ในอดีต เมืองไทยมีสายพันธุ์มะม่วงไทยโบราณหลายร้อยสายพันธุ์

แต่วันนี้ มะม่วงเหล่านั้น นับวันแทบจะสูญหายไปหมด เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่เลือกปลูกมะม่วงที่ได้รับความนิยมเชิงการค้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์สี่ มหาชนก ฯลฯ ทำให้เด็กรุ่นลูก รุ่นหลานหลายคน ไม่รู้จักว่า ต้นมะม่วงโบราณเหล่านั้น หน้าตา รสชาติเป็นอย่างไร

นับเป็นความโชคดี ที่ผู้เขียนบังเอิญไปรู้จักแหล่งปลูกมะม่วงมันขุนศรี หนึ่งในมะม่วงสายพันธุ์โบราณที่มีรสชาติอร่อยเด็ด ทั้งผลดิบและผลสุก ของ สวนบุญศิริ อำเภอบ้านนา จ.นครนายก จึงอยากเชิญชวนท่านผู้อ่านแวะไปเยี่ยมชมสวนมะม่วงมันขุนศรีแห่งนี้ด้วยกัน

จากการพูดคุยกับเพื่อนหลายๆ คนพบว่า สายพันธุ์มะม่วงมัน ที่คนไทยชื่นชอบเป็นพิเศษ อันดับหนึ่ง คือ “ มะม่วงเขียวเสวย ” ซึ่งมีขนาดผลปานกลาง มะม่วงชนิดนี้ ติดผลไม่ค่อยดก ผลดิบมีรสเปรี้ยว เมื่อแก่จัดจนถึงเนื้อเหลือง มีรสมันอร่อยมาก

มะม่วงยอดนิยมอันดับสอง คือ ” มะม่วงมันขุนศรี ” ซึ่งเป็นมะม่วงสายพันธุ์โบราณ ที่มีถิ่นกำเนิดในย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี และแถบ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี

โดยทั่วไป ต้นมะม่วงมันขุนศรี เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-20 เมตร หากต้องการกินเนื้อมะม่วงที่มีรสมัน ต้องเลือกผลแก่ที่จัดเท่านั้น เพราะผลดิบที่ยังไม่แก่จัดจะมีเปรี้ยว รสมันของมะม่วงชนิดนี้ อาจมีรสชาติเป็นรองมะม่วงเขียวเสวยสักเล็กน้อย แต่ผลสุกจะมีรสชาติอร่อยกว่ากลุ่มมะม่วงมันทุกชนิด ที่สำคัญมะม่วงชนิดนี้ให้ผลดกและติดผลง่ายทุกปี

สวนบุญศิริ นครนายก“ คุณ จิตร ถือธรรม และภรรยา ชื่อ คุณสัมฤทธิ์ ถือธรรม ” เป็นเจ้าของ “ สวนบุญศิริ ” เล่าให้ฟังว่า เดิมทีครอบครัวถือธรรม มีอาชีพทำนาปลูกข้าวเป็นรายได้หลักเลี้ยงดูครอบครัวมาตลอด แต่รายได้จากการทำนา ไม่เพียงพอสำหรับดูแลครอบครัว คุณจิต จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากครอบครัวชาวนา มาเป็นครอบครัวชาวสวน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

คุณจิตปรับที่นาเนื้อที่ 48 ไร่มาเป็นสวนเกษตรอินทรีย์ผสมผสาน ใช้พื้นที่ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผลหลากหลายชนิด เช่น มะยงชิด มะนาว ส้มโอ ขนุน กระท้อน ทุเรียน เงาะ กระท้อนห่อ ฯลฯ ในช่วงต้นปี สวนแห่งนี้จะมีรายได้จากการขายผลมะยงชิดที่ปลูกไว้จำนวน 300 ต้น เมื่อหน้ามะยงชิดหมด จะมีผลมะม่วงออกขาย เช่น มันบางขุนศรี ทองดำ น้ำดอกไม้ พิมเสน เขียวเสวย ฯลฯ หากเหลือมะม่วงสุกจำนวนมากจนขายไม่ทัน ก็จะนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงกวนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

ทุกวันนี้ “ มะม่วงมันขุนศรี ”เป็นพระเอกหลักของสวน จะเริ่มเก็บผลผลิตออกขายตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม

คุณจิตบอกว่า ต้นมะม่วงมันขุนศรี จะให้ติดผลง่าย ให้ผลดกทุกปี ผล มะม่วงมันขุนศรีจะมีน้ำหนักเฉลี่ย 3–4 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม หากเป็นต้นที่ผลไม่ดกมาก จะได้ผลมะม่วงลูกโตน้ำหนักเกือบลูกละ 1 กิโลกรัม จึงต้องใช้ไม้ค้ำกิ่ง เพื่อช่วยไม่ให้กิ่งหักเสียหาย

ปลูกมันขุนศรี 28 ต้นโกยเงินปีละ 2 แสน

คุณจิตพาไปชมแปลงมะม่วงมันขุนศรีที่ปลูกอยู่ริมถนนทางเข้าบ้าน ก็พบว่า ต้นมะม่วงมันขุนศรี มีลักษณะลำต้นเหมือนกับต้นมะม่วงทั่วไป จุดแตกต่างที่เห็นเด่นชัดคือ มะม่วงมันขุนศรี จะมีลักษณะทรงผล แหลมและงอน ส่วนหัวผลจะป้านไปทางด้านหลังมาก ทำให้ดูคล้ายตัวอักษรภาษา อังกฤษรูปตัว “เอส” ผลดิบสีเขียวมีนวล ผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มนิดๆ ติดผลเป็นพวง 3-5 ผล

มะม่วงมันขุนศรี มีจุดเด่นด้านรสชาติ ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก สำหรับผลอ่อนที่ยังดิบ จะมีรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ และเนื้อกรอบ นิยมนำมะม่วงผลอ่อนไปปอกเปลือกและสับซอยเป็นเส้นฝอย เพื่อปรุงรสเป็นมะม่วงยำ หรือนำไปฝานเป็นชิ้นๆ เพื่อจิ้มกับพริกเกลือป่น หรือจิ้มน้ำปลาหวาน รับรอง กินอร่อยจนแทบหยุดไม่ได้

มะม่วงมันขุนศรี เมล็ดลีบและบาง ผลสุก เนื้อมีสีเหลืองปนส้มเล็กน้อย ไม่มีเสี้ยน เนื้อเหนียวไม่เละ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสหวานแหลมปนเปรี้ยวนิดๆ หากรับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูน รับประกันความอร่อยเด็ด ไม่แพ้มะม่วงกินสุกชนิดใดๆ

“ มะม่วงมันขุนศรี มีรสชาติเด่น 3 รส คือ หวาน มัน เปรี้ยว สำหรับมะม่วงเขียวเสวย แม้ผลที่แก่จัดจะมีรสมันเหมือนกัน แต่เปรียบเทียบรสชาติแล้ว มะม่วงมันขุนศรี จะมีเนื้อกรอบกว่า เนื้อแป้งน้อยกว่ามะม่วงเขียวเสวย เวลาใช้มีดฝานเนื้อมะม่วงมันขุนศรี จะไม่เห็นเนื้อแป้งติดบนใบมีด เลย เวลาปอกจะมีน้ำออกมารสชาติหวาน เนื้อมะม่วงกรอบอร่อย ” คุณสัมฤทธิ์กล่าว

ทุกวันนี้ คุณจิตนำผลผลิตจากสวนบุญศิริออกขายที่ ตลาดนัดโรงเรียนเตรียมทหาร นครนายก ในราคากิโลกรัมละ 60 บาท ลูกค้าที่สนใจแวะเข้ามาเลือกซื้อเลือกชมได้ทุกวัน อังคาร ศุกร์ และอาทิตย์ เนื่องจาก“ มันขุนศรี ” เป็นมะม่วงพันธุ์ไทยโบราณ ที่หากินยากในปัจจุบัน ทำให้มะม่วงมันขุนศรีของสวนแห่งนี้ขายดิบขายดี จนผลิตไม่พอขาย เชื่อหรือไม่ คุณจิตปลูกต้นมะม่วงมันขุนศรีแค่ 28 ต้น สร้างรายได้เข้ากระเป๋าถึงปีละ 2 แสน

“ ต้นมะม่วงมันขุนศรี เป็นมะม่วงสายพันธุ์ไทยโบราณที่ปลูกดูแลง่าย ในแต่ละปี เสียค่าใช้จ่ายในการดูแลต้นมะม่วงมันขุนศรีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นค่าปุ๋ยคอก ซึ่งใส่เพียงปีละ 1 ครั้ง ส่วนสารเคมี ใช้น้อยมากหรือแทบไม่ใช้เลย การปลูกมะม่วงมันขุนศรีจึงให้ผลกำไรแบบเต็มๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรที่อยากปลูกมะม่วงเชิงการค้าในอนาคต เพราะปลูกง่าย ขายคล่อง ให้ผลดก รสชาติอร่อย ที่สำคัญมีคนปลูกมันขุนศรีค่อนข้างน้อย ”

