ในเรื่องการทำตลาดเพื่อส่งขายจระเข้นั้นคุณอดิศัย

บอกว่า ไม่ได้ทำตลาดที่เดินไปเพียงลำพัง แต่มีกลุ่มที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างมั่นคง เพื่อให้มีกำลังในการต่อรองในเรื่องของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเลี้ยงจระเข้ เช่น การซื้ออาหารเลี้ยง การซื้อลูกพันธุ์ ตลอดไปจนถึงเรื่องของการตลาดส่งขาย

“จระเข้ที่เลี้ยงจนถึงในระยะขุนครบ 3 ปี ขนาดไซซ์ตัวจะยาวอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร ลูกค้าจะชอบระยะนี้ เพราะเป็นระยะที่เหมาะสม ทั้งเนื้อและหนังได้ที่กำลังดี ซึ่งราคาขายคิดอยู่ที่ เซนติเมตรละ 24 บาท ซึ่งที่ฟาร์มผมโชคดีที่เรามีการเพาะพันธุ์เอง จึงทำให้มีลูกพันธุ์มาเลี้ยงขุนโดยไม่ต้องซื้อจากที่อื่นเข้ามาเพิ่ม ก็จะช่วยในเรื่องของการลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี โดยฟาร์มผมก็ขยับการส่งขายขึ้นอยู่ที่หลักพันตัว แต่เฉลี่ยก็อยู่ที่ 6,000 ตัว ต่อปี” คุณอดิศัย บอก

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเลี้ยงจระเข้ คุณอดิศัย บอกว่า สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ขออนุญาตจากสำนักงานประมงที่อยู่ภายในจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจว่า พื้นที่เหมาะสมที่จะเลี้ยงหรือไม่ จากนั้นก็ศึกษาหาความรู้ในวิธีการเลี้ยงให้เข้าใจ ว่าจระเข้มีอุปนิสัยอย่างไร มีความเป็นอยู่แบบไหน แล้วจึงลงมือทำ เมื่อได้ผลกำไรแล้วจึงค่อยขยับขยายการเลี้ยง พัฒนาต่อยอดขึ้นไป

สนใจเยี่ยมชมฟาร์ม หรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงจระเข้ ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณอดิศัย ว่องไวไพโรจน์ หมายเลขโทรศัพท์ (081) 763-3357 หลังจากที่กระแสธุรกิจอาหารแปรรูปมาแรง ไม่แพ้ธุรกิจประเภทอื่น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตทางด้านเกษตรกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่เกิดจากผลผลิตทางด้านการเกษตรเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการใช้สื่อด้านดิจิตอลในการทำธุรกิจด้วย จึงทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายในการกระจายข้อมูลข่าวสารต่างๆ ซึ่งสอดรับกับกระแสพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุค 5G นี้

บริษัท GM Inter Foods จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท GM Multimedia จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัททางด้านสื่อที่มีการรุกก้าวสู่ธุรกิจทางด้านผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปมาได้สักระยะหนึ่งแล้วเช่นกัน โดยมีผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือ ขนมผักกรอบ ในชื่อแบรนด์ DEEDY ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคและลูกค้าตั้งแต่ได้วางตลาดจำหน่ายผลิตภัณฑ์มา ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทใหม่ในวงการธุรกิจนี้ก็ตาม โดยมี คุณเอกระพีร์ สุขกุลพิพัฒน์ เป็นผู้นำทัพบุกตลาดอาหารแปรรูป ในบทบาทของรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยใช้กลยุทธ์ในเชิงยุทธศาสตร์การตลาดเพื่อเจาะใจลูกค้าคือ ความจริงใจที่มีต่อผู้บริโภค

