ในส่วนของศัตรูของฝรั่งที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยแป้งและเพลี้ยไฟ

ซึ่งการป้องกันกำจัดจะใช้สารเคมีในช่วงก่อนห่อผล และจะทิ้งระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่ทยอยเก็บผลผลิตจะไม่ฉีดพ่นเลย และจะใช้สารชีวภัณฑ์ ชีวภาพ เข้ามาสลับใช้เพื่อป้องกันการดื้อยาของแมลงศัตรูของฝรั่ง

ผลผลิตที่ได้จะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน ไกลสุดประมาณจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง ในช่วงที่ผลผลิตออกน้อยราคาสูงก็แจ้งแม่ค้าที่อยู่ไกลว่า ถ้าสู้ราคาไม่ไหวก็ให้หยุดให้แม่ค้าใกล้เคียงรับไปจำหน่าย เพราะต้นทุนการขนส่งต่ำทำให้พอเหลือกำไร วันหนึ่งจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 2-3 ตัน เฉลี่ยตลอดช่วง 3 เดือนที่มีผลผลิตออกไม่ต่ำกว่า 1 ตันต่อวัน ราคาเฉลี่ย 15 บาทต่อกิโลกรัม มีรายได้ตกวันละ 15,000 บาท หนึ่งชุด 4 เดือน ห่อร่วมรอผลผลิตออก 1 เดือน เก็บผลผลิต 3 เดือน จะมีรายได้ 135,000 บาท ปีหนึ่งผลิตได้ 3 รอบ จะมีรายได้ประมาณ 405,000 บาท ในขณะที่ต้นทุนการผลิต ประมาณ 135,000 บาท

คุณสุรชัย ณ มา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรปฏิบัติการ สำนักงานเกษตรอำเภอเชียงม่วน ให้ข้อมูลทางวิชาการว่า การปลูกฝรั่งกิมจู หลังจากที่เลือกพื้นที่ปลูกได้แล้ว ถ้าต้องการจะปลูกเป็นสวนก็ควรจะจัดระยะปลูกระหว่างแถวและระหว่างต้น ประมาณ 3×3 เมตร ในเนื้อที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 160 ต้น

การเตรียมดิน การปลูกฝรั่งในพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงควรทำการยกร่องปลูก โดยยกร่องให้มีขนาดความกว้างของหลังร่อง ประมาณ 6 เมตร มีคูน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร ความยาวของสันร่องแล้วแต่พื้นที่ ความสูงไม่จำกัด แต่ถ้าเป็นที่ดอนไม่จำเป็นต้องยกร่อง จากนั้นก็ปรับปรุงดินโดยการตากดินเพื่อฆ่าเชื้อโรคและเมล็ดวัชพืช ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักในปริมาณเท่าๆ กัน อัตราปุ๋ย 1 ส่วนต่อดิน 2 ส่วน เพื่อให้ดินร่วนซุย

วิธีปลูก หลังจากเตรียมหลุมปลูกเรียบร้อยแล้ว ให้นำกิ่งพันธุ์ที่ชำไปปลูกลงในหลุม กลบดินให้แน่นพอสมควร แล้วใช้ไม้ปักเป็นหลักผูกกันลมโยกและรดน้ำทันที จากนั้นใช้ทางมะพร้าวมาคลุมพรางแสงแดดให้แก่ต้นฝรั่งจนกว่าต้นฝรั่งจะตั้งตัวได้

