ไฟเขียว คนจนกู้ฉุกเฉินจ่ายค่าเทอม ออมสินให้ราย

ครม.ไฟเขียวออมสินปล่อยกู้ฉุกเฉินคนจน เฟส 2 อีกหมื่นล้าน ไว้จ่าย “ค่าเทอม-โปะหนี้นอกระบบ” กู้ได้รายละ 5 หมื่นบาท ไม่ใช้เครดิตบูโรพิจารณาให้กู้ คาด ช่วยคนจนได้ 6 แสนคน ส่วนคลังโชว์ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เร่งให้ใบอนุญาตพิโกไฟแนนซ์

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน หรือนำไปใช้หนี้นอกระบบ ค่า เล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล

เงื่อนไขกู้คนละไม่เกิน 50,000 บาท ดอกเบี้ยต่ำ 0.85% ต่อเดือน คาดช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยให้ดีขึ้นประมาณ 200,000 ราย

โครงการเฟส 2 ต่อเนื่องจากเฟสแรก ที่อนุมัติให้ปล่อยกู้วงเงิน 5,000 ล้านบาท เมื่อมกราคม 2561 ทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ในเฟสแรกใกล้เต็มวงเงินแล้ว เมื่อครม.อนุมัติโครงการเฟส 2 ทำให้วงเงินที่ปล่อยกู้ให้รายย่อย เพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ใน 2 ธนาคาร

“ยื่นขอกู้ได้เลย หลังครม.อนุมัติ เงื่อนไขมีคน ค้ำประกัน หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท กู้ไม่เกิน 5 ปี ยื่นขอภายใน 31 มีนาคม 2563 โดย 30,000 ล้านบาท จะมีผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 6 แสนคน จะไม่นำประวัติการชำระเงินจากเครดิตบูโร มาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ”

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ผู้ขอประกอบสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว 294 ราย ใน 60 จังหวัด เปิดดำเนินการแล้ว 181 ราย ใน 51 จังหวัด ปล่อยสินเชื่อแล้ว 144 ราย ใน 48 จังหวัด

โดยพิโกไฟแนนซ์ให้กู้รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 36% ต่อปี สิ้นเดือนมกราคม 2561 สินเชื่ออนุมัติสะสม 1.02 หมื่นบัญชี 273 ล้านบาท เฉลี่ย 26,686 บาท ต่อบัญชี โดยธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. อนุมัติสินเชื่อฉุกเฉินแล้ว 2.28 แสนราย รวม 1.01 หมื่นล้านบาท

“รัฐจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีผิดกฎหมาย มีการจับกุมผู้กระทำผิดรวม 2,139 คน”

ไทย-จีน-ลาว-เมียนมา ผนึกกำลังบูมท่องเที่ยว “เมือง 5 เชียง” สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือฯ ดันเขียนแผนท่องเที่ยวร่วมหวังขายสู่ตลาดโลก เผยปัจจุบันการเดินทางแสนสะดวก แต่ละประเทศมีการสร้างถนนเชื่อมเส้นทาง มั่นใจดันตัวเลขทะลุ 30 ล้านคน

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14-16 มี.ค. 61 สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย ร่วมกับสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ 17 จังหวัด สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดประชุมการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว 5 เชียง โดยมีตัวแทนและเครือข่ายจากต่างประเทศเข้าร่วมเสวนา และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยว 5 เชียงร่วมกัน อาทิ ท่านจอมศรี ลัดตะนะปัน รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ท่านสุลิทิบ น่อคุนผน หัวหน้าแผนกแถลงข่าว วัฒนธรรมและท่องเที่ยวแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว ท่านผาน จิน รองกงสุลใหญ่แห่งประเทศจีนประจำ จ.เชียงใหม่ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากมณฑลยูนนาน จีน สปป.ลาว รัฐฉาน เมียนมา

นายสมบูรณ์ ศิรเวช รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่า สถิติที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวจากพื้นที่ 5 เชียง โดยเฉพาะจากจีน เดินทางมาท่องเที่ยวที่เชียงรายและเชียงใหม่เพิ่มขึ้นถึง 31.51% และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก การสร้างเครือข่ายร่วมกันจึงสำคัญมาก เพราะจะได้ช่วยกันพัฒนาตลาดร่วมกันจนสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ไปเยือนมากขึ้นต่อไป