“กลยุทธ์ที่ใช้คือ ความจริงใจ ความตรงไปตรงมา เพราะในการทำธุรกิจใดหรือใช้เครื่องมือใดก็ตามในการสร้างมูลค่าการตลาด เราเล็งเห็นว่า ความจริงใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งหากเราไม่ได้ใส่สารปรุงแต่งใดๆ ในผลิตภัณฑ์อาหารของเรา เพราะฉะนั้น ข้อมูลข่าวสารเราก็ไม่ควรปรุงแต่งด้วยเช่นเดียวกัน” คุณเอกระพีร์ กล่าว

ด้วยเสียงตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคที่ชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัท GM Inter Foods ได้เตรียมผลิตภัณฑ์ขนมผักกรอบ ในชื่อแบรนด์ DEEDY เพิ่มขึ้นใหม่อีก 1 ผลิตภัณฑ์ ที่ยังคงรสชาติผงน้ำสลัด 3 รสชาติดั้งเดิม ได้แก่ รสชาติผงน้ำสลัดวาซาบิ, รสชาติผงน้ำสลัดซีฟู้ดส์ และรสชาติผงน้ำสลัดเทาซันไอส์แลนด์ โดยจะวางตลาดปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อสนองตอบต่อผู้บริโภคที่ชื่นชอบการรับประทานผักบร็อกโคลี่ จึงได้นำผักบร็อกโคลี่เข้ามาชูโรงเป็นอีก 1 ในผัก 5 สหายในซองเดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการรับประทานผักบร็อกโคลี่ด้วย อาทิ อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามิน วิตามิน A, K และ C, แคลเซียม, ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย, มีสารต้านอนุมูลอิสระ, มีแคลอรีต่ำ, เป็นแหล่งวิตามิน E สูง และมีไฟเบอร์ที่ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ อีกทั้งแพ็กเกจของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ยังมีสีสันสดใส สร้างจุดเด่นให้กับสินค้าอีกด้วย

ผู้บริโภคและร้านค้าที่สนใจขนมผักกรอบ DEEDY สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท จีเอ็ม อินเตอร์ ฟู้ดส์ จำกัด โทร. (098) 026-6636 หรือ Facebook : @DEEDYVeggies / Line@ : @deedyveggies ขอเชิญร่วมสมัครวิ่งการกุศล “ชวนเพื่อนวิ่ง…ยิ่งให้ ยิ่งได้” ในวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ณ สนามฟุตบอล กรมชลประทาน ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อระดมทุนจัดซื้อวัสดุประกอบอาคารและครุภัณฑ์ทาง การแพทย์สำหรับอาคาร 20 ชั้น (ชั้น 19) ของศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อขยายการรองรับการดูแลผู้ป่วยที่มารับบริการเพิ่มมากขึ้น

เพื่อระดมทุนบริจาคเงินสมทบในโครงการวิ่งการกุศล
เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของบุคลากร นักศึกษา ศิษย์เก่าและประชาชนทั่วไป
การวิ่งมีทั้งหมด 2 ระยะ

ระยะ 5 กม. ค่าสมัคร 500 บาท ไม่มีการแข่งขัน ระยะ 10.5 กม. ค่าสมัคร 500 บาท มีการแข่งขัน โอเวอร์ออลระยะ 10 กม. ได้ถ้วยรางวัลทั้งชายและหญิง ทุกรุ่น ทุกระยะ ผู้สมัครจะได้รับเสื้อ ที่ระลึก เข้าเส้นชัยได้รับเหรียญที่ระลึกทุกท่าน นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับรางวัล Board of the Year Awards 2018 ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 ประเภทกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาด 30,000-100,000 ล้านบาท จากนายเกริกไกร จีระแพทย์ ประธานคณะกรรมการตัดสินโครงการ Board of the Year Awards 2018

“Board of the Year Awards” เป็นรางวัลระดับประเทศที่มอบให้กับคณะกรรมการบริษัทที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น และการให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

จัดโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ในงาน National Director Conference 2019 ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