การเตรียมหลุมปลูก ขนาดของหลุมปลูกควรกว้าง 0.5 เมตร ยาว 0.5 เมตร และลึก 0.5 เมตร ที่จำเป็นต้องขุดหลุมกว้างเพื่อเปลี่ยนสภาพดินในหลุมให้ดีขึ้น ดังนี้ ควรขุดดินโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ดินบนและดินล่าง ดินบน เป็นส่วนที่มีอินทรียวัตถุมากอยู่แล้ว ให้แยกไว้ส่วนหนึ่ง ดินล่าง คือดินที่เมื่อขุดลึกลงไปแล้วพบว่าดินมีสีจางลง เป็นชั้นที่ไม่มีอินทรียวัตถุ ตากดินไว้ 10-15 วัน เพื่อให้แสงแดดส่องฆ่าเชื้อโรคในหลุมปลูกและในดิน กลบดินบนลงในหลุม ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วนต่อดินล่าง 2 ส่วน และรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยร็อกฟอสเฟตครึ่งกิโลกรัม แล้วจึงกลบลงไปในหลุมทับชั้นดินบน จนมีระดับสูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดา ประมาณ 10 เซนติเมตร การที่ต้องกลบดินให้สูงกว่าระดับดินเดิมนั้น เพื่อที่เมื่อเวลาปลูกแล้วดินจะยุบตัวลงเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้พอดีกับระดับดินเดิม ถ้าไม่เผื่อไว้จะเป็นแอ่งและมีน้ำขังทำให้รากเน่าตายได้

การปฏิบัติดูแลรักษา การให้น้ำ หลังจากปลูกฝรั่งแล้วต้องหมั่นคอยรดน้ำในช่วงระยะแรกจนกว่าต้นฝรั่งจะตั้งตัวได้ หลังจากนั้นก็ต้องสังเกตดูความชุ่มชื้นของดิน ถ้าดินแห้งมากต้องรีบให้น้ำ และถ้ามีฝนตกหนักก็ควรระบายน้ำออกบ้าง การให้น้ำจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความต้องการของต้นฝรั่ง ปริมาณความชื้นของดินในระหว่างการออกผลมีความสำคัญ เพราะจะก่อให้เกิดการร่วง การแตก และขนาดของผล

การใส่ปุ๋ย โดยปกติการปลูกพืชทุกชนิดควรมีการใส่ปุ๋ย ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตรที่แนะนำคือ 15-15-15 หรือ 13-13-21 ฝรั่งเมื่อออกดอกแล้วจำเป็นต้องให้น้ำและปุ๋ยไนโตรเจนเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นทุกๆ ปี ควรให้ปุ๋ยประมาณ 2 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับอายุของต้นและปริมาณผลผลิต และหากจะให้ฝรั่งมีรสหวานยิ่งขึ้นให้ใช้ปุ๋ยเกล็ด สูตร 5-30-30 พ่นก่อนเก็บผล 1 เดือน โดยนำปุ๋ยเกล็ดมาผสมน้ำฉีดพ่น ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 2 ครั้ง จากนั้นประมาณ 15 วัน จึงเก็บผล

การกำจัดวัชพืช ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อาจใช้วิธีการถาง ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชหรือปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น เซนโตรซึม เพอราเรีย เป็นพืชคลุมดิน

การปักไม้ค้ำกันลม ในระหว่างที่ต้นฝรั่งยังเล็กอยู่ ควรปักไม้ค้ำกันลมเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นโยก เพราะอาจกระทบกระเทือนทำให้ต้นฝรั่งไม่โต การปักไม้ค้ำกันลม ควรใช้ไม้รวกหรือแขนงไม้ไผ่ ยาว 1 เมตร ค้ำกิ่งต้นละ 1-2 อัน และใช้เชือกพลาสติกผูกติดกับกิ่ง แต่อย่าผูกให้แน่นมากเพราะกิ่งอาจเจริญเติบโตช้า

การพยุงผลฝรั่ง ฝรั่งจะเริ่มออกผลเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน ควรใช้ไม้ไผ่ปักไว้เพื่อพยุงผลฝรั่ง โดยใช้ปลายหรือแขนงไม้ไผ่ขนาดเล็ก ยาว 1 เมตร หรือมากกว่านั้นปักใกล้กับกิ่งที่ออกผลแล้ว โดยผูกยึดกับกิ่งไว้ บางสวนจะผูกขั้วผลกับกิ่ง หรือไม้ปักเพื่อไม่ให้ผลถ่วงต้น เพราะน้ำหนักผลฝรั่งมาก ถ้ามีลมพัดแรงต้นจะเฉาตายและรากจะขาด