ขณะที่นายกิตติ ทิศสกุล นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ 17 จังหวัด และประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย ย้ำว่า 5 เชียง หมายถึง เชียงราย เชียงใหม่ ในประเทศไทย เชียงตุง รัฐฉาน เมียนมา เชียงรุ้งหรือจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน จีน และเชียงทอง หรือหลวงพระบาง แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ได้มีความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 5 เชียงมาโดยตลอด และจากนี้ไปทุกฝ่ายต้องการจะผลักดันและส่งเสริมเพื่อทำให้มีความเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเขียนแผนการท่องเที่ยวและนำขายสู่ตลาดทั่วโลก

น.ส.ผกายมาศ เวียร์ร่า รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย และนักธุรกิจนำเที่ยวใน 5 เชียง กล่าวว่า ปัจจุบันการคมนาคมในเขต 5 เชียงดีขึ้นมาก เช่น กรณีเมืองเชียงตุงในเมียนมา ปัจจุบันสามารถใช้เส้นทางทางบกจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เข้าสู่ จ.ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นด่านถาวรแห่งเดียวของรัฐฉานเข้าไปยังเชียงตุง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเมียนมากำลังพิจารณาใช้ระบบ visa all arrival ที่ด่านโดยตรงแล้ว ส่วนยานพาหนะก็มีข้อตกลงใช้รถระหว่างเชียงราย-เชียงตุง นอกจากนี้ ท่าขี้เหล็กยังมีสนามบินที่มีเครื่องบินให้บริการ 8 สายการบิน ในอนาคตหากมี visa all arrival ก็จะทำให้การท่องเที่ยวเชียงราย-เชียงตุง และเมืองอื่นๆ สะดวกมากขึ้น

ส่วนเชียงรุ้ง หรือจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ก็ถือว่ามีการพัฒนาไปมาก และมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันจีนสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งใหม่และรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เข้าไปยังรัฐฉาน และไปทางหลวงพระบาง สปป.ลาวด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดเครือข่ายใหม่ๆ ขึ้นมาอีก เช่นเดียวกับหลวงพระบางที่เป็นตลาดท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับเชียงรายและเชียงใหม่ ทั้งทางอากาศ ทางเรือ (แม่น้ำโขง) และทางบกอยู่แล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้มีความเป็นไปได้ว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยว 5 เชียง จะมีรวมกันไม่ต่ำกว่าปีละ 30 ล้านคน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้ เครือข่ายจากประเทศต่างๆ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการคมนาคมภายในประเทศของตนมีการพัฒนามากขึ้น เช่น แขวงบ่อแก้ว และหลวงพระบาง ของ สปป.ลาว ที่ผ่านมาได้มีการสร้างถนนเพื่อเชื่อมโยงกับ 5 เชียงมากขึ้น และมีศักยภาพที่จะใช้เพื่อการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ส่วนในรัฐฉาน ในเมียนมา ก็มีการจัดระบบและอำนวยความสะดวกในเรื่องของการเข้า-ออกเมือง ให้มีความเป็นสากลมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวยุโรปและอื่นๆ เดินทางผ่านช่องทางนี้เพิ่มมากขึ้น

ในช่วงหน้าร้อนนี้ เรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจและระมัดระวัง เพราะมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ โดยเฉพาะอหิวาตกโรคซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่ต้องระวังเป็นพิเศษ

นพ. อัครพงศ์ แสนเรือง อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รพ.หัวเฉียว ให้ข้อมูลว่า คนไทยป่วยเป็นโรคนี้จำนวนมากในช่วงหน้าร้อน สามารถเป็นได้ทุกช่วงวัย ส่วนมากเชื้ออหิวาตกโรคจะปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารทะเล ดังนั้น ผู้บริโภคควรหาน้ำดื่มที่สะอาด ได้มาตรฐาน งดอาหารทะเล และอาหารดิบไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเกิดโรค

ทั้งนี้ อหิวาตกโรคถือเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีความร้ายแรงมาก เพราะจะทำให้เกิดอาการท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และเกิดภาวะขาดน้ำ โดยในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการ แต่หลังจากนั้นเมื่อร่างกายดูดซึมอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเข้าไปแล้วก็จะเกิดอาการอย่างที่กล่าวไปข้างต้น

ถ้าหากรู้ว่าตนเองมีอาการ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที เพราะอหิวาตกโรคเป็นอันตราย อาจทำให้เสียชีวิตได้จากภาวะขาดน้ำ

สำหรับการรักษา จะมีตั้งแต่การให้ผู้ป่วยรับประทานน้ำเกลือแร่ เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำและเกลือแร่ทดแทนจากที่เสียไป ลดโอกาสการเกิดภาวะช็อก และการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดจำนวนและลดระยะเวลาจากอาหารท้องร่วง เช่น ยาดอกซีไซคลิน (Doxycyline) หรือ ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin)

