ในขณะเดียวกันการปรับค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนนี้

ส่วนของหลายจังหวัดทางภาคเหนือผู้ประกอบการมองว่าต้องระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายต้นทุนที่เพิ่มขึ้นต้องมีการปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ไม่รับแรงงานคนเพิ่ม และเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืนมากขึ้น ส่วนการเลือกตั้งหากมีความชัดเจนก็จะส่งผลดีต่อประเทศสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและภาคเอกชน แต่ต้องดูว่าการเลือกตั้งจะเลื่อนไปอีกหรือไม่

ร้อยเอ็ด – น.พ. ปิติ ทั้งไพศาล นายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การออกกำลังกายเป็นประจำให้ผลดีต่อร่างกายหลายประการ ทำให้อารมณ์ดี ร่างกายแข็งแรง หลับสบายขึ้น ปอดแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต การออกกำลังกายจะป้องกันโรคโรคเบาหวาน และการควบคุมโรคเบาหวานดีขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุน การออกกำลังกายทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นของเสียถูกขับออก จึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกายเป็นประจำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารจะทำให้น้ำหนักลดลง ร่างกายสมส่วน แข็งแรง อารมณ์ดี ลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หัวใจจึงแข็งแรง ทั้งยังมีประโยชน์จากการออกกำลังกายอีกมากมาย แต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับร่างกายและวัย

ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อย 20-30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เลือกเวลาการออกกำลังกายที่เหมาะสม ชนิดของการออกกำลังการควรมีการผสมผสานการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

คลังปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มกู้ขาดดุลอีก 1 แสนล้าน ลงทุนรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง เพิ่มอีก 8 พันล้านบาท พร้อมปิดความเสี่ยงหนี้ต่างประเทศจากอัตราแลกเปลี่ยน แปลงเป็นเงินกู้ในประเทศแทนคืนเงินกู้ไจก้าญี่ปุ่น 3.65 หมื่นล้าน

นายประภาส คงเอียด ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะที่มี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังเป็นประธาน เพื่อปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2561 สาระสำคัญจะมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบกลางปี 2561 เพิ่มเติมอีก 1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ จะมีการปรับแผนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพิ่มขึ้นอีก 8,000 ล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง คาดว่าเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการบบริหารหนี้ใหม่ใน 2 สัปดาห์

สำหรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบฯ 2561 เดิมมีวงเงิน 1.124 ล้านล้านบาท เป็นกู้เงินใหม่ 6.07 แสนล้านบาท ชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 4.5 แสนล้านบาท ใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โครงการระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน และโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ของรฟท.

สำหรับการบริหารนี้ส่วนที่เหลือเป็นการกู้เงินปรับโครงสร้างหนี้เดิม 5.16 แสนล้านบาท โดย สบน.เห็นควรระดมทุนจากภายในประเทศโดยการกู้เงินในรูปแบบพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้อื่นๆ เป็นหลัก โดยมีการกู้เงินสกุลต่างประเทศจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศบางส่วน สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ

นายประภาศ กล่าวว่า การบริหารหนี้สาธารณะจะเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง โดยในปี 2561 สบน.จะเร่งดำเนินการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งชำระคืนหนึ้ต่างประเทศที่มีต้นทุนสูงกว่าอัตราตลาดในปัจจุบัน โดยเปลี่ยนมาใช้เงินกู้ในประเทศทดแทน (Refinancing) ซึ่งมีการคืนเงินกู้ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) 3.65 หมื่นล้านบาท มากู้ภายในประเทศแม้ต้นทุนดอกเบี้ยสูงกว่าแต่ไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะคึกคักมากกว่าเดิม คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 56,860 ล้านบาท ขยายตัว 3.52% เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี โดย 45.9% ระบุว่าจะใช้จ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนอีก 15.8% ซื้อของเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และสินค้าในปีนี้ราคาแพงขึ้นด้วย การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนส่วนใหญ่ซื้อของเซ่นไหว้ รองลงมาไปทำบุญ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ให้แต๊ะเอีย และท่องเที่ยว ตามลำดับ