การตัดแต่งกิ่ง จะช่วยให้ฝรั่งเกิดกิ่งอ่อนและมีช่อดอกออกมาด้วย ทำให้ทรงพุ่มโปร่ง ได้สัดส่วน อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องได้ทั่วถึง สะดวกในการเก็บผลและการพ่นสารป้องกันกำจัดโรคและแมลง นอกจากนี้ ยังทำให้ได้ผลผลิตที่แน่นอน ผลมีขนาดใหญ่ สำหรับสวนใหม่ควรมีการตัดแต่งกิ่งทุกปีเพื่อกระตุ้นการเจริญและการสร้างตาดอก โดยทั่วไปต้นที่สมบูรณ์จะตัดกิ่งก้านออก 25-30% สำหรับต้นที่ไม่แข็งแรงให้ตัดกิ่งก้านออกประมาณ 20% นอกจากการตัดแต่งกิ่งแล้ว การทำให้ใบร่วงจะทำให้ระยะการเก็บเกี่ยวสั้นลง และการปลิดผลทิ้งให้เหลือประมาณ 2-6 ผลต่อกิ่ง จะจำเป็นในสวนที่ผลิตเพื่อบริโภคผลสด แต่ถ้าจะให้ได้ผลที่มีขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี ควรให้เหลือเพียง 1 ผลเท่านั้น

การห่อผล ประโยชน์ของการห่อผล นอกจากจะช่วยป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูฝรั่งแล้ว ยังทำให้ผลฝรั่งมีผิวสวยน่ากิน วิธีการห่อผลฝรั่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ถุงพลาสติกหรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อก่อนแล้วจึงสวมถุงพลาสติกทับอีกชั้นหนึ่ง โดยจะเริ่มห่อผลฝรั่งเมื่อมีขนาดเท่าลูกมะนาว หรือหลังดอกบานแล้ว 1 เดือน ก่อนห่อควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราและแมลงที่ผลฝรั่งเสียก่อน

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อผ่านสำนักงานเกษตรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา หรือต้องการศึกษาดูงาน ยินดีต้อนรับและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนนโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์และกัญชงเพื่อเศรษฐกิจของรัฐบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ได้ดำเนินเรื่องกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและหลักวิชาการมาตั้งแต่พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา

โดยทั่วไปการปลูกกัญชา 1 ต้น จะได้ช่อดอกสดเป็นขั้นต่ำคือ ครึ่งกิโลกรัม คิดเป็นน้ำหนักกิโลกรัมแห้ง คิดเป็น 20% ได้ประมาณ 0.12 กิโลกรัม และได้ใบสด กิ่ง ก้าน ราก ใบ ประมาณ 2 กิโลกรัม หากปลูก 6 ต้น ได้ช่อดอกสด 3 กิโลกรัม คิดเป็นน้ำหนักกิโลกรัมแห้ง คิดเป็น 20% ได้ประมาณ 0.6 กิโลกรัม และได้ใบสด กิ่ง ก้าน ราก ใบ ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อต้น (การประมาณการนี้ต้องเป็นต้นตัวเมียทั้ง 6 ต้น)

โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทดลองปลูกกัญชาในตู้คอนเทนเนอร์พบว่า ตู้คอนเทนเนอร์มีขนาดเล็ก ดูแลจัดการยาก จึงเปลี่ยนมาปลูกกัญชาในห้องขนาดใหญ่ขึ้น สามารถวางระบบควบคุมการทำงานได้ดีขึ้น ปัจจุบันได้พัฒนาการปลูกในรูปแบบโรงเรือนระบบปิดขึ้นมาใหม่ โดยแบ่งเป็นตู้ผลิตกับตู้อนุบาล สามารถรองรับการทำงานต่างๆ ได้ดีขึ้น