เที่ยวชุมชนคนโคราช สัมผัสอัติลักษณ์วิถีโลคอลแห่งจังหวัดนครราชสีมา ในสไตล์ “จ๊อบ – นิธิ สมุทรโคจร” บุกถิ่นดินงามน้ำดี เสพกลิ่นอายบ้านนา สืบหาแชมป์หมู่บ้านในตำนาน สานต่อเอกลักษณ์มรดกทางวัฒนธรรม ณ หมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวแห่งภาคอีสาน

เปิดม่านสุดหรรษา ณ แดนหญิงกล้าเมืองย่าโม จังหวัดนครราชสีมา อันซีนอีสานใต้ มหัศจรรย์ “เขื่อนลำตะคอง” ชมความอลังการของเขื่อนดินขนาดใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ภูเขาสูง เปิดรับทัศนียภาพอันงดงามเหนือคำบรรยาย จากนั้นตามไปเรียนรู้วิถีชุมชนพอเพียง ดูสาธิตการทำระหัดวิดน้ำจำลองไซส์มินิ ณ “บ้านดอนวัว”

นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านที่ได้รางวัลแชมป์มากมาย อาทิ แชมป์น้ำสมุนไพรขับพิษ ไอเท็มสำคัญที่คนยุคใหม่ต้องลอง ก่อนจะไปลองลิ้มเมนูเด็ด ชิมตำโคราชสุดแซ่บ ผัดหมี่โคราชรสชาตินัว ฝีมือแชมป์อาหารพื้นถิ่นประจำหมู่บ้าน หลังจากนั้นตามไปสัมผัสเสน่ห์อีกหนึ่งหมู่บ้านที่ยังคงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย รอให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาม่วน มาคัก มาฮักอีสาน พร้อมถ่ายทอดงานหัตถศิลป์ไทยผ่านการทอเสื่อกกลายขิดของ “บ้านหนองกุ่งน้อย” สะท้อนภูมิปัญญาของชุมชน ที่ควรค่าแก่การสืบต่อองค์ความรู้โบราณไปสู่คนรุ่นหลัง อนุรักษ์ให้เป็นมรดกอันทรงคุณค่าอยู่คู่กับแผ่นดินไทย

สัมผัสเสน่ห์สำเนียงถิ่นอีสานเหน่อ ณ ชุมชนท่องเที่ยวแห่งภาคอีสาน ได้พร้อมกัน ในรายการ สมุดโคจร On The Way : ม่วนคัก ฮักISAN – นครราชสีมา EP.2 วันเสาร์ ที่ 27 กรกฎาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 28 (3SD) หรือ

กรมการข้าว พร้อมแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชาวนาที่ประสบภัยแล้งปลูกใหม่ เป็นข้าวเจ้า 10 พันธุ์ รวม 10,000 ตัน แนะปลูกให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ไม่เช่นนั้นจะสิ้นสุดฤดูฝนก่อนข้าวออกรวง

นายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าวกล่าวว่า ภาวะฝนทิ้งช่วงทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวขาดน้ำประมาณ 10 ล้านไร่ ใน 20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน สกลนคร ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครสวรรค์ และจังหวัดลพบุรี ซึ่ง ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีไว้มอบให้ชาวนาที่ต้นข้าวเสียหายเพื่อปลูกใหม่ 10,000 ตัน

หากมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวได้ต่อไป โดยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้เป็นพันธุ์ข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง อายุ 95-120 วัน ได้แก่ พันธุ์ข้าว กข 29 กข 31 กข 41 กข 49 กข 57 กข 71 ชัยนาท 1 พิษณุโลก 2 สุพรรณบุรี 1 และปทุมธานี 1 สาเหตุที่แนะนำให้ปลูกข้าว 10 พันธุ์นี้เนื่องจากยังมีช่วงระยะเวลาเจริญเติบโตของลำต้นและใบเพียงพอต่อการออกรวงให้ผลผลิตได้ ทั้งนี้ การเพาะปลูกควรทำให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 เดือนสิงหาคม 2562 เนื่องจากจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนธันวาคม 2562 หากปลูกล่าช้าออกไปมากกว่านี้ จะมีน้ำไม่เพียงพอ เนื่องจากหมดฤดูฝนแล้ว ทำให้ต้นข้าวที่อยู่ในช่วงตั้งท้อง ออกรวงจะขาดน้ำ ทำให้ผลผลิตลดลงมากกว่า ร้อยละ 50