ส่วนเทศกาลวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ นี้ คาดเม็ดเงินสะพัด 3,822.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.10% มูลค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี ส่วนใหญ่ 53.1% จะมีการฉลองในวันวาเลนไทน์ 41.9% ไม่ฉลอง การแสดงความรักนั้นส่วนใหญ่ 56.4% จะแสดงความรักกับคนรัก รองลงมา 18.1% แสดงความรักกับพ่อแม่ 7.8% แสดงความรักกับเพื่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 2,395 บาท ต่อคน ส่วนใหญ่ 51.3% ซื้อของให้กันเท่าเดิม โดย 53.6% เห็นว่าสินค้าราคาแพงขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ นายประเกียรติ นาสิมมา นายกสมาคมการค้าข้าวหอมมะลิไทย(สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ทุ่งกุลาร้องไห้) ประชุมการขับเคลื่อน สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ห้องประชุมสำนักงานเกษตรอำเภอสุวรรณภูมิ นายวัชรินทร์ เขจรวงศ์ เกษตรอำเภอสุวรรณภูมิ มอบหมายให้นางอิสราภรณ์ ทองเพียง นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ เป็นฝ่ายเลขาบันทึกรายงานการประชุม โดยคณะกรรมการภาครัฐ-ภาคเอกชน ดำเนินการตามยุทธศาสตร์จังหวัดร้อยเอ็ด ที่นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ให้เดินหน้าในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องได้ อำเภอปทุมรัตต์ เกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ อำเภอโพนทราย พื้นที่ 9.7 แสนไร่ และอีก 4 จังหวัดคือ จังหวัดยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ และ จังหวัดมหาสาราม รวมพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งหมด 2.1 ล้านไร่ เป็นการเดินหน้าประเทศไทย อีกหนึ่งภารกิจ คือการพัฒนาคุณภาพข้าวหอมมะลิที่หอมพิเศษ GI สามารถขับเคลื่อนศักยภาพข้าวหอมมะลิได้ ทั้งด้าน คุณภาพ ราคา สร้างความเชื่อมั่นข้าวหอมมะลิจากท้องทุ่งกุลาร้องไห้

นายประเกียรติ นาสิมมา กล่าวว่า พื้นที่ทุ่งกุลาร้องเป็นดินแดนลักษณะพิเศษ เป็นเอกลักษณ์ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะ ข้าวหอมมะลิทุกต้นที่เกิดขึ้นที่นี่ จะหอมพิเศษ เรียวยาวขาวนุ่ม หากปลูกในพื้นที่อื่น จะเป็นข้าวขาวธรรมดาทั่วไป เพราะความเค็มของดินส่าเกลือ ความแห้งแล้ง ข้าวเกิดความเครียด หลั่งสารความหอมคล้ายๆใบเตย ขาวเหมือนดอกมะลิ จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ข้าวหอมมะลิแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ การขับเคลื่อน GI ทุ่งกุลาฯสมาคมการค้าข้าวหอมมะลิไทย(สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ทุ่งกุลาร้องไห้) เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการตรวจสอบและรับรองสมาชิก ให้ได้รับตรา GI ประทับบนสินค้าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ แต่ผู้เดียว ตามเลขทะเบียนที่ 50100022 โดยที่รัฐบาลมีนโยบายให้นำเครื่องหมาย GI มาขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับ สินค้า ในเขตพื้นที่ GI ของประเทศไทย ในช่วงนี้นั้น สมาคม จึงต้องมีพันธกิจเข้าไปดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว ดังต่อไปนี้คือ

1.ดำเนินการ “ให้เกษตรกรผู้เป็นสมาชิกสมาคมมีรายได้เพิ่มขึ้น” อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการยกระดับราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ GI ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ตามที่สมาคมรับผิดชอบ

2.ดำเนินการ “ให้การคุ้มครองผู้บริโภค” โดยการกำกับ ให้ความรู้แก่เกษตรกรในการผลิตข้าวหอมมะลิ ตามหลักวิชาการ ตรวจสอบกระบวนการการผลิตทุกขั้นตอน ให้ได้คุณภาพ และความหอมตามธรรมชาติ จนนำไปสู่การได้รับตรา GI