ข้อดีของการปลูกระบบปิดคือ เหมาะกับสายพันธุ์ลูกผสม ต้นไม่สูงมาก ปลูกได้ 3-4 รอบต่อปี (สายพันธุ์ Chemdawg 16 ต้น ผลิตน้ำมันได้ประมาณ 4,700 กรัม) ใช้กระบวนการปลูกแบบ Aeroponics และ Deep water culture (DWC) ควบคุมสภาวะการปลูกได้ ทั้งกระแสลม ความชื้น แสง กันลม กันแมลง ได้ผลผลิตต่อต้นสูง คุณภาพดี มีความแน่นหนา ปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดคือ ต้นทุนสูงกว่าการปลูกลงแปลงและระบบโรงเรือน

อ้างอิงข้อมูลจากเวทีเสวนาหัวข้อ ‘กัญชา’ ครบวงจรกับอภัยภูเบศร” โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในงานมหกรรมกัญชง กัญชา 360 องศา จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2564

นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลสำเร็จการรวมกลุ่มของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้าวโพดช็อป ตำบลหัวลำ อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ในการปลูกข้าวโพดต้นสดพร้อมฝักและนำไปผลิตเป็น “ข้าวโพดช็อป” จำหน่ายแบบครบวงจรเพื่อส่งจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยทางกลุ่มได้มีการพัฒนาศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านองค์ความรู้ของสมาชิกและเกษตรกรเครือข่าย การนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของตลาด

จากการลงพื้นที่ของ สศท.7 เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้าวโพดช็อป พบว่า เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยมี นางสุริยา เลิศสรานนท์ เป็นประธานกลุ่ม ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกรวม 3,000 ไร่ สมาชิกเกษตรกรและเครือข่ายรวม 227 ราย ด้านการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดซื้อเครื่องม้วนข้าวโพดหมัก รถคีบ และรถบรรทุก 6 ล้อ

สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตและขนส่ง โดยสมาชิกต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดแบบเดียวกัน ซึ่งทางคณะกรรมการแปลงใหญ่จะเป็นผู้จัดหาเมล็ดพันธุ์คุณภาพเพื่อจำหน่ายให้แก่สมาชิกเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพของผลผลิต และเมื่อถึงระยะเวลาเก็บเกี่ยวทางกลุ่มจะจัดหารถเพื่อไปทำการเก็บเกี่ยวให้แก่สมาชิกโดยตรง นอกจากนี้ ทางกลุ่มได้จัดทำบันทึกข้อตกลงสัญญาซื้อขาย (MOU) กับ 7 สหกรณ์ และ 1 ฟาร์ม ได้แก่ สหกรณ์โคนมสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย สหกรณ์โคนมปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี สหกรณ์โคนมพัฒนานิคม สหกรณ์โคนมชัยบาดาล สหกรณ์โคนมท่าวุ้ง สหกรณ์โคนมหนองรี และฟาร์มโคขุน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี

ด้านราคาเฉลี่ยในรอบปี 2564 ทางกลุ่มรับซื้อจากเกษตรกรในรูปของการสับบด (ข้าวโพดช็อป) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.41 บาท/กิโลกรัม สำหรับการส่งจำหน่ายของกลุ่ม จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบบรรจุถุง ราคาถุงละ 55 บาท (ถุงขนาด 25 กิโลกรัม) และแบบอัดเป็นก้อนพร้อมแล็ปพลาสติก ราคาตันละ 2,700 บาท มีขนาด 70 กิโลกรัม และ 400 กิโลกรัม โดยผลผลิตส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 ส่งจำหน่ายให้กับสหกรณ์ที่ทำ MOU และผลผลิตอีกร้อยละ 30 ส่งออกตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น กาตาร์ และเกาหลีใต้ จำหน่ายรูปแบบก้อน ขนาด 400 กิโลกรัม โดยขนส่งทางเรือ นอกจากนี้ ยังมีประเทศจีนและประเทศเวียดนามให้ความสนใจและได้ติดต่อทำการซื้อขายกับทางกลุ่มมาเรียบร้อยแล้ว

