ในขณะที่ นายนิยม ฉิมมา รองนายก อบต. น้ำร้อน กล่าวย้ำว่า

พายุฤดูร้อนครั้งนี้รุนแรงในรอบ 30 ปี และยังสร้างความเสียหายค่อนข้างหนัก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจ โดยเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีบ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน 103 หลัง โดยหมู่ทีี่ 5 บ้านหนองตาวง ค่อนข้างหนัก อย่างไรก็ตาม ก็จะเร่งให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบวาตถัยต่อไป

ด้าน นายสมศักดิ์ หลวงเทพ ปลัดอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้บ้านเรือนเสียหายมาก เพราะราษฎรปลูกบ้านพักอยู่ใต้ต้นสัก เมื่อเจอลมพายุแรงๆ จึงล้มง่าย เพราะต้นสักไม่มีรากแก้ว ยังเคราะห์ดีที่ไม่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะบ้านพักบางหลังถูกต้นสักขนาดใหญ่ทับพังยุบทั้งหลังอย่างกรณีรายแม่ลูกนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านช่วงเกิดเหตุ ต้นสักขนาดใหญ่ล้มทับบ้านเต็มๆ เห็นสภาพแล้วไม่น่ารอด

“ส่วนความช่วยเหลือเร่งด่วนในขณะนี้ จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่นำอุปกรณ์เครื่องมือเข้าเคลียร์ต้นสักที่ล้มทับบ้านเรือนราษฎรก่อน และรายงานทางจังหวัดเพื่อประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยสาธารณะและเขตการให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และให้ทางท้องถิ่นสำรวจความเสียหายเพื่อให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น แต่หากเกินศักยภาพโดยงบฯ ไม่เพียงพอ ก็ให้ขอความช่วยเหลือสนับสนุนงบสำรองราชการในอำนาจทางผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป”นายสมศักดิ์ กล่าว

โรคไมเกรน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆ กันตั้งแต่แรก ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆ เป็นระยะๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อๆ

ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะค่อยๆ ปวดมากขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อยๆ บรรเทาอาการปวดลงจนหาย ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่น สายตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงกระพริบๆ อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้

อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน

ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้

จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น

วิธีที่ 1 ดูแลตัวเอง

ที่สำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม

วิธีที่ 2 เลี่ยงปัจจัยกระตุ้น

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้ การรับประทานอาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไตรต์หรือที่เรียกว่าสารเร่งเนื้อแดงซึ่งพบในเบคอน เนื้อฮ็อตดอก และเนื้อหมัก ไทอามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิ้ล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้ว ยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม

การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป
อยู่ในภาวะขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมทั้งออกกำลังกายมากจนเสียเหงื่อมากเกินไป
ความเครียด และความวิตกกังวล

นอนหลับน้อย อดนอน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป รวมทั้งการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง อากาศร้อน หรือการอยู่กลางแดดนานๆ
กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์

การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเกิดไมเกรน ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน ความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าในช่วงอื่น นอกจากนี้ การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ ก็มักจะทำให้ปวดไมเกรนได้มากขึ้น

วิธีที่ 3 รับประทานอาหารป้องกันไมเกรนบ่อยๆ

เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว ฟักทอง นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบเฟลวิล เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบเฟลวิลสูง ได้แก่ เห็ดหอมสด ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ มันฝรั่ง และผักหวาน แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียวและถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่อาจกระตุ้นการเกิดไมเกรนในบางคนได้

กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีน ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน

วิธีที่ 4 นวด ประคบ กดจุด

ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ

วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ

วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆ ที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด

นอกจากการประคบแล้วยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

คลายปวดกับนวดกดจุด

ศาสตร์การแพทย์ตะวันออก เชื่อว่าร่างกายคนเรามีเส้นลมปราณ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดและความสมดุลของพลัง แต่เมื่อเกิดความเครียดหรือสภาวะผิดปกติที่ส่วนใด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดอาการตึง เกร็ง เป็นเหตุให้พลังปราณติดขัด ร่างกายจึงเสียสมดุลและเจ็บป่วย จึงต้องนวดกดจุดเพื่อเปิดช่องพลังปราณ เมื่อพลังปราณไหลเวียนดี ร่างกายก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้น การนวดกดจุด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้