นอกจากจุดเด่นด้านรสชาติแล้ว คุณจิตยังเลือกเก็บผลมะม่วงที่แก่จัด ที่เรียกว่า สุกปากตะกร้อ ออกขายในตลาด ซึ่งเป็นมะม่วงคุณภาพดี ที่ตลาดต้องการเพราะมีรสชาติอร่อย เมื่อคุณจิตนำมะม่วงมันขุนศรีไปวางขายในตลาด ลูกค้าจะแห่กันมาเลือกซื้อจนเต็มหน้าร้าน สินค้าขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว ทุกวันนี้ มะม่วงยังไม่ทันออกผล ลูกค้าหลายรายก็แห่มาโทรสั่งจองมะม่วงกันล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้มั่นใจว่า ปีนี้ได้ทานมะม่วงมันขุนศรีแน่ๆ สำหรับปีนี้ คุณจิตจะเริ่มเก็บมะม่วงออกขายตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม จนถึงปลายเดือนเมษายน

การปลูกดูแล

สภาพความสมบูรณ์ของต้นมะม่วง เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะเป็นตัวกำหนดในการออกดอก การติดผลของมะม่วง ดังนั้น เพื่อให้ผลผลิตมะม่วงรุ่นต่อไปเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ หลังหมดฤดูการเก็บเกี่ยวในแต่ละปี คุณจิตจะว่าจ้างคนงาน มาตัดแต่งกิ่ง ใกล้ฝนลงก็จะเริ่มให้ปุ๋ยรอบแรก 1 ครั้ง โดยเน้นให้ปุ๋ยอินทรีย์ หว่านรอบทรงพุ่ม ต้นละไม่เกิน 5 กก. เมื่อหมดฝน จึงเริ่มราดสารแพคโคลบิวทราโซล เพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตของราก เร่งให้เกิดดอก ทำให้ออกลูกเร็ว

หลังราดสารไปได้ 45 วัน ต้นมะม่วงก็จะเริ่มออกช่อ จะฉีดพ่นสารโปแตสเซียมไนเตรทให้กับต้นมะม่วงเพื่อเร่งการออกช่อดอกได้เร็วกว่าปกติประมาณ 15-20 วัน โดยไม่เป็นอันตรายต่อต้นมะม่วงแต่ประการใด ช่วงที่มีผลมะม่วงลูกเล็ก จะฉีดสารฆ๋าแมลงบ้าง เพื่อป้องกันปัญหาหนอนเจาะผล เมื่อผลโตมากขึ้น จะใช้สารกระเพาแขวนไว้ที่ต้นมะม่วง เพื่อขับไล่แมลงวันทอง ที่นี่ปลูกมะม่วงโดยอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ เนื่องจากมะม่วงเป็นพืชที่มีรากลึก จึงสามารถหาแหล่งน้ำได้เอง จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำอีก

ด้านตลาด

คุณจิต กล่าวว่า ทุกวันนี้ ปลูกมะม่วงมันขุนศรีจำนวน 28ต้น เก็บผลผลิตได้มากกว่าปีละ 2 ตัน ขายส่งในราคาก.ก.ละ 40 บาท ขายปลีกที่ตลาดนัดโรงเรียนทหาร ในราคา ก.ก.ละ 60 บาท ( ในพื้นที่ กทม. มันขุนศรีซื้อขายในราคา ก.ก.ละ 100 กว่าบาท )

สวนแห่งนี้ ยังปลูกมะม่วงทองดำ เก็บผลผลิตได้ปีละ 4-5 ตัน ขายส่งในราคาก.ก.ละ 17 บาท มะม่วงพิมเสนบ่มสุกขายในราคาก.ก.ละ 20-25 บาท มะม่วงน้ำดอกไม้บ่มสุก ขาย ก.ก.ละ 30-35 บาท มะม่วงเขียวเสวยขาย ก.ก.ละ 30 บาท

ผลผลิตทั้งหมดในสวนแห่งนี้ คุณจิตจะนำออกขายที่ ตลาดนัดโรงเรียนเตรียมทหาร นครนายก เป็นประจำ ทุกวัน อังคาร วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ส่วนวันพุธจะขายผลผลิตที่ ตลาดนัด จปร.นครนายก