สำหรับด้านของคุณภาพและมาตรฐานการผลิต เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพก่อนส่งออกสินค้าทุกครั้ง ทางกลุ่มจะนำข้าวโพดช็อปที่ผ่านการหมักแล้ว 21 วัน ไปตรวจสอบคุณภาพคุณภาพที่ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์อาหารสัตว์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมา นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบหาสารพิษตกค้างโดยส่งไปตรวจสอบที่ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาขอนแก่น ซึ่งเป็นรายการทดสอบขอบข่ายการรับรองจากสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นับว่าเป็นจุดแข็งของทางกลุ่มในด้านของกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง โดยระยะต่อไปทางกลุ่มมีแผนที่จะเพิ่มเครือข่ายสมาชิก ขยายพื้นที่เพาะปลูก และเพิ่มด้านของเทคโนโลยีการผลิต เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพมาตรฐานยิ่งขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด

“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชที่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีความต้องการต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารโคนมที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ขณะที่การผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือข้าวโพดต้นสดพร้อมฝักมีอายุการเก็บเกี่ยว 70-85 วัน ซึ่งมีอายุน้อยกว่าการเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แบบปกติ และเพาะปลูกได้ 3 ครั้ง/ปี และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วสามารถนำมาหมัก หรือที่เรียกว่า “ข้าวโพดช็อป” เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เนื่องจากเป็นที่นิยมนำไปเป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นอาหารผสมสำเร็จรูป ที่เกิดจากการนำอาหารหยาบและอาหารข้นมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม หรือที่เรียกว่า อาหาร TMR หากเกษตรกรหรือท่านใดสนใจข้อมูลการผลิตข้าวโพดช็อป สามารถติดต่อหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้าวโพดช็อปตำบลหัวลำ เลขที่ 210 หมู่ที่ 5 ตำบลหัวลำ อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี หรือสามารถขอคำแนะนำได้ที่ นางสุริยา เลิศสรานนท์ ประธานกลุ่ม โทร. 093-321-4591 และ 081-649-9440” ผู้อำนวยการ สศท.7 กล่าวทิ้งท้าย

ในงาน ‘Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงวัย’ เครือมติชนจัดมาให้ชมและทดลองกันเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial intelligence) เทคโนโลยีสำคัญในยุคดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตผู้คนหลากหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านการแพทย์ โดยในงานนี้ โรงพยาบาลบ้านแพ้วนำสุดยอดนวัตกรรม AI มาตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน รวมถึงอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้สูงอายุในชีวิตประจำวันและในยามเจ็บป่วย สอดรับกับเทรนด์สังคมสูงวัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตามด้วยนวัตกรรมที่ต้องใช้ในชีวิตทั่วไปอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ นวัตกรรมที่เป็นไลฟ์สไตล์อย่างสมาร์ทวอทช์ และเครื่องออกกำลังกายอัจฉริยะ

‘Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงวัย’ 30 มิถุนายน-3 กรกฎาคม 2565 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ เวลา 10.30-20.00 น. เดินทางสะดวก MRT สถานีสามย่าน ทางออกที่ 2

#เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย

‘10 นวัตกรรมเด็ด’ ในงาน ‘Healthcare 2022 จักรวาลผู้สูงวัย’

#เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย สุดยอดนวัตกรรม AI ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) จากโครงการนำร่องการใช้ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นที่อาจมีขนาดเล็กหรือมองเห็นได้ยากด้วยการเอ็กซ์เรย์ทรวงอก ช่วยให้แพทย์ทำการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับการรักษาที่รวดเร็ว และลดอัตราการเสียชีวิตได้

#เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย #นวัตกรรมการแพทย์ กลุ่มเอสซีจี คัดนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ‘BAUEN by SCG’ งานออกแบบภายในและภายนอกบ้านครบทั้งหลัง ตามความต้องการในความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานของสมาชิกทุกคนในครอบครัว #เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย #นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย

ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) พัฒนาเตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้น ที่มีกลไกช่วยให้การลุก นั่ง ยืน ได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัยสูง ใช้งานและควบคุมง่ายผ่านรีโมทคอนโทรล ในดีไซน์เสมือนเฟอร์นิเจอร์สุดหรูในบ้าน

#เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย #นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ MTEC นำเสนออุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้าน สร้างความอุ่นกายสบายใจให้ทั้งผู้ใหญ่ที่บ้าน และลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน ด้วยการแจ้งเตือนหากมีเหตุฉุกเฉินหรือพลัดตกหกล้ม โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัว และให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

#เครือมติชน #Healthcare2022 #จักรวาลผู้สูงวัย #นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ MTEC นำเสนอรถเข็นนั่งปรับนอนสำหรับการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยสูงอายุ ด้วยการออกแบบระบบช่วยนำทางเพื่อยึดแผ่นรับรังสีให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ โดยไม่ต้องถอดแผ่นรับรังสีระหว่างที่ผู้ป่วยปรับท่านั่งหรือนอน ตอบโจทย์ข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหวในระหว่างการวินิจฉัยและรักษา กลุ่มเอสซีจีนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการดูแลความปลอดภัยของผู้สูงอายุในบ้าน ด้วยระบบแจ้งเตือนไปที่ลูกหลานเมื่อเกิดเหตุ และช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน มีเซนเซอร์ตรวจจับการล้มและส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออัตโนมัติโดยไม่ต้องกด มีทีม Care Center ที่พร้อมรับสายและ คอยประสานงานเรียกรถพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง

‘ท็อปแวลู’ อวดนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน khlongsaensaep.com เพื่อการใช้ชีวิตของคนทุกวัยที่ใส่ใจสุขภาพ อย่าง ‘หม้อทอดไร้น้ำมันพร้อมเตาย่าง’ และ ‘เตาย่างไฟฟ้าไร้ควัน’ ซึ่งมีจุดเด่น 3 in1 ทำได้ทั้ง ต้ม ย่าง และทาโกะยากิ นอกจากผลิตภัณฑ์จะเปี่ยมด้วยนวัตกรรม ฟังก์ชันครบแล้ว ยังเป็นไอเทมที่สามารถนำไปประดับตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

นวัตกรรมด้านอาหารอย่างโปรตีนทางเลือกเพื่อทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์กำลังมาแรง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ออกแบบกรรมวิธีการพัฒนาอาหารจากโปรตีนพืช เพื่อนำมาเป็นเมนูแสนอร่อย ดีต่อสุขภาพผู้สูงวัย อย่างเช่นเนื้อไก่จากถั่วเหลือง ที่ให้กลิ่น รส สัมผัส เหมือนเนื้อไก่จริง

เทคโนโลยีอัจฉริยะบนข้อมือ กับสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุดของ HUAWEI ตอบโจทย์คนรักสุขภาพด้วยฟีเจอร์การตรวจวัดค่าสำคัญของร่างกายได้ถึง 7 อย่าง และยังเป็นตัวช่วยในการออกกำลังกายอีกกว่า 100 โหมด เรียกว่าเป็นผู้ช่วยสุขภาพรอบด้านตัวจริง