สำหรับวิธีการปลูกนั้น แนะนำให้ปลูกโดยวิธีหยอด โรยเป็นแถว หรือหว่าน ไม่แนะนำให้ปลูกด้วยวิธีตกกล้าปักดำ เนื่องจากจะทำให้ต้นข้าวสามารถตั้งตัวและเจริญเติบโตได้เร็ว อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ปลูกที่เหมาะสมคือ ไร่ละ 10-15 กิโลกรัม

ในกรณีต้นข้าวประสบภัยแล้งในระยะต้นกล้า หรือระยะแตกกอ เป็นระยะเวลาไม่นาน มีอาการเหี่ยว ต้นข้าวยังไม่ตายหากได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะสามารถกลับมาเจริญเติบโตได้ต่อไป สามารถออกรวงให้ผลผลิตได้ ขอให้เกษตรกรเพิ่มการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ควรเร่งหาน้ำให้ปล่อยแปลงนาโดยเร็ว และใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินให้ถูกสูตร ถูกอัตรา และถูกเวลาเพื่อให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น กำจัดวัชพืชและข้าวเรื้อในแปลงนา พร้อมทั้งติดตามเฝ้าระวังการระบาดของโรคแมลงศัตรูข้าวอย่างใกล้ชิด

นายประสงค์ กล่าวถึง จากพื้นที่ประสบภัยแล้งในปี 2562 ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร สุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพดีที่สำคัญของประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรอาจจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทำให้ไม่มีเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีและเพียงพอที่จะเก็บไว้ใช้เองเพื่อปลูกในปีต่อไป รวมทั้งเกษตรกรบางรายขาดแคลนเงินทุนเพื่อจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งหากปล่อยให้เกษตรกรเผชิญกับปัญหาดังกล่าว อาจจะทำให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิมีคุณภาพต่ำลง และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อตลาดข้าวหอมมะลิ

ดังนั้น ในปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 (นาปี) กรมการข้าวจะได้มีการจัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดีให้ปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร เพื่อใช้ในการเพาะปลูกข้าวหอมมะลิให้มีประสิทธิภาพ ผลผลิตมีคุณภาพสูง รักษาระดับปริมาณและคงความเป็นเอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทยจากการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้มาตรฐานไปปลูก และไม่มีผลกระทบต่อการค้าการตลาดของประเทศไทยต่อไป

สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยโครงการวิจัยท้าทายไทย : Fluke Free Thailand ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงาน “มหกรรมรณรงค์เพื่อป้องกันและกำจัดโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี” วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 ที่ รร.โรงเรียนศรีสมเด็จพิมพ์พัฒนาวิทยา อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายดำรงค์ สิริวิชย อิ่มวิเศษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีนายพจน์ เอกอนันต์ถาวร ประธานคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอศรีสมเด็จ กล่าวต้อนรับ และนายสุทธินันท์ บุญมี ประธานคณะกรรมการเขตสุขภาพเพี่อประชาชน เขตพื้นที่ 7 (กขป.7) ได้กล่าวถึงความเป็นมาของกิจกรรมและการสนับสนุนของ กขป.7 ในการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์ และลำดับถัดมาได้มีพิธีมอบสื่อให้ความรู้พยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีเพื่อเผยแพร่ไปยังอำเภอต่างๆ โดย คุณภิรมย์ ตริสกุล ผู้จัดการสาขาร้อยเอ็ด และคุณสุธาสินี ขามช่วง ผู้จัดการสาขาตลาดสระทอง (ร้อยเอ็ด) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ต่อมาประธานในพิธีพร้อมด้วยคณะผู้บริหารได้เดินเยี่ยมชมการจัดนิทรรศการให้ความรู้ในการรณรงค์ป้องกันกำจัดพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ของโครงการวิจัย ภายใต้โครงการวิจัยท้าทายไทย : Fluke Free Thailand อาทิ การตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับด้วยแอนติเจนในปัสสาวะ, การจัดการระบบสุขาภิบาล ,การใช้หลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนเพื่อพัฒนาภูมิคุ้มกันในเยาวชน, อาหารปลอดภัย ปลาปลอดพยาธิ, ระบบ Isan cohort และการจัดแสดงผลการดำเนินงานมูลนิธิมะเร็งท่อน้ำดีและสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี

จากนั้นคณะผู้บริหารได้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีด้วยการตรวจอัลตร้าซาวด์ ที่ทางสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดีและหน่วยงานในพื้นที่ ได้จัดขึ้นเพื่อบริการประชาชนในพื้นที่ โดยกิจกรรมการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่สงสัยว่าเป็นพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์และบันทึกข้อมูลลงในระบบ Isan Cohort ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบกว่าสองล้านคนและสามารถติดตามผลข้อมูลได้แบบ realtime โดยในวันนี้ มีประชาชนในอำเภอโกสุมพิสัย ลงทะเบียนเข้าตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีด้วยเครื่ิองอัลตร้าซาวด์ จำนวน 549 ราย เข้ารับการตรวจทั้งสิ้น 507 ราย พบผู้สงสัยมะเร็งท่อน้ำดีรอการยืนยัน 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.20

และในช่วงบ่าย คณะผู้บริหารจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดีพร้อมด้วยสื่อมวลชน ได้เดินทางไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลหนองจิก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เพื่อเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานระบบบำบัดสิ่งปฏิกูลที่บริหารจัดการโดยองค์การบริหารส่วนตำบล และจากนั้นคณะผู้บริหารฯ ได้เดินทางต่อไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลยางน้อย อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เพื่อ เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานกระบวนการจัดการบ่อปลาปลอดพยาธิใบไม้ตับของผู้ประกอบการเพาะเลี้ยงปลาในพื้นที่ ต.ยางน้อย อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม

สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี ได้ดำเนินงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ มากมายทั้งในและต่างประเทศ อำเภอโกสุมพิสัย เป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องของจังหวัดมหาสารคาม ที่ทางสถาบันวิจัยฯ ร่วมกับคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 7 และกลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์ (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์) ได้นำเอาโครงการวิจัยแก้ไขปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในด้านต่างๆ ลงมาขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีร่วมกับประชาชนในพื้นที่

เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยท้าทายไทย : ประเทศไทยไร้พยาธิใบไม้ตับ Fluke Free Thailand ที่มีเป้าหมายในการลดอัตราการเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี และสอดรับกับอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ยึดถือการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการอุทิศเพื่อสังคม เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมโดยเฉพาะภาคอีสานให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดอัตราการเสียชิวิตจากโรคมะเร็งท่อน้ำดีลงให้เหลือน้อยที่สุด การขจัดปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีนั้น จะกระทำให้สำเร็จโดยภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาให้สัมฤทธิ์ผลและต่อเนื่อง

การจะดำเนินการแต่เพียงในโรงพยาบาลหรือบุคลากรทางสุขภาพด้วยการตั้งรับเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาให้หมดไปได้ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาสุขภาพนี้ร่วมกัน จากต้นน้ำไปจนสุดปลายน้ำอย่างบูรณาการ ซึ่งก็คือ การกำจัดพยาธิใบไม้ตับ ลดการแพร่กระจายตามแหล่งน้ำ กำจัดพยาธิใบไม้ตับในสัตว์รังโรค จัดการอาหารให้ปลอดภัย เพิ่มภูมิคุ้มกันทางปัญญาแก่เยาวชน จัดการข้อมูลสุขภาพอย่างเป็นระบบสามารถติดตามได้ การคัดกรองและรักษาตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจสังคมอย่างยั่งยืน