ส่วนการป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือให้สะอาด รับประทานอาหารปรุงสุก หลีกเลี่ยงอาหารดิบในช่วงนี้ และหมั่นรักษาสุขอนามัย

เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะฤดูไหน ปลอดภัย ไม่ป่วยเป็นอหิวาตกโรคแน่นอน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พพ. ได้ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เยี่ยมชมโครงการยกระดับประสิทธิภาพพลังงานในระบบไอน้ำสำหรับโรงงานควบคุม ของ บริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด ซึ่งถือเป็นระบบหม้อไอน้ำที่จัดอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นตัวอย่างของการพัฒนาระบบหม้อไอน้ำ ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบออนไลน์ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงานมากยิ่งขึ้น และตรงตามแนวทางนโยบายพลังงาน 4.0 ซึ่ง พพ. จะได้นำองค์ความรู้มาขยายผลให้การส่งเสริมในโรงงานอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

โดยผลจากความร่วมมือตาม ระหว่าง พพ. และ กรอ. คาดว่าจะเกิดการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน คิดเป็น 1,264 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี หรือคิดเป็นมูลค่า 13,727 ล้านบาท/ปี ในด้านการประหยัดพลังงาน 1,247 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี หรือเท่ากับการประหยัดงบประมาณ 13,542 ล้านบาท/ปี มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพหม้อไอน้ำ ในโรงงานขนาดกลางและย่อม มาตรการพัฒนาความสามารถบุคลากรด้านหม้อไอน้ำและพัฒนาหม้อไอน้ำ

ผลิตภัณฑ์กลุ่มเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลายอย่าง ส่วนประกอบหลักจะเป็นเนื้อสัตว์ ไขมัน และน้ำ แต่ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มของสารที่ใส่ลงไปในไส้กรอก เพื่อให้ไส้กรอกมีลักษณะจำเพาะ และช่วยให้ผลิตเป็นไส้กรอกที่มีลักษณะที่ดี ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additives) เช่น สารประกอบไนไตรต์หรือไนเตรต สารประกอบฟอสเฟต เกลือ สารให้ความหวาน เป็นต้น บางครั้งอาจจะมีการแต่งสี แต่งกลิ่น เพื่อให้พึงใจผู้บริโภคมากขึ้นก็เป็นได้

ด้วยเหตุที่ต้องใส่สารกลุ่มนี้ ทำให้มีผู้กังวลเกี่ยวกับการตกค้างและสะสมของสารต่างๆ เหล่านี้ในร่างกายของผู้บริโภค วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการรับประทานอาหารและการกำจัดสารต่างๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการ หรือมีมากเกินไป เพื่อให้หลายๆ คน พอจะเบาใจลงได้บ้าง

วัตถเจือปนอาหาร จัดเป็นสารที่ประกาศในประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้มีการควบคุมปริมาณการใช้ในอาหารเพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัย ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกที่ผลิตออกมา ก็ต้องมีการควบคุมปริมาณการใช้เช่นเดียวกัน หากมีการบริโภคปริมาณมากในคราวเดียว ก็อาจจะทำให้ปริมาณของส่วนประกอบที่อยู่ในอาหารนั้นๆ เข้ามาในร่างกายมากด้วย ในกรณีนี้ร่างกายของมนุษย์มีกลไกการกำจัดสารพิษหรือของเสียที่เข้ามาในร่างกายอยู่หลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางปัสสาวะ ทางอุจจาระ ทางเหงื่อ หรือทางลมหายใจ ปริมาณสารพิษหรือของเสียเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ลดลงและหมดในที่สุดหากไม่มีการรับเพิ่มเข้ามาในร่างกาย แต่หากมีการบริโภคอาหารประเภทเดียวกันเป็นเวลานานๆ สิ่งที่ได้ก็คือร่างกายก็อาจจะมีการสะสมพิษหรือของเสียดังกล่าวเอาไว้เนื่องจากไม่สามารถกำจัดให้ออกไปได้หมดในคราวเดียว

วิธีที่จะช่วยให้การสะสมลดลง ก็คือรับประทานอาหารให้หลากหลาย อย่าเลือกรับประทานอาหารประเภทเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็จะช่วยให้ร่างกายมีเวลากำจัดสารเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้ และที่สำคัญ เวลาเลือกซื้อไส้กรอก อาจจะต้องดูไส้กรอกที่ผลิตจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน โดยสังเกตจากเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงมาตรฐานและความปลอดภัย เช่น เครื่องหมาย อย. หรือ มอก. เป็นต้น