นอกจากนี้ บุตรสาวชื่อ “ คุณโอ๋ ” ได้เปิดเฟสบุ๊ก ชื่อว่า “ ผลไม้ บ้านสวนบุญศิริ นครนายก ” เป็นช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลผลิตของสวนออกขายในสังคมออนไลน์ ปรากฎว่า ขายได้ผลดี ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าได้จำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าผ่านหน้าเฟสบุ๊ก โอนชำระเงินล่วงหน้า คุณจิตก็จะจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าทางไปรษณีย์ ถือได้ว่า เฟสบุ๊ก เป็นช่องทางสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ดีและน่าสนใจสำหรับเกษตรกรไทยในยุคนี้

หากผู้อ่านท่านใดสนใจอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลการปลูกมะม่วงมันขุนศรีและการทำสวนเกษตรแบบผสมผสานกับคุณจิต สามารถแวะไปได้ที่ “ สวนบุญศิริ ” บ้านเลขที่ 15 หมู่8 ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก 26110 หรือแวะไปทักทายได้ที่หน้าเฟซบุ๊ก หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 089-0940791 ( คุณโอ๋) , 086 – 8922225 (คุณอุ๊)

มะละกอสีทอง มีถิ่นกำเนิดจากรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่มะละกอฮาวายผลกลมป้อมที่มีวางขายในปัจจุบัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า CARICA PAPAYA-LINN. อยู่ในวงศ์ CARICACEAE ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานกว่า 30-40 ปีแล้ว

ลักษณะเด่นคือ ผลจะเป็นสีเหลืองทอง ตั้งแต่ผลดิบจนกระทั่งผลสุกเป็นสีส้มหรือสีเหลืองทอง จึงถูกเรียกชื่อว่า “มะละกอสีทอง” ผลดิบเนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ ทำส้มตำอร่อยมาก ผลสุกเนื้อแน่น ไม่เละ รสหวานชื่นใจเมื่อได้รับประทาน ซึ่ง “มะละกอสีทอง” ติดผลได้เรื่อยๆ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มะละกอ เรดแคริเบียน หรือ แขกดำ เป็นมะละกอที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรจังหวัดพิจิตรได้นำเข้ามาจากประเทศแถบอเมริกากลาง และนำมาปลูกคัดเลือกสายพันธุ์ ซึ่งใช้เวลานานถึง 7 ปี

มะละกอเรดแคริเบียน มีความทนทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีกว่าพันธุ์แขกดำศรีสะเกษ ลำต้นมีความแข็งแรง ติดผลดกและผลมีขนาดใหญ่ ลักษณะผลมะละกอเรดแคริเบียน จะคล้ายกับมะละกอเรดมาราดอล แต่จะมีขนาดใหญ่กว่ามาก (ขนาดผลใหญ่กว่าเท่าตัว) น้ำหนักผลเฉลี่ย ประมาณ 2-5 กิโลกรัม เนื้อหนา มีสีแดงส้ม รสชาติหวาน บริโภคได้ทั้งผลสุกและผลดิบ

สนใจติดต่อ คุณทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ โทรศัพท์. 08-1886-7398

มะละกอครั่ง

มะละกอครั่ง เป็นมะละกอไทย สายพันธุ์ “ครั่ง” เป็นสายพันธุ์มะละกอที่ศูนย์พัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดมหาสารคาม (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4 จังหวัดขอนแก่น กรมส่งเสริมการเกษตร ได้พัฒนาสายพันธุ์เพื่อการผลิตเป็นมะละกอดิบใช้ทำส้มตำโดยเฉพาะ

ลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูง หลังจากย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง ใช้เวลาปลูกเพียง 5-6 เดือน เริ่มเก็บเกี่ยวผลดิบจำหน่ายเป็นมะละกอส้มตำได้ เนื้อของมะละกอดิบพันธุ์ครั่ง มีความกรอบ รสชาติหวานกว่ามะละกอดิบสายพันธุ์อื่น เมื่อเก็บดิบจากต้นจะคงสภาพในอุณหภูมิปกติโดยไม่เหี่ยวและคุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงนานถึง 1 สัปดาห์ ทำให้ชะลอการจำหน่ายได้