แหล่งปลูกมะม่วงส่งออกทำเงินของประเทศไทย หากดูจากแผนที่ประเทศไทยแล้ว จะพบว่ากระจายอยู่ทั่วประเทศ จะมีกลุ่มที่รวมตัวกันหลายจังหวัดที่เป็นเขตติดต่อกันบ้าง เช่น พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร ในภาคอีสานก็เป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ อุดรธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น ภาคเหนือเกาะกลุ่มจังหวัดลำพูนประปราย น่าน เชียงรายและเชียงใหม่ ภาคกลางมีไม่มากนักในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี อ่างทอง และสุพรรณบุรี ส่วนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่พบว่ามีการปลูกมะม่วงส่งออกน้อยกว่าภาคอื่น

จังหวัดเพชรบูรณ์ มีเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่ม 2 แห่ง คือที่อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตมะม่วงเพื่อการส่งออก ตำบลบ้านโภชน์ และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มปรับปรุงคุณภาพมะม่วงเพื่อการค้าและการส่งออก จ.เพชรบูรณ์ นำโดยคุณไตรรัตน์ เปียถนอม ผู้ซึ่งการันตีด้วยรางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพทำสวน ปี 2557

ทำมะม่วงส่งออก แทน มะม่วงตามกระแส

คุณไตรรัตน์ เปียถนอม เริ่มทำสวนมะม่วงมาตั้งแต่ปี 2530 ทุกปีประสบปัญหาขาดทุน เพราะไม่ได้อยู่ดูแลสวนมะม่วงด้วยตนเอง กระทั่งปี 2533 จ้างคนดูแลและปลูกมะม่วงตามความนิยมของท้องถิ่น คือ พันธุ์เขียวเสวย พันธุ์ฟ้าสั่น พันธุ์หนองแซง และพันธุ์น้ำดอกไม้ ไม่ถึงกับขาดทุน แต่ขายได้ตามฤดูกาลภายในประเทศบ้างเท่านั้น ขณะนั้นคุณไตรรัตน์ยังทำงานประจำ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำสวนมะม่วงอย่างจริงจัง คุณไตรรัตน์ เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทำสวนมะม่วง ในระหว่างที่ทำงานประจำ และทราบว่า มีการส่งมะม่วงไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 2535 และราคาส่งออกค่อนข้างสูง จึงคิดว่า การทำสวนมะม่วงเพื่อการส่งออกจะทำให้เกษตรกรอย่างเขาอยู่รอด

หลังลาออกจากงานเริ่มศึกษาแนวทางการผลิตมะม่วงคุณภาพอย่างจริงจัง เดินทางไปศึกษาดูงานยังแหล่งที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ทำได้ ทำให้ทราบว่า มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เป็นพันธุ์ที่ต่างประเทศต้องการ จึงตัดสินใจปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองแซมพันธุ์เขียวเสวย หนองแซง และฟ้าลั่น ในพื้นที่ 40 ไร่ก่อน จากนั้นไม่นาน ก็เปลี่ยนเป็นพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองทั้งหมดในพื้นที่ 100 ไร่

พื้นที่ 100 ไร่ เป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง 95 เปอร์เซ็นต์ และ มะม่วงพันธุ์มหาชนก อีก 5 เปอร์เซ็นต์ อาศัยน้ำในการเพาะปลูกจากน้ำฝน 100 เปอร์เซ็นต์พื้นที่ปลูกดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ไม่อุ้มน้ำ เมื่อถึงฤดูแล้งจะแห้งแล้งมาก ส่งผลให้ผลผลิตคุณภาพต่ำ คุณไตรรัตน์ แก้ปัญหาโดยยึดแนวพระราชดำริ ในการทำการเกษตร ที่ต้องมีแหล่งน้ำเป็นของตนเอง อย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ จึงขุดแหล่งน้ำเป็นบ่อไว้กักเก็บน้ำรวมพื้นที่ 25 ไร่ กระจายไปตามจุดต่างๆ ทั่วพื้นที่ปลูก การขุดบ่อกักเก็บน้ำพิจารณาจากความเหมาะสมของพื้นที่ บริเวณที่ลาดเมื่อฝนตกน้ำไหลไปรวมกัน จึงขุดบ่อบริเวณนั้น และขุดบ่อลึกกว่าบ่อมาตรฐาน 2-3 เท่า เน้นความลึก เพื่อให้เก็บกักน้ำในปริมาณมาก และพื้นผิวด้านบนของบ่อแคบ เพื่อลดปริมาณการสูญเสียจากการระเหย

