ต้นยางจะค่อยๆ ผลัดใบ เพราะในดินมีความชื้นจากกอไผ่ช่วยค่อนข้างมาก”

สำหรับเกษตรรุ่นใหม่

สำหรับข้อแนะนำนี้ คุณบุญชู กล่าวว่า คนที่ทำงานมีเงินเดือนประจำอยู่แล้วที่คิดจะมาทำเกษตร ที่เขาเจอจะมีอยู่ด้วยกันสองกลุ่มด้วยกัน

แบบแรก คือ คนที่มีเงินเป็นทุนเดิม ที่คิดว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากวิถีคนเมืองเป็นแบบสโลว์ไลฟ์ มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย คนกลุ่มนี้เขาจะเริ่มต้นทำยังไงก็ได้เพราะเขามีเงิน เมื่อล้มเหลวหรือเกิดความผิดพลาดก็เอาเงินมาลงใหม่ ซึ่งการทำลักษณะนี้ผมไม่แนะนำ เพราะผู้ทำจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น

แบบที่สอง คือ กลุ่มคนที่อยากทำเกษตรจริงๆ แม้จะไม่มีความรู้เรื่องเกษตร แม้จะมีเงินทุนจำกัดก็สามารถทำได้ แต่เขาจะต้องเรียนรู้ให้มาก ควรเริ่มต้นจากการค้นหาคนต้นแบบที่สามารถจะขอคำแนะนำจากเขาได้ ลองทำในเวลาว่างควบคู่กับการทำงานปกติไปสักระยะ ทำไปเรียนรู้ไป จากความรู้ที่มีและจากการลงมือทำบ่อยๆ จะเกิดเป็นประสบการณ์ ทำไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่างานเกษตรเป็นเรื่องที่เราทำได้ ทำแล้วมีรายได้จริง จึงค่อยก้าวออกมาเต็มตัว

ผมไม่แนะนำให้ใครที่กำลังจะผันตัวเองมาทำเกษตร กระโจนเข้ามาทำโดยความอยากเพียงอย่างเดียว เพราะมันอาจล้มเหลวได้ง่ายๆ การจะทำเกษตรให้สำเร็จผู้ทำต้องมีความรู้และความตั้งใจจริงๆ รู้จักตัวเอง รู้จักสิ่งที่กำลังจะทำ เมื่อรู้แล้วก็ลงมือได้เลย”

ผู้เขียนนั่งอ่านเฟซบุ๊ก สวนไผ่อาบู มีคนใฝ่ฝันที่จะทำเกษตรจำนวนมากมาขอความรู้มาขอคำแนะนำ ทุกคนล้วนได้รับคำตอบจากคุณบุญชูด้วยความจริงใจเสมอ จากการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการนำประสบการณ์ด้านวิศวกรรมมาปรับใช้เข้าด้วยกัน ทำให้เขาสามารถถ่ายทอดประสบการณ์การทำเกษตรให้ผู้ที่สนใจได้เข้าใจแนวทางการทำเกษตรในแบบวิถีเกษตรที่ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำเกษตรเข้ามาศึกษาเรียนรู้ที่สวนไผ่อาบูเป็นจำนวนมาก

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมปลูกสับปะรดไว้ 1 แปลง การเจริญเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การติดผลทยอยออกไม่พร้อมกัน ผมต้องปฏิบัติอย่างไร ตันสับปะรดของผมจึงจะออกดอกพร้อมกัน และเคยมีข่าวว่า หากใส่ปุ๋ยไม่ถูกวิธี เมื่อนำไปบรรจุกระป๋องจะทำให้เคลือบในกระป๋องมีสีดำคล้ำ ส่งออกไปขายยังต่างประเทศไม่ได้ เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ขอให้คุณหมอเกษตรไขข้อข้องใจให้ด้วยครับ