นอกจากนี้ เป็นมะละกอต้นเตี้ย มีลักษณะผลใหญ่และยาว (ต้นกะเทย) บริเวณผลจะมีร่องข้างผลยาวตลอดตั้งแต่หัวไปยังท้ายผล เมื่อผ่าดูลักษณะภายในจะมีความหนาของเนื้อประมาณ 2 เซนติเมตร สีของเนื้อมีสีขาวขุ่นและไม่แข็งกระด้าง รสชาติหวานกว่าพันธุ์แขกนวล จากการศึกษาพบว่า มะละกอพันธุ์ครั่ง ยังมีความต้านทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีระดับหนึ่ง ทั้งนี้ มะละกอพันธุ์ครั่งสามารถกำหนดการให้ผลผลิตได้ โดยวิธีการทำสาว เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ราคาดีด้วย

ทุกวันนี้ กระแสความนิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทำให้สินค้าพืชผักผลไม้และสมุนไพรคุณภาพดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพพลอยขายดิบขายดีตามไปด้วย ซึ่ง “มะตูม” ก็ติดโผสินค้าขายดียอดนิยม เพราะเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยามากมาย

“มะตูม” เป็นสมุนไพรเก่าแก่ของประเทศอินเดีย และเป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดู เนื่องจากใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก คล้ายตรีศูลของพระศิวะ (พระอิศวร) ชาวอินเดียจึงนิยมปลูกมะตูมเป็นไม้มงคลประจำบ้าน เพื่อเอาไว้กินผลสุก และใช้ใบในการบูชาพระศิวะเมื่อต้องการขอพร และยกย่องต้นมะตูมว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าต้นโพธิ์

ประเทศไทย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงนิยมนำใบมะตูมมาใช้ในพิธีสำคัญต่างๆ อาทิ พิธีพืชมงคลแรกนาขวัญ ในพิธีสมรสพระราชทาน เป็นต้น ปัจจุบัน “มะตูม” ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดชัยนาทอีกด้วย คนโบราณเชื่อว่าใบมะตูมป้องกันภูตผีปีศาจและเสนียดจัญไร เป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกในบริเวณบ้าน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง โดยถือเอาเสียง “ตูม” นั้นโยงเข้ากับความรุ่งเรืองเหมือนพลุ ดอกไม้ไฟ และเสียงปืนใหญ่ที่ดังตูม เพื่อประกาศความเกรียงไกรนั่นเอง

ราก ใบ ผลแก่ สุก เปลือก ราก ของมะตูมมีสรรพคุณทางยา ผลมะตูมสุกมีรสชาติหวาน หอม ช่วยแก้โรคท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ใบและยอดอ่อนมะตูม มีกลิ่นหอม รสมัน รสฝาด ใช้เป็นผักแนมแกล้มลาบ แกงเผ็ด หรือน้ำพริก ผลมะตูมมีวิตามินบี 1 บี 2 ช่วยบำบัดอาการปลายมือ เท้า ไม่ให้ชา บำรุงกระเพาะลำไส้ได้ ลูกมะตูมดิบนิยมนำมาปรุงเป็นยำมะตูมรสชาติอร่อย คนโบราณนิยมดื่มน้ำมะตูม เพราะมีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ แก้กระหายได้ดีนักแล

มะตูม ปลูกแพร่หลายในอินเดีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ฯลฯ เพราะปลูกดูแลง่าย ทนร้อนทนแล้ง ไม่ต้องรดน้ำก็อยู่ได้ มักพบเห็นมะตูมในป่าเบญจพรรณทั่วไป ต้นมะตูมมีดอกสีขาวสวย กลิ่นหอมเย็นเหมือนดอกปีบ มีลำต้นสูงไม่เกิน 5 เมตร

มะตูม ที่เห็นวางขายในท้องตลาดทั่วไป มีผลขนาดย่อมปานกลาง ไม่ใหญ่มาก แต่ในขณะนี้จะพาไปเยี่ยมชม “มะตูมยักษ์” ของดีหายาก ของอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ เท่ากับผลมะพร้าวกันเลยทีเดียว หลายคนที่เพิ่งพบเห็นผลมะตูมยักษ์เป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นตะลึงกับความแปลกมหัศจรรย์ของ “มะตูมยักษ์”ไปตามๆ กัน

คุณครูลออ ดอกเรียง เจ้าของไร่ “มะขามป้อมยักษ์ครูลออ” เลขที่ 14/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150 โทร. (081) 756-0939 และ (084) 926-7259 เล่าให้ฟังว่า มะตูม เป็นพันธุ์พืชท้องถิ่นของอำเภอไทรโยคนี่เอง มะตูมยักษ์ ที่นำมาโชว์ มีขนาดผลใหญ่มาก ประมาณ 2-3 กิโลกรัมขึ้นไป มะตูมยักษ์สายพันธุ์โบราณที่ชาวบ้านรู้จักและคุ้นเคยกันดีมีหลายสายพันธุ์ เช่น มะตูมหม้อ หรือ มะตูมนมยาน ซึ่งมีลักษณะผลแตกต่างกันไป