ระยะปลูก 6 x 4 และ 5 x 4 จำนวนต้นอยู่ที่ 60-80 ต้นต่อไร่

ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับพื้นที่คุณไตรรัตน์ มีเทคนิคในการผลิตมะม่วงส่งออก โดยพยายามประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ คำนึงถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ นำมาประยุกต์ใชในสวนของตนเอง ดังนี้

1.นำเครื่องขุดเจาะหลุมมาใช้ในการขุดหลุมปลูกมะม่วงเพื่อลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการจ้างขุดหลุมเพื่อปลูกมะม่วงต่อหลุมปัจจุบันราคาประมาณ 20 บาท หากปลูก 1 ไร่ จำนวน 70 ต้น จะเสียค่าขุดหลุมปลูกเป็นเงิน 1,400 บาท หากใช้เครื่องขุดเจาะจะมีต้นทุนหลุมละ 5 บาท เป็นเงิน 350 บาท ประหยัดต้นทุนได้ไร่ละ 1,050 บาท

2.การใช้น้ำระบบมินิสปริงเกลอร์และทำคันดินเล็กรอบๆ บริเวณโคนต้น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกนอกบริเวณชายพุ่ม ซึ่งสามารถแก้ปัญหาสภาพดินที่ไม่อุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี และเป็นการลดต้นทุนเรื่องแรงงานในการให้น้ำมะม่วง ทั้งยังเป็นระบบที่ประหยัดน้ำ

3.ใช้การพ่นสารเคมีแบบ แอร์บัส คือ การใช้แรงดันพ่อนผ่านปั๊มแรงดันสูง มีพัดลมช่วยกระจายสารเคมีให้ละอองกระจายทั่วถึง ทำให้ประหยัดต้นทุนในการผลิต เนื่องจากแอร์บัสจะประหยัดสารเคมีลง 30 เปอร์เซ็นต์ ใช้แรงงานในการพ่อสารเคมีเพียง 1 คน ทำงานได้รวดเร็ว จากเดิมพื้นที่ 30 ไร่ ใช้แรงงานพ่นสารเคมี 2 คน ต้องใช้เวลาพ่น 5 วัน แต่การใช้แอร์บัส ใช้เวลาเพียง 2 วันเท่านั้น ทำให้การป้องกันโรคและแมลงทำได้ทันเวลา

4.มะม่วงที่ปลูกอยู่เดิมเป็นพันธุ์เขียวเสวย ฟ้าลั่น ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีได้ จึงใช้เทคนิคการเปลี่ยนยอดและอุ้มบุญ ในการเปลี่ยนยอดะม่วงในพื้นที่ให้เป็นพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เพื่อลดระยะเวลาในการปลูกใหม่ และเทคนิคการอุ้มบุญ คือ การนำมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองไปเสียบฝากในต้นพันธุ์เขียวเสวยและฟ้าลั่น ทำให้เกษตรกรยังมีรายได้จากการขายมะม่วงฟ้าสั่น เขียวเสวย และมีผลพลอยได้จากมะม่วงฝากท้องในช่วง 1-3 ปี ก่อนที่จะทยอยตัดกิ่งต้นเดิมเหนือรอยทาบออก เพื่อให้เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง 100 เปอร์เซ็นต์