3.ดำเนินการ “ให้การตลาดข้าวหอมมะลิ GIไทย ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน” โดยการแสวงหาทุนเข้ารับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา เกษตรกร ที่ได้รับรองตามกระบวนการที่ระบุใน พันธกิจที่ 1 และ2 และต้องขับเคลื่อนให้มีการปรับปรุงคุณภาพข้าวเปลือกหอมมะลิ GI เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณภาพ ตลอดจนการแปรรูปจำหน่วยถึงผู้บริโภค ให้พิสูจน์ย้อนกลับได้

นายประเกียรติ กล่าวว่า พันธกิจทั้ง 3 พันธกิจของสมาคมฯ จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างบริบูรณ์ ต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งสมาคม วางกรอบระยะเวลาดำเนินการไว้เป็น 3 ช่วงดังนี้ ก.ระยะเร่งด่วน ทำการจัดให้มีทุนรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิ GI ในราคาตันละ 15,000.-บาท บวกราคานำตลาดอีก 1,500.-บาทต่อตัน รวมเป็นราคาตันละ 16,500.-บาทโดยมีเป้าหมายนำร่องไว้จำนวน 60,000-100,000 ตันในต้นฤดูการผลิต 2561/2562 เป็นต้นไป

ข.ระยะปานกลาง ทำการขยายการรับซื้อในราคาตามที่ตั้งไว้หรือเพิ่มขึ้นให้ได้อย่างทั่วถึงทั้งหมดในเขต GI ทุ่งกุลาร้องไห้ เมื่อทำการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจการปรับปรุงคุณภาพข้าวเปลือกหอมมะลิ GI เพื่อรองรับงานการขับเคลื่อนของสมาคมอย่างทั่วถึงทั้งทุงกุลาร้องไห้ แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ฤดูการผลิต 2562 เป็นต้นไปให้ครบตามความต้องการ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

ค.ระยะยาว จัดให้มีการตรวจระดับ การดำเนินการ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนตามความจำเป็น เพื่อรักษาความมั่นคง ความก้าวหน้า ตามพันธกิจของสมาคม โดยใช้ KPI เป็นตัววัดผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความยั่งยืน ตามโครงการนี้ตลอดไป

ปศุสัตว์-กรุงเทพฯ เยี่ยมโรงงานแปรรูปไก่ ซีพีเอฟ มั่นใจบริโภคไก่ปลอดภัย ปลอดโรค ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

8 กุมภาพันธ์ 2561 – ปศุสัตว์ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สำนักงานเขตมีนบุรี นำคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการผลิตเนื้อสัตว์ปีก ที่ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ มีนบุรี 2 ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตามโครงการ “กรุงเทพฯ เมืองอาหารปลอดภัย” และ “ปศุสัตว์ OK” เพิ่มความมั่นใจประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกปลอดภัย ปลอดโรค ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีจอ ด้านซีพีเอฟคาดการจำหน่ายชุดไหว้ตรุษจีนปีนี้โต 10-15% จากความต้องการเพิ่มและการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อที่อำนวยความสะดวกรวดเร็วขึ้น

นายเฉลิมชัย โรจน์นครินทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตมีนบุรี กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนผู้ประกอบการในการผลิตเนื้อสัตว์ต่างเร่งการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ปีกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ กรุงเทพมหานครจึงมีการตรวจสอบกระบวนการผลิตในช่วงเวลานี้เข้มงวดขึ้น เพื่อดูแลให้สถานประกอบการ และโรงงานแปรรูปอาหารมีกระบวนการผลิตอาหารปลอดภัย ปลอดจากการปนเปื้อนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค เป็นไปตามโครงการ “กรุงเทพฯ เมืองอาหารปลอดภัย” โดยสำนักงานเขตมีนบุรีร่วมมือกับปศุสัตว์พื้นที่ ในการตรวจสอบสภาพของโรงงาน สายการผลิต และเจ้าหน้าที่ผลิต ตรวจสอบการปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ และกำกับดูแลให้สถานประกอบการดำเนินการผลิตตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย เพื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจในการเลือกซื้อไก่ไปไหว้เทพเจ้า และบริโภคเฉลิมฉลองในเทศกาลปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน

“ผลการตรวจสอบโรงงานแปรรูปไก่ซีพีเอฟมีกระบวนการผลิตอาหารได้มาตรฐานอาหารปลอดภัย สะอาด ถูกหลักอนามัย ชื่นชมที่ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับประชาชนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยในเทศกาลตรุษจีน” นายเฉลิมชัยกล่าว

ด้านนสพ.สุฤทธิ์ ชัชวาลกิจ ปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปศุสัตว์ ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการพัฒนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองอาหารปลอดภัย และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยปศุสัตว์พื้นที่กรุงเทพมหานครจะมีการควบคุมและกำกับดูแลในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ตามมาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ การเชือด ชำแหละในโรงฆ่าที่ถูกกฎหมาย จนถึงการวางจำหน่ายในสถานที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ แนะประชาชนเลือกซื้อเนื้อสัตว์โดยดูป้ายรับรองความปลอดภัย เช่น สัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK”

“ความร่วมมือระหว่างปศุสัตว์และกรุงเทพมหานครในการควบคุมดูแลการผลิตอาหาร เพื่อประโยชน์ของประชาชน และเชื่อมั่นในการเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้” นสพ.สุฤทธิ์กล่าว

นายธีรยุทร พัชรมณีปกรณ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของซีพีเอฟ มีคุณภาพและความปลอดภัยตลอดกระบวนการผลิตใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และได้รับมาตรฐานสากลจากสถาบันต่างๆทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ การกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ปีกสำหรับการไหว้เจ้า โรงงานมีการคัดเลือกและตรวจสอบวัตถุดิบก่อนการผลิตอย่างพิถีพิถัน ให้เป็นไปตามประเพณี มีลักษณะและคุณภาพที่เสริมสร้างสิริมงคล นอกจากนี้ โรงงานของซีพีเอฟทุกแห่งให้ร่วมมือกับภาครัฐในการเข้ามาตรวจสอบกระบวนการผลิตเนื้อไก่ทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกขั้นตอนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย

สำหรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง มีแนวโน้มว่าคนไทยจับจ่ายซื้ออาหารสำหรับไหว้เจ้า และเฉลิมฉลองในเทศกาลตรุษจีนปีจอมากขึ้น บริษัทฯ ยังได้อำนวยความสะดวกผู้บริโภคยุคใหม่ โดยขยายช่องทางการสั่งจองและซื้อผลิตภัณฑ์ชุดไหว้ตรุษจีนคุณภาพปลอดภัย โดยผู้บริโภคสามารถสั่งจองผ่านทางออนไลน์ ทางโทรศัพท์ ร้าน 7-Eleven ร้านซีพี เฟรชมาร์ท และ Line man ร่วมกับการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าแบบเดิม และโมเดิร์นเทรด อย่าง แมกโคร เป็นต้น

“สำหรับตรุษจีนปีนี้ จากความต้องการชุดไหว้มีแนวโน้มเติบโต ประกอบการกลยุทธ์ในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและความสะดวกในการสั่งซื้อมากขึ้น จึงคาดว่า ยอดจำหน่ายชุดไหว้จะโตจากปีที่แล้ว 10-15% ” นายธีรยุทธกล่าว

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 20 ปี ตามนโยบายไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล ปั้น Young Creative Sharing คัดข้าราชการรุ่นใหม่ 10 หน่วยงาน ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นทีม เพื่อร่วมกันคิด ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อขับเคลื่อนงานนโยบายต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผล ก่อเกิดประโยชน์ต่อการปฏิรูปภาคการเกษตร ภายใต้ศาสตร์ของพระราชา กรมส่งเสริมสหกรณ์รับลูกจัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน

นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทำโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาข้าราชการรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตร ได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อร่วมคิด ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ให้ได้มาทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อขับเคลื่อนโยบายในการสร้างการปฏิรูปภาคการเกษตรทั้งระบบให้สัมฤทธิผล ซึ่งต้องพัฒนาศักยภาพบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีใจพร้อมทุ่มเท และสามารถทำงานเป็นทีมได้ และนำศาสตร์ของพระราชามาปรับใช้กับการทำงานและการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