หน้าผาก ใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ กดจุดช่วงกลางหน้าผาก ระหว่างหัวคิ้ว กดลึกๆ รูดขึ้นด้านบน ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
มือ ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้ ของมือข้างหนึ่ง กดจุดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมืออีกข้าง ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วสลับทำอีกข้าง

คอ ใช้นิ้วมือวางบริเวณใต้กะโหลกศีรษะ เหนือต้นคอ แล้วรูดออกด้านข้าง ประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร หรือ 1-2 นิ้ว ทำจนกระทั่งอาการปวดทุเลา จากนั้น เอนคอไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วใช้นิ้วโป้งกดบริเวณข้างๆ กระดูกคอ กดค้างไว้สักประมาณ 2 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
ศีรษะ ใช้นิ้วชี้กดให้แน่น บริเวณจุดตัดกลางศีรษะ (จุดตัดลากระหว่าง 2 เส้น คือ เส้นหนึ่ง เป็นเส้นที่ลากจากด้านหน้าหูข้างหนึ่งลากไปยังหูอีกข้างหนึ่ง ตัดกับเส้นที่สอง คือเส้นที่ลากระหว่างกลางคิ้วไปตัดที่กลางศีรษะ) กดค้างไว้สักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
เท้า ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้ ของมือข้างหนึ่ง กดจุดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเท้าอีกข้าง ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วสลับทำอีกข้าง

วิธีที่ 5 สมุนไพรแก้ปวดไมเกรน

ขิง….สมุนไพรคลายอาการปวดไมเกรน

จากการศึกษาวิจัยล่าสุด ในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีระยะการเป็นไมเกรนมาประมาณ 7 ปี มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้ง ต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างการให้แคปซูลขิง 250 มิลลิกรัม กับยาแผนปัจจุบันชื่อ “ซูมาทริปแทน” ขนาด 50 มิลลิกรัม เมื่อมีอาการปวดไมเกรน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน

คือสามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา แต่พบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบันคือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ในขณะที่ยาซูมาทริปแทน มักทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ง่วงนอน อาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) ซึ่งการที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบ

ซึ่งยังมีข้อมูลการใช้ของขิงในการบรรเทาอาการปวดข้อ มาก่อนหน้านี้ อีกทั้งขิงยังมีสรรพคุณในการแก้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ซึ่งอาการดังกล่าวมักพบว่าเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการปวดไมเกรน จึงถือได้ว่าขิงเป็นสมุนไพรอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ผู้ป่วยไมเกรนได้ลองใช้ดูเวลามีอาการกัน และหากใครชื่นชอบการดื่มน้ำขิงอยู่แล้ว จะจิบน้ำขิงอุ่นๆ เวลาปวดไมเกรน ก็สามารถทำได้เช่นกัน

หรือใครที่มีภาวะเครียด นอนไม่ค่อยหลับ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดไมเกรนบ่อยๆ ลองรับประทานบัวบกเสริมดูวันละ 2 เม็ด ทุกวัน มื้อใดก็ได้ รับประทานเป็นประจำ หรือถ้าใครมีต้นบัวบกปลูกอยู่ที่บ้าน จะคั้นสดรับประทานวันละ 1 กำมือ หรือประมาณ 7-10 ต้น รับประทานเป็นประจำ จะช่วยลดความกังวล ลดความเครียดและซึมเศร้า ขณะที่การศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการออกฤทธิ์บํารุงสมอง พบว่า บัวบกทําให้การหายใจในระดับเซลล์สมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาทและเสริมฤทธิ์การทํางานของสารสื่อประสาท และยังทําให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงสามารถนําเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลดีทั้งต่ออาการไมเกรน และต่อร่างกายของผู้รับประทานด้วย

วิธีเหล่านี้เป็นวิธีธรรมชาติ อาจไม่ได้ผลเร็วเหมือนยาแผนปัจจุบัน แต่ถือได้ว่าเป็นการปรับร่างกายเราให้กลับเข้าสู่สมดุลปกติอีกทางหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเป็นเดือน ในกรณีที่จำเป็นก็อาจต้องใช้ยาแผนปัจจุบันสักระยะหนึ่งในช่วงแรก สำหรับใครที่ปวดไมเกรนบ่อยๆ มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับประทานยาป้องกันไมเกรน โดยแนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือนจึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่

นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยถึงแผนงานเร่งด่วนภายหลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะเข้ามาแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ เนื่องจากราคายางในตลาดส่งมอบจริงในปัจจุบันถูกกำหนดโดยราคาในตลาดซื้อขายโภคภัณฑ์ล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ตลาดล่วงหน้าโตเกียว ญี่ปุ่น ซึ่งวันที่ 4 พ.ค.นี้ กยท.จะประชุมร่วมกับผู้บริหารสหกรณ์ชาวสวนยางทั่วประเทศที่มีสมาชิกกว่า 2 ล้านคน ว่ามีปริมาณการผลิตยางแผ่นรมควัน น้ำยางข้น ในแต่ละประเภทเดือนละเท่าใด เพื่อที่ กยท.จะได้วางแผนนำไปเจรจาขายให้กับโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ในไทย และผู้นำเข้าต่างประเทศโดยตรง เป็นการสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ซื้อต่างประเทศว่าประเทศผู้ผลิตมีตลาดซื้อขายส่งมอบยางจริงที่มีปริมาณการซื้อขายมากพอสมควร โดยเฉพาะยางแผ่นรมควัน น้ำยางข้นที่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ผลิตยางประเภทนี้ น่าจะมีราคาที่ดีขึ้น

“ราคาที่ กยท.จะขาย จะคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและกำไรที่ควรจะเป็นของชาวสวนยางที่จะได้รับ ซึ่งการประชุมร่วมกับชาวสวนในครั้งนี้จะมีการหารือถึงการตั้งนิติบุคคลขึ้นมารองรับด้วย อาจจะเป็นการร่วมทุนกับ กยท. หรือ กยท. จะตั้งบริษัทขึ้นมาทำการค้าเองก็ได้”

นาวาตรี ประสิทธิ์ กาญจนวณิชย์ ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรห้วยสัตว์ใหญ่ จำกัด ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับแจ้งจากสมาชิกสหกรณ์กลุ่มผู้ปลูกทุเรียนหมอนทองพันธ์ป่าละอู ซึ่งเป็นสินค้าที่ผ่านการขึ้นทะเบียน จีไอ หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ประสบปัญหามีผลผลิตลดลงจากปีก่อนกว่า ร้อยละ 50 เนื่องจากประสบกับสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้ดอกร่วง ผลผลิตบางส่วนถูกช้างป่าบุกเข้าทำลาย นอกจากนั้น ผลผลิตจะออกสู่ท้องตลาดช้ากว่าปกติ จากเดิมปลายช่วงเดือนพฤษภาคม จะเลื่อนไปแก่จัดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ดังนั้น ผู้บริโภคต้องระวังถูกพ่อค้าหลอกขาย เนื่องจากมีบางรายอ้างทุเรียนหมอนทองจากแหล่งอื่นเป็นทุเรียนป่าละอู เพื่อจำหน่ายในราคาแพง ขณะที่ผลผลิตในสวนที่ ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ มีน้อยมาก

“ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่จากประเทศจีนและญี่ปุ่น สนใจสั่งซื้อผลผลิตไปจำหน่าย โดยให้ราคาสูงกว่าปกติ หลังจากพบว่ามีทุเรียนรสชาติดี เนื้อแห้ง ล่าสุดได้แจ้งให้ทราบว่า สหกรณ์ไม่สามารถส่งสินค้าให้ได้ตามต้องการ เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศปีละกว่า 50 ตัน เท่านั้น และยืนยันว่า ทุเรียนป่าละอูของแท้ที่สหกรณ์นำไปจำหน่ายจะติดป้ายคิวอาร์โค้ดที่ขั้วทุกผล หากมีปัญหาพบทุเรียนดิบด้อยคุณภาพ สามารถนำไปเปลี่ยนได้ ขณะนี้หากต้องการชิมทุเรียนป่าละอูของแท้ ควรไปที่สวนของเกษตรกรโดยตรง” นาวาตรีประสิทธ์ กล่าว