ตอบคุณนิวัฒน์ ปทุมวงศาโรจน์

วิธีการบังคับให้สับปะรดออกดอกพร้อมกัน ประการสำคัญต้องบำรุงต้นให้มีน้ำหนัก 2.5-2.8 ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่าง นำขึ้นมาชั่งน้ำหนัก แต่ถ้าหากเกษตรกรที่ปลูกมานานสามารถประมาณการได้ จากนั้นใช้สารที่เรียกว่า เอทธิฟอน 39.5 เปอร์เซ็นต์ อัตรา 8 มิลลิกรัม และปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยน้ำตาลทรายก็เรียกกัน 300 กรัม ละลายในน้ำสะอาด 1 ปี๊บ คนให้เข้ากันแล้วหยอดหรือราดที่ยอดสับปะรด 2 ครั้ง ทิ้งช่วงห่างกัน 4-7 วัน เวลาที่หยอดสารควรเป็นเวลาเย็นได้ผลดีที่สุด อีก 2-4 สัปดาห์ จะมีดอกปรากฏให้เห็น

ส่วนสาเหตุทำให้เคลือบกระป๋องด้านในมีสีดำ เกิดจากมีไนเตรตตกค้างในเนื้อสับปะรดเกินมาตรฐาน ป้องกันได้โดยงดการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน หลังจากบังคับให้ออกดอกแล้วและห้ามตัดหัวจุกสับปะรดออกจากต้น เพราะหัวจุกเป็นตัวดูดซับเอาปุ๋ยไนโตรเจนส่วนเกินเอาไว้ หากปฏิบัติได้ตามคำแนะนำแล้ว เคลือบกระป๋องด้านในดำจะไม่เกิดขึ้นครับ

ตามปกติแล้ว daddyuploads.com เมื่อมีใครบอกข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรที่ฤทธิ์ป้องกันการเป็นโรคไต ข้าพเจ้าจะฟังหูไว้หูเสียก่อน แต่หนักไปทางไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร เพราะว่าปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ใดที่บ่งชี้ว่าสมุนไพรป้องกันโรคไตได้จริง ที่ได้ฟังมาบ่อยๆ ก็จะเป็นการอวดอ้างสรรพคุณการรักษา หลอกผู้ป่วยที่สิ้นหวัง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งจริยธรรมและผิดกฎหมายอย่างยิ่ง

มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยแล้วว่า เกริ่นนำมาแบบนี้ แล้วจะนำเสนอสมุนไพรอะไรได้ สิ่งนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงปัจจัยหรือความเสี่ยงอันนำไปสู่การเกิดโรคไตได้ ในทางแบบแผนปัจจุบัน

มีงานวิจัยระบุไว้ว่า ในคนไข้กลุ่มโรคเมแทบอลิกจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคไตเรื้อรังมากเป็น 2.65 เท่าของคนปกติ ด้วยเหตุนี้เอง หากเราป้องกันกลุ่มโรคนี้ได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้เช่นเดียวกัน

สาเหตุหลักของโรคนี้คือ ความอ้วน ที่ทำให้ร่างกายดื้อต่อการออกฤทธิ์ของอินซูลิน จนมีผลเกิดน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันสะสมภายในเซลล์ต่างๆ ความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งโรคไตด้วย

ดังนั้น การรักษากลุ่มอาการนี้ จึงเป็นการแก้ไขปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรค โดยเริ่มแรกจะให้คนไข้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ปรับการรับประทานอาหาร เพิ่มการออกกำลังกาย นอกจากนั้น ก็เป็นการรักษาปัจจัยต่างๆ ได้แก่ รักษาภาวะไขมันที่ผิดปกติ การรักษาความดันโลหิตสูงและการรักษาน้ำตาลในเลือดสูง

สมุนไพรทางเลือกที่มีงานวิจัยสนับสนุนในการรักษาปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ได้แก่ กระเจี๊ยบแดง จากข้อมูลงานวิจัยที่มีการรับประทานสารสกัดกระเจี๊ยบขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ในคนไข้กลุ่มโรคเมแทบอลิก เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพิ่มระดับไขมันดี ปรับปรุงการทำงานของอินซูลินให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาในประเทศไต้หวัน ได้นำสารสกัดของกระเจี๊ยบแดงให้ผู้ที่มีภาวะอ้วน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสามารถลดน้ำหนัก ภาวะอ้วน ลดกรดไขมันอิสระในเลือดได้เช่นเดียวกัน