“คนรุ่นใหม่ ไทยนิยม คือ คนที่มีความคิดแบบใหม่ ที่ต้องการเห็นความเป็นไทยนิยมที่สร้างสรรค์และแบ่งปันเกื้อกูลกัน แทนที่จะแข่งขันกันอย่างเดียวโดยไม่เหลียวมองสังคม คนกลุ่มนี้จะเป็นความหวังในการสร้างอนาคตของกระทรวงเกษตรฯไปพร้อมกับกับคนรุ่นเก่า โดยจะต้องมีการกำหนดบทบาทผู้บริหารของหน่วยงานเสียใหม่ แทนที่จะเป็นคนกำหนดกติกาหรือเป้าหมาย ก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนคนรุ่นใหม่ โดยใช้จุดเด่นของตัวเองที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมานาน เห็นอะไรมามาก ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์และความเป็นมา

บทเรียนความผิดพลาดมาแนะนำหรือคอยประคองให้คนรุ่นใหม่ได้เดินไป เพราะอนาคตข้างหน้าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก จะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี จากการสื่อสารออนไลน์ จากวิธีคิดวิธีทำใหม่ๆ จากผลกระทบของภัยธรรมชาติ คนรุ่นนี้จะต้องพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้นำและพัฒนาประเทศชาติต่อไป กระบวนการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืนนี้ จะเป็นกระบวนการที่ออกแบบมาให้เหมาะกับโลกยุคนี้เป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ให้ทุกกลุ่มเห็นคุณค่าของแต่ละกลุ่ม แล้วรับฟังกันเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ให้ข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะต้องมีการจัดอย่างต่อเนื่อง ไม่จบแค่ครั้งนี้ ครั้งต่อไปเราจะพาทีมคนรุ่นใหม่ ไทยนิยมนี้ลงพื้นที่จริง ไปลงมือทำจริง ไปทำงานร่วมกับเกษตรกร ร่วมกับภาคเอกชน ร่วมกับสื่อ เอาข้อมูลจริงมาแก้ไขปัญหาร่วมกันจากนั้นจะขยายผลจาก 100 คนนี้ไปเป็นพันเป็นหมื่นคน” นายวิวัฒน์ กล่าว

โครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืน หรือการสร้าง Young Creative Sharing เป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำขึ้นเพื่อสนองนโยบายไทยนิยมของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเริ่มจากหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนขยายผลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับสถาบันการศึกษา สื่อมวลชน ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมและทำงานแบบ บูรณาการหน่วยงานต่างๆ เข้ามาทำงานร่วมกัน

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืน ว่า “กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับมอบหมายให้ร่วมจัดกิจกรรมของโครงการนี้ วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2561) เป็นการ Kick Off ก้าวแรกของโครงการ โดยตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกกว่า 100 คน จาก 10 หน่วยงานในกำกับของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มาทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ในระยะต่อไปจะเป็นการเจาะสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารกระทรวง และผู้บริหารประเทศ

เพื่อนำมาสังเคราะห์ให้เห็นภาพความท้าทายและอนาคตของประเทศได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การมองภาพเกษตรไทยในเวทีโลกได้แม่นยำ สะท้อนมาสู่ภาพกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในอนาคตว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร และท้ายที่สุดจะพัฒนาสู่แผนปฏิบัติการโดยการลงพื้นที่ทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในทุกโครงการ โดยเฉพาะ “โครงการ 5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ที่มีเป้าหมายเกษตรกร 70,000 ราย เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นการรวมพลังของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาอาชีพการเกษตรของคนไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น”

โครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืน เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้พบปะผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่สามารถเป็นฐานของการพัฒนาการขับเคลื่อนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานได้ นอกจากนั้นยังพัฒนาการทำงานเป็นทีมร่วมกันระหว่างหน่วยงานและสามารถสร้างการปฏิรูปภาคเกษตรทั้งระบบ ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกันในมิติของคนรุ่นใหม่ ไทยนิยม ยั่งยืน