นอกจากความกังวลเรื่องการตกค้างและสะสมสารต่างๆ ในร่างกาย เนื่องจากการรับประทานไส้กรอกแล้ว ยังมีประเด็นที่ผู้บริโภคควรคำนึงถึงอีกเรื่องหนึ่ง คือการเลือกรับประทานให้เหมาะกับวัยของผู้บริโภคด้วย เนื่องจากความต้องการอาหารของคนแต่ละช่วงอายุไม่เท่ากัน ทั้งปริมาณและชนิดของสารอาหาร เช่น เด็กในวัยเรียน อาจต้องการอาหารที่ส่งเสริมให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ จึงต้องการสารอาหารให้ครบทั้งชนิดและปริมาณ โดยเฉพาะปริมาณโปรตีนและพลังงาน การเลือกรับประทานไส้กรอก จึงสามารถรับประทานได้มาก เนื่องจากได้สารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนและพลังงานสูงตรงตามความต้องการของเด็กวัยเรียน

ในขณะเดียวกัน หากเป็นวัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารครบถ้วนเช่นเดียวกัน แต่ควรลดปริมาณของการกินอาหารที่มีส่วนประกอบไขมัน ลดน้ำตาล และรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น ดังนั้นการรับประทานไส้กรอกของวัยผู้ใหญ่จึงไม่ควรรับประทานมากเท่ากับวัยเด็ก เป็นต้น

ทั้งนี้ การเลือกรับประทานให้ตรงกับปริมาณที่ร่างกายต้องการ อาจจะต้องพิจารณาถึงเพศและขนาดของร่างกายร่วมด้วย หากร่างกายมีขนาดเล็กก็ไม่ควรรับประทานอาหารปริมาณมากเกินไป เป็นต้น ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์

สุราษฎร์ฯ – นายอิศรา ฤกษ์รักษ์ กำนัน ตำบลดอนสัก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวภายหลังทุกภาคส่วนร่วมกิจกรรม “รวมพลคนรักษ์เล” จัดโดยสน.บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและ ชายฝั่งที่ 5 กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ร่วมกับชาวประมง นำนวัตกรรมในการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลประเภท ซั้งกอ ซั้งเชือก ที่ทำจากทางมะพร้าว 300 ชุด สร้างแหล่งดึงดูดสัตว์น้ำ พร้อมทุ่นแนวเขตอนุรักษ์ ที่อ่าวหน้าบ่อ หมู่ที่ 5 ตำบลดอนสัก ว่า กิจกรรมนี้สามารถสร้างทรัพยากรสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เช่นเดียวกับโลมาที่มีชาวบ้านบอกว่าเกิดเพิ่มขึ้นร่วม 10 ตัว ในรอบปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการฟื้นฟูที่ชาวประมงให้ความร่วมมือ จนกลายเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ของคนและสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และหวังว่าอ่าวแห่งนี้จะกลับมาอุดมสมบูรณ์ และเคยเป็นแหล่งหากินของพะยูน พร้อมกันนั้นยังออกกฎชุมชนสำหรับกันแนวเขตอนุรักษ์ ไม่อนุญาตให้ใช้ เครื่องมือประมงชนิดต่างๆ ยกเว้นการวางปลากระบอก ที่เป็นวิถีชุมชนของประมงพื้นบ้าน

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า เดือนเมษายนนี้ กสอ.เตรียมเสนอแผนไทยแลนด์ กู๊ด เทคโนโลยี (ที กู๊ด เทคฯ) หรือแฟลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยภาคอุตสาหกรรม ต่อ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดย ที กู๊ด เทคฯ จะช่วยกระตุ้นและสร้างความสะดวกให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่าง เอสเอ็มอีไทยกับเอสเอ็มอีญี่ปุ่น ซึ่งมีแฟลตฟอร์ม ออนไลน์ ภายใต้ชื่อ จี กู๊ด เทคฯ หรือ เจแปน กู๊ด เทคโนโลยี ผ่านความช่วยเหลือจากองค์การขนาดกลางและขนาดย่อมและนวัตกรรมภูมิภาคแห่งญี่ปุ่น และคาดว่าจะนำมาใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยตั้งเป้าหมายคัดเลือกเอสเอ็มอีไทยเข้าระบบนี้ 1,400 ราย จากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ไอที สิ่งทอ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ผู้เข้าชมสนใจและมีเอสเอ็มอี เข้าระบบแล้ว 200-300 ราย ขณะที่เอกชนญี่ปุ่นอยู่ในแฟลตฟอร์มออนไลน์แล้ว 5,000 ราย