วันที่ 30 เมษายน เวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์แหล่งกักเก็บน้ำ ในเขตพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี หลังจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เริ่มส่อแววภัยแล้งเป็นวงกว้าง เนื่องจากในช่วงนี้มีฝนตกลงมาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แหล่งน้ำธรรมชาติต่างๆ มีปริมาณน้ำเข้ามาเติมเต็ม โดยเฉพาะที่แม่น้ำตากแดดเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า ในเขตพื้นที่ ต.เขาขี้ฝอย ต.หนองหญ้าปล้อง และ ต.โคกหม้อ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี ซึ่งก่อนหน้านี้ ปริมาณน้ำในแม่น้ำแห้งขอดจนมองเห็นเนินดิน เกือบตลอดทั้งสาย ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและสัตว์เลี้ยง ที่ส่อแววขาดแคลนน้ำ โดยปัจจุบันแม่น้ำตากแดดมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ฝนได้ตกลงมา ประกอบกับโครงการชลประทานอุทัยธานี ได้กักเก็บน้ำบริเวณเหนือเขื่อน โดยปิดประตูระบายน้ำทั้ง 3 บาน ของเขื่อนวังร่มเกล้า ไม่ให้มีการระบายน้ำสู่ท้ายเขื่อนแต่อย่างใด

และเพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อสำรองไว้ให้เกษตรกรที่ทำนา หากเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ในช่วงฤดูกาลทำนาปีต่อไป ส่วนปริมาณน้ำท้ายเขื่อนวังร่มเกล้าขณะนี้ แม้ไม่มีการระบายสู่ท้ายเขื่อน แต่ยังคงมีปริมาณน้ำขังในลำแควตากแดด จากฝนที่ตกลงมาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทางโครงการชลประทานอุทัยธานี จะมีการพิจารณาอย่างเหมาะสม และหากมีฝนตกลงมาเพิ่มเติมต่อเนื่องจนปริมาณเกินกักเก็บ จึงจะสามารถเปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนวังร่มเกล้าทั้ง 3 บาน ทันที เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนเกิดอุทกภัยรุนแรง

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดคัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นสาขาอาชีพต่างๆ ให้เป็นเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ.2561 เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณและเผยแพร่ผลงานดีเด่นให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศโดยรวมในอนาคต โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรรวบรวมรายชื่อที่ได้รับคัดเลือกเพื่อเข้ารับพระราชทานโล่รางวัลในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี พ.ศ. 2561 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ณ พลับพลาที่ประทับมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตามผลการคัดเลือกดังนี้

เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ อาชีพทำนา ได้แก่ นายชัชวาล ท้าวมะลิ จ.อุดรธานี อาชีพทำสวน ได้แก่ นายธีรภัทร อุ่นใจ จ.จันทบุรี อาชีพทำไร่ ได้แก่ นางทองแดง แดนดี จ.บุรีรัมย์ อาชีพทำไร่นาสวนผสม ได้แก่ นายใจ สุวรรณกิจ จ.พัทลุง อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ได้แก่ นางกุลกนก เพชรเลิศ จ.บุรีรัมย์ อาชีพเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ นายมูฮำมัดกาแมล เจะมะ จ.นราธิวาส อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ได้แก่ นายอดิชัย ว่องไวไพโรจน์ จ.กาญจนบุรี อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย ได้แก่ นายวศิน ธนภิรมณ์ จ.ปัตตานี อาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพันธุ์ไม้น้ำ ได้แก่ นายสิทธิธรรม เรืองจรุงพงศ์ จ.ปราจีนบุรี อาชีพปลูกสวนป่า ได้แก่ นางธวัลรัตน์ คำกลาง จ.นครราชสีมา สาขาบัญชีฟาร์ม ได้แก่ พันจ่าโทเฉลียว น้อยแสง จ.ชัยนาท สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้แก่ นายสัญญา หิรัญวดี จ.ภูเก็ต สาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช ได้แก่ นายบุญมี นามวงศ์ จ.ชัยภูมิ ที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกร ได้แก่ นายศรีราชา บัวเบา จ.ราชบุรี สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกร ได้แก่ นายศุภวิชญ์ บำรุงรัตน์ จ.จันทบุรี และสาขาเกษตรอินทรีย์ ได้แก่ นายสฤษดิ์ โชติช่วง จ.สุราษฎร์ธานี

สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ กลุ่มเกษตรกรทำสวน ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรทำสวนบ้านควนสามโคก จ.พัทลุง กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ประดู่หางดำทุ่งช้าง จ.น่าน กลุ่มเกษตรกรทำประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่ องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น จ.ตราด กลุ่มเกษตรกรแปรรูปสัตว์น้ำ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปถนอมอาหาร จ.แพร่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านหนองเหรียง จ.พัทลุง กลุ่มยุวเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มยุวเกษตรกรโรงเรียนเพียงหลวง จ.อุบลราชธานี กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านท่าไม้ จ.นครสวรรค์ สถาบันเกษตรกรผู้ใช้น้ำชลประทาน ได้แก่ กลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานท่ายางบ้านลาดพัฒนา จ.เพชรบุรี วิสาหกิจชุมชน ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว จ.ตราด ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาข้าวชุมชน ประเภทข้าวหอมมะลิ ได้แก่ ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลเมยวดี จ.ร้อยเอ็ด และประเภทข้าวอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนพัฒนาบ้านบึงประดู่ จ.พิจิตร

สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ สหกรณ์การเกษตร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา สหกรณ์โคนม ได้แก่ สหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ก (ลำพญากลาง) จำกัด จ.สระบุรี สหกรณ์นิคม ได้แก่ สหกรณ์นิคมคลองหลวงสวนหมาก จ.กำแพงเพชร สหกรณ์ผู้ผลิตยางพารา ได้แก่ สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านเสม็ดจวนพัฒนา จ.นครศรีธรรมราช สหกรณ์ออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ สหกรณ์ร้านค้า ได้แก่ ร้านสหกรณ์โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และสหกรณ์บริการ ได้แก่ สหกรณ์สี่ล้อเล็กภูเก็ต

ปลายปีที่แล้ว ผมเผอิญได้ปั่นจักรยานทัวร์ริ่งทางไกลกับเพื่อนสี่ห้าคน จากนครราชสีมาไปหนองคาย ช่วงท้ายๆ พวกเราต้องค้างคืนที่อำเภอบ้านดุง อุดรธานี คืนหนึ่ง ที่บ้านดุงนี้ ผมเคยไปดูแหล่งทำเกลือต้ม – เกลือตาก แบบสมัยใหม่ ที่เขตบ้านทุ่งมาแล้วเมื่อราวสองปีที่ผ่านมาครับ แต่คราวนี้ที่พักเราอยู่ริมถนนสาย 2096 ซึ่งก็มีแหล่งทำเกลืออีกเช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าเราก็ต้องปั่นไปแวะดูกันหน่อย ก่อนจะเดินทางต่อ แม้มีเวลาแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เห็นว่า การแวะเที่ยวแบบเข้าถึงแหล่ง เข้าใจรายละเอียดผ่านปากคำเจ้าของพื้นที่นั้น สามารถทำได้จริงๆ และก็เต็มไปด้วยอารมณ์ของมิตรภาพด้วย

นาเกลือริมทางที่เราแวะ เป็นนาที่ทำเกลือสินเธาว์แบบอุตสาหกรรมครับ คือค่อนข้างเป็น mass product แบบเอาปริมาณมาก ไม่เน้นคุณภาพเหมือนหลายแหล่งที่เคยไปดู เขาทำโดยสูบน้ำเกลือที่ระดับความลึก 70 เมตร จากผิวดิน โดยใช้เครื่องอัดลมอัดน้ำหล่อโดมเกลือดูดเป็นน้ำเกลือขึ้นมาตากบนแปลงนาเกลือ นาน 13 วัน จนแห้งหมาดๆ จากนั้นโกยใส่ถุง ขายผู้มารับซื้อในราคา ตันละ 1,000 บาท

เกลือสินเธาว์อุตสาหกรรมแบบนี้ไม่นำมาบริโภค แต่ใช้กันในโรงงานทำโซดาไฟ โรงน้ำแข็ง โรงทำแก้ว เส้นใยไนล่อน คลอรีน โพลีเมอร์ ยางสังเคราะห์ สบู่ ผงซักฟอก และอื่นๆ อีกมาก