ดีเดย์ “พาณิชย์” เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายข้าวพันธุ์ใหม่ “กข 43” น้ำตาลต่ำเหมาะกับผู้บริโภครักสุขภาพ ถึง 15 ก.พ.นี้ เตรียมวางตลาดล็อตแรก 600 ตัน หลังเม.ย.นี้ พร้อมการันตีมาตรฐานโดยกรมการข้าว
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมหลักการตลาดนำการผลิต ภายใต้แผนข้าวครบวงจร เพื่อเกษตรกรมั่นใจได้ว่าผลผลิตจะมีตลาดรองรับที่แน่นอนและได้รับราคาที่เหมาะสม โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ทดลองปลูก“ข้าวพันธุ์ กข43” ซึ่งเป็นข้าวขาวเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ

เนื่องจากผลการวิจัยโดยกรมการข้าวกับคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า ข้าวขาวพันธุ์ กข43 มีค่าการแตกตัวน้ำตาลน้อย และค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ คาร์โบไฮเดรตของข้าวมีลักษณะที่ทนต่อการย่อยได้ดีกว่าข้าวอมิโลสต่ำกว่าพันธุ์อื่นๆ จึงถือเป็นข้าวทางเลือ กของผู้ที่ควบคุมน้ำหนักและกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต

“ปลายปีก่อนผลิตได้เพียง 20 ตัน เพราะเป็นข้าวที่ปลูกยากต้องอาศัยการดูแลรักษาที่ดี เหมาะสมกับพื้นในภาคกลาง มีผลผลผลิตต่อไร่ต่ำเพียง 430 กก.ต่อไร่ ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพ วางแผนการผลิตภายใต้ระบบนาแปลงใหญ่ นาปี มีพื้นที่รวม 100 ไร่ ผลผลิตรวม 20 ตันข้าวเปลือก วางตลาดโดยสหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย แต่ปี 2561/2562 มีพื้นที่สำหรับนาปรัง ประมาณ 3,000 ไร่ คาดว่าจะมีผลผลิต 600 ตันข้าวสารในช่วงเมษายนนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มทำการตลาด โดยการเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย”

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีความสนใจจะเป็นผู้แทนจำหน่ายแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวพันธุ์ กข43 มาได้ที่ นายกรนิจ โนนจุ้ย กองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 2 กรมการค้าภายใน โทร. 02-507-6179 โทรสาร. 02-507-6181 หรือทาง E-mail : ricegroup.dit@gmail.com ภายในวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ หลังจากนั้นจะได้มีการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการรับซื้อข้าวจากสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และเชิญผู้ที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายประชุมในวันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ต่อไป

“หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมจะเน้นผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถเป็นตัวแทนจำหน่ายได้จริง ส่วนราคาจำหน่ายในแต่ละปีการผลิตขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ซึ่งในปี 2560/2561 ที่ผ่านมาจำหน่ายราคา กก.ละ 80 บาท ส่วนผลผลิตฤดูกาลปี 2561/2562 จะมีการหารือกันอีกครั้งเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกับทุกฝ่าย”

นางสาวชุติมากล่าวเพิ่มเติมว่า การทำตลาดข้าวคุณภาพที่มีลักษณะเฉพาะพันธุ์ในพื้นที่ขนาดใหญ่ในลักษณะนี้ จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคถึงมาตรฐานคุณภาพของผลผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงการสีแปรสภาพว่าเป็นข้าวพันธุ์กข 43 จริง ทางกรมการข้าว จึงได้กำหนดตรารับรองบนถุงบรรจุข้าวพันธุ์ กข43 โดยใช้ เครื่องหมายรับรองเป็นรูปตราหมากฮ็อตสีเขียว ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องติดบนบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลงเลียนแบบ หากผู้ใดฝ่าฝืนเลียนแบบจะมีโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากปลอมเครื่องหมายมีโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“การรับรองจะเริ่มตั้งแต่กลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนนาแปลงใหญ่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การดูแลของสหกรณ์ ที่เป็นสมาชิกเพื่อให้มั่นใจว่าข้าวที่ปลูกให้ผู้บริโภค เป็นข้าว กข43 ที่กรมการข้าวให้เมล็ดพันธุ์ข้าวไปปลูกและสีแปรโดยสหกรณ์หรือโรงสีที่ร่วมมือ เพื่อสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) โดยระบบ QR Trace ซึ่งผู้บริโภคสามารถสแกน QR Code เพื่อทราบข้อมูลถึงแหล่งที่มาของข้าวได้”