นายกอบชัย กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาเอสเอ็มอีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติว่า ในปี 2561 ตั้งเป้ายกระดับผู้ประกอบการที่ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้ได้ 200-300 ราย โดยผ่านสินเชื่อกองทุนทรานส์ฟอร์เมชั่นโลน 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ และธนาคารออมสิน คิดอัตราดอกเบี้ย 4% และร่วมมือกับสถาบันไทย-เยอรมัน และบริษัท เด็นโซ่ ประเทศญี่ปุ่น ผ่านโครงการพี่ช่วยน้อง (บิ๊กบราเธอร์) จัดตั้งโปรแกรมพัฒนาผู้ประกอบการหุ่นยนต์ ในชื่อ “ลาร์ซีโปรเจ็กต์” กับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และเป้าหมายปั้นนักธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปไทยเป้าหมายทั่วประเทศ 600 กลุ่ม ซึ่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นพี่เลี้ยงคาดว่าจะสามารถสร้างผู้ประกอบการภาคเกษตร 100 กลุ่ม หรือประมาณ 55,000 ราย และสร้างรายได้ภาพรวมเพิ่มขึ้น 2-5% ในปีนี้

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560-กุมภาพันธ์ 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 908,210 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 39,440 ล้านบาท หรือ 4.5% และสูงกว่าเป้าหมาย สาเหตุจากการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 14,898 และ 14,884 ล้านบาท หรือ 30.0% และ 18.8% ตามลำดับ โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณ 283.0% ภาษีรถยนต์ 8.9%

นางสาวกุลยา กล่าวว่า กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้สูงสุด รวม 635,576 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,598 ล้านบาท หรือ 0.4% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 3.3% โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูง ส่วนกรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 220,395 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 274 ล้านบาท หรือ 0.1% แต่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 1.0% โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีรถยนต์ ภาษียาสูบ ด้านกรมศุลกากรจัดเก็บรายได้รวม 46,078 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 922 ล้านบาท หรือ 2.0% แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 9.1% สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ พบว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 894,012 ล้านบาท ในขณะเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 1,378,010 ล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 214,900 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มี 189,327 ล้านบาท

นายชาติชาย ยิ้มเครือ ปศุสัตว์จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2561 มีข่าวสุนัขดุร้ายกำลังไล่กัดสุนัขที่มีเจ้าของ บริเวณสี่แยกสถานีขนส่งรถโดยสาร (สถานี บ.ข.ส.) ซึ่งปัจจุบันเป็นคิวรถตู้แห่งหนึ่ง อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม กระทั่งเจ้าของได้คว้าวัตถุคล้ายมีดดาบฟันลงไปที่หลังเจ็บสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาลสัตว์นั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 สุนัขตัวดังกล่าวได้ตายลง จึงถูกส่งชันสูตรโรคพิษสุนัขบ้า ที่สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ผลปรากฏว่าสุนัขตัวดังกล่าว เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ถือเป็นตัวที่ 3 ในรอบ 2 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาพบเชื้อพิษสุนัขบ้า 2 ตัว ในพื้นที่ หมู่ที่ 1 ต. ลาดใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม ในปี 2560 และ 2561

นายชาติชาย กล่าวว่า ดังนั้น สำนักงานปศุสัตว์อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จึงใช้อำนาจตาม มาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ. โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ประกาศเขตโรคพิษสุนัขบ้าระบาดชั่วคราว ในพื้นที่เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม ตั้งแต่ วันที่ 20 มีนาคม-21 เมษายน 2561 เพื่อให้มีอำนาจในการป้องกันและควบคุมการเคลื่อนย้าย ในรัศมี 5 กิโลเมตร อีกทั้งจะปูพรมฉีดวัคซีนทั้งสุนัขมีเจ้าของและสุนัขจรจัด ในรัศมี 1 กิโลเมตร ให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 2 วัน ขณะที่รัศมี 5 กิโลเมตร จะประสานท้องถิ่นให้ฉีดวัคซีนสุนัขมีเจ้าของ ส่วนสุนัขจรจัดเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะลงพื้นที่ดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเข้มข้น หากพบสุนัขต้องสงสัยจะจับมากักกันเพื่อสังเกตอาการต่อไป