“ลักษณะเด่นของ “มะตูมนมยาน” ก็คือ ผล สมัครรูเล็ตออนไลน์ มีขนาดยาวรี ส่วนมะตูมหม้อ ตรงก้นจะเสมอกัน สามารถวางผลตั้งขึ้นได้ มะตูมยักษ์ที่เราเพิ่งเจอนี้ มีลักษณะผสมของมะตูมหม้อและมะตูมนมยาน” คุณครูลออ กล่าว

รู้จัก มะตูมสายพันธุ์โบราณ

คนไทยนิยมปลูกมะตูมและใช้ประโยชน์จากต้นมะตูมมาอย่างยาวนานนับร้อยปี ที่ปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่

มะตูมหม้อ ลักษณะลูกใหญ่ 2-4 กิโลกรัม เนื้อเยอะ เปลือกหนา ตรงก้นจะเรียบเสมอกัน ลูกวางตั้งได้ ลูกอ่อนเปลือกสีเขียวเข้ม แก่ใกล้สุกสีเปลือกจะจางลงจนเป็นสีเหลืองทอง มะตูมหม้อนิยมนำมาทำมะตูมเชื่อม เพราะได้ปริมาณเนื้อเยอะ หรือหั่นแปรรูปเป็นสมุนไพรตากแห้งก็ได้ ปัจจุบัน มะตูมหม้อ เป็นสายพันธุ์มะตูมที่หายาก
มะตูมนมยาน เป็นพันธุ์ลูกใหญ่พอๆ กับ มะตูมหม้อ แตกต่างกันที่ลักษณะลูก มะตูมนมยานลูกจะยาวรี บางต้นยาวรีเหมือนลูกรักบี้ก็มี ลูกอ่อนเปลือกสีเขียวเข้ม พอแก่เปลือกจะมีสีเหลืองทอง เปลือกหนา เนื้อเยอะ เหมาะสำหรับแปรรูปทำมะตูมเชื่อม หรือหั่นตากแห้งขาย มะตูมนมยานก็มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์นั่นเอง

มะตูมไข่ ลักษณะลูกค่อนข้างกลม ผลมีขนาดเล็กประมาณกำมือ บางท้องที่จะเรียกมะตูมขี้ช้าง หากมีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งกิโลถึงหนึ่งกิโล เรียกว่า “มะตูมไข่” ซึ่งสายพันธุ์นี้สามารถพบเห็นได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ถือเป็นสายพันธุ์มะตูมที่หาง่าย นิยมนำไปหั่นตากแห้งเป็นส่วนมาก
มะตูมนิ่ม สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะเปลือกบางกว่ามะตูมทั่วไป ตอนสุกเปลือกจะนิ่ม ถือเป็นมะตูมสายพันธุ์หายากในปัจจุบัน มะตูมนิ่มมีทั้งลักษณะลูกกลมและลูกรี นิยมนำผลไปเป็นยาสมุนไพร สีผิวลูกจะไม่เขียวเข้ม ผลมีขนาดไม่ใหญ่มาก

ค้นพบ มะตูมยักษ์พันธุ์ใหม่

คุณครูลออ ได้รวบรวมสายพันธุ์มะตูมยักษ์หายากที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอไทรโยคนำมาปลูกเพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์ให้เป็นมรดกของท้องถิ่น ซึ่งมะตูมยักษ์ที่เพิ่งค้นพบเหล่านี้ คุณครูลออ ยืนยันว่า มาจากต้นพันธุ์ที่เกิดจากต้นเพาะเมล็ด มีอายุ 15-30 ปี แต่ละพันธุ์มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น ซึ่งแต่ละต้นมีลักษณะของผลแตกต่างกันไป เช่น ผลยาวรี เหมือนลูกส้มโอ หรือเหมือนฟักทอง ผลยาวแต่ตรงก้นเสมอกัน สามารถวางผลตั้งขึ้นได้ แถมบางต้นไส้ไม่มียาง ต้นมะตูมยักษ์ทั้ง 4 พันธุ์ใหม่ ที่คุณครูลออค้นพบในครั้งนี้ ถูกตั้งชื่อตามเจ้าของสวนแต่ละแห่ง อาทิ