เครื่องออกกำลังกายอัจฉริยะ 5x Multifunction ภายใต้แบรนด์ดัง ‘HUR’ ของประเทศฟินแลนด์ ออกแบบการทำงานโดยใช้นวัตกรรมแรงต้านที่เกิดจากลม (Pneumatic Resistance) ทำให้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างธรรมชาติ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ครอบคลุมตั้งแต่ส่วนแขน ไหล่ หน้าอก หลัง ต้นขา หัวเข่า สะโพก น่อง เป็นการฝึกออกกำลังกาย 5 ท่าฝึกในเครื่องเดียวกัน (Push Up / Pull Down / Chest Press / Leg Extension / Curl)

คุณมนทิพย์ รัชตวิจิน หรือ คุณจอย เจ้าของสวนสันติเกษตรอินทรีย์ ในพื้นที่ตำบลแสลง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี น้องสาวของ คุณสรกล อดุลยานนท์ หรือที่รู้จักกันในนาม “หนุ่มเมืองจันท์” นักเขียนชื่อดัง ผู้หญิงคนนี้มีความตั้งใจวางแผนในอนาคตว่าจะเกษียณตนเองก่อนกำหนด จากอาชีพ “เภสัชกร” เพื่อสานฝันทำสวนเกษตรอินทรีย์ ในพื้นที่จำนวน 15 ไร่ สถานที่ที่เปรียบเสมือนลมหายใจของคุณพ่อ เป็นสมบัติที่ล้ำค่า และเปี่ยมไปด้วยความรัก ที่มองมากี่ครั้งก็เจอแต่ความสุข

จุดเริ่มต้นจากการทำสวนมาจากความตั้งใจส่วนตัว ที่วางแผนว่าจะเกษียณตนเองจากงานก่อนกำหนด จากอาชีพเภสัชกร ในอดีตนั้นที่สวนแห่งนี้ทำเกษตรแบบใช้สารเคมีปกติ จึงคิดว่าถ้าเข้ามาอยู่ในสวนก็จะทำสวนเกษตรแบบอินทรีย์เท่านั้น เพราะรู้ว่าสารเคมีนั้นเป็นพิษ ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ จากนั้นเดือนมกราคม 2561 ก็เปลี่ยนการทำสวนเกษตรแบบหักดิบจากเคมีมาทำเป็นอินทรีย์ ทำควบคู่กับอาชีพเภสัชกรในขณะนั้น โดยจะเข้าสวนทุกวันหยุด และลงมือทำมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

คุณมนทิพย์ เล่าว่า หลังจากลงมือทำยังคงต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเกษตรแบบอินทรีย์ เพราะเหมือนเป็นการเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะปกติเข้าสวนปีละครั้ง เรียนรู้เรื่องปัจจัยการผลิต ระบบเกษตรอินทรีย์ เรียนรู้ควบคู่กับการทำงานเป็นเภสัชกรในขณะนั้น จนถึงเดือนมกราคม 2564 จึงลาออกจากเภสัชกรและหันมาทำเกษตรแบบเต็มตัว

“สวนสันติเกษตรอินทรีย์แห่งนี้ เกิดจากความตั้งใจว่าเราอยากกินอะไร เราก็อยากทำแบบนั้น เราอยากกินผลไม้ พืชผักทั้งหลายที่ปลอดภัย ในฐานะผู้ผลิตก็อยากผลิตอาหารที่ปลอดภัย รวมถึงมองเรื่องสุขภาพของตนเองและบริโภค เพราะด้วยการทำงานเกี่ยวกับเภสัชกรมานาน จึงเห็นคนที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมี ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราทำ เราจะทำให้ปลอดภัย”

พื้นที่ของสวนสันติเกษตรอินทรีย์นี้ มีทั้งหมด 15 ไร่ เป็นสวนเก่าแก่ของคุณพ่อของคุณมนทิพย์ ที่มีการทำมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เป็นสวนที่คุณพ่อรักมาก เพราะฉะนั้นต้นไม้ในสวนก็มีอยู่แล้ว ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง ขนุน มะไฟ เงาะ เป็นต้น